ถอดคำบรรยาย:
เรื่อง “สติ(ตัวจริง)...ความอัศจรรย์ ที่เราไม่เคยรู้จัก”
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2553
ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2553
ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
กราบสวัสดีครับกรรมการยุวพุทธฯ ทุกท่านที่ให้เกียรติมาในที่นี้
โดยเฉพาะท่านนายกฯ ท่านก็ได้อยู่ที่นี่ด้วย
รวมไปถึงทุกๆ ท่านเลยนะครับที่สนใจธรรมะ ก็ขอสวัสดีทุกๆ ท่านเลยนะครับ
วันนี้ก็ถือเป็นเกียรติอีกวันหนึ่งที่ผมได้มาทำหน้าที่
ที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปก็จากที่นี่แหล่ะครับ
ในวันที่ผมมีความทุกข์มาก...ในวันที่ผ่านเหตุการณ์ เมื่อ IMF ปี 2540
ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ผมเป็นหนึ่งในโดมิโนตัวหนึ่งที่ล้มกันระเนระนาดช่วงนั้น
ถ้าหลายคนอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็คงจะพอจำได้ว่า
ไม่น่าเชื่อว่า สถาบันทางการเงินจะล้มได้ทีหนึ่ง สี่ห้าสิบ หกสิบแห่ง...พร้อมกัน!!
แสดงว่ามันจะต้องกระทบกันอย่างหนักจริงๆ นะครับ
แบงก์ ไฟแนนซ์เนี่ย! แบงก์ใหญ่ๆ ที่เราเห็นภาพความยิ่งใหญ่วันนี้เนี่ย...นึกไม่ออกเลย
วันนั้นเซกัน แซ่ด แซ่ด แซ่ด กันหมดเลย
เพราะฉะนั้น...บริษัทเล็กๆ อย่างผมเนี่ย...อยู่ไม่ได้แน่
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น มาจากการที่..สิ่งที่..อาจจะเกิดจากความผิดพลาดในการใช้ชีวิตด้วย
จากนั้นผมก็เริ่มเข้ามาลองศึกษาดู จากคำแนะนำของคุณแม่
ลองมาปฏิบัติธรรมในหลักสูตรของคุณแม่ ดร.สิริ กริณชัย
ในครั้งแรกที่ผมเข้ามาปฏิบัติตอนนั้น ผมก็ไม่คิดหรอกว่า...
ธรรมะจะช่วยให้เราหายทุกข์ได้อย่างไร?....
ในเมื่อหนี้กองพะเนินเทินทึกขนาดนั้น แต่ก็ไม่เป็นไร...
ในเมื่อเป็นคำแนะนำจากคุณแม่ซึ่งก็คงเป็นความหวังดี ก็อยากจะตามใจท่าน
จากการปฏิบัติในครั้งที่ 1 ผมเล่าตรงไปตรงมาเลย
พอถึงวันที่ 5 ของการปฏิบัติ... คือ วิทยากรก็บอกว่า “อย่าพูดคุยกันนะ”
ส่วนผมก็ไม่ได้พูดคุยกับใคร ก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ เขาให้ทำอะไรก็ทำไป
เดิน ขวา-ย่าง-หนอ ซ้าย-ย่าง-หนอ ก็ทำไป ให้นั่งดูอะไรก็ดูไป
จนกระทั่งถึงวันที่ 5 ระหว่างที่ผมกำลังเดิน...
ผมก็เห็นขามันกระตึ้ก กระตึ๊กๆ ๆๆ ทั้งๆ ที่ผมเดินไปตามธรรมดา
ผมเห็นมันขาดเป็นท่อนๆ ท่อนๆๆ....ผมก็ชักเอะใจขึ้นมา ว่ามันเกิดอะไรขึ้น?
ผมก็ถามวิทยากร วิทยากรก็บอกว่า “อนุโมทนาด้วยนะ ท่านได้เห็นการเกิดดับของรูปแล้ว”
ผมไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าท่านพูดถึงอะไร...และผมก็ไม่ได้สนใจด้วย
เอ๊ะ!...การปฏิบัติธรรมคืออะไร?....แล้วเราเห็นอะไร?
หลังจากนั้น 6 เดือน ... ชีวิตของผมเกิดประสบกับสิ่งที่ไม่คาดไม่ฝัน
วินาทีเฉียดตายได้เกิดขึ้นกับผม
ผมโดนเครื่องจักรตี! มันดึงผมเข้าไปจนกระทั่งผมหายใจไม่ออก
มันลากผมเข้าไปจนขาหัก พอผมขาหักแล้วมันก็อัดจนกระทั่งผมหายใจไม่ออก
แต่ในขณะที่ผมกำลังจะขาดใจตาย วินาทีสุดท้ายในชีวิต ขณะนั้นเอง...
ผมพยายามเอามือเอื้อมไปปิดเครื่องจักร แต่...มันปิดไม่ถึง!
มันขาดไปประมาณแค่เนี๊ยะ (ทำท่าให้ดู...ประมาณ ไม่ถึงคืบ)
แล้วทุกอย่าง...ตอนที่ผมยื่นมือไปปัด แล้วมันปัดไม่ถึง
วินาทีของความเป็นกับความตายเนี่ย...มันผ่านไปแล้ว ก็คือ...ตายแน่นอน!
แต่ผมกลับ เอ๊ะ! ขึ้นมาในใจว่า
“ทำไมเราถึงไม่ตกใจเลย ทำไมเราถึงไม่เสียใจ ทั้งๆ ที่เรากำลังจะตาย?”
ทุกอย่างดูเป็นปกติ...ผมทำเท่าที่ผมทำได้
แต่ในเมื่อผมทำอะไรไม่ได้...ผมก็ปล่อย...
แต่ในขณะนั้นเองมันมีเสียงดังขึ้นมาในหัวผมบอกว่า
“ฝืนรอบนี้ให้ได้...ไม่อย่างนั้นตายแน่นอน!”
ผมก็จึงพยายามฝืนอีกครั้งหนึ่ง แล้วอยู่ๆ เครื่องจักรมันก็ดับไปเองโดยไม่ทราบสาเหตุ
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงทำให้ผมสงสัยต่อไปอีกว่า...อะไรมันเกิดขึ้น?
ทำไมเราถึงไม่กลัวตายในขณะนั้น?
เหตุการณ์นี้ผมเคยเล่าให้คุณแม่สิริฟัง
ในขณะที่ท่านกำลังสอน ท่านถามผมว่า...“กลัวตายไหมลูก?”
ผอมบอกว่า “ มันไปไม่ถึงตรงนั้นน่ะ”……
ถ้าผมจะอธิบายให้ท่านฟังว่าตอนนั้นมันเป็นยังไง
ถ้าผมถามท่านตอนนี้ ตอนที่ท่านกำลังฟังนี้ว่า...
ผมถามว่า ตอนนี้ท่านกลัวตายไหมครับ? ท่านจะนึกไม่ออกเลยว่าทำไมผมถึงถามแบบนี้...
นี่แหล่ะครับ...ความรู้สึกของผมตอนที่มันกำลังจะตาย
ผมถึงสงสัยว่า อะไรมันเกิดขึ้น?
ถ้าผมถามตอนนี้ว่าท่านกลัวตายไหม ท่านจะย้อนถามผมกลับด้วยซ้ำว่า ...
ทำไมถึงถามอย่างนั้น ก็นั่งอยู่อย่างนี้มันจะไปกลัวตายได้ยังไง?
นี่แหล่ะคือความรู้สึกของคนที่กำลังจะตาย
วันนั้นผมไม่เข้าใจคำว่า... “สัมมาสติ” หรือ “สติตัวจริง”
หรือ อะไรทั้งหลายมันหน้าตาเป็นยังไงนะ
หลังจากนั้นจึงเกิดการปฏิบัติต่อไป ด้วยความสงสัยว่า การปฏิบัติธรรมคืออะไร?
จึงเกิดการปฏิบัติเข้ามาในคอร์สของคุณแม่สิริ ครั้งที่ 2, ครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ครั้งที่ 5 ไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวเราหยุดให้เค้าได้ดำเนินการก่อน
ไม่งั้นเดี๋ยวก็จะแว๊บกันไป แว๊บกันมา!
จิตของทุกคนก็จะแว๊บไปแว๊บมา!
ก็รู้สึกสบายๆ ก่อนนะครับ...ทุกคนก็มีเจตนารมณ์เดียวกัน
คือ ต้องการจะมา ฟังธรรมะ ...ไม่ใช่จากผม ธรรมะจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพียงแต่ผ่านกระบอกเสียง ผ่านเสียงของผมออกไปเท่านั้นเอง
นายประเสริฐจริงๆ ไม่ได้มีอะไรเลยนะครับ
เดี๋ยวเรารอนะครับ เพราะว่าทุกคนก็มีหัวใจเดียวกัน
เดินเข้ามาที่ยุวพุทธฯ ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน
….
เรียบร้อยนะครับ ทีนี้พอมาพูดถึงคำว่า “สติ” ผมเล่าเรื่องคร่าวๆ ของผมไป...
ในหลายครั้งที่ผมไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อไปแนะนำหรือไปพุดคุย
มันจะเกิดคำถามแม้แต่ตัวผมเองเหมือนกันว่า....
“เราไม่มีสติเหรอ?”
ที่พวกเราว่า...มาเจริญสติปัฏฐาน 4 มาฝึกสติ มาทำโน่น ทำนี่เนี่ย
ในเรื่องของสติ เรามาเดินจงกลม มานั่งสมาธิ ...เราไม่มีสติกันรึไง?...
ไม่มีสติ...แล้วเช้ามาทำงานกันยังไง แต่งตัวกันยังไง
แล้วก็วันหนึ่ง พอมาปฏิบัติ...เค้าก็บอกว่า...
“พอเผลอคิดนะ ให้รู้ว่าคิด แล้วคิดจะได้ดับไป คิดจะได้หายไป”
ผมก็สงสัยต่อไปว่า...
เอ๊ะ! แล้วทุกคนที่เป็นผู้จัดการ กรรมการ กันอยู่ทุกวันนี้....ก็ไม่ใช่เพราะคิดเหรอ
คนที่เรียนดอกเตอร์จบ...ไม่ใช่เพราะคิดเหรอ?
