ถอดคำบรรยาย:
คอร์ส “มัคคานุคาเข้มระดับ 2” เรื่อง พังประตูคุก
ตอนที่ 2 “ความน่ากลัวของสังสารวัฏ เพราะไม่รู้อริยสัจ”
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
ณ สวนธรรมศรีปทุม
ตอนที่ 2 “ความน่ากลัวของสังสารวัฏ เพราะไม่รู้อริยสัจ”
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
ณ สวนธรรมศรีปทุม
สวัสดี....โยคีทุกท่าน เราก็เข้าสู่การปฏิบัติ
พวกเราคงเคยดูเรื่องของอาณาปานสติที่ผมเคยเปิดบ่อยๆในหลักสูตรเบื้องต้น
ทีนี้ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องนี้ วันนี้ก็อาจจะต้องไปย้อนดูล่ะ เพราะถ้าเปิด มันก็คงจะยาว
เพราะว่าพวกเราส่วนใหญ่น่าจะผ่านมาหมดแล้ว
ที่สมาธิมีผลต่อกายน่ะ ถ้าเราจำได้ ที่หมอคนนึงแล้วก็มีเครื่องวัดอะไรแปะเต็มไปหมด
แล้วเค้าก็ให้คิดตัวเลข 1,500 ลบด้วย 14
ตอน 1,500 ลบด้วย 14 หมอคนนั้นรู้สึกตื่นเต้น
เราจะเห็นว่ากราฟการเต้นของหัวใจ การขับเหงื่อ อะไรต่อมิอะไร ขึ้นกันใหญ่เลย ปุ๊บปั๊บ ๆ ที่เราเห็นกัน
จากนั้น หมอก็ให้อยู่กับลมหายใจ หายใจออก หายใจเข้า ซักพักนึง กราฟ เป็นปกติ
ภาพนี้เราคงจะนึกออก อันนั้นก็เป็นการทดสอบจากงานวิจัยของฝรั่ง
ผมก็อยากจะเล่้าประสบการณ์ตรงๆที่เพิ่งจะผ่านไป 2 วันนี้
เพราะว่าเผื่อจะทำให้ท่านเกิดกำลังใจ
และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการยืนยันคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เดี๋ยวผมขอเปิดคำสอนนั้นก่อน
เราก็คงเคยเห็นมาตั้งแต่คอร์สเบื้องต้นแล้วนะครับ
แล้วเราก็ได้ดูที่หมอทำการทดลองอย่างที่ผมได้บอกไปเมื่อสักครู่นี้
เราจะมาดูกันถึงประโยคที่พระองค์ตรัสว่า เมื่อเราอยู่กับวิหารธรรมนี้เป็นอันมาก
คือ อยู่กับอานาปานสติเนี่ย กายก็ไม่ลำบาก ... เราเอาแค่นี้ก่อน
ส่วนตาไม่ลำบาก จิตหลุดพ้นเนี่ย เดี๋ยวเราค่อยไปว่ากันในภาคต่อๆไป
กายไม่ลำบาก ... เมื่อ 2 วันก่อนเนี่ย คุณณัฐ ก็ชวนให้ผมไปตรวจรร่างกาย
ถ้าเราฟังเรื่องตรวจร่างกาย มันก็คงไม่มีอะไรมาก
เรานึกภาพไปโรงพยาบาล เจาะเลือด แล้วก็มีการเช็คอัพ อย่างที่เราเคยคุ้น
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่้ !! ผมไม่รู้มาก่อนว่ามันมีการทำแบบนี้ด้วย
บนโต๊ะ มันจะมีเพลทอย่างนี้ 2 อัน ข้างหน้าผิวเป็นสแตนเลส 2 อัน แล้วก็มีสายมาเสียบ
แล้วก็มีอีก 2 อัน อันขนาด iPad รุ่นใหญ่หน่อยวางอยู่ที่พื้น ให้เอาเท้าเหยียบ
แล้วก็เอามือแปะ 2 ข้าง หน้าผาก มีอะไรมาแปะ 2 อัน
ของมีแค่เนี้่ยะ ผมก็นึกไม่ออกว่าเค้าจะทำอะไรผม
ก็ตุ๊กติ๊ก ๆ ๆไปซักประมาณ 15 นาที เค้าก็บอกผมว่า อาจารย์อยู่เฉยๆ
เอ้า ได้ๆ .. เรื่องถนัด อยู่เฉยๆ ผมก็นั่งเฉยๆ แต่ก็ยอมรับว่าเออ เข้าสมาธินี่แหละ
เพราะจะให้อยู่เฉยๆ มันก็ไม่รู็ทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็นั่งสมาธิ จนกระเค้าบอกว่าเสร็จ
ก็ถึงเวลาอ่านผล ...คุณหมอเค้าก็มา เค้าก็นั่งดูโน้ตบุ้คของเค้า แต่ผมนั่งฝั่งตรงข้าม
หน้าตาเค้าตื่นๆ ผมนึกว่าผมเสร็จแล้ว
เค้าบอกว่า " เคสของอาจารย์ไม่เคยเห็นมาก่อน !! นี่หมอตื่นเต้นมากนะ "
ผมก็พอดูออกว่าเค้าตื่นเต้น แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องตื่นเต้นขนาดนั้น
คือ มันจะไปไม่รอดรึยังไง ? ( หัวเราะ )
ซักพัก เค้าก็หมุนให้ดู เค้าก็บอกว่า นี่แหละ คนนั่งสมาธิ
คือ ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเค้าจะพูดอะไร เค้าก็เริ่มหมุนจอมาให้ผมดู
ผมเห็นสมอง 2 ข้าง คือ..ภาพสมอง 2 ข้าง แล้วมันก็เป็นแค่สมอง 2 ข้าง
คือ ผมก็ไม่เข้าใจว่าเค้ากำลังจะพูดถึงอะไร
ผมก็บอกว่า ...แล้วมันทำไมเหรอ ? ก็มันก็เป็นรูปสมองน่ะ
เค้าบอกว่า ผลที่ออกมาเนี่ย การทำงานของสมองเนี่ย สมดุลย์กันมากๆแบบ100 % น่ะ
ในกระบวนการคิด การถ่ายทอดที่ไม่มีความทุกข์
มันน่าแปลกที่ร่างกายไม่มีอนุมูลอิสระเลย
ไม่มีความเครียด ไม่มีความทุกข์ ไม่มีมลภาวะใดๆในร่างกายนี้เลย
ระบบของร่างกายทำงานแบบฟังก์ชั่น 100%
ยกเว้นส่วนที่มัีนเคยเสียไปก่อน หรือว่าที่มันเสียไปตามกาล
นอกนั้น ร่างกายของอาจารย์ถูกซ่อมด้วยตัวของมันเองทั้งหมดแล้ว
ผมก็ ... เหรอ ? แล้วของคนอื่นเค้าเป็นไง เค้าก็เลยเิปิดให้ดูของคนอื่นบ้าง
เปิดแบบสุ่มๆดู บางคนก็มีสีเหลืองตรงนี้ สีแดงตรงนี้ อะไรอยา่งเนี้ยนะ
เค้าก็ชี้ให้เห็นว่า ความเครียด นี่คือคนที่เครียด ฟุ้งซ่าน มีความทุกข์มาก
ออกจากทุกข์ไม่ได้ จะเป็นอย่างนี้
คนที่ฟุ้งซ่านจะเป็นอย่างนี้ๆ เค้าก็พยายามชี้แจงให้ผมฟัง
เค้าก็บอกครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์พาพระอาจารย์มาตรวจ
แล้วลูกศิษย์ก็คุยโอ่เรื่องอาจารย์ของตัวเองว่า ดีอย่างนั้นอย่างนี้
