9/13/2556

จดหมายถึงพ่อหนุ่ม


บทนำ


เมื่อเอ่ยถึงพระครูวินัยธร สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต จ. พัทลุงนั้น
คนทั่วไปมักจะไม่รู้จัก แม้กระทั่งคนในจังหวัดพัทลุงเองก็ตาม
แต่ถ้าเอ่ยชื่อว่าจะไปขอพบ “ตาหลวง” นั้นแล้วล่ะก็
คนทั้งพัทลุง ไม่เว้นแม้แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างจะรู้จักตาหลวงท่านเป็นอย่างดี
หรือถ้าคนทั่วไปที่ไม่รู้จัก ก็ต้องบอกว่าท่านเป็นลูกศิษย์เอกของท่านหลวงพ่อพุทธทาส
ที่ได้ใกล้ชิดและรับใช้หลวงพ่อพุทธทาสมาหลายสิบปี
ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นฆราวาส จนแม้นกระทั่งได้บวชเรียนกับหลวงพ่อพุทธทาสแล้วก็ตาม
ตาหลวงก็ยังได้รับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพุทธทาสมาโดยตลอด
ซึ่งถ้าบอกกล่าวกันอย่างนี้ก็คิดว่าจะน่าสนใจขึ้นมาในทันที


หลวงพ่อ หรือ ตาหลวง ท่านมาบุกเบิกวัดวังเนียงนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘
เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้วบนเขาลูกนี้ กระทั่งวันนึง
หลวงพ่อท่านได้ตั้งอธิษฐานจิตว่าขอให้มีผู้มาเอาธรรมะไปปฏิบัติ
ขอให้มีผู้สนใจได้มาฟังธรรมกันมากๆ ซึ่งหลังจากนั้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ก็เริ่มจะมีผู้คนมากขึ้นที่เริ่มรู้จักท่าน
เพื่อขอฟังธรรมและศึกษาธรรมจากหลวงตาเรื่อยมา


รวมไปถึงพ่อหนุ่มคนนี้ ที่ได้มีโอกาสพบตาหลวงพร้อมกับคนอื่นๆ เช่นกัน
และนับจากวันนั้นตาหลวงก็ได้เขียนจดหมาย
ด้วยลายมือของท่านเองถึงพ่อหนุ่มคนนี้เสมอๆ เพื่อสอนธรรมะ
เด็กหนุ่มคนนี้ ให้ได้มีโอกาสเข้าใจในรสธรรมของพระพุทธองค์

ซึ่งถือว่าเป็นความเมตตาอย่างยิ่ง
ที่ตาหลวงท่านมีเมตตาให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น
และจวบจนถึงวันนี้จดหมายของตาหลวงฉบับแล้วฉบับเล่าที่พร่ำสอนเด็กหนุ่มคนนั้น
ก็ได้ถูกรวบรวมขึ้นมาเพราะเห็นว่าเหมาะแก่การเผยแผ่
และจะยังมีประโยชน์ต่อคนอีกมากมายที่สนใจศึกษาในธรรมะ


โดยจุดประสงค์หลัก มิได้มีสิ่งใดนอกเหนือจากเพียงว่า
ช่วยกันเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธองค์ที่ได้สืบทอดต่อมาถึงตาหลวง
และผ่านลายมือของตาหลวงที่สอนพ่อหนุ่มจนถึงพวกเราทุกคน
ที่จะได้มีโอกาสได้อ่านได้ศึกษาธรรมด้วยเช่นกันต่อไป


พ่อหนุ่ม



                                                 

         

สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
                                                                     วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๑


พ่อหนุ่ม เธอจงพยายามดูจิตที่ว่างจากตัวตน
เธอจงรักษาจิตว่างที่หลวงพ่อชี้แนะและพร่ำสอนไว้ให้ดีนะ
เธอจงพยายามรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ดูแลมันให้ดีๆ
เธอรักหลวงพ่อ หลวงพ่อรู้
แต่ถ้าเธอรักจิตว่างให้มาก อยู่กับมันให้มาก ภาวนาเอาไว้ให้มาก
จนเธอเห็นจิตว่างด้วยปัญญาอันแท้จริงแล้ว
เมื่อนั้นเธอจะได้อยู่กับหลวงพ่อตลอดกาล
และหลวงพ่อคือตัวความว่างนั้น  จะอยู่กับเธอ
และหลวงพ่อจะอยู่กับทุกๆ คน ไม่ว่าเขาผู้นั้น จะเป็นใครมาจากไหนนั้น ไม่สำคัญ
จะเป็นคนมียศสูง มีฐานะ ร่ำรวย หรือยากจน เป็นคนขี้เหร่
ถ้าเขาปฎิบัติให้มีจิตว่างแล้ว หลวงพ่อก็จะอยู่กับเขา
โดยไม่ยินดี และไม่รังเกียจอะไรเลยแม้แต่น้อย
เขาคิดถึงจิตว่าง เขาอยู่กับจิตว่าง เขาเดินกับจิตว่าง
เขานอนกับจิตว่าง เขากินอาหารกับจิตว่าง
แม้แต่เขาถ่ายหนัก ถ่ายเบากับจิตว่าง หลวงพ่อก็จะอยู่เคียงข้างเขา
เขามีความสุข หลวงพ่อก็จะอยู่กับเขา
เขามีความทุกข์หลวงพ่อก็จะอยู่กับเขา



หลวงพ่อจะอยู่กับเขาเมื่อเขาภาวนาหายใจเข้าว่าง หายใจออก ว่าง
หลวงพ่อจะอยู่กับเขาตลอดกาลที่เขาคิดถึงระลึกถึงจิตว่าง
เพราะถ้าเขาทำเช่นนั้น เขารักหลวงพ่อมากกว่าลูก มากกว่าเมีย
มากกว่าแม้แต่ตัวเขาเองและชีวิต


ฉะนั้น มาลูกรักหลวงพ่อ คือจิตว่างแล้ว
หลวงพ่อก็พร้อมที่อยู่กับลูกตลอดกาล แต่ขอเตือนว่า ลูกอย่าลืมหลวงพ่อ
ลูกต้องมีสติระวัง ถ้าลูกไปโกรธใครเข้าสักคนหนึ่ง ลูกลืมหลวงพ่อแล้ว
ลูกไปรักใครเข้าสักคนหนึ่ง ลูกก็ลืมหลวงพ่อแล้ว
และในขณะนั้น หลวงพ่อก็จะไม่อยู่กับลูก
แต่เมื่อใดลูกคิดได้ และคิดถึงความว่างด้วยอารมณ์ที่ไม่ฟุ้งซ่าน
อารมณ์เป็นหนึ่งเดียว ดูจิตว่างว่า  ออ จิตว่างกลับมาแล้ว
เท่ากับหลวงพ่อมาแล้ว ตามที่จริง หลวงพ่อก็ไม่ได้ไปไหนหรือจากไปไหนหรอก
แต่ลูกไปเอาอารมณ์รัก อารมณ์โกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา พอใจ ไม่พอใจ
มาบังหลวงพ่อเสีย หลวงพ่อจึงไม่ได้ปรากฏ
เธอมาอยู่กับหลวงพ่อสี่วัน ห้าวัน อยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ
บีบนวดให้หลวงพ่อ ช่วยเหลือหลวงพ่อ
หลวงพ่อที่ลูกเห็นเดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่นี้มันไม่จริง มันเป็นเปลือกของหลวงพ่อ
เธอจงสนิทสนมกับหลวงพ่อภายใน คือ จิตว่าง ที่เป็นแก่นอยู่ภายใน


หลวงพ่อคือจิตว่างนั้น จะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย และไม่มีความทุกข์
เธอจงอยู่กับหลวงพ่อภายในองค์นั้นเถิด
หลวงพ่อเปลือกอีกไม่นานก็ต้องจากกันไป
แต่หลวงพ่อภายในนั้น จะอยู่ที่กลางใจกลางจิตของเธอ

หลวงพ่อคือความว่างนั้นจะคอยช่วยเหลือเธอ ไม่ให้เธอหลงในยามมีความสุข
ไม่ให้เธอเศร้าโศกเมื่อความทุกข์เข้ามาเบียดเบียน
ถ้าอย่างนี้แล้ว เธอจะได้อยู่กับหลวงพ่อตลอดกาล ตลอดชีวิตนี้


สุดท้าย ลูกอย่าลืม เวลาไหนลูกมีความทุกข์ ลูกจงล้วงจดหมายนี้ออกมา
แล้วเอามาอ่าน เพราะจดหมายนี้เป็นยาวิเศษ สำหรับลูก
และจะรักษาสมานแผลให้ลูกได้ในทันทีทันใดที่ลูกเอาจิตใจตัวนั้น
คืนให้เจ้าของเดิมคือธรรมชาติ เพราะหลวงพ่ออยู่ที่จุดนั้น
พระอรหันต์ทั้งหลายพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่านอยู่ตรงนั้น
ท่านเป็นธรรมชาติที่ว่างจากตัวตนหมด ลูกก็จะต้องทำได้
ถึงลูกยังไม่ถึงที่สุด วันหนึ่งลูกก็จะถึงที่สุด
และหลวงพ่อก็จะคอยประคับประคองลูก จนวินาทีสุดท้าย
จนหลวงพ่อกับลูกอยู่ในที่อันเดียวกัน
ลูกจงมีสติให้มากๆ จงอย่ายินดี อย่ายินร้าย จงรอบคอบ
เพ่งจิตดูจิตปล่อยวางอารมณ์ทุกอย่างที่เข้ามา
เพียงสักแต่ว่ารู้ แล้วปล่อยไป อย่าเข้าไปยึดถือเป็นอันขาด
แล้วลูกก็จะได้ อยู่กับหลวงพ่อตลอดนิรันดร