แล้วทำไมจู่ๆ วันนี้พอเดินเข้ามาในศูนย์ปฏิบัติธรรม
“คิด” กลายเป็นผู้ร้ายไปซะแล้วล่ะ
ในวันหนึ่ง “คิด” เป็นพระเอกที่นำพาชีวิตของเราสู่ความเจริญรุ่งเรือง
แต่อยู่ๆ เดินเข้ามา ทุกคนก็บอกว่า...“คิด” ...ทำท่าจะกลายเป็นผู้ร้ายไปซะแล้ว
เราก็เริ่มงงเหมือนกัน...ผมเองก็งง! ....กว่าจะได้คำตอบก็นานเอาเรื่องเลย
วันนี้ถึงได้มีโอกาสมาบอก...มาเปิด...มาเฉลย... ให้ทุกคนเข้าใจก่อนนะครับ
เรามาดูอะไรไปพร้อมๆ กัน
วีดิโอคลิป “สติของเจอรี่”
ภาพสไลด์ จากวีดิโอคลิป “สติของเจอรี่”
เจอร์รี่ เป็นผู้จัดการร้านอาหาร เป็นผู้เบิกบานอยู่เสมอ ยามใดที่ลูกน้องมีความทุกข์ใจ เจอร์รี่จะช่วยเหลือเจือจุนให้คำปรึกษาอย่างจริงจัง พนักงานในร้านมักจะลาออกตามเจอร์รี่ทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนงาน ทำไมเหรอ? เพราะเขาเป็นผู้นำที่สร้างขวัญและกำลังใจที่เป็นธรรมชาติมาก วันใดที่พนักงานมีเรื่องเลวร้าย..เขาจะไปหาทันที และบอกเรื่องทางบวกให้ฟัง คนแบบนี้ที่ทำให้ผมสนใจอยากรู้จัก ดังนั้น วันหนึ่งผมจึงไปหาเจอร์รี่ และถามเขาว่า “ผมไม่เข้าใจเลย ไม่มีใครที่มองทุกอย่างในแง่บวกได้ตลอดเวลาเช่นคุณ คุณทำได้อย่างไร” เจอร์รี่ตอบ “ทุกครั้งที่ตื่นนอน ผมจะพูดกับตัวเองว่า เรามี 2 ทางเลือก คือ...มีอารมณ์ดี และ ไม่ดี... ซึ่งผมจะเลือกมีอารมณ์ดีเสมอ ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดเรื่องร้าย ผมจะเลือกที่จะเรียนรู้จากมันแทนที่จะตกเป็นเหยื่อ” “ทุกครั้งที่โดนต่อว่า ผมจะเลือกด้านบวกของมันเสมอ” “แต่มันก็ไม่ง่ายนะ” ผมแย้ง “ใช่! มันไม่ง่าย...แต่เมื่อเราตัดส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออก จะมองเห็นทางเลือกนั้นได้” เจอร์รี่บอก “ชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือก ดีหรือไม่ดีเราเป็นคนเลือกวิธีใช้ชีวิตของเราเอง” หลายปีต่อมา..ผมได้รับข่าวจากการทำกระที่ผิดพลาดอย่างไม่นึกไม่ฝันของเจอร์รี่ เขาลืม...เปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้ มีโจร 3 คน เข้ามาปล้นในร้าน ในตอนเช้าขณะที่เข้ามาจึงพบกับโจร…. โจรบังคับให้เขาเปิดตู้เซฟ ด้วยอาการกลัว ในขณะที่เขากำลังไขตู้เซฟ มือที่สั่นเทา จึงทำให้กุญแจนั้นหลุดมือ โจรตกใจจึงลั่นกระสุนใส่เขาทันที โจรหนีไป ... เขาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลรับการผ่าตัด หลังการผ่าตัดถึง 18 ชั่วโมง เขาต้องรักษาตัวอีกหลายสัปดาห์และออกจากโรงพยาบาลพร้อมกระสุนฝังใน ผมได้พบเจอร์รี่ 6 เดือนหลังเกิดเหตุ..เมื่อผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบว่า…“คงจะดี ถ้าผมมีคู่แฝด อยากดูแผลมั้ย” ผมปฏิเสธ ผมถามเขาว่า....”คิดอะไรตอนที่อยู่ต่อหน้าโจร?” เขาตอบผมว่า... “ผมน่าจะปิดประตูร้าน…ทันทีที่ผมถูกยิงล้มลง ผมคิดได้ว่ามี 2 ทางเลือก คือ...อยู่หรือตาย...ผมเลือกจะมีชีวิตอยู่ต่อไป” “แล้วคุณไม่กลัวเลยหรือ” ผมถาม เจอร์รี่กล่าวต่อว่า "เวรเปล เยี่ยมมาก เขาให้กำลังใจผมตลอดทางจนถึงห้องฉุกเฉิน ผมเห็นสีหน้าของหมอและพยาบาลก็อ่านใจเขาได้ทันที...ผมกลัวมาก" ”คุณอ่านว่าอะไร” “คนนี้ไม่รอดแน่!” ผมรู้ว่า..ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง พยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามผมว่า..ผมแพ้ยาอะไรบ้างหรือเปล่า” ผมสูดหายใจลึกๆ และตะโกนสวนว่า... “ผมแพ้กระสุน” ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ผมได้พูดต่อไปว่า “ช่วยผ่าตัดให้ผมที ผมยังไม่ตาย ผมต้องการที่จะมีชีวิตอยู่” เจอร์รี่รอดตายจากการที่เขามีทัศนคติ (สติ) ที่ดี หากเราควบคุมมันได้…เราก็สามารถยิ้มได้ในทุกสถานการณ์
………(จบวีดีโอคลิป)………
ครับ...พอเราอ่านเรื่องของเจอรรี่จบ
เรารู้สึกเลยว่า...เอ้อ..เจอร์รี่นี่โอเคนะ ..เก่งเหมือนกัน
เขามีสติที่ดีสามารถดูแลตัวเองได้ในวินาทีที่คับขัน
แต่สำหรับผม...พออ่านเรื่องเจอรรี่จบ...ผมได้แค่...ยิ้มนิดๆ ^_^
แล้วก็ถามตัวเองหรือว่าบอกขึ้นมาแล้วก็บอกตัวเองว่า...
คน...ถ้าต้องการแค่นี้นี่นะ! ไม่ต้องมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้หรอก!
ผมถามว่า... “สติของเจอร์รี่...ทำให้เค้าพ้นทุกข์ได้เหรอ?”
ถ้าเราย้อนกลับไปเริ่มอ่านใหม่...
มีช่วงเวลาของความทุกข์เต็มไปหมดเลย เนื่องจากเค้าบีบคั้นตั้งแต่...
โดนปืนจ่อ หลุดมือ กุญแจหล่น ของหล่น โดนเข็นเข้าไปในโรงพยาบาล...กลัวตาย!
นี่นะหรือ “สติ” ….ไม่ใช่หรอก!!!
นี่มันแค่...เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่มนุษย์มีอยู่แล้ว
หรืออีกมุมหนึ่ง...หลังจากเราอ่านจบ เราจะเห็นว่า...
เจอร์รี่นี่เข้าใจคิดนะ คิดในเชิงบวก คิดในแง่บวก
ปัจจุบันเราก็ได้ยินทฤษฎีเรื่อง “Positive Thinking” (คิดในแง่ดี คิดในแง่บวก)
ผมถามว่า...“Positive Thinking” ทำได้จริงเหรอ?
คำว่า “ทำได้จริงเหรอ?” ผมหมายความถึงว่า...
มันทำได้ตลอดเวลาเหรอ?
ในสถานการณ์ทุกสถานการณ์...คุณใช้ positive thinking ได้เหรอ?
ถ้าย้อนกลับไปที่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ท่านบอกว่า...
“ภพ ไม่สามารถล้างได้ด้วย ภพ” แปลง่ายๆ คือ...
กระบวนการคิดที่ถูกบีบคั้นออกมา ไม่สามารถเอาอีกความคิดหนึ่งมาล้างกันไปเรื่อยๆ ได้
สมมติท่านโกรธใคร แล้วท่านก็คิดว่า...
เออ...ช่างมันเถอะนะ ยอมๆ เค้าไปเถอะ มันจะได้ไม่มีเวร ไม่มีกรรมต่อไป
มันใช้ได้ในสถานการณ์ที่แบบ...เล็กน้อยมากๆ
“ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งในห้องนี้
หลังจากฟังธรรมจบ...จิตใจผ่องใสเบิกบานเป็นที่สุด มีสติสมบูรณ์
พอเดินกลับบ้าน...เปิดประตูปั๊บ! …
เจอคุณผู้ชายสุดที่รักกำลังคลอเคลียอยู่กับผู้หญิงอื่น
จับมือถือแขน กินขนม ป้อนกันอย่างมีความสุข
เพราะว่าเขาจำเวลาที่คุณจะกลับบ้านผิด...แต่คุณจ๊ะเอ๋เข้าไปก่อน!”
ช่วย positive thinking ทีครับ! (ยิ้ม) เอาให้มากๆ เลย
เออ... เค้าก็น่ารักดีนะ เออก็ดีนะ มากันหลายๆ คน มันจะได้ช่วยกันทำงานทำการ...นะ
มันจะได้ไม่มาหนักเราคนเดียว.. .เอ๊า...ช่วยที!
ผมกลัวว่าไม่หน้าสามมันจะไปซะก่อน ก่อนที่จะทันได้คิด positive thinking
เราจึงได้พบความจริงอย่างหนึ่งว่า…
เอ๊ะ! เอ้อออ!...แล้ว positive thinking มันทำงานได้ยังไง?
มันทำงานได้ครับ!...ถ้าความยึดติดต่ำๆ
ใครพอจะทราบมั้ยครับว่า เสียงเพลงที่ได้ยินนี้ใครร้อง?
“ป๊อด!” ...
โอ้โห...แฟนป๊อด โมเดิร์นด็อก ทั้งนั้นเลยนะครับ (หัวเราะ...^0^)
ทั้งๆ ที่เพลงนี้เค้าไม่ได้ออกอัลบั้มนะครับ!
เป็นเพลงที่เค้าแต่งหลังจากไปบวชกับท่านมิตซูโอะ
ท่านลองนึกภาพนะครับ!
มีการบบรรยายในหลักสูตรที่ตึกใหญ่ของยุวพุทธฯ ศูนย์ 1 เมื่อสัก 3 เดือนที่แล้ว
ผมเปิดสื่ออันนี้ แล้วก็เปิดเสียงป๊อดอันนี้
แล้วสักพักนึงค่อยๆ หรี่เสียงลง...แต่เหลือแต่คนร้องสด
แล้วสักพัก...มีคนเดินออกมาข้างหน้า..