สามารถทำอย่างนั้นอย่างนี้ นั่งสมาธิอะไรแบบนี้
พอมาถึงก็แปะปุ๊บ หมอบอก หมอไม่เชื่อเพราะระบบมันฟ้องทั้งหมดเลยว่า
กระบวนการคิด... ไม่มี / สมาธิ...ไม่มี
ความทุกข์เพียบและทำลายระบบของร่างกายทุกระบบเลย
เพราะฉะนั้น โกหกไม่ได้
เพราะฉะนั้น โกหกไม่ได้
มันเลยทำให้ผมนึกถึงเนี่ย คำของพระพุทธเจ้าเนี่ย
เมื่ออยู่ด้วยอาณาปานสติแล้วกายไม่ลำบาก
เพราะฉะนั้นแล้ว ทำไปได้เลยนะครับ ทำไปได้เลย
มันมีผลที่สามารถวัดและพิสูจน์ได้ เพราะตอนนี้
มันมีผลที่สามารถวัดและพิสูจน์ได้ เพราะตอนนี้
ทางคุณณัฐเองก็ติดต่อหมอเพื่อจะขอถ่ายวิดิโอ เพื่อเอาอันนี้ มาต่อจากอันเนี้ยะ
ผมเองก็ไม่อยากจะมายุ่งอะไร มาเกี่ยวกับตัวเองมากนัก
ผมเองก็ไม่อยากจะมายุ่งอะไร มาเกี่ยวกับตัวเองมากนัก
แต่ว่าต้องการผลอย่างที่อยากจะให้พระสูตรของท่านเนี่ย
นอกจากจะให้ฝรั่งเป็นคนยืนยัน มันมีการเกิดขึ้นได้จริงๆ
ซึ่งหมอบอกว่าในไฟล์ของหมอไม่เคยมีแบบนี้ มาก่อน
นอกจากจะให้ฝรั่งเป็นคนยืนยัน มันมีการเกิดขึ้นได้จริงๆ
ซึ่งหมอบอกว่าในไฟล์ของหมอไม่เคยมีแบบนี้ มาก่อน
แล้วมันเหมือนกับเป็นทฤษฎีน่ะ.. ไม่น่ามีอยู่จริง มันไม่น่าว่ามันจะมีอยู่จริง
มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ว่า สมองของคนหรือว่าการทำงาน
มันจะไม่มีความทุกข์ออกมาเลย มันจะไม่สร้างอนุมูลอิสระอะไรที่เป็นส่วนลบออกมาเลย
มันเป็นไปได้อย่างไร แล้วทำไมร่างกายถึงฟังก์ชั่นทุกอย่าง ด้วยตัวเองทั้งหมดเลย
ซ่อมแซมตัวเอง คือ เค้าจะมี 5 แท่ง
ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานเป็นส่วนๆของร่างกายไว้ทั้งหมดฉายไปจนเห็นตับไตไส้พุง
ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานเป็นส่วนๆของร่างกายไว้ทั้งหมดฉายไปจนเห็นตับไตไส้พุง
ผมเป็นคนที่ปวดหลังมาโดยตั้งแต่เด็ก กระดูก 2 ข้อต่อของหลังนี่ มันขึ้นมาเลยว่า
กระดูกข้อต่อของผมเนี่ย มีปัญหา ขึ้นเป็นสีมา ซึ่งต่างจากอันอื่น
ผมยังบอกว่า โอ้โห มันช่างรู้จริงนะ ทั้งๆที่ผมแปะอยู่ที่มือน่ะ
ผมก็ถามว่า มันทำงานยังไงน่ะ คือ พอผมเห็นอย่างนี้ ผมนึกไปถึง หมอแมะ น่ะ
ซึ่งผมก็เห็นว่าหมอแมะ เนี่ยะ พอแมะปั๊บ ก็รู้เลยทันทีเหมือนกันว่า
ข้างในเป็นอะไรยังไงเค้าบอกได้หมด
ผมก็พยายามที่จะไปคิดว่า ไอ้ระบบนี้น่ะมันเป็นการเลียนแบบหมอแมะรึปล่าวนะ
แต่มันคงใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนกว่า
เค้าก็บอกว่า เค้ายิงประจุเข้าไปในร่างกาย ไอ้สายไฟนี่ มันยิงเข้าไป
แล้วค่อยๆยิงเข้าไปทีละจุด ผมคิดว่าร่างกายของเรานี่ มันมีความถี่ของไฟฟ้าที่มันต่างกัน
ต่างความถี่น่ะ พอยิงเข้าไปปุ๊บ ความถี่เท่าเนี้่ยะ เข้าไปปั๊บ มันตอบกลับมา
แล้วเค้าก็เก็บค่าความถี่นั้นไว้ จนกระทั่งมันมาสร้างภาพได้
ยิงความถี่เข้าไป ตึ๊กๆ ๆๆ ๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ตอบกลับออกมา
แล้วเค้าก็มาสร้างภาพ จนกระทั่งรู้ว่ามันมีความผิดปกติอะไร
ใครสงบ ใครไม่สงบ ใครมีสมาธิ
ผมยังบอกหมอเลย บอกโอ้ ….แพงมั๊ยเนี่ย ผมจะเอามาสอบอารมณ์ ( หัวเราะ )
ต่อไปโกหกไม่ได้แล้ว….โอ๊ย สภาวะเลิศหรูนะ แปะเลย ( หัวเราะ ) แล้วผมจะนั่งดู
ดูซิว่าจริงไม๊ พอกันซะทีนะ ( หัวเราะ )
เดี๋ยวนี้ หมอไม่ต้องอะไรเลย หมอไม่ต้องไปจบกรรมฐานเลย
สอบอารมณ์พระ ยังรู้เลยว่า พระโกหก
ที่บอกว่าเสกนั่นเสกนี่ได้ เสกนู่นจากน้ำ หมอเห็นแล้ว บอก… คือ ไม่มีสมาธิอยู่ในกายนี้เลย
ทุกอย่างมั่วไปหมดเลย คือจากการคิดที่ไม่เป็นระบบเลย
แล้วก็สมองไม่ใช่อ้ะ หมอก็บอกว่าไม่ใช่
เอาละนะครับ อันนี้ก็เป็นการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องกายไม่ลำบากอีกอันนึง
ส่วนเรื่อง ตาไม่ลำบาก แล้วจิตหลุดพ้นเนี่ะ ก็คงขอเป็นให้เราพูดไปเรื่องของขันธ์ 5
จนกระทั่งละความเห็นผิดในความเป็นตัวตน แล้วละสักกายทิฎฐิ
เราจะเริ่มเห็นว่า ตาไม่ใช่เรา เมื่อตาไม่ใช่เรา ตาไม่ใช่ของเรา
หลังจากนั้น กระบวนการของอาณาปานสติ ก็ยังทำให้กายไม่ลำบากอยู่เหมือนเดิม
แต่ครั้งนี้ จะเข้าไปในเชิงลึกกว่า
กายน่ะ มันดูเป็นรวมๆ นะ เวลาเราเจริญภาวนาอย่างเนี้ยะ
พอถึงจุดๆนึงแล้ว เราจะรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา
ปฏิบัติไป เราจะรู้สึกว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา
กายนี้เป็นธรรมชาติที่มีการปรุงแต่งจากดินน้ำไฟลมเข้ามารวมกัน
แล้วก็มีอากาศธาตุและวิญญาณธาตุเข้ามา จึงทำให้กายเนี่ย เกิดการรับรู้ได้
กระบวนการของร่างกาย ชีวิต จิตใจเกิดการรับรู้และก็สั่งงานกันได้
ด้วยความไม่รู้จริงๆเราจึงเอาสองส่วนนี้ เข้ามาปรุงซ้ำขึ้นมาเป็นเรา
กลายเป็นของเราขึ้นมาอีก
.........................................................