      
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๑

พ่อหนุ่ม ตอนที่ลูกยังแบเบาะ ลูกถูกโจรลักพาตัวไป
ลูกไม่รู้หรอกเพราะลูกยังไร้เดียงสา จนลูกโต
แต่แล้วโจรก็ฝึกให้ลูกเป็นคนเห็นแก่ตัว
ลูกไปเห็นอะไรเข้า ไปพบอะไรเข้า ลูกก็เอามาเป็นตัวกูของกูหมด
และที่น่าสังเวชที่สุด คือ ลูกเป็นคนตาบอด
เพราะโจรตั้งแต่หัวหน้าโจร จนถึงบริวารโจรทั้งหมด ล้วนเป็นคนตาบอดทั้งนั้น
ลูกไปหยิบฉวยอะไรเข้า ไปได้ยิน ได้กลิ่น ไปสัมผัสอะไรเข้า
ลูกก็เอามาเป็นตัวตนของตนหมด
จนบ้านหรือรังโจรของลูกรกรุงรัง ไม่มีที่เก็บที่งำ
แล้วลูกก็เที่ยวหอบ เที่ยวไปด้วยการทูนการแบกตลอดไปในชีวิตของลูก

จนในวันหนึ่ง ลูกไปพบกับพระรูปหนึ่ง
บังเอิญว่าพระรูปนั้นไม่ใช่พระธรรมดา หรือว่าธรรมดาแสนที่จะธรรมดา
เห็นลูกเข้า พระรูปนั้นก็อ่านนิสัยลูกออก
ก็เลยบอกลูกว่า ลูกน่ะเป็นคนตาบอด
และลูกถูกโจรลักพาตัวไปตั้งแต่เด็กๆ ที่เป็นทารกอยู่
และลูกก็พยายามหาทางออกโดยสัญชาตญาณ
ลูกค้นหาอยู่เรื่อยไป ตลอดชีวิตของลูก จนอายุครบสามสิบหกปีแล้ว
ลูกก็ยังแบกยังทูนอยู่อย่างนั้น
ด้วยความสงสาร พระรูปนั้นก็เลยบอกความ
จริงให้ฟัง พร้อมด้วยการให้ยาไปหยอดตา และพูดว่า
ลูกจงหยอดมันวันละหลายๆ ครั้ง พร้อมด้วยดื่มเข้าไปด้วย
แล้ววันหนึ่งลูกก็รู้เอง

นายหนุ่มคนนั้นก็ปฎิบัติตามที่พระสั่ง
จนวันหนึ่งตาของเขาก็ค่อยๆ ลืมขึ้น เห็นโน้นเห็นนี่ตามความจริง
เห็นทุกอย่างไหลไปๆ ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่หยุดนิ่งที่ไม่ไหล
แม้แต่ร่างกายและจิตของเขา และสิ่งที่เขาแบกเขาทูนอยู่นั้น
เขาจึงบอกกับพระรูปนั้นว่า
หลวงพ่อ หลวงพ่อ ผมเห็นแล้ว ผมเห็นแล้ว
เมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นลูกโจร ผมเป็นลูกของโจรเพราะผมเข้าใจผิด

จึงเข้าไปยึดถือเอารูปบ้าง เวทนา รวมทั้ง สัญญา สังขาร วิญญาณ
เอามาเป็นตัวตนหมด หลวงพ่อ ผมพยายามปล่อยวางมันแล้ว
ผมไม่ใช่ลูกโจรแล้วๆ ผมจะเป็นลูกหลวงพ่อๆ
คือหลวงพ่อสุญญตา
........หลวงพ่อ .....เมื่อเรียกหลวงพ่อแล้ว
เขาพูดจนคำพูดนั้นออกมาจากลำคอไม่ทัน
มันไหลออกจนล้น หลวงพ่อ ผมเห็นแล้ว ผมเห็นแล้วหลวงพ่อ

ดีละลูกที่ลูกมีตาดีขึ้นมา ลูกอย่าประมาทนะ
ลูกต้องหยอดและกินยานี้ไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะหายบอดสนิท
และอะไรที่ลูกแบกมันพะรุงพะรังนั้น ลูกทิ้งมันเสียให้หมด
อย่าให้มีอะไรเหลือ แล้วลูกมาอยู่กับหลวงพ่อเสีย
คือหลวงพ่อสุญญตา
หลวงพ่อว่างอย่างไรล่ะ แล้วก็มาทำงานช่วยหลวงพ่อ
ด้วยการแจกยานี้ให้คนตาบอด หูหนวก เป็นใบ้
เพื่อเขาจะได้เป็นคนปกติ ดับเย็นสนิท มีจิตใจที่สงบเย็น
มีกายวาจาที่ไม่ก้าวร้าว เพราะเขาได้กินยาวิเศษของหลวงพ่อ
ซึ่งยานี้เป็นยาวิเศษแสนที่จะวิเศษ
หลวงพ่อได้สูตรมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นหมอยามาก่อน และถ่ายทอดกันเรื่อยมา

และยานี้ไม่ได้ขาย มีแต่แจกฟรี
แถมฟรีให้ฟรี แต่คนไม่ค่อยรับเอา หรือรับแล้วก็ไม่ได้กินไม่ได้หยอด
เขาไม่เห็นเพราะตาบอด เขาบ่นว่า ยาบ้าบออะไรไม่รู้
เอาลิ้นไปเลียๆ หน่อยหนึ่งก็พูดออกมาว่า
มันขม มันขม
เขาเลยขว้างมันทิ้งเสียตรงนั้นเอง
แต่คนตาบอดคนไหนที่เชื่อ เขาก็เอาไปกิน เอาไปหยอด เช้า กลางวัน เย็น
ถ้าเขาขยันเขาก็หยอด
ได้ตลอดเวลา ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน กิน อาบ ถ่าย ไม่นานเขา
ก็มีตาที่สว่างไสวด้วยปัญญา คือตาใจที่โจรลักพาไปกลับมาแล้ว
มาอยู่กับหลวงพ่อสุญญตาแล้ว

เมื่อครั้งกระโน้นเขาพูดแต่คำว่า ตัวกูของกู
แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่เอาแล้ว
เขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมทั้งกายและจิตใจ เป็นธรรมชาติ
ที่ว่างจากตัวตนหมดโดยเด็ดขาด
เขาจึงเรียกออกมา ด้วยวาจาที่สั่นไหวว่า
หลวงพ่อ หลวงพ่อ หลวงพ่อสุญญตา ลูกจะอยู่กับหลวงพ่อแล้ว
ลูกจะไม่ไปไหนแล้ว ลูกจะอยู่กับหลวงพ่อตลอดไป หลวงพ่อช่วยผมด้วย
แล้วต่อไปผมจะเป็นหลวงพ่อ
ผมจะทำงานแทนหลวงพ่อ ผมจะมีจิตเหมือนหลวงพ่อ

คือหลวงพ่อจิตว่างของผม
หลวงพ่อช่วยผมแล้ว ผมจะกินยาหลวงพ่อตลอดไป
ผมจะไม่ดื้ออีกแล้ว ผมจะอยู่กับหลวงพ่อตลอดไป
และผมจะไม่ลืมหลวงพ่อ 

และยังมีผู้หญิงคนหนึ่ง  ตาบอดมาแต่กำเนิดเหมือนกัน 
หลวงพ่อให้ยาไป แกก็กินและหยอดยานั้น
ทั้งเช้า เย็น ตอนกลาง วัน ยิ่งหยอดมากกินมากยิ่งดี
ไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไร แกก็ทำตาม 
สูตรที่หลวงพ่อบอก แกก็เลยพูดเหมือนกับพ่อหนุ่มนั่นแหละ
แกพูดว่า ดิฉันมองเห็นแล้วหลวงพ่อ ดิฉันมองเห็นแล้ว
เออดีแล้วๆ ขออนุโมทนาสาธุด้วย ที่โยมได้เกิดดวงตาขึ้นมาใหม่ 
ตานอกมันบอด เพราะมันเห็นอะไรมีไปหมด ตานอกมันโง่
แต่ตาในมันเกิดปัญญาหรือตาปัญญาขึ้นมาเรียกว่า จักขุง อุทปาทิ
ต่อไปก็จะเกิดตัวรู้ที่แรงขึ้นกว่าเดิมเรียก ญานัง อุทปาทิ 
เกิดปัญญาที่แหลมคม หรือเรียกว่า ญาณ ปัญญา
ทั้งสติก็ค่อยสมบูรณ์ขึ้น ชื่อ ปัญญา อุทปาทิ
จากโง่ก็เกิด วิชชา คือตัวรู้ รู้อะไร รู้อริยสัจสี่ รู้ขันธ์ห้า
รู้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์
และฝ่ายดับทุกข์โดยสิ้นเชิง
และต่อไปโลกนี้ก็สว่างจ้าแก่เขา 
แต่ข้อสำคัญ อย่าประมาท ต้องกินยาและ
หยอดยานี้ต่อไปอย่าได้ขาด ทั้งเช้า กลางวัน เย็น กลางคืน
หรือแม้ขณะทำงาน หลวงพ่อรับรองว่าหายแน่
          