ป๊อด โมเดิร์นด็อก...ออกมาร้องเพลงนี้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมฟัง
ตอนนั้นเนี่ย...ดีว่าทุกคนมีสตินะครับ! เพราะหลายคนนี่กำลังจะยกมือขวาออกมาเลยนะครับ
แล้วก็...(ตะโกน) พี่ป๊อดดดด!
แต่ทุกคนยังค่อนข้างสงบเสงี่ยมอยู่นะครับ (ยิ้ม)
เอ้า...เดี๋ยวเราฟังกันต่อ
………(ชมคลิปต่อ)………
………(จบวีดีโอคลิป)………
ยึดมาก ติดมาก ทุกข์มาก
ไม่ยึด ไม่ติด ไม่ทุกข์
เพราะฉะนั้น
รัก 100 ทุกข์ 100
รัก 10 ทุกข์ 10
รัก 2 ทุกข์ 2
รัก 1 ทุกข์ 1
ไม่มีรัก ไม่มีทุกข์
จริงมั้ยครับ???
ไม่มีรัก ไม่มีทุกข์
ถ้าอยู่โดยไม่มีคนรักเลยนี่ อาจจะทุกข์กว่าเดิมหน่อยนะครับ
ทีนี้...ปัญหามันอยู่ตรงนี้นิดเดียวครับ
คำว่า “รัก” ที่เราเข้าใจ
คำว่า “รัก” ที่เราเข้าใจเนี่ย! มันก่อตัวขึ้นมาพร้อมกับอีกสิ่งหนึ่งที่เรามองไม่ค่อยเห็น
คือ ….“ความผูกพัน”
พี่เบิร์ดร้องเพลงนี้ไว้ถูกต้องมากเลยนะครับ~ ด้วยรักและผูกพัน~
เวลาที่ต้นรักที่มันโตขึ้นมานี่ มันมีเถาวัลย์ออกมาด้วย
เกาะไปเรื่อย..เกาะไปเรื่อย..เกาะไปเรื่อย!
ทำไมเวลาที่ท่านให้เงินขอทานด้วยความสงสาร
และท่านให้ด้วยความเมตตา กรุณา ให้ไป
ทำไมท่านถึงไม่ทุกข์ทั้งๆ ที่ขอทานนั้นกำลังแย่
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกท่านเนี่ย! รับรองว่าท่านจะอุ้มชู มีเท่าไหร่ก็ประเคนให้หมดเลย
มันเป็นสิ่งเดียวกันรึเปล่า?
ทำไมเวลารักแล้วจึงทุกข์?
ความรัก...ที่บอกว่ามีความผูกพันติดมาด้วยเนี่ย!
ในการปฏิบัติโดยอาศัยสติจนกระทั่งสมบูรณ์ถึงที่สุด จนกระทั่งถึงขั้นถอดถอนได้
ถอดถอนความผูกพัน หรือ อุปาทานออกไปได้เนี่ย
เค้าไม่ได้ไปจัดการกับความรักหรอก!
เค้าจัดการกับสิ่งที่มันรกรุงรังที่มันเกิดตามขึ้นมาเฉยๆ
ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า “เรามาตัดป่า.....เราไม่ได้ต้นไม้” มันหมายความว่า...
สิ่งที่เป็นคุณงามความดียังคงอยู่กันครบ
ถ้าเป็นสมัยใหม่...คนสมัยใหม่อาจจะเข้าใจเรื่องของไวรัสคอมพิวเตอร์
ที่มันถูกปล่อยเข้ามาแล้วก็ทำลายโปรแกรมของเรา
ขณะนี้ในทุกๆ คนมีไวรัสคอมพิวเตอร์อยู่ในตัวกันหมด
การปฏิบัติธรรม คือ การปล่อยแอนตี้ไวรัสเข้าไป...
เพื่อจัดการกับไวรัสข้างใน แต่ไม่จัดการกับตัวโปรแกรม!!
เมื่อไหร่ก็ตามที่แอนตี้ไวรัสทำงานได้อย่างสมบูรณ์ คือ ฆ่าไวรัสได้ทั้งหมด
โปรแกรมของคุณจะคลีนสะอาด และก็ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ฉันใดก็ฉันนั้นเลย แบบเดียวกันเลย
“สติ” จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าไปถอดถอนกระบวนการทั้งหลายที่เราพูดถึง
ผมให้ท่านดูมาเรื่อยๆ เนื่องจากจะให้ท่านเห็นว่า...
ตั้งแต่แรกที่เราบอกว่า Positive thinking ทำไมใช้ไม่ได้?
มันใช้ไม่ได้ก็เพราะว่า....มันมีเครื่องรกรุงรังที่ติดอยู่ด้วย
ผมถามท่านง่ายๆ ว่า...คนทุกคนต้องตายถูกไหมครับ? ถูก!....
ในที่นี้มีนักปฏิบัติธรรมมมากมายเลย...นะครับ
ถ้าผมพูดเรื่อง ไตรลักษณ์ ตัวแรกบอกว่า อนิจจัง เนี่ย!
ท่านบอกว่า....พอเลย! ใครๆ ก็รู้หมดแล้ว เปลี่ยนเรื่องที่น่าสนใจมากกว่านี้หน่อยได้มั้ย
ผมบอก...เรื่องนี้แหล่ะน่าสนใจ!
คนที่ท่านรักต้องตายทุกคนถูกไหมครับ? ถูก!....
ท่านพยักหน้าได้ทุกคนเลย
ถ้าวินาทีต่อไปมีโทรศัพท์เข้ามาสั่นในกระเป๋าท่านถึง 3 ครั้ง
ดึงออกมาเป็นเบอร์ที่บ้าน...แต่ท่านไม่กล้ารับเพราะอยู่ในที่นี้
แล้วมันดังต่ออีก 3 ครั้ง โดยที่ไม่หยุดเลย...
ใจท่านเริ่มไม่ดีแล้ว! พอยกขึ้นมาเป็นเบอร์ที่บ้าน
ที่บ้านมีลูกสาวอายุ 10 ขวบ อยู่กับแม่อายุ 80
พอครั้งที่ 6 ... ครั้งที่ 7 ....ครั้งที่ 8..... ท่านทนไม่ไหวแล้ว ความบีบคั้นเริ่มเกิดมากขึ้น
ท่านเริ่มแวบออกไปข้างนอกแล้วก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยทันที
แล้วเกิดมีเสียงบอกว่า.... “พ่อ...”
“คุณย่าล้มในห้องน้ำ หัวฟาดพื้น เลือดนองเลย นิ่งไปเลยพ่อ....”
ผมถามว่า.....ท่านจะทุกข์ไหมครับ? ตกใจไหมครับ? ทุกข์ไหมครับ?
แน่นอน !!!
อ้าว...ไหนบอกว่ารู้ว่าทุกคนต้องตายไงครับ!
นี่แหล่ะครับ!...คือหัวใจ
มันจึงสร้าง ??? (คำถาม) ขึ้นมาว่า...ไหนว่าเข้าใจไง?
มันเข้าใจที่ไหนล่ะ?....มันไม่ได้เข้าใจที่นี่ (ที่หัวใจ)
ปากทุกคนบอกว่าเข้าใจกันหมด...แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ เนี่ย! (ชี้ที่ตำแหน่งหัวใจ)
คำว่า... “เข้า...ใจ” นี่มันเข้าหัว...มันไม่ได้เข้าใจ
ที่เราพูดกันมาตลอดเพราะว่า... เราเริ่มเห็นแล้วว่า...
เวลาที่ เราพูด ไม่ใช่เค้าพูด มันกลายเป็น “เรา” พูด ซึ่ง “เรา” ไม่ได้มีอยู่จริง
“กระบวนการทั้งหมดของการปฏิบัติธรรม เพื่อกลับไปให้จิตมีประสบการณ์ตรง
ที่จะเห็นอนิจจังหรือ การเกิด-ดับด้วยตัวของเขา ไม่ใช่สิ่งที่เราได้รับมาจากการได้ยินได้ฟัง”
นี่คือสาระสำคัญว่า ทำไมจึงต้องเกิดการปฏิบัติธรรม
สติของเจอร์รี่เนี่ย...ผมบอกเลยว่า ใครๆ ก็มี
7% นี้ไม่ต้องฝึกหรอก แค่เอามาปรับวิธีคิด
แต่พอเอาเข้าจริงๆ....
ผมก็ชี้ให้เห็นว่า มันใช้ไม่ได้หรอก! มันใช้ไม่ได้! เพราะในสถานการณ์จริงทุกคนจะกลัว
ไม่มีสติจริงหรอก... มีแค่กะท่อนกะแท่น
ทำยังไง “สติตัวจริง” ที่เราพูดถึงมันจะเกิดขึ้นมาได้...ในเวลาที่สมควรจะต้องเกิด?
ทำไมจึงต้องมาปฏิบัติธรรม?
“สติ” คือ อะไรกันแน่?
แล้วปฏิบัติธรรมแล้วจะเป็นยังไง?
ทำไมเราถึงได้รู้สึกว่า...ทำไมเวลาเราทำอะไร บางทีเราก็รู้สึกมีความสุข
บางทีเราก็รู้สึกมีความทุกข์ อึดอัด
เรามาดูสิ่งที่อยู่กับเราทุกวัน แต่เราไม่รู้จักเขาเลย
เกิดอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคนนั่นแหล่ะ
เพราะว่าความเคยชินที่มันเกิดนั่นแหล่ะมันจึงทำให้ปิดบังความจริงทั้งหมด!
ผมจะเล่าเรื่องหนึ่ง... เป็นความจริง ให้ท่านฟัง
เป็นเหตุการณ์ในรถไฟฟ้า BTS ขบวนหนึ่ง ในวันหนึ่ง
มีคนอยู่กันค่อนข้างแน่น ขณะที่รถไฟฟ้ากำลังแล่นไป
มีเด็กคนหนึ่ง อายุประมาณ 12 ขวบ เป็นเด็กผู้ชาย วิ่งเล่นอยู่ในรถไฟฟ้า
คนรำคาญมากเลย วิ่งไปวิ่งมา แทรกคนโน้น คนนี้
คนเค้าก็รำคาญ เค้าก็เบื่อ
หันซ้ายหันขวา...เด็กคนนี้มากับใคร?
เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งคอตกอยู่ก็คิดว่าคงเป็นพ่อของเด็ก
ผู้หญิงคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหวก็สะกิดผู้ชายคนที่นั่งคอตกอยู่นั่น
(สะกิดๆ)...นี่! คุณๆ ...เด็กคนนั้นลูกคุณรึป่าว?