และนี่เป็นคอร์สเข้ม คงจะค่อยๆเดินทางกันไป
แต่ในวันแรกๆ เราก็ยังไม่พูดอะไรลงไปให้ลึกมาก
ผมยังบอกว่า โอ้โห มันช่างรู้จริงนะ ทั้งๆที่ผมแปะอยู่ที่มือน่ะ
ผมก็ถามว่า มันทำงานยังไงน่ะ คือ พอผมเห็นอย่างนี้ ผมนึกไปถึง หมอแมะ น่ะ
ซึ่งผมก็เห็นว่าหมอแมะ เนี่ยะ พอแมะปั๊บ ก็รู้เลยทันทีเหมือนกันว่า
ข้างในเป็นอะไรยังไงเค้าบอกได้หมด
ผมก็พยายามที่จะไปคิดว่า ไอ้ระบบนี้น่ะมันเป็นการเลียนแบบหมอแมะรึปล่าวนะ
แต่มันคงใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนกว่า
เค้าก็บอกว่า เค้ายิงประจุเข้าไปในร่างกาย ไอ้สายไฟนี่ มันยิงเข้าไป
แล้วค่อยๆยิงเข้าไปทีละจุด ผมคิดว่าร่างกายของเรานี่ มันมีความถี่ของไฟฟ้าที่มันต่างกัน
ต่างความถี่น่ะ พอยิงเข้าไปปุ๊บ ความถี่เท่าเนี้่ยะ เข้าไปปั๊บ มันตอบกลับมา
แล้วเค้าก็เก็บค่าความถี่นั้นไว้ จนกระทั่งมันมาสร้างภาพได้
ยิงความถี่เข้าไป ตึ๊กๆ ๆๆ ๆๆ เข้าไปเรื่อยๆ แล้วมันก็ตอบกลับออกมา
แล้วเค้าก็มาสร้างภาพ จนกระทั่งรู้ว่ามันมีความผิดปกติอะไร
ใครสงบ ใครไม่สงบ ใครมีสมาธิ
ผมยังบอกหมอเลย บอกโอ้ ….แพงมั๊ยเนี่ย ผมจะเอามาสอบอารมณ์ ( หัวเราะ )
ต่อไปโกหกไม่ได้แล้ว….โอ๊ย สภาวะเลิศหรูนะ แปะเลย ( หัวเราะ ) แล้วผมจะนั่งดู
ดูซิว่าจริงไม๊ พอกันซะทีนะ ( หัวเราะ )
เดี๋ยวนี้ หมอไม่ต้องอะไรเลย หมอไม่ต้องไปจบกรรมฐานเลย
สอบอารมณ์พระ ยังรู้เลยว่า พระโกหก
ที่บอกว่าเสกนั่นเสกนี่ได้ เสกนู่นจากน้ำ หมอเห็นแล้ว บอก… คือ ไม่มีสมาธิอยู่ในกายนี้เลย
ทุกอย่างมั่วไปหมดเลย คือจากการคิดที่ไม่เป็นระบบเลย
แล้วก็สมองไม่ใช่อ้ะ หมอก็บอกว่าไม่ใช่
เอาละนะครับ อันนี้ก็เป็นการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องกายไม่ลำบากอีกอันนึง
ส่วนเรื่อง ตาไม่ลำบาก แล้วจิตหลุดพ้นเนี่ะ ก็คงขอเป็นให้เราพูดไปเรื่องของขันธ์ 5
จนกระทั่งละความเห็นผิดในความเป็นตัวตน แล้วละสักกายทิฎฐิ
เราจะเริ่มเห็นว่า ตาไม่ใช่เรา เมื่อตาไม่ใช่เรา ตาไม่ใช่ของเรา
หลังจากนั้น กระบวนการของอาณาปานสติ ก็ยังทำให้กายไม่ลำบากอยู่เหมือนเดิม
แต่ครั้งนี้ จะเข้าไปในเชิงลึกกว่า
กายน่ะ มันดูเป็นรวมๆ นะ เวลาเราเจริญภาวนาอย่างเนี้ยะ
พอถึงจุดๆนึงแล้ว เราจะรู้ว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา
ปฏิบัติไป เราจะรู้สึกว่ากายนี้ไม่ใช่ของเรา
กายนี้เป็นธรรมชาติที่มีการปรุงแต่งจากดินน้ำไฟลมเข้ามารวมกัน
แล้วก็มีอากาศธาตุและวิญญาณธาตุเข้ามา จึงทำให้กายเนี่ย เกิดการรับรู้ได้
กระบวนการของร่างกาย ชีวิต จิตใจเกิดการรับรู้และก็สั่งงานกันได้
ด้วยความไม่รู้จริงๆเราจึงเอาสองส่วนนี้ เข้ามาปรุงซ้ำขึ้นมาเป็นเรา
กลายเป็นของเราขึ้นมาอีก
.........................................................
และนี่เป็นคอร์สเข้ม คงจะค่อยๆเดินทางกันไป
แต่ในวันแรกๆ เราก็ยังไม่พูดอะไรลงไปให้ลึกมาก
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการทำความเข้าใจแล้ว ก็ค่อยๆละการปรุงแต่งออกไปเรื่อยๆ
ส่วนนักภาวนาที่ภาวนาเป็นชีวิตจิตใจ เข้าเลือดเข้าเนื้อเข้ากระดูกอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
ก็คงไม่ได้เดือดร้อนอะไร
การมาทำอย่างนี้ มันก็ต่างจากการทำอยู่ที่บ้านอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ตรงที่ก็ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น สงบมากขึ้น ไม่มีผัสสะมารบกวนมากนัก
แล้วก็พรากออกมาจากของที่เป็นตัวกูของกูเยอะไปหมด
ถ้าอยู่ที่บ้านเนี่ย อะไรมันก็เป็นของเราไปหมดนะ
นั่งสมาธิ เดี๋ยวๆ อ้ะ …ลุกขึ้นมาอีกแล้ว ปรับแอร์นิดนึง แล้วก็มานั่งใหม่
นั่งๆ ข้างนอกเสียงดังจาก ลูกวิ่งบ้าง แฟนเปิดทีวีเสียงดัง
“ เบาๆหน่อย จะนั่งสมาธิ จุ๊ส์ ๆ ” แล้วก็เดินกลับมาอีก
ส่วนนักภาวนาที่ภาวนาเป็นชีวิตจิตใจ เข้าเลือดเข้าเนื้อเข้ากระดูกอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน
ก็คงไม่ได้เดือดร้อนอะไร
การมาทำอย่างนี้ มันก็ต่างจากการทำอยู่ที่บ้านอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ตรงที่ก็ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น สงบมากขึ้น ไม่มีผัสสะมารบกวนมากนัก
แล้วก็พรากออกมาจากของที่เป็นตัวกูของกูเยอะไปหมด
ถ้าอยู่ที่บ้านเนี่ย อะไรมันก็เป็นของเราไปหมดนะ
นั่งสมาธิ เดี๋ยวๆ อ้ะ …ลุกขึ้นมาอีกแล้ว ปรับแอร์นิดนึง แล้วก็มานั่งใหม่
นั่งๆ ข้างนอกเสียงดังจาก ลูกวิ่งบ้าง แฟนเปิดทีวีเสียงดัง
“ เบาๆหน่อย จะนั่งสมาธิ จุ๊ส์ ๆ ” แล้วก็เดินกลับมาอีก
เดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ !! มันควบคุมได้ทุกอย่างแหละ (หัวเราะ )
ไม่รู้มันจะหาอนัตตาจากตรงไหน เพราะมันควบคุมได้หมดเลย
สามีก็ควบคุมได้ ลูกก็ควบคุมได้ แอร์ก็ควบคุมได้ อะไรๆก็ควบคุมได้หมด
ไม่รู้มันจะหาอนัตตาจากตรงไหน เพราะมันควบคุมได้หมดเลย
สามีก็ควบคุมได้ ลูกก็ควบคุมได้ แอร์ก็ควบคุมได้ อะไรๆก็ควบคุมได้หมด
จิตมันจึงไม่ค่อยเกิดปัญญา ก็ดี ก็ได้สมาธิ ได้ความเพียร ได้สัจจะบารมี
ได้ขันติบ้าง แต่ปัญญามันก็เลยไม่ค่อยเกิด
แต่พออยู่อย่างนี้ มันชักควบคุมมันไม่ได้
เดี๋ยวห้องนอนแอร์ไม่เย็น ไม่เย็นไม่รู้จะทำยังไง
ได้ขันติบ้าง แต่ปัญญามันก็เลยไม่ค่อยเกิด