           
             
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑

พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มอยากอยู่กับแม่ไหม? อยากอยู่กับพ่อไหม?
อยากอยู่กับพี่ไหม? ถ้าพ่อหนุ่มอยากอยู่กับท่านเหล่านั้น
พ่อหนุ่มจะมีความอบอุ่นมากทีเดียว แต่ไม่ใช่พ่อ-แม่ หรือพี่ที่อยู่
ที่บ้านพ่อหนุ่มหรอก พ่อคือพระพุทธเจ้า
ท่านมีพระปัญญาคุณ มีบริสุทธิคุณ และมีเมตตาคุณ
ท่านทำนาเลี้ยงพระเอาไว้มากมาย
เช้าพวกลูกๆ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ไปเก็บเกี่ยวกันเหลืองอร่ามไปหมด
ใครปฏิบัติดี หรือปฏิบัติไม่ดี ท่านก็เลี้ยงทั้งนั้น
ขอให้ใส่ชุดฟอร์มของท่าน ท่านมีเมตตาเลี้ยงให้กิน ให้อยู่ ให้เครื่องนุ่งห่ม
ให้ยารักษาเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านมีจิตภายในที่สงบเย็น
พ่อตัวจริงอยู่ที่จิตสงบเย็น พ่อไม่ตาย พ่อยังอยู่ในทุกคนที่ปฏิบัติ
แล้วพบกับพ่อคือความสงบเย็น แล้วพ่อก็จะอยู่กับผู้นั้นตลอดไป


พ่อปฏิบัติจนเราเรียกกันว่าเป็น พระพุทธเจ้า ผู้รู้ก่อนผู้ใดหมด
พ่อพบกับแม่ แม่คือธรรมชาติที่สงบเย็นที่พ่อไปพบเข้า
แล้วพ่อก็รักแม่มากกว่าอะไรทั้งหมด
และพ่อก็เอาแม่มาไว้ในจิตของพ่อเอง คือธรรมชาติที่สงบเย็นตัวนั้น
และแล้วต่อมาพ่อก็มีลูกจนนับไม่ไหว
และลูกของพ่อคืออริยสงฆ์ทุกๆ องค์
ที่ปฏิบัติดีแล้ว ปฎิบัติตรงแล้ว ปฎิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
พี่ๆ ทุกองค์ ท่านเป็นพระอรหันต์ ทั้งในอตีตที่ผ่านมา ในปัจจุบัน และต่อไปในอนาคต
พี่ๆ ทั้งหมดท่านก็มีจิตสงบเย็นเหมือนพ่อ
ถ้าหากว่าพ่อหนุ่มปฏิบัติด้วยการเห็นจิตเองเป็นอนิจจัง
คือเห็นจิตไม่เที่ยง เข้าไปยึดถือเอาจิตมาเป็นตัวกูแล้ว
เป็น ทุกขํ หรือ เป็นทุกข์
เพราะจิตเป็นธรรมชาติ เป็นของผู้ใดไม่ได้
จิตเป็นอนัตตา เป็นสุญญตา ว่างจากตัวตน
จิตเลยไม่เอาอะไร
เมื่อไม่เอาอะไรแม้แต่จิตเองแล้ว ก็คืนจิตตัวกูของกูนั่นแหละ
ให้แม่ไป แม่ก็ให้ความสงบเย็นแก่ลูก
ให้ความสงบเย็นแก่พ่อผู้ไปพบแม่
ทั้งแม่ทั้งพ่อทั้งลูก มากองอยู่ที่จิตที่สงบเย็นตัวนี้
ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าแล้ว อบอุ่นแล้ว
อบอุ่นเพราะไม่มีความทุกข์เหลืออยู่เลย
พอมีความทุกข์ มีปัญหาเกิดขึ้น
ก็คิดถึงแม่ คือ ตัวธรรมชาติที่สงบเย็น  แม่ก็มาช่วยทันที
คิดถึงพ่อ คือ ธรรมะ ที่พ่อได้จากแม่ พ่อก็เอาธรรมะคือความสงบเย็นมาปลอบทันที
คิดถึงพี่เมื่อมีปัญหามีความทุกข์เกิดขึ้น พี่ก็มาช่วยทันทีเช่นเดียวกัน
ในตัวความสงบเย็นนั้น แม่ พ่อ และพี่ อยู่ในจิตที่สงบเย็นตัวนั้น
พ่อหนุ่มจงปฏิบัติด้วยการเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และสุญญตา
ปล่อยวางทำให้จิตว่างจากตัวตน
แล้วเราก็จะได้รับรางวัลจากแม่ จากพ่อ และจากพี่ของเรา
คือความสงบเย็นตัวนั้น เป็นอันกล่าวได้ว่า
พระพุทธเจ้าเป็นพ่อจริงของเรา
พระธรรมเป็นแม่ของโลกของจักรวาลทุกจักรวาล
และของสรรพสิ่งทุกๆ สิ่ง และภายในจิตหรือแก่นแท้ของแม่คือความสงบเย็น
ที่พ่อไปเอามาแล้วมาประทานให้ลูกทุกคน

ฉะนั้นเมื่อเราปฎิบัติให้รู้จัก แม่ พ่อ และพี่แล้ว
ท่านก็จะมาอยู่กับเราตลอดเวลา ดูเข้าไปเถิด ท่านเข้ามาอยู่กับเราแล้วหรือยัง
ถ้ายัง พ่อหนุ่มจงรีบปฏิบัติเข้าเถิด แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันด้วยความผาสุข
หรืออยู่ด้วยความสงบเย็นตลอด
ไป พ่อ แม่ พี่ พร้อมทั้งเราเอง ไม่ต้องตายกันอีกแล้ว. ..
   

   
    

สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๑

พ่อหนุ่ม หลวงพ่ออยากจะบอกพ่อหนุ่มว่า
เดี๋ยวนี้หลวง พ่อหายตัวได้แล้ว หลวงพ่อหายตัวเข้าไปอยู่ในก้อนเฆม
บางครั้ง ก็หายตัวเข้าไปอยู่ในสายน้ำ ในแสงแดด ในสายลมอ่อนๆ
และ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีเปลี่ยนแปลง
จากอนิจจัง สู่อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน จากอนัตตา
ว่างจากตัวตน สู่สุญญตา
บางทีหลวงพ่อก็หายเข้าไปอยู่ในจิตของลูก แต่อยู่นานไม่ได้
ถ้าเมื่อใดลูกมีการปฏิบัติที่มั่นคง เห็นสุญญตาอย่างมาตรฐาน
หลวงพ่อก็เข้าไปอาศัยในจิตลูกเลย
ก่อนชีวิตคือร่างกายหลวงพ่อจะหมดลม หรือธาตุต่างๆกลับสู่ธรรมชาติโดยเด็ดขาด
หลวงพ่อไม่อยากให้ทำพิธีที่ใหญ่โต
เช่น การรดน้ำศพ อาบน้ำให้ศพ จัดพิธีสวด พิธีเผาที่ใหญ่โต


หลวงพ่ออยากจะให้เก็บไว้อย่างมากไม่เกินเจ็ดวัน
ตั้งไว้ที่หลังกลางที่หลวงพ่อทำใหม่ แต่อย่าลืมฉีดยาเสียก่อนกันกลิ่นเหม็น
รำคาญจมูกคนอื่น ถึงเวลาก็ช่วยกันหามไปที่หินโค้ง
ตั้งที่หินโค้งสักคืนหนึ่ง แล้วก็ช่วยกันทำวัตร สวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
การจัดงานศพหลวงพ่อ ทำดังนี้
โดยหลวงพ่อเขียนวินัยกรรมไว้เป็นข้อๆ ดังนี้

๑. ไม่ต้องทำพิธีรดน้ำศพ
๒. ให้ฉีดยาเสียก่อนกันเหม็น บอกพยาบาลอย่าฉีดยาปลอม
๓. ไว้ไม่เกินเจ็ดวัน หรือสามวันก็ได้ ห้าวันก็ได้ เจ็ดวันก็ได้
ลูกทางธรรมทุกคนจะต้องรับปากว่าจะไม่ให้เกินเจ็ดวัน  
ที่ทำรายการเผาก็คือหน้าหินโค้ง ที่ตั้งพระบาทจำลอง
เพราะย้ายพระบาทไปไว้ตัวอาคารพระบาทแล้ว
๔. ห้ามเครือญาติ ลูก-หลาน โดยสายเลือดทั้งหมดมาเกี่ยวข้อง 
แม้แต่การเข้าไปในกุฏิให้เข้าและจัดการได้แต่เครือญาติสายผู้ปฏิบัติ
ธรรมเท่านั้น นอกนั้นห้ามและเครือญาติสายธรรมจะได้ปฏิบัติธรรมให้
เข้มขึ้นและได้สืบทอดธรรมะให้เพื่อนมนุษย์ต่อไปเมื่อได้เวลาอันเหมาะสม
๕. ควรเผาด้วยไม้ฟืน และเผาในตอนกลางคืน ดูศพจะไม่อุจาดตา
หรือสุดแล้วแต่ความเหมาะสม ก่อนเผาเอาผ้าขาวคาดข้างบน 
เอาไม้หมาก ๔ ต้น ทำเป็นเสา
๖. เผาเสร็จ ประมาณตี ๔-๕ ก็เอาน้ำมาดับไฟ เก็บกระดูกล้างน้ำให้สะอาด  
ตากแดดให้แห้ง ห่อผ้าขาวใส่ในโกศและขี้เถ้าเศษกระดูกใส่ไว้ในพุงทวด
คนจะได้บูชา
๗. หลวงพ่อตั้งใจให้พ่อหนุ่มบวช แล้วอธิษฐานจิตเลยว่า
บวชอุทิศแก่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย และจงปฏิบัติธรรมให้
ถึงที่สุดในชาตินี้