เค้าก็เงยหน้าขึ้นมา...แล้วตอบว่า .. “ใช่ครับ”
คุณทำไมไม่ดูแลลูกคุณบ้างเลย ลูกคุณสร้างความรำคาญให้คนที่อยู่บนรถนี่มากเลยนะ!
ผู้ชายคนนั้นตาแดงๆ แล้วก็ยกมือไหว้ แล้วก็ขอโทษ
“ผมขอโทษจริงๆ ครับ... ภรรยาผมเพิ่งตายไปเมือกี้นี้เอง
ผมยังไม่รู้จะทำยังไงเลย ยังคิดอะไรไม่ออกเลย...
เด็กยังไม่รู้เลยว่าแม่เค้าตายแล้ว”
...
ทันทีที่ผู้ชายคนนั้นพูดจบเท่านั้นเอง ผู้หญิงที่ไปสะกิดผู้ชายคนนั้น รู้สึกผิดมหันต์เลย!
แทบจะตัวละลายลงไปเลย แทบจะขอโทษแทนเลย
ส่วนคนทั้งหลายที่กำลังโกรธ...กำลังหมั่นไส้...กำลังหงุดหงิดกับเด็กคนนั้นเนี่ย เริ่มเปิดกระเป๋า
“หนูๆ มาเอานี่ลูก มาเอาลูกอม” แล้วก็ลูบหัว
เจ้าเด็กนั่นก็งง! (อะไรเนี่ย? เป็นอะไรกันหมด)
ผมหยุดภาพวีดิโอเอาไว้แค่นี้ ผมแค่จะย้อนถามทุกคนว่า....
อะไรมันเกิดขึ้นในรถไฟฟ้าวินาทีนั้น?....เพราะว่าวินาทีก่อนหน้านั้นทุกคนไม่ได้เป็นอย่างนี้
ทุกคนปฏิบัติธรรมเหรอครับ?.......เปล่า!
เค้าถือศาสนาพุทธเหรอครับ?.......เปล่า!
แล้วอะไรมันเกิดขึ้นในตอนนั้นเหรอครับ?
ถ้าผมให้กระดาษหรือไมโครโฟนให้ทุกคนตอบนี่จะมีร้อยแปดพันเก้าคำตอบ
ตามที่ท่านคิดเอาว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าจะเอาสัจธรรมความจริงในสภาวธรรมที่เป็นจิตล้วนๆ เลย
ขณะนั้น! มันเกิดการปล่อยวางขันธ์
แต่ถ้าพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง เอาใหม่!
ขณะนั้นเนี่ย! ตัวกูของทุกคนมันเกิดการดับวับลงไป
แล้วทำไมจู่ๆ มันดับวับลงไป? ไม่มีใครเข้าไปเจริญสติภาวนาอะไรทั้งสิ้น
สรรพสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย....เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัยมันก็ดับวับลงไป
เรื่องมันมีอยู่แค่นี้!
ถ้าผมบอกว่าผมหยุดขณะวินาทีนั้นเอาไว้เลย
ท่านจะเห็นว่าทุกคนเต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
มองเห็นแต่คนอื่นหมด .... สงสารผู้ชายคนนั้น สงสารเด็กผู้ชายคนนี้ที่เพิ่งจะสูญเสียแม่
ทุกคนจะมีแต่ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มันเกิดขึ้นแค่วินาทีนั้นเลย
ถ้าผมหยุดวินาทีนี้แล้วผมพูดต่อหรือถ้าผมสั่งได้ และบอกว่า
“ขอให้ทุกคนบนรถไฟฟ้ารักษาความรู้สึกอย่างนี้ตลอดไป...ชั่วกัลปวสานเลย”
พวกเค้าจะเข้าใกล้นิพพานมากๆ เลย!
การปฏิบัติธรรมทั้งหมด...เมื่อถอดถอนจนหมดสิ้นแล้ว สภาพจะเข้าไป...
ถ้าจะให้อธิบายให้ท่านพอเข้าใจได้คือ สภาพอย่างนั้นเกิดขึ้น 100% ของเวลา
ไม่มีการคิดถึงตัวเอง
เมื่อตัวตนจริงๆ มันดับลงไป ไม่มีการคร่ำครวญถึงตัวเอง
มันจะมองเห็นแต่ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์และก็มหาชน
นี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ เข้าสู่มหาสุญญตา เข้าสู่นิพพาน!
ท่านก็รอดพ้นแล้วนะ ที่แน่ๆ แต่ท่านยังเดินทางอีก 45 ปี
สาวกทั้งหลายก็ได้เข้าไปพบสิ่งเดียวกันนะครับ แล้วก็ยังเดินทางกันต่อ...เพื่อประกาศ(ธรรม)
ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง
เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
แต่ทุกคนทำหน้าที่กันจนเงียบแล้วก็หายไป เงียบแล้วก็หายไป
2500 ปีผ่านมาเส้นทางนี้ยังคงอยู่กันทั้งหมด
ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า...
สิ่งเหล่านั้น (ความรู้สึกไม่มีตัวกู) มันเกิดขึ้นมาได้เอง...แล้วทำยังไงสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ตลอดไป?
ความสุข สงบ เย็น มันจะอยู่ที่ตรงนั้นตลอดเวลา
มันจึงจำเป็นต้องไปรู้จักกันก่อน
เนื่องจากวันนี้ทุกคนเกิดมาพร้อมกับแก้วใบหนึ่ง
ท่านถือสิ่งๆ หนึ่งที่หนักมาตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งชินกับสิ่งนั้นโดยไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แล้วก็ไม่สังเกต หรือไม่ได้สนใจด้วยว่า ท่านกำลังแบกของหนักอยู่
จนกระทั่งสมมติว่า เมื่อท่านมาถึงที่นี่...
ผมบอกว่า...
“อ้าว....ทุกคนครับ ตบมือ... ตบมือ
พอตบเสร็จปุ๊บ! ท่านก็หยิบมันขึ้นมาใหม่
“อ่ะ....ทุกคนตบมือ 3 ชั่วโมง”
ท่านก็วางแล้วก็ตบ 3 ชั่วโมง
พอตบครบ 3 ชั่วโมง ท่านก็คว้าขึ้นมาใหม่
ผมบอก “ อ่ะ! วันนี้เราแข็งแรงแล้วเราตบกันทั้งวันเลย”
ท่านก็วาง (แล้วตบมือ) หมดไปวันนีงแล้วท่านก็หยิบขึ้นมาอีก
คนมีปัญญาจะเริ่ม....เอ๊ะ!!!!....ตอนที่เราตบมือมันเบาแฮะ ^_^
แต่ด้วยความเคยชินจงจับมันขึ้นมาอีก
สิ่งนี้คืออะไรรู้มั้ยครับ? สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านอาศัยเป็นอุบายให้ทุกคนเริ่มทิ้งของหนัก
ไล่ตั้งแต่ปฐมญาณขึ้นไป...ในสัมมาสมาธิ มรรคองค์ที่ 8
ท่านต้องการให้คนได้เห็นเลยว่า...สิ่งที่ตนเองกำลังอยู่เนี่ย! กำลังอยู่กับของหนักตลอดเวลา
แต่...ตั้งแต่ปฐมญาณขึ้นไป คือ การวางแก้วแล้วกับมาอยู่กับความสงบ
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนเคยคุ้น เมื่อกลับมาอยู่กับความสงบแล้วก็ยังหลงติดกับสิ่งเดิมอยู่ คว้าขึ้นมาใหม่!
หนอนตัวหนึ่งที่ถูกดึงขึ้นมาแล้วก็ยังกลับลงไปอยู่กับคูถ (อุจจาระ) เหมือนเดิม
จนกระทั่งต้องขึ้นบ่อยมาก จนกระทั่งเอะใจแล้วว่า...
ข้างบนนี้มันสะอาดกว่าเราจะลงไปทำไม?
แล้วก็เริ่มมีหนอนบางตัวเริ่มตะโกนบอกหนอนที่เหลือ
หนอนที่เหลือบอก
“บ้าแล้วๆ...เป็นไปได้ยังไงที่หนอน 6,000 ล้านตัวจะนั่งกินขี้อยู่โดยที่ไม่มีใครรู้เลย”
แต่พอหลังจากนั้น พอได้ยินเสียงหนอนอีกตัวนึงที่หลุดไปข้างบนตะโกนลงมาเนี่ย
บางตัวมันเอะใจเหมือนกัน กินไปก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไปชะโงกดู แล้วก็ลงมากินอีก
แล้วก็ปีนขึ้นไป หลายๆ วันเข้า
เฮ๊ย! แล้วก็ตะโกนกลับมาบอกอีกว่า เค้าพูดจริง!
บางตัวก็บอก “ไอ้นี่บ้าไปอีกคนแล้ว”
แต่ก็มีบางตัวชักสนใจเหมือนกัน ค่อยๆ กระดื๊ด กระดื๊ดๆ ขึ้นไปดู
เปอร์เซ็นต์ของหนอนที่กินขี้อยู่แล้วไม่ยอมเชื่อเนี่ย...เยอะมากครับ!
แต่ตัวที่ยอมขึ้นไปทดลองความจริงด้วยตัวเอง...มีอยู่น้อยเหลือเกิน!
แล้วเมื่อเค้าเห็นความจริง เค้าก็อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องตะโกนบอกคนอื่นต่อไป
จนกระทั่งพูดต่อไม่ไหว อัตภาพร่างกายก็สลายไป ที่เหลือก็ต้องไขว่คว้า
จนกระทั่งวันนึงหนอนทั้งหลาย ไม่มีใครขึ้นไปข้างบนอีก ก็จะขลุกกันอยู่ข้างล่างตลอดเวลา
หมดเวลาของพระพุทธศาสนาแล้ว
หนอนทั้งหมด ก็จะอยู่กันในถังขี้นั่นแหล่ะ!
จนกว่าจะมีหนอนตัวไหนตัวหนึ่งที่แหวกออกไป เพราะเห็นแล้วว่า
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องที่น่าทุกข์ทรมาน
มีใครสักคนมั้ยที่คิดจะออกจากเรื่องนี้?