แต่พออยู่อย่างนี้ มันชักควบคุมมันไม่ได้
เดี๋ยวห้องนอนแอร์ไม่เย็น ไม่เย็นไม่รู้จะทำยังไง
มันก็เริ่มทำใจ ไม่รู้จะทำยังไง มันก็เปลี่ยนมาทำใจแทน
เออ พอเปลี่ยนมาทำใจ มันก็เริ่มเห็นใจ เริ่มเข้าใจ เพราะมันควบคุมอะไรไม่ได้
นั่งๆอยู่ เอ้า ! เพื่อนไอบ้าง เพื่อนลืมปิดโทรศัพท์ สมมุตินะ
เดินเข้าเดินออกกันบ้าง มันไม่ได้นั่งสมาธิพร้อมๆกันแล้วก็ลุกพร้อมๆกันนี่
เดินเข้าเดินออกกันบ้าง มันไม่ได้นั่งสมาธิพร้อมๆกันแล้วก็ลุกพร้อมๆกันนี่
ใครอยากจะเดินเข้ามาตอนไหน ก็นั่ง ...นั่ง แล้วก็ลุกออกไป
บางทีเรากำลังนั่งเงียบๆๆ เอ้า กำลังลุก ไปโดนของหล่นบ้าง ของตกบ้าง
เปิดถุงยาบ้าง คร้อกแคร้กๆๆๆๆ นะ ถุงก็อปแก๊ปนี่ตัวดีเลย
คนกำลังนั่งๆอยู่ก็ ...... จึ้กส์ หืมมม .... นะ เริ่มควบคุมไม่ได้แล้ว เริ่มควบคุมไม่ได้
ผัสสะเริ่มมากระทบ ก็ดูแลอินทรีย์ ....สังวร ไว้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
อย่าให้กลายเป็น " เรา " โกรธนะ
ให้มีการกระทบ /รูปมากระทบ / หู ใจ เคลื่อนไหว ให้เห็นไปอย่างนั้นแทน เพราะนี่คือความจริง
ให้มีการกระทบ /รูปมากระทบ / หู ใจ เคลื่อนไหว ให้เห็นไปอย่างนั้นแทน เพราะนี่คือความจริง
เสียงมากระทบหูปั๊บ ใจปุ๊บ ! ขึ้นมาอย่างเนี้ยะ ให้เห็นอย่างเนี้ยะเป็นส่วน
เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น อย่างเนี่้ยะ นะ ปึ้ง ! แล้วก็ ปึ้ง !! ขึ้นมา
สิ่งนี้เกิดก็เพราะมีเหตุ เอาอย่างนั้นก่อน มันจะได้เห็นว่าไม่เป็นเรา
หงุดหงิดมีอยู่ ...ไม่ใช่ ... โฮ้ยยยย (อันนี้เราหงุดหงิดแล้ว อันนี้ไม่ใช่แล้ว )
พอเราหงุดหงิด ถ้านักภาวนาที่ไม่เข้าใจ พอเราหงุดหงิด ก็เข้าไปดูโกรธ
บางทีโกรธมันก็ซาไป บางทีโกรธมันก็ไม่ยอมลง ก็กะจะดูโกรธให้มันเห็นเกิด-ดับ
การปฏิบัติเค้าดูว่า จิตมีโทสะ หรือ จิตไม่มีโทสะ
ไม่ใช่ดูว่าโกรธ หรือ ไม่โกรธ เพราะว่าโกรธมันเป็นผลของจิตมีโทสะ
ขณะที่เรากำลังโกรธ ผู้รู้ไม่ได้ตั้งมั่นอะไร แล้วเราก็ไปดูโกรธ ก็ขมุกขะมัวกันกลายเป็นโกรธ
ก็เป็นการผูกติดในอารมณ์เข้าไปอีก ว่าทำไมโกรธไม่ดับ
( "เอ้า ! ทำไมไปดูโกรธแล้วต้องดับล่ะ )
ขณะที่เข้าไปน่ะ ก็เป็นตัวตน ก็จะบังคับให้สภาพธรรมเนี่ยะ เป็นไปดั่งใจ
ไม่มีอะไรเลย ...มีแต่กู เข้าไปดูของกู แล้วก็เข้าไปบังคับของกู ให้เป็นดั่งใจกู ... จบ !!!
ปฏิบัติให้ตาย !! ถ้าอย่างนี้ทั้งชาติ....ไม่ได้อะไร
วันนี้น่ะ พูดจริงๆ จะทำอะไรให้มีกำลังหน่อย ให้มันมีสมถะ ให้มันมีกำลังของจิต
ให้มันตั้งมั่นก่อน ถ้าตั้งมั่นแล้วเนี่ยะ อะไรมันก็ง่าย
ถ้ารถ ....เครื่องแรงๆหน่อยขี่ไปที่ไหน ขับไปที่ไหน มันก็ไปถึง
แต่ถ้า แรงม้าขนาดซักรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆอย่างเนี้ยะ ขี่ไปมันไม่ค่อยไปถึงปลายทาง
กำลังมันน้อย ก็ค่อยๆสั่งสมกำลังไป
ถ้้าเป็นนักภาวนาก็คงทำมาทั้งชีวิต ตลอดชีวิตประจำวัน
มาเข้าคอร์ส 5 วันแต่ทำอีก 360 วัน เพราะฉะนั้น ปีนึงก็ทำตลอด
เพราะฉะนั้น ก็ทำกันมาตลอด อย่ามาทำแค่ในคอร์สนะครับ
ถ้าใครเอาแผ่นทุบเปลือกไปนั่งฟังแล้วนะ ผมว่าชัดเจนมาก ชัดเจน ชัดเจนมาก
แต่คอร์สนี้จะเปลี่ยนมุมมองท่าน ไปมองทางอื่น จะ back ถอยหลังกลับ
ทุบเปลือกทำลายเมล็ดเนี่ยะ มันจะค่อยๆเริ่มให้เห็นความจริงของขันธ์ 5
แล้วก็เดินทางต่อไปจนถึงพระนิพพาน
แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ ผมจะย้อนกลับจากพระนิพพาน กลับมาจนถึงวันนี้
เพราะฉะนั้น ท่านจะเห็นอีกมุมนึงว่า
ต่อให้เราเข้าใจพระนิพพาน ต่อให้เราสัมผัสได้ ...เราก็อยู่ไม่ได้
เราก็ไม่สามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ได้
แล้วถามใจจริงๆ ก็อยู่ไม่ได้ด้วย ไม่คิดจะอยู่ด้วย
นี่คือเรื่องน่าแปลกที่วันนี้ ที่เราคิดว่าเราจะไปที่นั่น
แต่ถ้าผมจะย้อนเอาสภาพนั้นมาให้ท่านสัมผัส
ท่านกลับบอกว่า บอกตัวเองว่าท่านอยู่ไม่ได้ ตรงนี้ล่ะ
ดังนั้น แต่ละคนจึงต้องเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ
การคิดปรุงแต่ง ที่ทุกคนมีกันอยู่ เรื่องของความคิดปรุงแต่ง
เราได้ยินศัพท์คำนี้มาจนคุ้นหู เพราะเรา " คิด " อยู่เสมอ
ที่ผมยกตัวอย่างบ่อยๆ ที่บอกว่าเด็กจุ่ม แล้วก็ฟองแชมพูเป่า แล้วก็ขึ้นเป็นรูปฟองแชมพู
ก็เหมือนกับเราค่อยๆคิด คิดไปเรื่อยๆแล้วก็เป่าไปทีละนิด ละนิด ละนิดจนมันโตขึ้น โตขึ้น
จนวิจิตรพิศดารขึ้นเรื่อย เริ่มวิจิตรพิศดาร รูปโตขึ้น ๆ
กระบวนการคิดของเราเริ่มค่อยๆก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นเราก็หลงเข้าไปยึดถือฟองแชมพู ยึดเข้าไปเรื่อย ๆ ๆ
จนกระทั่้งรู้สึกเพลิดเพลินเจริญใจไปกับฟองแชมพูนี้ หรือแม้แต่ทำให้ทุกข์ก็ตาม
สุดท้ายพอเราจิ้มฟองแชมพู ปิ้ววววว ... !! มันไม่มีอะไรเลย
เพราะว่าความคิดทั้งหมดมันก็ไม่ได้มีตัวตนอะไร
แต่มันก็น่าแปลกที่ทำให้ทุกคนเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
แต่ส่วนใหญ่จะทุกข์น่ะแหละ สุขมันคงไม่มีมากหรอก ส่วนใหญ่มันจะทุกข์
เราคิดถึงคนที่เราไม่ชอบ เราคิดไปถึงใครที่เรารัก
แม้แต่จะคิดถึงคนที่เรารักเรายังกังวล ยังทุกข์เลย มันจะไปเหลืออะไร
เพราะฉะนั้น คำว่า "ความคิดปรุงแต่ง " มันจึงดูเหมือนกับคำเดียว
แต่มันไม่ใช่ !! วัีนนี้ทำไมเราต้องหยุดคิดด้วยล่ะ ?