สุดท้ายหลวงพ่อจะขอลาลูกศิษย์ทุกๆ คน ที่เชื่อฟังหลวงพ่อ
หลวงพ่อจะไปรอท่านทั้งหลาย อยู่ในจิตของท่านนั่นแหละ
เมื่อใดท่านปฎิบัติพบจิตว่างจากตัวตน ในจิตของท่านเอง
หลวงพ่อก็อยู่ที่ตรงนั้น อยู่ในที่เดียวกัน
หลวงพ่อตัวจริงไม่ได้เกิด ไม่ได้ แก่ เจ็บ และตายอีกต่อไป
หลวงพ่อและศิษย์ทุกคนเมื่อปฏิบัติถึงจิตว่างหมด โดยไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว
เราก็จะไปอยู่ด้วยกันที่สุญญตา คือจิตว่างนั้น
ใครไปก่อนก็ไปรออยู่ก่อน ใครไปหลังก็ไปพบกันที่ตรงจุดนั้น
คือ บ้านแห่งสุญญตาหลังนั้น

ส่วนร่างกายมันเป็นเพียงคราบ เหมือนคราบงู
เมื่อมันลอกคราบแล้วมัน ก็ทิ้งคราบนั้นเอาไว้ แต่ตัวคน สัตว์ หรืออะไรจริงๆ มันไม่มี
มันจึงไม่ต้องเกิด ไม่ต้องตาย เพราะปฏิบัติถึงจุดสุญญตา
เมื่อจิตว่าง  ยอดไม้ก็ว่าง ก้อนเมฆก็ว่าง ดูผิวหนัง ผิวหนังก็ว่าง
ดูจุดไหนมันล้วนแต่ว่างไปหมด มีแต่ความว่างเท่านั้น
ครองโลก ครองกาย ครองจิต ครองจักรวาล
ผู้ที่ปฏิบัติถึงจุดความว่างโดยเด็ดขาด จึงไม่ต้องตายอีกแล้ว
เรียกว่า อมต  หรือถึง อมตธรรม  คือ ธรรมที่ไม่ตาย
แล้วก็ได้อยู่รวมกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ทั้งหลาย
จึงขอร้องให้ พ่อหนุ่ม และผู้ที่คิดว่าเป็นศิษย์
จงรีบปฏิบัติให้ถึงจุดสูงสุดนั้น แล้วช่วยกันเผยแผ่ ช่วยกันสอน
ช่วยกันบอกให้มากๆ ธรรมะจะได้ไม่หายไปจากโลกนี้
หลวงพ่อขอลาก่อนกับท่านที่เป็นศิษย์ทุกๆ คน
แล้วไปพบกันใหม่ที่เรือนสุญญตา หลวงพ่อจะรออยู่ที่นั่น
เรือนหลังนั้นก็อยู่ที่จิตของท่านทุกคนนั่นแหละ
ขอลาก่อนโลกนี้ โลกหน้า โลกอื่น ทุกๆ โลก
จะขออยู่กับโลกโลกุตระ
จะไม่อยู่กับโลกที่มีแต่ความทุกข์อีกต่อไปอีกแล้ว 

ด้วยพรและเมตตา
จากหลวงพ่อ
       
        
       

สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง


พ่อหนุ่ม มีคนมานิมนต์หลวงพ่อ ในคืนวันที่ ๒๔ หรืออะไรนี่แหละ
เป็นผู้ชาย บอกว่านิมนต์ให้ไปเทศน์ เขาบอกว่าเป็นญาติคนนั้นคนนี้
พอหลวงพ่อจะถามว่า นิมนต์ไปเทศน์ที่ไหน เขายังไม่ทันบอก
หลวงพ่อก็ตื่นเสียก่อน บอกว่าเมื่อยแล้ว
สงสัยว่ายมบาลมานิมนต์แล้ว ไม่เป็นไร หลวงพ่อพร้อมทุกเวลา
ขอท้าว่าเวลาไหนก็ได้ แต่คงได้แต่ตัวไปเท่านั้น
เพราะจิตหลวงพ่อฝากไว้กับความว่างเสียแล้ว
และมอบให้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วจะได้อะไรไป
จิตอยู่กับความว่าง เป็นความว่าง ว่างจากกาย
ว่างจากตัวตนของจิตเอง และว่างจากการเอารูปกายมาเป็นตัวตน
ไม่เอาเวทนาใดๆ มาเป็นตัวตน
พร้อมทั้ง สัญญา สังขาร และวิญญาณ ไม่เอามาเป็นตัวตนทั้งนั้น
ความว่างที่ปราศจากความรู้สึกว่า เป็นตัวตนหมด
เลิกกันทีพอกันที เรื่องตัวกู ของกู


เมื่อจิตว่างเสียแล้ว
อารมณ์ต่างๆ ที่เข้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นของว่างหมด
เรียกว่า เป็นธาตุว่าง

เมื่อจิตเป็นธาตุว่าง อายตนะทั้งหมดที่เป็นสื่อในการรับอารมณ์ก็ว่าง
ขันธ์ทั้งห้าที่เกาะติดอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็ว่างหมด
ปฏิจจสมุปบาท ก็เกิดดับว่าง
คือว่างจากตัวกู คือ อวิชชา
ว่างจากความทุกข์ จะไม่มีคนเกิด จะไม่มีคนตาย
มีแต่พลังแห่งสติและปัญญา ที่ดับขันธ์เหล่านั้น
และพลังแห่งเมตตา พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความยึดมั่นถือมั่น
พร้อมที่จะแกะให้เขาพ้นจากหนวดอวิชชาที่กอดรัดเขา
ทำให้เขาหมดแรงแห่งปัญญา ให้เขาผลิตพลังภายในขึ้นมา
ด้วยการปฏิบัติอย่าให้จิตอยู่ใต้อำนาจอวิชชา
ให้เห็นโทษของอวิชชา คือความยึดมั่นถือมั่น
พยายามให้จิตรักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ให้จิตอยู่กับสุญญตาตลอดเวลา อย่าได้พลั้งเผลอ

เมื่อเผาหลวงพ่อแล้ว
และหอสำหรับไว้พระพุทธรูปปางปรินิพพานเสร็จเรียบร้อยเมื่อใด
ลูกจงเอากระดูกที่ห่อผ้าขาวเอาไว้
จงประคองแล้วใส่ไว้ใต้พระบาทของพระพุทธบาทจำลอง
กระดูกไม่ต้องเอาไปบูชา ไว้ที่นี่
ใครต้องการบูชา จงมาบูชาที่นี่ หรือจะบูชาที่อื่นก็ได้
แต่ให้บูชาด้วยการปฏิบัติธรรม
ทุกคนให้มาบูชาด้วยการปฏิบัติ และสถานที่นี้จะเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธ์
ใครเข้ามาก็สบายใจ จิตเย็น จิตสงบ
เพราะบารมีแห่งพระธรรม
สถานที่นี้จะได้ไม่รกร้างอีกต่อไป
เมื่อทุกคนปฏิบัติถึงจิตว่างแล้ว จิตว่างนั่นแหละจะกระจายออกไปๆ
ผู้ที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ก็จงปฏิบัติเข้าถึงจิตว่างให้ได้
จะได้ไม่เป็นทาสอวิชชาตัวร้ายนั้นอีก
เมื่อจิตว่างก่อตัวขึ้นมา จนจิตว่างมีพลังมาก ตาหู ฯลฯ ก็ว่าง
มีพลังทำให้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ กระทบก็ว่างหมด
จิตจะไวมาก คือจิตว่างจะไวมาก
อะไรเข้ามาดับหมด ว่างหมด
ถ้ายังไม่ถึง ก็ให้ภาวนาว่า ตาว่าง รูปว่าง จักขุวิญญาณว่าง ผัสสะว่าง เวทนาว่าง
เพราะเกิด ดับ เป็นอนิจจัง อนัตตา ว่างหมด
เรียกว่าดับไม่เหลือ อย่าหวงชีวิต คือร่างกายอันเน่าๆ นี้
พร้อมทั้งจิตโง่ สละไปเลย ละไปเลย
จิตจะได้ถึงสุญญตา เหมือนกับว่าทำจิตให้พ้นไปจากแรงดึงดูดของโลก
คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ให้พ้นจากแรงดึงดูดนี้ให้ได้
แล้วจะถึงจุดสุญญากาศอย่างนั้นแหละ
อันนี้เทียบให้ฟัง ก็หมายถึงแรงดึงดูดของอวิชชาที่เป็นตัวกูทั้งหมดนั่นแหละ
สลัดมันเสียๆ จะได้ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกข์ อีกต่อไป
มีเวลาเหลือ พยายามแสวงหาความรู้เพิ่มเติม
เพื่อจะได้เป็นน้ำกระสาย ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่อไป
ศาสนาจะได้ไม่หายไปจากจิตใจคนภายหลัง
โลกกลมนี้จะได้พบกับความสงบเย็นบ้าง
เอ้าตีห้าแล้ว หลวงพ่อลาก่อน