นั่นคือ กว่าจะมีคนๆ นั้นอีกต้องมีผู้ที่สั่งสมบารมีมาอย่างมหาศาลเลยนะครับ
วันนี้สิ่งเหล่านั้นได้เกิดขึ้นในชีวิตของเราแล้ว
ของหายาก 4 อย่างบนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เนี่ย
1. คือ การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจาแต่ละพระองค์ ซึ่งนั่นก็คือพระธรรม
2. การได้เกิดเป็นมนุษย์
หลายคนพอฟังถึงข้อ 2 เนี่ย! ทำท่าเหมือนจะแสยะหน่อยๆ
บอกว่า ฮึ! มันยากยังไง นั่งกันอยู่เต็มหมดเลย
ข้างนอกอีกเพียบเลย เต็มโลกเลยจนจะล้นกันอยู่แล้ว
นี่ล่ะครับ! วิปลาส 4 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เห็นของไม่เที่ยงว่าเที่ยง
ครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าพระพุทธเจ้าจะเสร็จไปบิณฑบาต
แล้วพอเจอสุนัขข้างถนนท่านก็แย้มพระสรวล คือ ท่านยิ้ม
พระอานนท์จึงเดินเข้ามาแล้วก็ถามว่า “มีอะไรเหรอพระเจ้าข้า...”
พระพุทธเจ้าบอก “อานนท์...สุนัขตัวนี้ชาติที่แล้วเป็นลูกกษัตริย์…
ก่อนหน้าจะเป็นลูกกษัตริย์เป็นหมูในเล้า…
ก่อนหน้าหมูในเล้าเป็นเทวดา”
พระอานนท์พอได้ยินแค่นี้เองก็คิดว่า โอ้โห! สังสารวัฏนี้น่ากลัวยิ่งนัก!
ผมถามว่า ...ตอนเป็นมนุษย์จะรู้มั้ยครับว่าชาติหน้าจะเป็นหมา?
มีใครรู้มั้ยครับที่นั่งอยู่นี้? “ไม่รู้”
สมมติว่าท่านต้องเป็นแบบนี้...แบบที่พระพุทธเจ้าพูดเนี่ยะ!
ชาตินี้ที่ว่าร่ำรวยยิ่งใหญ่นักหนาเนี่ยะ...ชาติแล้วเป็นหมูในเล้า มีใครรู้มั้ยครับ?
ก่อนหน้านั้นเป็นเทวดา...ตอนที่เป็นหมูรู้มั้ยครับว่าคราวก่อนเป็นเทวดา - "ไม่รู้”
แล้วมีคนทูลถามท่านว่า...แล้วโอกาสที่มนุษย์จะเกิดมาเป็นมนุษย์มีแค่ไหน?
โอ้โห! ท่านได้ยินท่านอุปมายิ่งหนักเลย!!!
แปลว่า...ชาติที่เกิดเป็นมนุษย์แล้วกว่าจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งนึง...นานลิบ!
ถ้าเห็นความจริงแบบนี้จะไม่กล้าประมาทเลยในชีวิต
เพราะอะไรครับ? ในพระไตรปิฎกท่านบอกเลยว่า
อุปมาเสมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่ง อยู่กลางทะเลที่กว้างใหญ่
ร้อยปีจะขึ้นมาหายใจหนหนึ่ง ทะเลนั้นมีเรืออยู่ลำเดียว ซึ่งอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้!
เผอิญว่าคนบนเรือเอากระบอกไม้ตักลงไปในน้ำ
โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้น...ร้อยปีจะโผล่หัวขึ้นมาหายใจจะหัวเสียบเข้าไปในกระบอก
ที่ผู้ชายคนนั้นตักลงไปพอดีน่ะ
นั่นคือโอกาสที่มนุษย์จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์!!!
นี่คือสัมมาวาจาของพระพุทธเจ้า
ผมจะไม่อ่านให้อะไรมากนะครับ
แต่ผมจะให้ดูสรุปว่าสิ่งที่ท่านตรัสไว้เนี่ย
จะเห็นว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าจะพูดหรือตรัสออกมาจากพระโอษฐ์จะมีแค่ข้อ 3 กับข้อ 6
ในข้อ 3 กับข้อ 6 มีความต่างกันอยู่ที่ว่า
พูดแล้ว คนจะรัก-ไม่รัก ชอบ-ไม่ชอบ เป็นที่เจริญใจ-ไม่เจริญใจของผู้คนหรือไม่เท่านั้นเอง
แต่ที่แน่ๆ ถ้าท่านตรัสออกมาเนี่ย...ต้องจริง! และก็มีประโยชน์!
ส่วนคนจะชอบ ไม่ชอบ ว่ากันอีกที ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ยินคำว่า.... “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย”
ถ้าท่านไปอ่านเจอหรือว่าได้ยินคำตรัสออกมาจากพระโอษฐ์ให้รู้เลยว่า..
เรื่องนั้นจริงและก็มีประโยชน์แน่ๆ นะครับ นี่คือสาระ
ที่นี้พอพูดอย่างนี้เนี่ย! เราก็เริ่มเอะใจแล้วว่า...อะไรมันเกิดขึ้น
ทำไมมนุษย์ทั้งหลาย ได้เกิดเป็นมนุษย์
ข้อที่ 3. ที่ท่านพูดถึงคือ การได้พบพระพุทธศาสนา
ณ เวลานี้ผมไม่ได้เอาอะไรมาเทียบเคียงว่า
ศาสนานั้น ศาสนานี้ ศาสนาโน้น มาทำ pros and cons (ข้อได้เปรียบข้อเสียเปรียบ)อะไรทั้งสิ้น
แต่มันมีความต่างของศาสนาพุทธกับศาสนาอื่นอยู่แค่เพียงว่า
เป็นศาสนาเดียวที่มีหนทางแห่งการพ้นทุกข์อย่างถาวร
ขอย้ำสามตัวสุดท้ายนี่แหล่ะครับ!! อย่างถาวร!
แล้วท่านพ้นทุกข์กันยังไงครับทุกวันนี้?
ดื่มเหล้าก็พาพ้นทุกข์...แต่มันเป็นอย่างชั่วคราวทั้งนั้น
สิ่งที่พวกเราทำทั้งหมดพ้นทุกข์แค่ชั่วคราว....ไม่ได้อย่างถาวร
แต่มีศาสนาพุทธอยู่ศาสนาเดียวที่มีหนทางแห่งการพ้นทุกข์อย่างถาวร
แล้วถ้าพูดไปแล้ว สำหรับวันนี้อาจจะยังไม่พร้อมที่จะฟัง
ทีนี้การพ้นทุกข์แบบถาวร แสดงว่าต้องมาจากผู้ที่สั่งสมบารมีมาอย่างมหาศาลเลย
แล้วการสั่งสมบารมีมาเนี่ย!... ตรัสรู้อะไร? ที่สามารถทำให้พ้นทุกข์อย่างถาวรได้
เรารู้จัก อริยสัจ 4 มากันตั้งแต่เด็ก
ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
สมุทัย คือ เหตุให้เกิดทุกข์
นิโรธ คือ การดับทุกข์
มรรค คือ หนทางแห่งการพ้นทุกข์
ท่องกันมาตั้งแต่เด็ก!
นี่คือ อริยสัจ 4 ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้...หรือ?
ผมจะใส่คำว่า …หรือ?
วันนี้ผมอาจจะยังไปไม่ถึง...
ในสิ่งที่...ความยิ่งใหญ่และก็อัศจรรย์ของอริยสัจที่ผมจะทำให้ท่านเห็นได้
แต่ผมจะมาในส่วนของสติก่อน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะเข้าไปถึง มรรคมีองค์ 8
แล้วไปถอดถอนทุกอย่าง แล้วก็ดับทุกข์ พ้นทุกข์กันอย่างถาวร
ถ้ามีโอกาส อาจจะได้เจอกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้จบกระบวนการไปเลย
แต่วันนี้เราจะมาพูดกันเรื่องของ “สติ”
เรานั่งฟังกันมาประมาณ ร่วมๆ ชั่วโมงนะครับ ไม่ถึงดี
ไล่มาตั้งแต่ว่า สติคืออะไร?
สติที่เรารู้จัก ใช่หรือเปล่า? ของเจอร์รี่?
แล้วสติที่เราพอมีอยู่พอจะดับทุกข์ได้เหรอ?
เจอร์รี่ชี้ให้เห็นแล้ว เค้าเป็นตัวแทนของคนธรรมดาคนนึง
แล้วผมเชื่อว่าเหนือคนธรรมดาด้วย ที่โอเค...
แต่สำหรับผม ผมว่าถ้าเอามาให้ผมคะแนนเจอร์รี่นี่ ผมให้ได้แค่ 3 ส่วน 10
คนๆนี้ใช้ไม่ได้ ผมให้ได้แค่ 3 ส่วน 10 สอบตก!!
นี่คือดีที่สุดของมนุษย์!! ไม่มีทางที่จะพ้นทุกข์ได้
พ้นทุกข์จริงๆ เนี่ยผมจะบอกให้
ถ้าเปลี่ยนเรื่องของเจอร์รี่เป็น ... สติของสาวกพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทันทีที่โจรเข้ามา....ทุกอย่างนิ่ง สงบ เยือกเย็น พูดคุยกับโจรตามปกติ
ไม่มีมือไม้สั่น เปิด(ตู้เซฟ) …“ เอ่อ...เอาสินะ แบ่งปันกันได้”
ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ไม่ได้จะสู้ หรือจะไม่สู้ อะไรก็แล้วแต่ อะไรก็เกิดขึ้นได้
แล้วแต่สติปัญญาตอนนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น
ต่อให้ถูกยิงหัว ขณะนั้นก็ไม่ได้มีความกลัวอะไร
เพราะของยืมใช้ทั้งนั้น ถ้ามันบทจะไปก็ไป ก็ปล่อยไป
ก็ว่าง! ...มันว่างจากตัวตนอยู่แล้ว!
ไอ้ตรงนี้ (ร่างกาย) …. ก็ไม่ได้ต่างจากไอ้นี่ (โคมไฟ)
ไม่ได้ต่างจากไอ้นี่ (โต๊ะ) ไม่ได้ต่างจากไอ้นี่ (โน้ตบุ๊ค)
ไม่ได้ต่างจากไอ้นี่ (แจกัน)
ไอ้นี่ (ร่างกาย) ก็โตมาตามเหตุตามปัจจัย
เอาอะไรใส่เข้าไป...เอาธาตุใส่เข้าไป ธาตุนี้(ร่างกาย) มันก็โตขึ้นๆๆ
ถึงวันหนึ่ง...ที่สติทำงานอย่างสมบูรณ์แล้ว
ถอดถอนความเห็นผิด ถอดถอนความเห็นผิดความเป็นตัวตนออกไปในเบื้องต้น
ถอดถอนความเป็นอุปาทานที่จิตไปยึดในขันธ์ออกไปในเบื้องปลาย
ก็จบแล้ว!