เพราะว่าให้เริ่มต้นให้เห็นก่อนว่า ถ้าเราไม่หยุดคิด เราจะไม่กลับมาที่สภาพจริง
เพราะทันทีที่เราคิด เราจะไปหลงอยู่ในภพของความคิด
เราจะไปหลงอยู่ในภพของความคิด เราต้องเห็นภาพนี้ก่อน
มีคนนั่งกันอยู่ใน หอธรรม ตอนนี้ 100 คน
คนนึง นั่งแล้วก็ คิดถึงคนที่ทำใำห้เจ็บปวด ...นั่งก็เป็นทุกข์
บางคน ก็คิดไปถึงเรื่องที่ทำให้มีตัวเองความสุข ...ก็เป็นสุข
บางคนก็นั่งรู้ลมหายใจไป
มีคน 3 คน นั่งคิดกันต่างแบบ ผลออกมาต่างแบบ ทั้งๆี่ที่เค้านั่งกันอยู่ในหอธรรมนี้
สิ่งนั้นมันกลายเป็น คนนั้น คนนั้น คนนั้นไปเลย
เค้าหลงอยู่ในเรื่องราวที่เค้าคิดไปเลย
เค้านั่ีงเป็นทุกข์ เป็นเครียด กับเรื่อง ที่เค้าคิดเอง
ทั้งๆที่ มันควรจะแอร์เย็นๆ มีที่นั่ง ไม่มีคนรบกวน มันน่าจะเป็นความสุข
แต่เค้ากลับทุกข์ เพราะเพียงแค่ความคิดที่หาตัวตนไม่เจอ !!
วันนี้ เราจึงต้องจัดการกับสิ่งนี้ก่อน คือคอยเจาะไอ้ฟองแชมพูนี่ให้แตกบ่อยๆ
อย่าให้มันลามปามไปใหญ่ขึ้น ๆ ๆ เพราะเราจะหลงเข้าไปติด
มันจะเกิดสัญโญคะ คือ ความผูกติดในอารมณ์
มันจะเกิดนันทิ คือ ความเพลินในอารมณ์
เพราะมันมีราคะ ยิ่งคิดยิ่งมัน
สมมุติว่าผมเคาะระฆัง แก๊งง เพื่อให้ท่านกลับมารู้ลม หลายคนยังไม่ยอมหยุดเลย!!
ไม่ยอมที่จะหยุดคิดเพราะมันมันส์ แล้วมันคิดไม่จบ มันยังมันส์ เดี๋ยวขอคิดให้จบก่อนได้มั๊ยล่ะ
ตั้งแต่เกิดมามันเคยจบมั๊ยเนี่ย ถ้ามันจบ มันคงจบไปนานแล้วล่ะ
แต่มันคิดเคยจบมั๊ยล่ะ จะขออีกเท่าไหร่ ...5 นาที เอ้า ผมจะให้คิดอีก 5 นาที
แล้วต้องจบนะ .... มันไม่จบ !!! มันไม่เคยจบ !!
ความคิดมันจะไปจบได้ไง มันเป็นของเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เป็นของเปล่าๆปลี้ๆ
ก็นั่งอยู่ตรงนี้ นั่งคิดอยู่ได้ ก็เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่กับคิด
มันเริ่มต้นต้องจับทางนี้ให้ได้ก่อน
ออกจากคิด ถึงจะรู้จักคิด
ต้องออกมา ออกมาคือ ออกมาอยู่กับลมแทน ถึงจะรู้จัก ว่าคิดคืออะไร
เหมือนกับที่ ท่านพุทธทาสบอกว่า
จะรู้จักอุปาทาน ต้องออกจากอุปาทาน แล้วถึงจะรู้จักอุปาทาน
จะรู้จักอะไร ให้ออกจากสิ่งนั้น แล้วถึงจะรู้จักสิ่งนั้น
ดังนั้น ถ้าเราจะรู้จักคิด ออกจากคิด เราจะรู้จักคิด
ถ้าปนกันอยู่ในนั้น ดูไม่ออก พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า
นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ หนอนไม่เห็นคูถ คนไม่เห็นทุกข์
เพราะทุกอย่างปนเปกันไปหมด
ผมกับทีมงานเคยไปเปิดคอร์สแล้วก็เล่าหลายครั้ง นะ
ที่แห่งหนึ่ง มีเป็ดว่ายน้ำ อยู่ในลำธารน้ำไหล ดูเป็ดมีความสุขมาก
ว่ายเคียงคู่กันแล้วก็ไซร้หอยปูปลา
ผมก็เลยบอกว่า ไปถามเป็ดดูซิ
" เป็ด ! แกเป็นเดรัจฉาน แกมาเป็นมนุษย์เอามั๊ย?"
ทีมงานก็บอกว่า ดูท่ามันคงจะไม่มาล่ะ เพราะดูมันก็มีความสุขดี
ผมบอกว่า ไม่มาได้ยังไง มันเป็นเดรัจฉาน เราเป็นมนุษย์ เราเหนือกว่ามันตัั้งเยอะ
ก็.. คงไม่ล่ะมั๊ง
แล้วถ้าเราไปเจอหนอนที่อยู่ในถึงส้วม ไปกินขี้ กินอาจมกันอยู่
เราไปชวนมันบอกว่า "มาเป็นมนุษย์มั๊ย ? ไอ้หนอนสกปรกโสโครก"
หนอนก็คงไม่มาเหมือนกัน ถูกมั๊ยครับ ก็ชั้นมีกินดีอยู่ดีอยู่แล้ว จะไปทำไมให้โง่
มนุษย์ต้องนั่งรถไปทำงาน กว่าจะถึงที่ทำงานต้องนั่ง รถก็ติด ฝนก็ตก
นี่ หนอนนี่ ยิ่งตกยิ่งหยำแหยะ ยิ่งอร่อย ดีกว่ามนุษย์ทุกอย่างเลย
เอาล่ะ เรื่องมันชักแปลกล่ะ !!!
ถ้างั้น ถ้าไปถามหมา ... หมาก็คงไม่อยากมาเหมือนกัน
ถ้าไปถามควาย ที่กำลังกินหญ้า เคี้ยวๆๆๆ
"ควายมาเป็นคนมั๊ยล่ะ แกต้องลากเกวียนต้องไถนาลำบากแทบแย่ เดี๋ยวแกก็ถูกฆ่าด้วย ? "
ไปให้โง่สิ ! หญ้าอร่อยจะตาย ยืนเคี้ยวทั้งวันยังไม่หยุดเลย
วันเนี้ย พวกเราบอกว่าเวลาเห็น 31 ภพภูมิ ฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้
โอ้โห ไม่เอาล่ะ กลัว !! กฎแห่งกรรมบ้าง อะไรบ้าง กลัวจะเกิดเป็นเดรัจฉาน
แต่ขอให้โปรดทราบไว้ด้วย
ถ้าวันไหนได้เกิดเป็นเดรัจฉานจริงๆ จะเป็นเหมือนกับพวกเค้าเนี่ยแหละ ไ
ม่ได้คิดจะกลับมาเป็นมนุษย์หรอก จะบอกให้
ความน่ากลัวของสังสารวัฎ อาจจะไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะ
ผมจะบอกเลย
ความน่ากลัวของสังสารวัฏนี้
เมื่อใครเข้าไปเป็นอะไร
มันจะจมลงไปเป็นอย่างนั้น !!!