 
                                       
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
เช้าวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๑

พ่อหนุ่ม หลวงพ่อไม่ตาย หลวงพ่อไม่ตาย
อย่าร้องไห้เลย ที่ลูกร้องไห้นั้นตัวอวิชชาต่างหาก
ลูกจงดูภายในที่อวิชชา มันปรุงแต่งลูก
ลูกทำจิตปกติ และก็เห็นความแก่ ความเจ็บความตาย เป็นเรื่องสังขารภายนอก
และระวังมีสติปัญญาเอาไว้ ทำจิตให้ว่างจากตัวตน และทำจิตนั้นให้สงบเย็น
ลูกกลืนน้ำตาเสีย ลูกอย่าอาลัยอาวรณ์ ลูกมีบุญอย่างมหาศาลแล้ว
ลูกได้ช่วยหลวงพ่อ นวดให้ร่างกายหลวงพ่อได้ยืดออกไปอีก
หลวงพ่อก็มีแรงที่จะช่วยสังขารนี้อีก เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์
หากร่างกายหลวงพ่อยังไม่จบสิ้น หลวงพ่อก็จะได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ได้มากกว่านี้
จงแยกหลวงพ่อให้ดี
หลวงพ่อที่เป็นร่างกาย ห่อหุ้มหลวงพ่อที่เป็นสุญญตาไว้

หลวงพ่อที่เป็นร่างกาย เกิด ดับ เป็นอนิจจัง อนัตตา
หลวงพ่อภายในคือจิตก็เป็น อนิจจัง อนัตตา
จนถึงที่สุดก็คือ หลวงพ่อสุญญตา
เมื่อจิตเป็นสุญญตาโดยเด็ดขาด หลวงพ่อองค์นั้นแหละไม่ตาย
หลวงพ่อองค์นั้นแหละที่ศิษย์ทุกๆ คน พยายามปฏิบัติเพื่อให้พบกับหลวงพ่อองค์นั้น
ตายยังไง หลวงพ่อยิ้มอยู่ภายในใจลูก และยิ้มอยู่ภายในจิตใจศิษย์ทุกๆ คน
ยิ้มกริ่มอยู่อย่างนั้น ไม่ทุกข์ ไม่สุข ว่าง สงบเย็น
เมื่ออารมณ์มากระทบ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีแต่ความสงบเย็นออกมารับแขก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์นั้น
นั่นแหละหลวงพ่อแล้ว นั่นแหละหลวงพ่อแล้ว
ถ้าเอาอารมณ์รัก อารมณ์เกลียด อารมณ์
โกรธ อารมณ์อิจฉา ริษยา เป็นต้น หรืออารมณ์เห็นแก่ตัว เพราะมีตัวมารับแขกแล้ว
นั่นไม่ใช่ ไม่ใช่หลวงพ่อ เป็นคนแปลกหน้า เป็นอวิชชาเข้ามารับหน้า
ลูกอย่าได้คบบุคคลนั้น เขาเป็นโจร เขาเป็นผู้ร้าย
เขาทำร้ายลูก เขาพูดไม่จริงกับลูก เขา
พูดโกหกกับลูก เขาเอาลูกเป็นเครื่องมือในการทำร้ายทุกๆ คน
เพราะตัวนั้นแหละคือตัวกูที่เขาครองใจคนครองใจสัตว์ทั้งโลกเดี๋ยวนี้
ทำให้โลกวุ่นวาย ทำให้โลกลุกเป็นไฟ เพราะเขานั่นแหละ
ลูกระวังให้มากไว้
ถ้าเขาเข้ามาสิงจิตลูกเมื่อใด ลูกเดือดร้อนเมื่อนั้น
เพราะเขาเป็นผี เป็นซาตานที่แปลงตัวได้เยอะมาก
ใครไม่รู้เท่าทันเขา ต้องอยู่ใต้อำนาจเขาหมด
เรื่องทรัพย์สิน เงิน ทอง ยศ ทุกประเภท มันเข้าสิงอยู่ในนั้นหมด
นั่นแหละผีตัวร้ายกาจที่สุด หรือตัวประธานของผีทั้งหมดบรรดามี
ลูกจงพยายามอย่าให้มันมาเห็นหน้า
จงไล่มันออกไป
ลูกจงประคับประคองจิตให้อยู่กับความว่าง ที่สงบเย็นตลอดเวลา
หลวงพ่ออยู่กับลูก หลวงพ่อไม่ตาย ลูกก็ไม่ตาย อยู่กันชั่วนิรันดร
ลูกที่เป็นศิษย์หรือยอมรับว่าหลวงพ่อสุญญตาเป็นอาจารย์
ก็จงเอาหลวงพ่อตัวจริงคือความว่างนี้ไปปฏิบัติ
และก็ให้เห็นความว่าง รู้จักความว่าง อยู่กับความว่าง
อย่าได้เสื่อมคลาย แนบสนิทกับความว่าง
ไม่ว่าจะเดินทุกๆ ย่างก้าว จะหายใจเข้า หายใจออก
จะกินอาหารทุกๆ คำที่เคี้ยวที่กลืน
จะอร่อยหรือไม่อร่อย ก็ให้ภาวนาว่าว่างเอาไว้ อยู่กับว่างตลอดไปนั่นแหละ
หลวงพ่ออยู่แล้ว เป็นแล้ว มีแล้ว ที่จิตลูกและลูกศิษย์ทุกคนที่ได้ปฏิบัติอย่างนี้กับหลวงพ่อ

ขอศิษย์ทุกคน จงเจริญๆ โดยไม่สิ้นไม่สุดเถิด


 

สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑

พ่อหนุ่ม จดหมายนี้ลับโดยเฉพาะ
หลวงพ่ออยากให้พ่อหนุ่มกับแฟนของพ่อหนุ่มแต่งงาน จะเอาหรือไม่เอา
ถ้าเอาหลวงพ่อจะหาเจ้าสาวให้ใหม่
และแฟนของพ่อหนุ่ม หลวงพ่อจะหาเจ้าชายให้
รับรองว่าแต่งแล้วสบายทั้งสองฝ่าย คือทั้งพ่อหนุ่ม และแฟนของพ่อหนุ่มเอง
ลูกสาวของพระพุทธเจ้า คือเจ้าหญิงสุญญตา
เมื่อเธอแต่งแล้วจะได้เป็นลูกเขยพระพุทธเจ้า มีหน้ามีตา มีคนเคารพนับถือ ยำเกรง
เป็นที่โดดเด่นของสังคมชาวพุทธโดยทั่วไป ไม่ขัดสน ไม่ลำบาก
ไม่ต้องมีความทุกข์ พ่อตาจะให้ทุกๆอย่าง
เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย เจ็บไข้ได้ป่วย โรงพยาบาลหมอช่วยเต็มที่
และภรรยา คือนางสาวสุญญตาก็ช่วยเต็มที่เช่นกัน
ไม่ให้ลูกเขยอาทรร้อนใจอะไรทั้งนั้น
แต่ต้องรักกันมาก รักกันจนแยกไม่ออก จะเดินจะเหิน จะทำอะไร
แม้แต่จะหายใจออก หายใจเข้า ก็ภาวนาถึงเธออยู่ตลอดเวลา
คือ นางสาวสุญญตา ลูกสาวของพระพุทธเจ้าคนนั้น
แล้วต่อมาเมื่อเธออยู่กินกับนางสาวสุญญตาแล้ว เธอจะมีลูกสาว ลูกชาย ที่ชื่อ ว่าสุญญตาอีก
แล้วเธอจะมอบให้ใครก็ได้ จะเอาใครเป็นลูกเขย ลูกสาวก็ได้
เมื่อเห็นเขาปฏิบัติธรรมอย่างขยันขันแข็งแล้ว เขาก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นลูกสะใภ้ ลูกเขยของเธอได้ เท่ากับเป็นหลานเขย เหลนเขยของพระพุทธเจ้า แล้วจะต่อเยื่อใยกันไปเรื่อย
เพราะนางสาวสุญญตา หรือพ่อสุญญตานั้นไม่ตาย
ใครจะรับไปแต่ง กี่คนรับหมด ถ้ารักจริง สินสอดทองหมั้นก็ไม่แพง
เอาแค่จิตดวงเดียว แต่จิตดวงนั้นต้องมอบให้ธรรมชาติเสียก่อน
แล้วก็เป็นธรรมชาติ แล้วก็ยกธรรมชาติทั้งหมดนั้นให้พ่อตา
ก็จะได้ลูกสาว คือนางสาวสุญญตา ได้เป็นเขยเต็มตัว ลูกสะใภ้เต็มตัว



สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
พ่อหนุ่ม…. พ่อหนุ่มรู้หรือไม่ว่า
ตอนนี้ เรากำลังจำกัดเขต อยู่ในดงโจร คนทั้งโลกอยู่ในดงโจรทั้งนั้น
ถ้าผู้ที่ยึดมั่นถือมั่นมากว่า ตัวกู ลูกของกู เมียของกู สามีของกู ทรัพย์สมบัติกู แล้ว
กูก็จะต้องกอบโกยเอามาเป็นของกูอีก
กูเรียนมาเพื่อกอบโกยเอาทรัพยากรธรรมชาติ
กูเป็นใหญ่เป็นโต กูจะพยายามกอบโกยให้มากที่สุดเพื่อที่จะมากได้
เพื่อเอามากองไว้เป็นของกู ลูกหลาน เหลนกินไม่หมดไม่เป็นไร
กูเห็นทรัพย์มหาศาล แล้วกูก็ยิ้มอยู่ภายใน
แล้วก็คิดว่า กูเก่ง กูวิเศษ กูไม่มีใครเหมือน กูเรียนมาสูง กูมียศสูง กูมีความสามารถสูง
และความคิดก็มีอยู่เป็นประจำว่า
กูจะต้องมีกูของกูให้สูงขึ้นไปอีก ให้ใครๆ ก็สู้กูไม่ได้
นั่นแหละชีวิตที่ติดคุกติดตะรางกูของกู
มันกลับตรงกันข้าม กับคนที่มีชีวิตที่พออยู่พอกิน
มันกำลังติดคุกทางวิญญาณ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งหนัก
คุกที่เขาขังเอาไว้นั้นมันกว้างมาก กว้างทั้งโลกเลย แต่แล้วยมบาลอยู่กันเป็นกลุ่มๆ
ถือหอกกันทั้งนั้น ไม่ได้โพกผ้าสีแดง เป็นคนธรรมดา
เราจะเดินไปทางไหน จะหนีไปทางไหน เขาเห็นหมด รู้หมด
ถ้าเราหนีเข้าไปในที่มืด เช่น ใต้ซอกเขา ใต้ตึก หรือ หนีเข้าไปอยู่ในห้องใต้ดิน
เขาพวกนั้นก็เอาหอกที่เป็นเครื่องมือประจำกายนั่นแหละ
แทงผิดแทงถูก ล้อมวงกันแทง แทงอยู่อย่างนั้น
เราเดินเฉยๆ ก็ไม่พ้นสายตาพวกนั้น  เพราะสายตาทุกคู่มองมาที่เราทั้งนั้น
เราไม่มีอิสระเลย จะก้าวจะย่างไปทางไหน
เมื่อรู้ตัวแล้วจะเดินหนีไปทางไหน พวกนั้นรู้ตัวหมด เห็นหมด หาความอิสระไม่ได้เอาเลย
แต่ถึงอย่างไรเสีย เราก็ต้องหนีเอาตัวรอด
มีคนหนึ่งหนีเข้าไปในกองไม้ พวกเหล่านั้นก็เอาหอก เอาแหลน
แทงเข้าไปในกองไม้นั้นทุกตารางนิ้ว จะอยู่หรือจะรอด ก็ไม่สามารถจะรู้ได้
ส่วนคนนอกนั้นก็พยายามหาทางออก จะออกได้หรือไม่ได้ก็ต้องเดินดิ้นรนหาแต่ทางออกกัน
แต่พวกคนที่หาทางออกนั้น มันมีน้อยคน
เท่ากับพวกเราทุกคนผู้ที่ตั้งใจในการปฏิบัติธรรม
ถามว่าปฏิบัติธรรมกันไปทำไม ทำมาหากินไม่ดีกว่าหรือ
ผู้ปฏิบัติธรรมเขาไม่ได้ห้ามว่าห้ามทำมาหากิน
ทำมาหากินไปพลาง ปฏิบัติไปพลาง ถึงมันจะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร
เพราะพวกโจรมันจี้หลังมาติดๆ อยู่ทุกวันคืน
โจรเหล่านั้นไม่ลดละใครทั้งนั้น คือโจรยึดมั่นตัวความเกิดมีความรู้สึกว่าตัวกู
แล้วก็ตามมาด้วย กูหนุ่ม กูสาว กูหล่อ กูสวย กูไม่สวย กูจน กูรวย
กูแก่ กูเจ็บ กูตาย ล้วนแต่กู กับของกูทั้งนั้น ในโลกทั้งโลกนี้
ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังติดคุกกูของกูโดยไม่รู้สึกตัว
ถ้าพระสงฆ์หรือญาติโยมคนไหนมีความรู้สึกว่า
ตัวเองติดคุกตัวกูของกู และได้ถูกตัดสินประหารชีวิตภายใน ๗๐-๘๐ ปีนี้
ซึ่งเห็นว่าไม่นานเลยสำหรับผู้ที่ไม่ประมาท แต่ดูแล้วนานสำหรับผู้ประมาท
ผู้ไม่ประมาทเหล่านั้น  ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานประกอบอาชีพไปพลาง
ปฏิบัติธรรมหรือแสวงธรรมไปพลาง
เพื่อที่จะช่วยจิตที่ติดคุกทางวิญญาณนั้นได้มีโอกาสออกจากคุกเสียแต่เนิ่นๆ
ทั้งพระทั้งโยมก็ช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันสอน แบบพี่ช่วยน้อง
เพราะพระพุทธองค์ ตรัสว่า
เมื่อเราปรินิพพานแล้วธรรมวินัยนั่นแหละเป็นศาสดาแทนเรา
ฉะนั้น เราอย่าคิดว่าตอนนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า
ธรรมวินัยที่เราศึกษาดีแล้ว ปฏิบัติดีแล้วนั้น เป็นครู เป็นศาสดาสำหรับเราทุกๆ คน
ผู้ปฏิบัติที่รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องความยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นทุกข์ในทุกกรณี
เราก็พยายามที่จะคลี่คลายความยึดถือเหล่านั้นให้เบาลง
เห็นจิตเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เห็นจิตเป็นเรา
ถ้าเห็นจิตเป็นตัวเรา กายเป็นของเรา ทรัพย์สมบัติพร้อมลูก สามีภรรยาเป็นของเราแล้ว
ความทุกข์ก็ไม่สามารถจะเบาบางลงไปได้ นอกจากปล่อย
ใช้ปัญญาในการที่เราสะสมด้วยพลังแห่งการปฏิบัตินั้น
ปล่อยกายเพราะรู้จักกาย เห็นกายเป็นสิ่งที่ประกอบด้วยธาตุมากมาย
และมี อนิจจัง อนัตตา เป็นตัวชี้กำหนด
ถ้าเห็นจริงแล้วก็ถึงจุดคือ สุญญตา ว่างจากตัวมันเอง
เราเรียกว่าว่างจากตัวตน ทั้งกาย ทั้งเวทนา ทั้งจิต ทั้งธรรมชาติภายในภายนอกทั้งหมด
ปล่อยจิตให้เป็นธรรมชาติ

เมื่อจิตเป็นธรรมชาติแล้ว เราอย่าเอาจิตมาจับจองเป็นเจ้าของอีกต่อไป
จิตที่ถูกโอนให้ธรรมชาติเขาก็จะรู้ธรรมชาติทั้งหมด
ในโลกนี้ ในจักรวาลนี้ ว่าเป็น อนิจจัง อนัตตา เป็น สุญญตา
ล้วนว่างจากตัวตนของตนทั้งนั้น
จิตรู้แล้วอย่าไปยึดตัวรู้นั้นอีก เรียกว่าจิตรู้ปล่อยรู้
จิตตัวรู้ก็ต้องปล่อย
สิ่งที่ถูกรู้ก็ต้องปล่อย
เรียกสั้นๆ ว่า รู้ปล่อยรู้
มันทับซ้อนกันอย่างนี้ ตัวรู้เองที่เป็นธรรมชาติแล้วก็ต้องปล่อย
สิ่งที่ถูกรู้คือธรรมชาติทั้งหมดก็ต้องปล่อย มันจึงจะว่างหมด
จึงเรียกว่าอยู่กับว่างหมด
จิตอยู่กับความว่าง คือว่างจากตัวตนของตน (ไม่ใช่ว่าง ไม่มีอะไร)
จิตอยู่กับ ปรมานุตรสุญญตา คือว่างถึงที่สุด
ถ้าเป็นภาษาไทยก็พูดว่า ว่างหมด หรือภาวนาว่า สิ่งทั้งปวงว่างหมดๆ นี้
เราเรียกบุคคลผู้นั้นว่า พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์
ท่านก็เป็นพ่อของพวกเรา ท่านเป็นพี่ของพวกเรา
เพื่อจะชี้ทางให้พวกเราเดินตาม แบบพี่สอนน้อง
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ เรียกว่าปฏิบัติเพื่อออกจากคุก คือโลกนี้
แล้วจิตตัวนั้นก็จะอยู่เหนือโลกที่เราเรียกว่า โลกุตระ นั่นเอง


 
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๑๗  ธันวาคม ๒๕๕๑

พ่อหนุ่ม หลวงพ่อจะบอกความจริงให้พ่อหนุ่มฟัง
เรื่อง อดีตชาติของหลวงพ่อว่า
ในชาติที่หลวงพ่อมีครอบครัว หลวงพ่อเป็นชาวบ้านธรรมดา
แต่หลวงพ่อถือธรรมะข้อที่สำคัญคือ สัจจะเสมอด้วยชีวิต
โดยไม่ยอมเสียสัจจะเป็นอันขาด
ถ้าเป็นหมวดธรรมก็คือ สัจจะ ความจริงใจกับตัวเองและผู้อื่น
พูดอย่างไรทำอย่างนั้น จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทำจนสุดความสามารถ
ถ้าจะว่า ถือสัจจะเป็นชีวิตจิตใจหรือขึ้นสมองก็ได้
ทุกคนจะต้องมีสัจจะ
ถ้าขาดสัจจะแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่กับเราไม่ได้
เพราะรับพระรัตนตรัยแล้ว ก็ไม่เห็นแก่นพระรัตนตรัย เข้าไม่ถึงพระรัตนตรัย
เมื่อเข้าไม่ถึงแก่นพระรัตนตรัย ศีลก็ลมๆ แล้งๆเป็นเรื่องไม่จริงทั้งหมด
เพราะสัจจะ คือจิตที่หนักแน่น มั่นคงด้วยศรัทธาและปัญญา