ทุกอย่าง...สภาพทั้งหมดเนี่ย!
คนไหน คนไหน คนไหน ตายไป....ก็ไม่ได้ต่างจากต้นไม้ที่มันถูกตัดหรือว่าต้นไม้ที่มันตายไปเอง
ถ้าถูกฆ่า ก็เหมือนต้นไม้ที่ถูกตัด
ทำไมถึงเหมือนกันล่ะ?
ต้นไม้โตมายังไง?....สรรพสิ่งก็โตตามอาหารของมัน
มีใครเอาเหตุปัจจัยไปใส่มันก็โตขึ้นมา…นะครับ
ถ้าเราไม่ได้ไปให้ค่าว่าต้นนั้นฉันรัก ต้นนี้ฉันไม่ได้รัสเซีย...มันก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ไอ้นี่ (ร่างกาย) ก็เหมือนกัน เอาอะไรใส่ๆ เหมือนปุ๋ย
มันก็โตขึ้นมา โตขึ้นมา.........ถึงเวลาก็ตายไป
ไม่ใช่ว่าโตขึ้นมาจากของที่เราชอบ ไม่ชอบ
ชอบ ไม่ชอบ
ชอบ ไม่ชอบ
ชอบ ไม่ชอบ
ไอ้ชอบ ไม่ชอบสิทำร้าย(ร่างกาย)เข้าไปตั้งเยอะ
ทั้งขาหมูที่ท่านชอบ ที่ท่านไม่ชอบ!
แต่กายนี่มันไม่ได้สนใจเลยว่าคุณใส่อะไรเข้าไป
เค้าทำงานของเค้าตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็เอาออกไปใช้
ตอนเช้าก็กินไปอย่าง
ตอนเช้าอีกวันนึงก็ออกมาอีกแบบนึง มีแต่ของเน่า ของเสีย
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านจึงเห็นว่า....
(ร่างกาย)นี่ก็แค่ถุงขยะมีรู 9 รู ให้ของเน่าเสียออกทุกวัน
ยึดอะไรนักหนา...ไม่เข้าใจ
มีคนซื้อคาแรงส์ (ครีม CLARINS) ซื้ออะไรมาทาผิว
ท่านคงเห็นไม่ได้ต่างอะไรไปจากต้นกล้วยที่ตัดแล้ว แล้วก็เอาจาระบีมาชโลม
นั่งเอาคาแรงส์ หรืออะไรมาชโลมต้นกล้วยที่มันตัดแล้ว
ถ้าท่านเห็นอย่างนั้น หรือเห็นเด็กคนนึงทำอย่างนั้น
ใครคนนึงทำอย่างนั้น ผู้หญิงคนนึงทำอย่างนั้น
ท่านอาจจะเข้าไปถามว่า “หนูทำอย่างนั้นทำไม?”
“อ้าว !...ยี่ห้อนี้นะสุดยอดเลย มันจะทำให้ปลีกล้วยเนี่ยอยู่กาลปาวสานเลย”
ท่านเห็นแล้วก็ยิ้มๆ “พูดเล่นรึป่าวเนี่ย? แกล้งทำเป็นเล่นๆ หรือเงินเหลือ?”
เพราะความจริงก็รู้กันอยู่แล้วว่า…
สุดท้ายมันก็เหี่ยวเฉา แล้วก็กลายกลับคืนสู่ธรรมชาติไป
แต่เนื่องจาก...ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาจากอุปาทานในขันธ์
เอาง่ายๆ ...เอาแค่รูปขันธ์ตัวเดียวพอ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ว่าโดยย่อ...อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์”
เดินเข้ามาถึงตอนเช้า เข้าไปส่องกระจก ...
“โอ้โห! ตีนกา... สิวก็มี”ทุกข์เกิดเลย! เพราะไปยึดในรูป…จบแล้ว!
แต่ถ้าผมเอากระดาษให้ท่านเขียนว่าความทุกข์ของท่านมีอะไรบ้าง
แล้วให้ส่ง Email เข้ามหาผมนะ
ผมตอบแค่ว่า...“ว่าโดยย่อ...อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์”
ผมตอบได้ทุกคน...ได้ทั้งโลก 6,000 ล้านคนเลย
เพียงแต่ว่าท่านรู้เรื่องรึเปล่าเท่านั้นเอง
หัวใจมันมีอยู่แค่นี้เอง
เมื่อไหร่ปลดตรงนี้ได้ .... เมื่อนั้นจบเลย! จบเลยจริงๆ
แล้วจะเข้าไปปลดตรงนี้ได้ยังไง?
ทำยังไงถึงจะเห็นความจริง?
ทำยังไงถึงจะเข้าไปที่ต้นตอของสิ่งเหล่านี้ได้?
ตรงนี้แหล่ะที่เป็นปัญหา
วันนี้ที่เรานั่งปฏิบัติกันอยู่เนี่ยนะครับ
ผมไม่ได้อะไรเลย... ผมเห็นด้วยกับการที่เราค่อยๆฝึก...แต่ผมจะชี้ให้เห็นอะไรบางอย่าง
วันนี้...เนื่องจากว่าคนเราเนี่ยไม่มีความสามารถพอที่จิตจะตั้งมั่น
จนกระทั่งเห็นความจริงแล้วถอดถอนความเห็นผิดได้
มันจึงต้องค่อยๆ ไล่
ความโกรธที่เกิดขึ้น!
สมมติว่าท่านกำลังประชุมอยู่
มีการเถียงกัน...เถียงกันไป เถียงกันมาในห้องประชุม
ท่านก็เริ่มหงุดหงิดรำคาญขึ้นมาแล้ว ปรี๊ดขึ้น!
ขณะนั้นก็เริ่มใส่ไปด้วยอำนาจของความเป็นเจ้านาย
หลังจากนั้นกลับออกมา เรื่องก็ผ่านไป…
พอเริ่มมาฝึกสติ… เอ๊ะ! ทำไมเราถึงไม่รู้สึกตัวเลยล่ะตอนนั้น?
ทำไมเรายังโกรธอยู่ล่ะ?
พอเริ่มฝึกไป ฝึกไป
ขณะกำลังประชุมอยู่...ความโกรธเกิดขึ้นมา ปั๊บ! รู้สึกตัวเลยว่ากำลังโกรธอยู่
แต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้ ก็ยังโกรธอยู่นั่นแหล่ะ
ก็ประชุมกันทั้งๆ ที่ยังโกรธอยู่อย่างนั้นจนจบ
เอ๊ะ! ทำไมมันยังโกรธอยู่
มันก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ
เห็นโกรธเกิดขึ้น โกรธดับไป ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป
แต่มันไม่ค่อยจะเห็นอย่างนั้น
มันจะกลายเป็นเห็นแต่ว่าโกรธเกิดขึ้นแต่ทำไมมันไม่ยอมดับ...
เพราะเริ่มเป็นเราขึ้นมาอีกแล้ว
ชักหงุดหงิดรำคาญซ้อนขึ้นมาอีกรอบนึง ^^!
ที่นี้ก็เลยกลายเป็นยิ่งปฏิบัติก็เลยยิ่งหมุนวน
หลายคนยิ่งปฏิบัติยิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปอีก จนกระทั่งมีเสียงจากคนอื่นว่า...
โอ้ย! ถ้าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างยัยคนนี้เหรอ ฉันไม่เอาด้วยหรอก
อ้าว! เอาละสิ...นะ
คุณเริ่มออกไปประกาศศาสนาในทางที่ผิดแล้ว
ศาสนาพุทธะกำลังเสื่อมลงด้วยวิธีเหล่านี้
เพราะว่าหลายคนเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาแล้วก็เอาออกไป
พวกเราทันทีที่เข้าที่นี่ แล้วเดินออกไปเนี่ยนะครับ
ท่านกลายเป็น...กึ่งๆ จะเป็นสาวกไปเลย
เพราะว่าทุกครั้งที่คนมองพวกเราเนี่ยจะมองว่า
เฮ้ย! พวกปฏิบัติธรรมนี่มันเพี้ยนๆ แบบนี้น่ะเหรอ
โอ้ย! ถ้าเป็นแบบนี้ ฉันไม่เอาด้วยหรอก
ถ้านิพพานต้องด้วยวิธีนี้ฉันไม่เอาหรอก ฉันไม่ไป
ผมได้ยินมาบ่อยมากนะครับพวกเนี้ย ไม่ใช่ว่าเอามาพูดเล่น
แต่โอ้โห...ฟังแล้วมันก็น่าสะท้อนใจ...น่าเสียใจ...
ทีนี้ทำยังไง ทำยังไงถึงจะให้ความจริงเหล่านี้เนี่ย
เกิดขึ้นได้เร็วในหมู่ของนักปฏิบัติ เพื่อให้เห็นความจริงว่า...
ท่านทราบรึเปล่า? ท่านกำลังคว้าเงาอยู่
ถ้าผมถืออันนี้เป็นไฟฉาย
นักปฏิบัติตอนนี้นะครับ ที่ท่านปฏิบัติอยู่…เข้าไปรู้เนี่ยนะครับ
ท่านกำลังคว้าอย่างนี้ (คว้าเงา)
ความโกรธเกิดขึ้น (ก็คว้าเงา)
ความทุกข์เกิดขึ้น (ก็คว้าเงา)
ความชอบเกิดขึ้น (ก็คว้าเงา)
ท่านทำกันอยู่แค่ตรงนี้ละครับ!
เชื่อไหมครับว่า...แทบจะไม่มีการอธิบายเลยว่า
การที่จะจัดการกับไฟดวงนี้...คือ ซัดคนถือ(ไฟ)
เมื่อไหร่ซัดคนถือหมอบ >> ไฟดับ >> แล้วจะไม่มีไฟ
ท่านนึกไม่ออกเดี๋ยวผมจะให้ดู
ท่านพุทธทาสเคยบอกเอาไว้ว่า
วันนี้นักปฏิบัติเนี่ย...ขอโทษนะครับ ขอใช้คำท่าน...ไม่ได้เจตนาจะหยาบคายอะไร
“เป็นนักปฏิบัติชาติหมา”
หมาตัวนึงโดนเอาไม้แหย่
ถ้าหมาโดนเอาไม้แหย่หมากัดที่ไหนครับ?
กัดปลายไม้!!
ท่านบอกว่าผลัดเป็นราชสีห์บ้าง
ถ้าเอาไม้ไปแหย่ราชสีห์มันจะกัดที่ไหนครับ?