เพราะสัตว์โลกไม่รู้อริยสัจน์สี่
จึงไม่รู้ว่านี้ทุกข์ นี้คือเหตุแห่งทุกข์ จึงคิดว่ากูดี กูเด่น กูดีกว่าใครๆ อยู่แล้ว
สัตว์โลกจึงเป็นเหมือนกันหมดเลย ทุกภพภูมิ
นึกดูดีๆ ว่าถ้าท่านไปเป็นเปรต โอ๊ย ! ไม่เอาอ้ะ ไปเป็นเปรตคงลำบาก
แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าท่านเป็นเปรต ท่านจะพิสมัยความเป็นเปรตของท่าน
วันนี้ ที่ท่านเข้ามาปฏิบัติภาวนา มีความมุ่งหวังสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์คือ พระนิพพาน
ผมว่า ถ้าท่านเจอพระอรหันต์ แล้วท่านชวน
" มาอยู่กับหลวงพ่อมา !! กางกลดอย่างนี้แหละ เนกขัมมะ ปฏฺบัติภาวนากัน
เนสัญชิก ฉันมื้อเดียว รับรอง ถืงแน่นอน"
ผมว่า !! ในนี้ ไม่มีคนไป ...
( ฉันเป็นของฉันอย่างนี้ก็ดีแล้ว พอกลับบ้านก็ยังพอได้กินหลายมื้อ
ถ้าไปอย่างท่านไม่มีได้กินล่ะ มื้อเดียว ไม่รู้จะได้กินหรือเปล่า ถ้าออกไปบิณฑบาตรน่ะ
แล้ว ไม่รู้ใครใส่อะไรบ้าง ไม่ไหวล่ะ )
ท่านยังไม่จะไปเป็นพระอรหันต์เลย ขอเป็นแค่เนี้ยะ
หนอนก็ขอเป็นแค่ของมัน เป็ดก็ขอเป็นแค่ของมัน
หมา ก็ขอกินเพ็ดดีกรี เพราะสุขดีแล้ว
ทุกคนจมอยู่ในสิ่งที่ตัวเองสร้างภพขึ้นมายึดถือ
มีตัว มีตน มีอุปปาทาน มีอัตวาทุปาทาน เข้าไปยึดถือตัวตน
ทิฏธุปาทาน มีทิฎฐิของตนที่คิดว่าสิ่งนี้ดีอยู่แล้ว จึงไม่เกิดเป็นสัมมาทิฏฐิ
มาฝึกกันเนี่ยเพื่อให้มีสัมมาทิฏฐิ ผมจึงบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ ผมจะทำให้ดู
ว่าต่อให้ท่านไปถึงสิ่งที่ท่านปรารถนา ท่านกลับไม่เอา
ท่านจะเดินกลับมาอยู่ที่เดิน แล้วขอเดินไปช้าๆ อย่างมั่นคง ( ยิ้ม )
ถึงตอนนั้น ชั้นคงยอมรับได้เอง ... เพราะเราหลงไปอยู่อีกฝั่งนึงที่เรียกว่า
หลงสมมุติเข้าไปเต็มรักเลย !!
อย่างที่ผมยกตัวอย่าง เด็กขี่จักรยานนอกบ้าน
เด็กจะสนุกกับการขี่จักรยานนอกบ้าน ฝาดโผนกับการจั๊มพ์ การหกล้ม การทะเลาะกับเพื่อน
แหม ! มันได้รสชาติ อะดรีนาลีนมันหลั่ง
แม่ให้เข้ามานั่งอยู่ในบ้านสงบๆ ...โห ! ไม่มันส์เลย
เผลอแพร๊บ !! กระโดดขึ้นจักรยานแพร๊บ ! ออกไปขี่จั๊มพ์ กระโดดกับเพื่อน
อย่างที่ผมบอก แม่ก็จ้างแล้วจ้างอีกให้เข้ามาอยู่ในบ้าน
จ้างแล้วจ้างอีก จนวันนึง ชักคุ้นกับในบ้าน
ถาม"เอ้า วันนี้ไม่ออกไปขี่จักรยานแล้วเหรอ ?"
" ไม่เอาล่ะ ข้างนอกร้อน เจ็บตัวด้วย เหนื่อยจะตาย "
" เมื่อก่อนไม่เห็นพูดงี้เลย " ........" ไม่รู้อ้ะ "
ถ้าเอาเด็กที่กำลังสนุกกับขี่จักรยาน บอกให้มานั่งเฉยๆที่บ้าน นั่งไม่ติดหรอก !!
แล้วก็ไม่คิดด้วยว่า นี่หรือ ความสุข !!
เนี่ยะน่ะ !ความสุข .... ไอ้นั่งเฉยๆเนี่ยนะ !! ความสุข!!
ขี่จักรยานน่ะ ...สุดมัน
แต่วันนึง ที่เริ่มกลับมาเคยคุ้น ถึงกลับมาเห็นความจริงว่า
เอ ! เมื่อก่อนเราเห็นมันเป็นสุขได้ยังไงนะ นี่มันทุกข์ล้วนๆเลย
คงต้องรอให้สิ่งนี้ค่อยๆเกิดกระมัง นะ
ทำไมท่านพาหิยะ ถึงได้วินาทีหรือไม่กี่วินาที ได้เปรี้ยงปร้างขึ้นมาเลย
ไม่ต้องรอให้ค่อยๆแนบ แนบ แนบเข้ามา ... (หัวเราะ )
แต่พวกเราก็เอาเถอะ ค่อยๆแนบกันเข้ามา เริ่มจากสมาธิก่อน
จำเป็นมากๆนะ จำเป็นมากๆ อย่าไปปฏิเสธเลย สมถะกรรมฐานเนี่ย
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เลยว่า เมื่อย่อให้เหลือ 2 คือ สมถะและวิปัสสนา
ในหลักสูตรนี้ จะสาธยายเรื่องอริยมรรคมีองค์8 อย่างละเีอียดอีกครั้งนึง
เพื่อเอาไปซ่อมของเก่าหน่อย วีดีโอของเ่ก่า
เพราะฉะนั้น จะพยายามบรรยายอริยมรรคมีองค์ 8 แบบสมบูรณ์แบบทิ้งไว้ใน DVD ชุดนี้
.......................
เอาล่ะ เดี๋ยวลองนั่งสมาธิกันซักแป๊บนึง นั่งด้วยกัน เผื่อผมจะได้ ชี้นั่น ชี้นี่ ไปด้วย
ตอนนี้ถ้าใครยังไม่สงบก็อย่างที่บอก ก็คือ ใช้ตามลมเข้าไป ตามลมเข้า ตามลมออก
ถ้าได้ยินเสียงระฆัง..... ก็ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจไว้
ก็สลายความคิดปรุงแต่งออกไปก่อน สลายมันทั้งคู่ ทั้งคิด ทั้งปรุงแต่ง
ไอ้ปรุงแต่งอาจจะสลายไม่ได้ แต่คิดสลายได้
แต่ด้วยความที่สลายความคิดลงไปก่อน ความปรุงแต่งมันก็หยุดไปด้วย
ถึงจะไม่หยุดร้อยเปอร์เซนต์ แต่มันก็ยังดีล่ะ
พอวันข้างหน้า รู้จักการปรุงแต่ง ....มันก็กลับไปคิดอีกล่ะ
แต่ทีนี้คิดให้ตายก็ไม่ทุกข์ เพราะมันไม่ปรุงแต่ง
ปรุงแต่งอะไร ?? ปรุงแต่งเข้ามาเป็นของกูน่ะสิ !!
วันนี้มันทุกข์เพราะอะไร เพราะมันเอาความคิดมาเป็นของกู !!
แล้วทำไงถึงจะให้มันรู้ ว่า ความคิดมันก็คือสังขาร มันก็ปรุงแต่งตามเหตุตามปัจจัย
ก็ต้องหยุดมันก่อนล่ะ ในบึงมันมีปลาเยอะแยะ จะจับแต่ปลาช่อนตั้งแต่วันแรก มันก็หาไม่เจอ
เอาแหเหวี่ยงไปเลย โดนหมดแหละ เอาขึ้นมาหมด
แล้วค่อยคัดปลาช่อนออก แล้วค่อยโยนกลับลงไปใหม่
เพราะงั้น หยุด ก็ต้องหยุดกันให้หมดล่ะ เปลี่ยนมาอยู่กับลม
ออกจากคิดไปก่อน เดี๋ยวจะได้กลับไปรู้จักเค้า
แต่ถ้านั่งคิดๆ อยู่นั่น ก็ไม่ต่างจากนั่งลืมตาหรอกนะ
แต่ก็ไม่ต้องไปนั่งเกร็ง เพ่ง บังคับ อะไร มันจะเครียดปล่าวๆ
หลักการง่ายๆเลยนะครับ กายกับใจเนี่ย หรือ รูปกับนามเนี่ย มันผูกกันมายาวนาน
ใครที่ชอบบอกว่า เราเนี่ยเป็นคนเพ่ง ไม่รู้เป็นยังไงติดเพ่งจังเลย
ง่ายนิดเดียว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เช็คตั้งแต่ไหล่ หลัง ขา น่อง ให้รู้สึกผ่อน .....