เมื่อมีความจริงใจแล้ว ถ้าใจวอกแวก ก็มีการข่มใจด้วยวิธีต่างๆ
เรียกว่า ทมะ คือการข่มใจ
ข่มใจมันต้องปวดใจ เจ็บหัวใจก็ยอม เจ็บทั้งภายนอกภายใน
ธรรมะที่ตามมาก็คือ ขันติ คือความอดกลั้นทั้งกายทั้งจิต
ข้อสุดท้ายคือต้องเสียสละ เรียกว่า จาคะ
เช่น การสร้างสำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพตแห่งนี้
หลวงพ่อตั้งใจว่าอย่างไรเสียต้องสร้างให้เสร็จ และต้องมีการปฏิบัติด้วย
ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติเมื่อสร้างแล้ว หลวงพ่อปฏิบัติองค์เดียวก็ยอม
จะขอเอาชีวิตนี้เข้าแลก ถึงตายก็จะยอมตาย นี้คือ สัจจะ
ฉะนั้น เพราะสัจจะนี้
ในชาติหนึ่ง หลวงพ่อเกิดเป็นคนธรรพ์ที่บนเขานี้
แล้วเขยิบเป็นเทพ และมีการโหวตเสียงกันให้ไปเกิด
หัวหน้าเทพโหวตเสียงแล้ว ก็เลือกเทพหลวงพ่อให้ไปเกิดที่บ้านหัววัง
ให้เข้าไปจุติในท้องโยมแม่
เพราะครอบครัวมีโยมพ่อและโยมแม่เป็นคนวัดคนวา และเป็นคนใจบุญ
ลูก ๑๒ คน มีใจบุญอยู่แต่หลวงพ่อคนเดียว
นอกนั้นก็ใจบุญธรรมดาทั่วๆ ไป และเมื่อเขาเลือกให้หลวงพ่อเข้าท้องแล้ว
เขาก็ให้นิมิตเอาไว้ด้วยว่า โยมแม่ได้ดอกบัวสองดอก แต่ยังไม่เบ่งบาน
โยมแม่ตื่นมาก็ดีใจว่าจะได้ลูกแฝด เสร็จแล้วก็ไม่ใช่ กลับเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อเทพนำไปเข้าท้องแล้ว ก็มารออยู่ที่เขาวังเนียง หรือวังสันติบรรพตนี้
ทั้งเทพ ทั้งคนธรรพ์ เต็มไปหมดหลายร้อยหลายพันคน
มารอหลวงพ่ออยู่ที่จุดนี้ เพื่อให้หลวงพ่อทำงานที่เทพทั้งหลายกำหนดเป็นเปลาะๆ
พอถึงเวลา เปลาะสุดท้าย ดอกบัวประจำชีวิตของหลวงพ่อก็จะบาน
เพราะรู้ธรรมชาติของพระพุทธเจ้า
แล้วดอกบัวดอกที่สองเป็นบริวารของหลวงพ่อ ไว้สำหรับแจก
แล้วดอกบัวเหล่านี้แจกเท่าไหรไม่หมด
จากดอกเดียวก็เป็นหลายๆ ดอก
จะค่อยๆ บาน จนเต็มสระ เต็มหนองน้ำ ดูสะพรั่งสวยงามทั้งกายทั้งจิต
ก่อนที่ดอกบัวหลวงพ่อจะบาน
พ่อในชาติก่อนที่เป็นเทพก็จะมาเปิดตัวน้องสาว ที่เป็นลูกสาวเจ้าเมืองในชาติไหนก็ไม่รู้
คือเทพที่เป็นพ่อ และเทพที่เป็นน้องสาว เขาก็บอกว่า
มารอหลวงพ่ออยู่หลายร้อยปีแล้ว น้องสาวบอกทั้งน้ำตาที่ไหลด้วยความปิติ
ที่มาพบพระพี่ คือหลวงพ่อ
หลวงพ่อก็พลอยน้ำตาไหลไปด้วย ด้วยความสงสาร
แล้วถามว่าน้องมาเฝ้าอะไรอยู่ตั้งหลายร้อยปี
น้องบอกว่า มารอพระพี่ และมาเฝ้าเพชรเจ็ดสีอยู่
เลยบอกไปทันทีว่า เพชรเจ็ดสีนั้น คือรัศมีพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติธรรมเถอะแล้วจะได้
แล้วเลยบอกน้องสาว คือเจ้าแม่บุปผาว่า
เมื่อเป็นน้องสาว ก็มาให้พระพี่เห็นหน้า เขาก็มาแสดงให้เห็น
เป็นฝาแฝดสองคน ผมยาว เป็นคนผิวขาวสวย
ห่มสไบเฉียงเป็นผ้าสีตองอ่อน ผ้านุ่งเป็นสีตองแก่
พออีกครั้งก็มาใส่บาตร ถือถาดเงินลูกกลมๆ ไม่ใหญ่นัก ใส่ขนมแบบในวัง
มาใส่ในมุ้งเลย เกือบจะมาชิดตัวแต่ไม่ชิด

น้องสาวเป็นห่วงมาก น้องยังพูดอีกกับญาติโยมที่มานั่งฟังในตอนกินเจปีที่เก้าว่า
ถ้าพระพี่ของเจ้าแม่ทำผิดพูดผิดอะไร เจ้าแม่จะรับผิดเอง
อย่าถือผิดอะไรพระพี่
เพราะพระพี่พูดจริงทำจริง พูดอะไรตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม
น้ำตาไหลที่ตรงนี้เอง เพราะเราเองทำให้เขาเสียเวลามารออยู่ตั้งหลายร้อยปี
ทั้งอาม้า เจ้าแม่กวนอิมท่านก็บอกอีกว่า
ในชาติหนึ่ง ท่านเป็นแม่ แต่ไม่ใช่ชาติสุดท้าย
ส่วนร่างทรงก็เป็นน้องสาวอีก
ในการกินเจปีที่เก้านี้อะไรก็เปิดออกมาหมด
ยิ่งพอดอกบัวบานทั้งสองดอก อะไรก็ออกมาหมด ได้รู้อะไรแปลกๆ
คนธรรพ์เป็นร้อยเป็นพันก็เป็นญาติกันทั้งนั้น ที่มารอหลวงพ่ออยู่ที่นี่
ส่วนหลวงพ่อเกิดแล้วก็ต้องทำการบ้าน ด้วยการออกจากบ้านตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี
ไป ๕ เดือน ไปเรียนนักธรรมบาลี โดยไม่รู้ว่าเป็นการแก้โจทย์
ที่เทพทั้งหลาย หรือหัวหน้าเทพกำหนดไว้ให้ เรียนภาคทฤษฎีจบ
ไปอยู่กรุงเทพฯ พักหนึ่ง ประมาณ ๒ ปี ก็กลับมา สึกรับกรรมต่อ
ผจญภัยด้วยตัวเอง แล้วก็กลับมาใหม่ด้วยการตั้งจิตอธิษฐานว่า
ในชาตินี้จะต้องบวชกับพระอรหันต์
จนรู้ข่าวจากหนังสือคู่มือมนุษย์ ก็คิดเอาเองว่า
ท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแน่
เมื่อผลงานออกมาอย่างนี้จึงตัดสินใจไปหาท่าน แล้วขอบวช
กว่าจะได้บวชต้องฝึกชดใช้กรรม

จนพอ ได้เวลา ๑๐ ปี ๓ เดือน ๑๕ วัน ก็ได้บวช
อยู่กับท่าน ๒ พรรษาก็ลาจาก มารับกรรมหนักด้วยการมาอยู่วัดคูหาสวรรค์
เพียงไม่นาน
ทั้งบุญทั้งกรรมชักนำมาด้วยอำนาจแรงอธิษฐาน
จึงพบวังเนียงหรือวังสันติบรรพตนี้
ตกลงใจว่า เราต้องปฏิบัติบนนี้ สร้างบนนี้ ต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ยอม
ทั้งทำ ทั้งปฏิบัติ ทั้งสอน ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า
เมื่องานก่อสร้างเพลา ก็เอาปฏิบัติอย่างเดียว
จนดอกบัวของตัวเองที่อยู่ภายในร่างกายนี้บาน
แล้วต่อมา ดอกบัวดอกที่สองก็ค่อยๆ ทยอยบาน
ส่วนคนธรรพ์ หรือเทพที่อยู่บนนี้ พร้อมทั้งโยมแม่ในชาติปัจจุบัน ก็สบายกันหมดแล้ว
ดอกบัวดอกที่หนึ่งบาน ดอกที่สองก็ค่อยๆ ทยอยบาน
ออกต่างจังหวัด แถวกรุงเทพฯ แถวภาคกลาง
คนกำลังตื่นตัว ตอนนี้ก็ขอให้ตื่นตัว
และให้ดอกบัวบานไปเรื่อยเถิด
ส่วนหลวงพ่อ ตอนนี้ก็รู้ตัวว่า
อยู่ระหว่างญาติที่เป็นเทพ เป็นคนธรรพ์ และอาม้า เจ้าแม่กวนอิม
และที่สำคัญ คือทำงานด้วยการช่วย เหลือผู้อื่น
เท่าที่ความสามารถมี