มันกัดคนแหย่นะครับ!
มันโดดขย้ำคนแหย่เลยนะครับ...ทีเดียวจบ!
ไม่ต้องแง่ก แง่กๆ แง่กๆ กันอยู่อย่างนี้
งาบเดียวเท่านั้น...ม้วนเดียวจบ
ที่นี้จะปฏิบัติยังไงครับที่ซัดคนถือไฟฉายเนี่ย
ก็เลยเขียนโน้ต “I love you. Do you love me?”
แล้วก็มี Yes กับ No ให้เลือก
เด็กผู้หญิงก็ตอบกลับมาว่า... No
ก็จ๋อยไปแป๊บนึง...ก็หันไปเห็นผู้หญิงอีกคนนึงก็ปิ๊งขึ้นมาใหม่
ที่นี้ฉลาดหน่อยก็เลย recycle ก็ลบ (ตรงคำว่า No) แล้วก็ส่งให้
เรื่องราวที่เราเห็นก็เพียงแค่ 20-30 วิ
ท่านก็อาจจะรู้สึกว่า...แล้วไงล่ะ? ไอ้อย่างนี้ก็ธรรมดา
ธรรมะชั้นลึกมันอยู่ที่ธรรมดาๆ นี่แหล่ะ
แต่สำหรับเราเนี่ย เราจะเห็นว่า...เด็กผู้หญิง เราชอบ
แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติของคนที่มีสติแล้วจิตตั้งมั่น
มันจะเห็นเลยว่าเป็น ภาพที่เข้ามากระทบ
เด็กคนนี้เห็นเด็กผู้หญิงเป็นรูปมั้ยครับ?
อ่ะ! ในนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักปฏิบัติ ...เห็นเป็นรูปมั้ยครับ? “ไม่”
เห็นเป็นเด็กผู้หญิง
พอกระทบเข้ามาปุ๊บ! เด็กผู้ชายรู้สึกยังไงครับ?
ชอบ! ….
พอชอบปั๊บเนี่ย! มันจะวิ่งเข้ามาที่ใจเลย...ชอบ!!!
หลังจากนั้นมันจะเกิดสิ่งหนึ่งที่ตามขึ้นมาคือ ตัณหา
ความบีบคั้นที่อยากจะได้เด็กผู้หญิงคนนี้มาเป็นเจ้าของ
ตัณหาจึงบีบให้กายกระทำกรรมด้วยการเขียนโน้ตฉบับนี้
“I love you. Do you love me?”
นี่เป็นธรรมะชั้นลึก! ชั้นปรมัตถ์ที่แทรกอยู่ในเนื้อเรื่อง
ถ้าเป็นน้ำกับน้ำมัน คนธรรมดาอย่างที่พระพุทธเจ้าใช้คำว่า “ปุถุชนผู้มิได้สดับ”
จะอยู่ในชั้นของเนื้อเรื่องตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน
แต่อริยะชนผู้สดับตรับฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนเข้าใจแล้วเนี่ย
จะอยู่ในชั้นไหนก็ได้
จะลงมาที่เนื้อเรื่องก็ได้ หรือจะขึ้นไปอยู่ในชั้นของน้ำมันก็ได้
ขณะนี้ผมจะชี้ให้ท่านดูในชั้นของน้ำมัน
ที่อริยะชนทั้งหลายหรือครูบาอาจารย์ที่ท่านถึงธรรมแล้วเนี่ย...ท่านจะเห็นสิ่งนี้
จะเห็นแค่ภาพที่มากระทบ
>> แล้วก็เกิดเวทนา คือ ความชอบขึ้นมา
>> จากนั้นเวทนาจะก่อตัวเป็นตัณหาบีบคั้น
>> หลังจากตัณหาบีบคั้นขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อตัวขึ้นไปเรื่อยๆ จะเป็นอุปาทานที่ไปยึดติด
คือ ตัณหาที่จะเริ่มมีสายใยออกไป
เป็นใยแมงมุมแบบสไปเดอร์แมนไปยึดปุ๊บปั๊บปุ๊บปั๊บไปเลย
อ้าว...เดี๋ยวเราดูต่อไปก่อน
ขณะที่เด็กผู้หญิงได้รับโน้ต เด็กผู้ชายคนนี้ทุกข์มั้ยครับ?
ทุกข์มั้ยครับ? “ทุกข์!”
ท่านบอกเองนะครับว่าทุกข์
แต่ผมจะถามกลับไปว่า เด็กผู้ชายคนนี้รู้มั้ยครับว่า เค้าทุกข์!!
“ไม่รู้” ดีมากครับ! ดูคลิปต่อ
เด็กผู้ชายคนนี้ ตอนนี้รู้สึกตัวมั้ยครับ?
มีสติมั้ยครับ?
เค้ารู้มั้ยครับว่า...อะไร คือ เหตุให้เกิดทุกข์?
เค้ารู้มั้ยครับว่า...อะไร คือ นิโรธ (หนทางดับทุกข์)?
มรรคไม่ต้องคุย!
เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะบอกว่าเด็กคนนี้ไม่รู้อริยสัจ 4 ถูกมั้ยครับ?
เพราะฉะนั้น เด็กคนนี้ไม่มีทางพ้นทุกข์อย่างถาวร ถูกมั้ยครับ?
เด็กคนนี้ ตอนนี้...เป็นทุกข์ใช่มั้ยครับ?
เค้ารู้มั้ยครับว่าเค้าเป็นทุกข์? “รู้”
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับจะรู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์ ตอนนี้ครับ ตอนนี้เลยครับ!
ตอนที่พลัดพราก ตอนที่ไม่ได้สิ่งที่ตนเองปรารถนา
เพราะฉะนั้น ตอนนี้ไม่แปลกแล้วนะครับ
ทุกครั้งที่ผมไปบรรยายธรรม เปิดคอร์สปฏิบัติในทุกที่
ผมอธิบายทุกอย่างว่า...
ถ้าท่านรู้ทุกข์ ท่านจะไม่เป็นทุกข์...ไม่มีใครเข้าใจหรอก
แต่พอถึงตรงนี้ปั๊บ!...
คนทุกคนบนโลกนี้ที่ไม่รู้อริยสัจเป็นทุกข์ทุกคน! แล้วจะต้องเป็นไปตลอดด้วย
เนื่องจากว่าคุณไม่สามารถเข้าไปที่ต้นเหตุของมันได้เลย
เพราะคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่า...ทุกข์คืออะไร?
คุณได้แต่เป็นทุกข์ แต่คุณไม่รู้ทุกข์
คุณไม่รู้ว่ามันเริ่มตรงไหน…
ทำยังไงถึงจะให้รู้ว่ามันเริ่มตรงไหน?
มันเริ่มตอนไหน? มันทำงานยังไงครับ?
สติ...ไงครับ!
ถ้าไม่มี สติ... มันจะรู้ได้ยังไงว่าตอนไหนมันกำลังเริ่ม
พอมีสติแล้วก็ยังเอาไม่รอดเลย
ที่ผมบอกว่า...รู้แล้วว่าโกรธยังทำอะไรมันไม่ได้เลย!
เพราะอะไรครับ?
เพราะคุณไม่รู้กระบวนการที่จะทำให้ถอดถอนสิ่งเหล่านั้นได้
พอรู้กระบวนการแล้ว
รู้แล้ว! ก็ยังไม่หายทุกข์เลย มันยังจางๆ
ดูเหมือนกับว่า...สัมมาสมาธิยังทำงานไม่เต็มที่
ทุกอย่างมีองค์ประกอบ มีเหตุ มีปัจจัย ที่จะต้องทำงานกันให้เต็มที่ทั้งหมด
“อะไรนี่ปฏิบัติมาตั้ง 3 ครั้งแล้วนะยังละทุกข์ไม่ได้เลย ยังละกิเลสไม่ได้เลย”
ผมบอกว่า... โอ้โห! ไหว้เลย คือ...ไอ้ตอนสั่งสมมานี่หาไม่เจอเลย ไม่รู้มันเริ่มเมื่อไหร่
นะ...เหมือนเอาลูกตุ้มเหล็กแช่เอาไว้ในน้ำ แช่ไว้เป็นปีเป็นชาติเลย ขึ้นมามีแต่สนิม
แต่คุณเอากระดาษทรายถู 3 ที
แล้วก็บอกว่า “ทำไมลูกเหล็กมันไม่สะอาดสักที” ฮึ!
ความจริงผมไม่ต้องตอบหรอก คำตอบมันอยู่ที่คนถามอยู่แล้ว
ถูไปเถอะ ถูไปเรื่อยๆ
ที่ผ่านมาผมใช้คำว่า เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงมาตลอด
ทีนี้ทำความเข้าใจตามผมก่อนนะครับ
ท่านจะเห็นหรือไม่เห็นก็แล้วแต่
การจะทำความเข้าใจในสิ่งที่มันอยู่นอกกรอบ
การจะเข้าไปถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
ถ้าเราคิดเอาได้ เราคงตรัสรู้ไปนานแล้ว
เพราะฉะนั้นการจะเข้าถึงคำสอนที่เป็นคำสอนสูงสุดเนี่ย
ระเบิดความคิด ระเบิดกรอบของตัวเองทิ้งซะ!
เทของในถ้วยออกให้หมด!
แล้วลองมาดูสิว่า...จริงๆ แล้วเนี่ย...
พระพุทธเจ้าสอนอะไร? ท่านบอกอะไร?
ทันทีที่ผมเห็นคำสอน...ผมรู้ทันทีเลยว่ามีสิ่งที่เราไม่รู้ในโลกนี้อีกเยอะเหลือเกิน
ผมไม่เคยคิดเลยว่า...มันเป็นไปไม่ได้
“เรื่องนี้น่ะเหรอ โห...ชั้นอ่านมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว”
ถ้าคนเหล่านี้ ใช้ความคิดนี้ พระพุทธเจ้าใช้คำว่าอะไรรู้มั้ยครับ
“โง่ เงอะ งะ”
คิดว่าตัวเองรู้ในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้อะไรเลย
คนเหล่านี้ไม่มีวันบรรลุธรรม ไม่มีวันฟังธรรมเข้าใจเลย
เพราะฉะนั้นให้ทำตามท่านก่อน ผมบอกว่าวันนี้
ท่านไม่ได้มาฟังนายประเสริฐนะครับ
นายประเสริฐไม่ได้มีค่าอะไรเลย
วันนี้ถ้าอะไรจะดังขึ้นมาสักอย่าง
ขอให้ธรรมะนี่ดังขึ้นมาเถอะ
นายประเสริฐไม่ได้มีค่าอะไร เป็นแค่เสียงที่ออกมาเฉยๆ
เอาใครมานั่งก็ได้ ถ้าเสียงออกมาเป็นแบบนี้ ที่ออกมาทั้งหมดนี่คือ ธรรมะ
ไม่ใช่นายประเสริฐ
นายประเสริฐไม่ได้มีอะไรเลย แค่ขอยืมกล่องเสียงแล้วก็พูดออกมาเฉยๆ เท่านั้นเอง
ท่านจะเห็นเลยว่า...