ถ้าศัพท์ของผม โดยความเข้าใจของผมเลยเนี่ย
ผมจะคล้ายๆที่หัวผมเนี่ย มีสายกีต้าร์ เป็นลูกบิดกีต้าร์
แล้วก็คลาย คลาย คลา่ยลูกบิดสายกีต้าร์เนี่ย แล้วสายกีต้าร์ก็จะค่อยๆหย่อนๆๆลง
คล้ายๆ กล้ามเนื้อเราจะค่อยๆหย่อนลง หย่อนลง จนถึงจุดที่มันหย่อนพอดีๆน่ะ
ถ้ารู้สึกว่าหย่อนกว่านี้ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวตัวมันจะล้มลง ก็คาไว้แค่ตรงนั้นน่ะ
มันจะหย่อนสบาย .... สบาย...กล้ามเนื้อจะไม่ตึง จะไม่เกร็ง
ทำอย่างที่ผมบอกแล้วท่านจะรู้เลยว่า โอ้โห นี่ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าฉันนั่งเกร็งมาตลอด
คลายจนมันรู้สึกว่า มันคลายอีกไม่ได้แล้วน่ะ หลังจากนั้นก็รู้ลมไปเรื่อยๆ สบายๆ
อย่าเพ่งบังคับ พอกายไม่บังคับ ความเพ่งก็จะลดลง หลังจากนั้นรู้ลมแบบสบายๆ
อย่าไปจี้ อย่าไปเพ่งให้ลมมันเท่ากันอะไร รู้ไปสบาย สบาย ....
พอใจผ่อนคลายจะเหมือนนั่งบนเมฆเลย ตัวมันจะเบา......เหมือนนั่งอยู่บนเมฆ
เริ่มจากผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แล้วอย่า เกร็ง เพ่ง บังคับ อย่าคาดหวังผล
ตอนนี้เรารู้สึกสบาย ๆ อยู่คนเดียว นะ ...
มาจากที่ทำงานแล้ว มาจากบ้านแล้ว มาจากครอบครัวแล้ว
ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแล้ว นั่งอยู่ตรงนี้ !! ก้นถูกอาสนะอยู่นี่่ !!
ความจริงมีอยู่ตรงนี้ อย่าไปหลงในความคิดอีก
หลงมามากมายหลายชาติแล้ว มันถึงดูกันไม่ออก
................. นั่งสมาธิ ......................
แก๊งงง ( เสียงระฆัง )
ได้ยินก็สักแต่ได้ยิน ไม่ต้องไปยินดียินร้ายกับเสียง
เอาละครับ พอสมควร ก็ที่อยากจะไกด์ก็คือ
หนึ่งคือเวลานั่ง.....ให้ผ่อนคลายความตึงของหลัง ของเอว ของ อะไรๆทุกอย่างเลย
ผมก็ไม่ทราบว่าจะใช้คำว่าอะไร สำหรับผมก็เหมือนผ่อนสายกีต้าร์ ก็อาจจะพอนึกภาพออก
เดี๋ยวช่วยเอาหนังสือสวดมนต์แจกอีกทีได้มั๊ยครับ แล้วก็ฺเปิดหน้า 96
จะเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรากำลังพูดถึงพอดี หน้า...96 ...
บทนี้เราไม่เคยสวด แต่เดี๋ยวครั้งนี้ ซักวันที่ 3 วันที่ 4 ก็คงจะได้สวดบ้าง
อ่านเฉพาะคำแปลไปก่อนก็ได้นะครับ เอาจริงๆก็เริ่มตั้งแต่หน้า 95 ตอนช่วงท้าย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า .......ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นะ ช่วงท้ายๆ...
แล้วท่านก็พูดถึงธรรมารมณ์แบบเดียวกัน
เสร็จแล้ว ต่อมาท่านก็บอกว่า .....
แล้วท่านก็ว่าไปเรื่อยๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทีีมีแต่ ได้พบแต่สิ่งที่น่าปรารถน น่าใคร่ น่าพอใจ
ส่วนตอนแรกในนรกนั้น ได้เห็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีแต่สิ่งที่ไม่ปรารถนาทั้งนั้นเลย
ในมนุษย์นี้ เมื่อท่านเห็นอะไรด้วยตา ท่านมีความรู้สึกอย่างไรล่ะ
สิ่งนั้น น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
หรือเห็นแต่สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
อะไรคือ สิ่งที่ทำให้เกิดความปรารถนา หรือไม่ปรารถนา หรือ อันนั้นดี อันนั้นไม่ดี
การให้ค่าจึงเกิดการปรุงแต่งขึ้น
เดินออกไปสมมุติว่า โดนแดดร้อน
เมื่อมีโผฐฐัพพะมาสัมผัสที่ผิวกาย
ก็มีแต่ความรู้สึกที่ไม่ปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ กับแสงแดด
ท่านสร้างสิ่งนี้เอาไว้ ท่านก็รอไปรับในนรกต่อ
ส่วนอีกคนนึง สัมผัสแสงแดด โอ้ย อุ่นดีจริงๆ เล้ยย ชอบจริงจริ๊งง มีความสุขกับแสงแดดจริงๆ
เอ้า ! อยู่ๆก็ไปสร้างภพ ความพอใจยินดีขึ้นมา ก็ไปปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ
กับแสงแดดเดียวกันนั่นแหละ !!
กับอีกคนนึง สัมผัสแสงแดด.... ก็ร้อน แสงแดด
จะให้มันเย็นหรือ มันก็ร้อนของมันแบบนั้น ก็ไม่เห็นจะไปยินดียินร้ายอะไรกับมัน
เวทนาก็จ๋อยไป ..จบที่ผัสสะเลย
จะบอกว่าเฉยๆ มันก็ยังไม่เชิง เพราะมันไม่ใช่เฉยๆ แต่มันดับว่างไปเลย
เพราะไม่ไปโง่กับมัน อย่าไปสร้างกากรปรุงแต่งพวกนี้ขึ้นมา
เรื่องเนี้ยะ มันไม่ได้้มีอะไรมากเลย เพราะเราคร่ำครวญ เราตั้งเป้า เราทุกอย่าง
มันถึงได้เป็นสุข เป็นทุกข์ เวียนวน วนเวียนอยู่นี่แหล่ะ
เอ้า เพราะฉะนั้น เวลาฝึก เริ่มต้นจากละการปรุงแต่ง แล้วก็ละพวกเนี้่ยะ อย่าให้มันแล่บต่อไป
ใครที่ไปคอร์สคราวที่แล้ว ที่สถานภาวนา พ. เนี่ย
วันนั้น เราอาจจะคงจำกันได้ถ้าพวกเราไป ....มองหน้ากันก็อาจจะมีซักส่วนนึง
คอร์สของเดียร์ วันนั้นตอนช่วงก่อนสงกรานต์งี้ 42 องศา อย่างนี้
เดินออกจากห้องกรรมฐานปั๊บ ก็ผ่าวเลยล่ะ 42 องศาเนี่ย
อ้าวเนี่ย ผัสสะมากระทบเนี่ย ทันทีเลย ความร้อนมากระทบปั๊ง !!!
แล้วเอาไงต่อล่ะ จะเอาแบบไหนล่ะ
จะเอาผัสสะแบบไหน ไม่ปรารถนา ไม่เป็นที่น่าใครน่าพอใจ....เหรอ ?
แต่วันนั้นคงไม่มีใครปรารถนาเป็นที่น่าใคร่ เป็นที่น่าพอใจเหมือนกัน
แต่พวกเราคงไม่ได้เป็นอย่างนั้นในวันนั้น
พวกเราก็คง ... ก็ร้อน เหงื่อจะแตกมันจะอะไร
มันก็เป็นกระบวนการทำงานของกายที่จะต้องขับน้ำออกมาเพื่อที่จะรักษาผิวของเค้า
เค้าก็ระบายความร้อนออกไป ด้วยน้ำ ขันธ์ 5 รูปนามนี่ก็ทำงานของเค้าตามปกติ
จะไปเดือดร้อนอะไรกันนักหนา เข้าร่มได้ก็เข้าร่ม หลบได้ก็หลบ
ก็ทำไปตามจริง ...