ทันทีที่รูปของเด็กผู้หญิงกระทบมาที่ตาของเด็กผู้ชาย
ซึ่งความจริงเขาเรียกว่า อาตายนะภายใน นะครับ
ภาพที่เห็น เป็น อาตายนะภายนอก
พอกระทบเสร็จปั๊บมันจะเกิด เวทนา ตามมา เป็นชอบ หรือ ไม่ชอบ
เมื่อมีเหตุปัจจัยนึง ก็จะส่งเหตุปัจจัยไปยังอีกอันนึง เป็น ผล
ชอบ หรือ ไม่ชอบ
ผล คือ ชอบไม่ชอบ จะส่งต่อไป ขยายตัวเป็น ตัณหา
เพราะว่ามันถูกสั่งสมมาอย่างนั้นจากอดีต
มันถูกสั่งสมมาจากอดีต
ซึ่งท่านพุทธทาสใช้คำว่า “สัญชาตญาณ”
พอถูกสั่งสมมาจากอดีต ปั๊บ! พอมันอยากได้ ตัณหาจะดึงอยากจะได้เขามาเป็นเจ้าของ
ก็จึงผลักดันข้างในให้เกิดการเขียนโน้ตออกไป
ผมถามว่า ขณะที่เขียนโน้ตแล้วผู้หญิง Say No มาแล้วและส่งโน้ตคืน
ถ้ามีเด็กผู้ชายอีกคนนึงถือดอกกุหลาบมายื่นให้เด็กผู้หญิงคนเดียวกันแล้วก็ยืนคุยกันอยู่
เด็กผู้ชายคนแรกที่ส่งโน้ตไปจะโกรธมั้ยครับ?
โกรธ!!!
ทำไมล่ะครับ ในเมื่อเขาก็ Say No มาแล้ว เราไม่ได้เป็นเจ้าของสักหน่อย
เพราะว่า เมื่อตัณหาโตขึ้นมาถึงจุดหนึ่ง
มันจะเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นความยึดติด
เป็น อุปาทาน ดึงเขามาเป็นเจ้าของในใจเราเรียบร้อยแล้ว
นี่คือสาเหตุที่ทำให้โลกนี้วุ่นวายไปหมดเลย
จิตมันเคยฟังมั้ยครับว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ของเรา “ไม่ !! ”
เมื่อกี้ที่ท่านบอกว่าพวกเราทุกคนต้องตาย
จิตมันเคยฟังมั้ยล่ะครับ! " ไม่”
อย่าไปเสียใจเลย สรรพสิ่งมันเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ
จะไปสนใจอะไร...มันก็แค่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
ไหลเรื่อย ไหลเรื่อยๆๆๆ ไม่เห็นเคยมีอะไรดี
แต่มันเคยฟังมั้ยล่ะครับ? ไม่”
เพราะฉะนั้นกระบวนการทุกอย่างเคยมีเรามั้ยล่ะครับ? “ไม่มี”
มีผู้ทุกข์มั้ยครับ...จริงๆ แล้วเนี่ย?
“ไม่มี”
มีผู้ทำให้ทุกข์มั้ยครับ?
“ไม่มี!!!”
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ผลักดันกันมาเรื่อยๆ
แต่วันนี้ถ้าพูดไปอย่างนี้...มันฟังกันไม่รู้เรื่อง
มันจึงต้องลงมาที่ระดับของเนื้อเรื่องก่อน
เพราะถ้ายกไปที่ระดับของปรมัตถ์เลยเนี่ย
ชั้นที่เป็นปฏิจจสมุปบาทแท้ๆ เลย
ไม่มีผู้ทุกข์ ไม่มีผู้ทำให้ทุกข์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
กระทบกันมาเรื่อยๆ เฉยๆ
ถอดตัวตนออก ถอดตัวตนออก
เอาเด็กคนนี้ออก เอาคนใหม่ใส่ก็ได้
เอาเปลือกไหนใส่ก็ได้ เอาเปลือกไหนใส่ก็ได้!!!
กระบวนการจะทำงานตามนี้เหมือนเดิม
เอาใครก็ได้…กระบวนการจะทำงานตามนี้เหมือนเดิม!
นี่ล่ะครับธรรมะชั้นโลกุตระล่ะ
ทีนี้ทำยังไงให้คนเริ่มกลับไปเข้าใจว่า...
ต้นเหตุของทุกข์ที่ทำให้ทุกคนเป็นอยู่เนี่ย มันไม่มีอยู่จริง
ความชอบ-ไม่ชอบ ที่เกิดขึ้น ตกลงมาจากอะไรกันแน่
มาจากจิตโง่ที่ไปยึดเอาไว้เฉยๆ
แต่ผมจะให้ท่านเห็นไว้นิดเดียว
ที่เราพูดกันมาเสมอ
ภาพที่เด็กผู้หญิงมากระทบตาเด็กผู้ชาย จริงๆ มันมาเริ่มที่ “ผัสสะ”
ภาพที่เด็กผู้หญิงมากระทบตาเด็กผู้ชาย แล้วก็จะมีจักขุวิญญาณออกมาแปรค่า
“วิญญาณ” ตัวนี้จะออกมาแปรค่าที่นี่ (ผัสสะ)
พอแปรค่าออกมาเป็นภาพเด็กผู้หญิง ผมหยิก ตาโต น่ารักมาก
ทำไมมันถึงบอกว่า น่ารักมาก?
เพราะการปรุงแต่งเดิมที่ “สังขาร” ปรุงไว้เรียบร้อยแล้ว
ท่านไปเจอไข่เจียว เดินไปเจอไข่เจียวปั๊บ!
โอ้โห! น่ากินจริงๆ เลย ทั้งเหลือง ทั้งกรอบเลย
ขณะที่ไข่เจียวกระทบตาท่านเนี่ย
ทำไม? ท่านถึงบอกว่ามันทั้งเหลือง ทั้งกรอบ น่ากิน
เพราะท่านเคยจดจำและให้ค่าไว้ก่อนแล้ว
และการจดจำให้ค่าของท่านเนี่ย มันไม่ได้บริสุทธิ์!
มันโดนไอ้นี่ (อวิชชา) ครอบงำไว้ตลอด
อวิชชา คือ ความไม่รู้อริยสัจนี่ครอบงำไว้ตลอด
แล้วทำให้ท่านไม่เห็นความจริงของ รูป
ซึ่งเป็นธาตุที่เกิดตามธรรมชาติ ตามเหตุตามปัจจัยเป็นคนทำขึ้นมา
แล้วก็กินเข้าไป แล้วมันก็ทำงานของมันไป แล้วมันก็ออกมา
ธาตุไหลเข้า แล้วธาตุมันก็ไหลออกไปเฉยๆ
แต่เราเกิดไปสร้างเรื่องราวตัวตนมากมายเหลือเกินในระหว่างกระบวนการทั้งหมด
เนื่องจากว่า “คนถือไฟฉาย” อยู่ที่นี่ (อวิชชา)
ไฟมันฉายออกมาที่นี่! (เวทนา ตัณหา อุปาทาน)
ทุกคนที่กำลังปฏิบัติ คว้าแสงของไฟฉายอยู่ที่นี่ (เวทนา ตัณหา อุปาทาน)
คว้าให้ตาย! ตีมันให้ตาย! มันก็ไม่เจ็บ
ทุกข์! ไม่มีวันหมด เพราะมัวแต่ไปนั่งคว้าเงา
ทำยังไงล่ะทีนี้…มันถึงจะรู้ว่าใครคือคนถือไฟฉาย?
ทุกวันนี้ไม่มีใครมาบอกว่าใครเป็นคนถือไฟฉาย
นักปฏิบัติถึงคว้าเงาของแสงไฟกันอย่างเดียว
มีครูบาอาจารย์ที่ถึงธรรม พยายามจะพูดให้ฟัง
แต่ก็หาคนที่จะฟังรู้เรื่องไม่มี!
ดังนั้นมันจึงเกิดปัญหาขึ้นมาสำหรับนักปฏิบัตินะครับ
ผมไม่ใช่คนที่เก่งกล้าที่จะมาแก้ปัญหาอะไร
เพียงแต่นำสิ่งที่ได้พบได้เห็นบ้างมาเล่าให้ท่านฟังว่าถ้าจะปฏิบัติ
มันต้องเข้าไปที่แก่นนะครับ
ต้องเข้าไปให้ถึงแก่น อย่ามัววิ่งไล่เงากันอยู่
เพราะฉะนั้น เหมือนกับท่านจับยาบ้า
ทีละ 2-3 เม็ด ทีละ 2-3 เม็ดๆ จับให้ตายยังไงก็ไม่มีทางหมด
แต่ถ้ามีใครสักคนหวดเข้าไปที่รังขุนส่าเลยเนี่ย!
เลิกเลย! เลิก! หมดเลยยาบ้าไม่ต้องไล่
ที่นี้ใครล่ะ ที่จะมีปัญญาขนาดนั้น?
มันจึงต้องเกิดการสะสมแล้วก็ไปให้มันถูกทาง
เมื่อสั่งสมแล้ว ต้องไปให้ถูกทางด้วย!
ไม่ใช่สั่งสมแล้วทั้งสติ สมาธิ ปัญญา แต่เป็นปัญญาอยู่ในระดับที่ยังคว้าไฟอยู่
แต่ก็มีคนที่มีปัญญาพอที่จะไต่ไฟ ไต่ไฟ ไปจนถึงไฟฉาย แล้วก็เจอคนถือไฟฉาย ก็มีบ้าง
แต่คนเหล่านั้นก็มีอยู่ไม่เยอะเหมือกันนะครับ... มี!
อ่ะ...เดี๋ยวเราดูต่อไปนะครับ ถ้าเป็นชีวิตของเราปกติเนี่ยมันทำงานกันตอนไหน
อ่านต่อ Part 2
อ่านต่อ Part 2
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น