ไม่ใช่ว่า พอไม่รู้สึกรู้สา ไม่มีเวทนา ก็เดินไปกลางแจ้ง ... ก็ปล่าว !!
ไอ้อย่างนั้น ประสาทไม่ดีแล้ว
ปฏิบัติธรรมแล้วเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้บอก เพี้ยนแล้ว ถ้าอย่างนั้น
ปฏิบัติแล้วเพี้ยน กูเก่ง กูแน่ขึ้นมาอีก ยุ่งกันใหญ่เลย
ก็อยู่ตามปกตินี่แหละ ร้อนก็คือร้อน แต่ไม่ต้องไปเป็นทุกข์กับร้อน
ไม่ต้องเป็นสุขกับร้อน ร้อนก็ร้อน ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
ต่อให้บ่นให้ตาย ดวงอาทิตย์มันก็ไม่ได้จะหรี่อุณหภูมิลง ก็ปล่าว
ก็แค่เข้าใจความจริง ยอมรับความจริง ความจริง ก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ
ยอมรับความจริงจากเรื่องง่ายๆนี้ได้ คนสามคนนี่น่ะ
คนแรกที่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้้น ก็นี่ไง นรกที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่ไง
ส่วนอีกคนก็ปั้นมันขึ้นมาเป็นสุขซะงั้น ก็เอ้า ไปสวรรค์
เพราะใจมันไม่เป็นทุกข์ มันไปสร้างภพภูมิของความรู้สึกที่ดี
ส่วนอีกคนนึง สงบ เย็น เย็นที่ใจ กายจะร้อนก็ร้อน ก็ไม่เห็นจะผ่าว ผ่าวไปกับมัน
ก็เอาเถอะ ก็ค่อยๆฝึกไปอย่างนี้ เริ่มไม่วิ่งไปตามสัญชาติญาณเดิม
สัญชาติญาณเดิมของสัตว์โลกคือ ต้องบ่นร้อน โอ้โห หงิดรำคาญ
ทุกคนจะต้องบ่นอย่างนี้เหมือนกัน เป็นอัตโนมัติ
80-90 % ของสัตว์โลก เหมือนกันหมด
เพราะฉะนั้นมันถึงไปทางเดียวกันคือ ลงต่ำไง
มันเหมือนกันนี่ คนนึงบ่น อีกคนก็ช่วยกันบ่น
เออ มันมีแนวร่วมก็ช่วยกันบ่นหน่อย ก็ไปทางเดียวกันหมด
ทีนี้ ถ้านักปฏิบัติตัวจริง ก็ไม่ได้ทำให้สุข แต่ก็รู้สึกเป็นปกติ
คำว่า ปกติ คือใจเป็นปกติ ไม่เห็นจะไปยินดียินร้ายกับความร้อนเลย
ก็ร้อนก็รู้น่ะ แต่ว่าทำไงล่ะ ก็ต้องยอมรับความจริง แล้วก็จบไปที่นี่ จบไปที่นี่
หัดที่จะให้มันจบไปที่นี่ จบไปที่นี่
ความคิดปรุงแต่งที่จะเกิดเป็นความยินดียินร้าย มันก็ไม่มี
หลังจากนั้น เดี๋ยวค่อยมาอาศัยกระบวนการของมรรคเข้ามาชำระต่อไปอีก
แค่นี้ ทุกข์ก็เกาะได้ยากขึ้นแล้ว
------------------------------
หนังสือสวดมนต์เล่มนี้มีบทเยอะมาก นะครับ เยอะมาก
ถ้าหากว่า ว่าง ก็ไม่มีอะไร ก็อาจจะ ... ช่วงนั้นรู้สึก กรรมฐานมันไม่ค่อยเคลื่อนเลย
มันไม่ค่อยเดิน ก็ ไม่ได้ว่าอะไรนะ ก็เอาหนังสือสวดมนต์ไปมานั่งอ่าน
บทอย่างเนี่้ย ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ผมก็มีบทอ่านที่เป็นภาษาไทย มีอยู่ในเวปให้ดาวน์โหลด ของเวปสวนยินดีธรรม
ในไฟล์เสียงก็มี
ส่วนหลักสูตรนี้ เราก็นอนกันซัก 4 ทุ่มนะ ถ้าปล่อยตอนนี้ ท่านก็ยังสามารถไปเดินริมน้ำได้
เพราะว่า โครงการเค้าก็เปิดไฟไว้สว่างไสวตลอด
เดินก็เดินกัน 2 คน 3 คน ก็ได้ มียามอะไรดูแลอย่างดี นะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ริมน้งริมน้ำ ยังเดินได้นะ ออกไปสัมผัสธรรมชาติ
ออกไปอยู่ที่ที่ไม่มีหลังคาบ้าง
พยายามออกไปเดินที่ไม่มีหลังคาบ้าง ท่านจะรู้สึกว่ามันจะเกิดความต่างอย่างชัดเจนนะ
ลองดู เวลาท่านอยู่ใต้หลังคาเี่้นี่ยะ จิตก็แบบนึงนะ
แต่ออกไปปั๊บ สัมผัสธรรมชาติที่เป็นโลกกว้างเนี่ย จิตก็จะเบิกบานขึ้น ผ่องใสขึ้น
เอาล่ะ สำหรับคืนแรก ก็คงเพียงเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้เช้า เราก็ค่อยมาว่ากันอีกทีนึง
สำหรับตอนเช้า ทุกท่านตื่นไม่ควรเกิน ตี 4 นะ ใครจะตื่นก่อนนั้น ก็ตามสะดวก
ใครจะตื่นซักตี 3 ครึ่งนี่ ก็เริ่มภาวนาอากาศมืดๆเย็นๆ ลงมาเดินเนี่ยะ
ผมว่า มันเดินได้หลายรอบหน่อย พอมันร้อนมันก็ใช้ไม่ได้แล้ว
ก็ต้องหลบเข้ามาในห้องแอร์แล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางป่านะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้บนพื้นดิน กลางป่า ท่านไม่ได้ตรัสรู้ในห้องแอร์
เราลองไปสัมผัสสิ่งเดียวกับที่พระองค์ตรัสรู้ มันถึงจะสัมผัสเวลาขณะนั้นได้
ท่านตรัสรู้ตอนยามสุดท้ายของราตรี ก็คือ หลังตี 2 ลงมา ก่อนที่จะเช้า
ใครจะเดินจงกรม ถอดรองเท้าแล้วก็เดินก็ได้
สัมผัสพื้นดิน สัมผัสลงไปตรงๆ ดินสู่ดิน ร่างกายเราบอกว่า ดินน้ำไฟลม
ก็ดินนั่นแหล่ะ แต่ไม่ยึดมั่นในความเป็นดิน
แล้วก็มาสวดมนต์กันตอนซัก ตี 5 ครึ่งก็แล้วก้น ท่านจะได้มีเวลาภาวนาเยอะหน่อย
พอตี 5 ครึ่ง จะได้สวดมนต์เสร็จซัก 6โมงกว่า ๆ ฟังธรรมกันซัก 6 โมงถึง 7 โมงครึ่ง
ก็พอดีรับประทานอาหารเช้า
เอ้า กราบพระ แล้วก็ไปภาวนากัน แยกย้ายกันไปภาวนานะครับ
ใครรู้สึกเบื่อก็ข้ามเบื่อไปให้ได้นะครับ เบื่อจนเลยเบื่อ
แต่คงไม่แล้วล่ะ ปฏิบัติมากันจนขนาดนี้แล้ว มีแต่กระหายที่จะทำ
ถึงเวลาเดินจงกรมอย่าเดินอ้อยสร้อยมากนักนะ
เดินแบบเดินสาวเท้าหน่อย อย่าเดินทอดน่อง .....
จบการบรรยายตอนที่ 2
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ
- ด้วยจิตคารวะ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น