พ่อหนุ่มนี้  หลวงพ่อทำงาน พ่อหนุ่มก็ทำงาน
ทุกคนช่วยกันทำงาน เพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่น
และก็อย่าลืมทำงานด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น
คือทำงานด้วยจิตว่างเถิด จะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
และก็ให้อยู่กับจิตว่างตลอดไป จนชีวิตหรือ ร่างกายหมดอายุขัยเถิด



สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒


อยู่กับจิตว่างตลอดเวลาก็ว่าได้
เมื่อวานซืน เช้ามืดวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๒ โดยปกติจะนอนที่พื้น
พอตื่นตีสามหรือสามครึ่ง จะลุกขึ้นนั่งสมาธิบนเตียงที่โยมยินดี ทำถวาย
นั่งเสร็จกลับนอนลงไปอีก แต่เที่ยวนี้นอนบนเตียงที่นั่งสมาธินั้น
เกิดนิมิตขึ้นมาว่า ห่มจีวรเรียบร้อย จับบาตรเพื่อจะเอามาคล้องบ่า
พร้อมย่ามประจำ เพื่อจะออกไปบิณฑบาต
มีเสียงหนึ่งซึ่งไม่มีเจ้าของเสียงปรากฎ เจ้าของเสียงอยู่ไหนก็ไม่ทราบได้
พูดออกมาว่า เขาใส่ลูกหรือผลมะตูม พอได้ยินก็ตื่นเลย
ฝันเองทำนายเองว่า เอ้า เรานี้มันจะดังอีกแล้ว
เพราะมีคนเอาหนังสือไปอ่าน เอาแผ่นซีดีไปฟังมากมาย
และคำสอนไปปฏิบัติกัน และทางวัตถุก็กำลังสร้างปรินิพพานวิหารอยู่
พร้อมกับกำลังทำลิฟท์ทางขึ้นเขาเพื่อจะได้สะดวก
เพราะสงสารตัวเองที่อยู่บนภูเขานี้มา ใช้เวลาเริ่มจะเข้าสามสิบสี่ปีเข้านี้แล้ว
ร่างกายก็อ่อนแรงลงตามอายุสังขาร
ร้องเพลงรอลิฟท์จากนายกเทศมนตรี และผู้ว่าราชการจังหวัดมาก็สองปีเต็มๆ แล้ว
ก็ไม่ปรากฏผลออกมา ก็เลยตั้งใจจะทำเอง ก็เริ่มต้นเลย
คิดว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๒ นี้ก็คงจะใช้ได้ ในวงเงิน สามแสนกว่าบาท
เพราะช่างพันเขาไม่คิดค่าก่อสร้าง เรื่องค่าแรงเขาจะไม่ให้หลวงพ่อพูด
เพราะเขาตั้งใจจะช่วยจริงๆ ก็ขออนุโมทนาในโอกาสนี้ด้วย
คิดว่าคงจะไม่นานเกินรอ ก็คงจะได้นั่ง ขึ้นลงครั้งละสองคน
ปีนี้อายุก็เริ่มจะเจ็ดสิบสามปีแล้ว เมื่อก่อนใช้เวลาขึ้นเพียงเจ็ดนาที
ตอนนี้ต้องกินเวลาสิบห้านาทีแล้ว
สงสารสังขารจึงจำเป็นต้องทำแล้ว และจะต้องทำให้ได้
ทีนี้ในเรื่องเว็บ คุณนก เขาก็ออกทางทีวี
คุณประเสริฐก็เอารูป เอาผลงานทางซีดี ไปโชว์เสมอเมื่อเข้าภาคปฏิบัติทุกๆ ครั้ง
โดยเฉพาะ ก็คือเรื่อง ตื่น
จึงทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับฟังซีดีเรื่องนี้ทุกๆ จังหวัดที่จัดเข้าปฏิบัติธรรม
ในส่วนสำนักพุทธศาสนาก็มาเยี่ยมพร้อมผู้ว่าราชการจังหวัด
และได้เอาผลงาน เช่น หนังสือที่หลวงพ่อเขียนตอนเช้าๆ
และเอาซีดี ไปฟังเพื่อพิสูจน์
วันนี้ก็ให้ลูกน้องมาขอประวัติและผลงานโดยละเอียดไปเผยแพร่อีกส่วนหนึ่ง
นี้คือความฝันที่กำลังจะเป็นจริง
แต่หลวงพ่อก็ไม่ได้ดีใจ เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น
และส่วนที่หลวงพ่อต้องการ ไม่ใช่ให้ชื่อเสียงหลวงพ่อโด่งดัง แล้วจะได้มีลาภ มียศ
แต่ที่ต้องการจริงๆ นั้น
ต้องการให้เพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เอาธรรมะไปปฏิบัติให้เข้าใจ
และปลดเปลื้องความทุกข์ที่อยู่ในใจได้สร่างซาลงไปบ้าง
แม้แต่สักนิดหนึ่งก็ยังดี แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ
ฉะนั้นธรรมะจริงๆ
หลวงพ่อ ต้องการให้ดังอยู่ภายในจิตของผู้อ่าน ผู้ฟัง
ได้ประสบกับความสงบเย็นในจิตในใจ
แล้วให้ดังอยู่ในใจของผู้ปฏิบัติเอง
ถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่า ธรรมะนั่นแหละดัง
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม
ธรรมะนั่นแหละ เป็นองค์พระพุทธเจ้า
และพระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นมาจากพระธรรม พระอริยสงฆ์
หรือพระอรหันต์ทั้งหลายก็เกิดขึ้นมาจากพระธรรม พระพุทธ พระอริยสงฆ์
ก็คือพระธรรมตัวเดียว พระธรรมที่สูงสุด
ก็คือจิตที่สงบเย็น เรียกว่าเป็น นิพพาน
ถ้าพวกเรามีธรรมะดังอยู่ภายในแล้ว
มันดังตลอดจนผู้นั้นเสียชีวิตคือร่างกาย
และก่อนที่ชีวิตคือร่างกายดับ กิเลสดับไปก่อนแล้ว
เมื่อกิเลสดับที่จิตนั้น ธรรมคือความสงบเย็นก็เข้าไปแทนที่
และผู้ที่มีจิตที่สงบเย็นเช่นนี้
กว่าชีวิตคือร่างกายเขาจะดับลง เขาก็ได้ถ่ายถอดวิทยายุทธให้ผู้อื่นต่อไปอีก
ถ้าเขามีความสามารถ ทั้งคำสอน และหนังสือ
แม้แต่เขียนเป็นภาพปริศนาธรรมก็ได้ สุดแล้วแต่ความถนัดที่เป็นทุนเดิม
แต่เขาก็สามารถแทรกเข้าไปได้ทุกๆ โอกาส

ทั้งในการพูด การแสดงออกทางการกระทำ และในความคิดของเขา
นี้คือ ผู้ปฏิบัติธรรมตัวจริง ต้องเป็นอย่างนี้
จึงขอพูดซ้ำๆ อีกว่า ให้ธรรมะนั่นแหละดังอยู่ภายในของทุกคนที่นำไปปฏิบัติ
ไม่ใช่ให้บุคคล หรือพระองค์นั้นดัง ให้เข้าใจว่า ธรรมะดัง
อ้ายเรื่องคนดังๆ อีกไม่นานก็ดับ
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ดังตลอดกาล ไม่สิ้นสุดจนถึงทุกวันนี้ ท่านยังดังอยู่
แต่พวกเรามีกิเลสหนา จึงยากที่จะได้ยิน
เพราะขี้หูมันอุดรูหู มันจึงหูหนวก ต้องควักเอาขี้หู

คือตัวกูที่มันเข้าไปอุดออกไปให้เกลี้ยง มันจึงจะได้ยินเสียง
พุทธํ ธมฺมํ สงฆํ ชัดเจน เข้าใจ แจ่มแจ้ง
จิตตัวนั้นมันจึงจะ ดับ สงบ เย็น สมกับที่เป็นชาวพุทธโดยแท้
และดังอยู่ภายในตลอดกาล ไม่ว่างเว้น นี้แหละคือชาวพุทธตัวจริง
            
       
      

สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต อ.เมือง พัทลุง
วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒


พ่อหนุ่ม จะบอกการปฏิบัติให้พ่อหนุ่มอีกอย่างหนึ่ง
ให้เอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้เลย
คือคนทุกคนแต่ละวันจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ตาม เขาจะอยู่ในอิริยาบถสี่
คืออิริยาบถหนึ่ง คือ ยืน แต่ว่ายืนนั่นส่วนน้อย
เดิน เช่นเดินออกนอกบ้านไปขึ้น รถ หรือเดินเที่ยวเดินออกกำลังกาย
เดินชมของในศูนย์การค้า หรือเดินชมต้นไม้ในบ้านเป็นต้น
นั่ง หรืออิริยาบถนั่ง เราต้องนั่งทำงาน นั่งกินอาหาร นั่งพักผ่อนหย่อนใจ นั่งเล่น
อิริยาบถนอน นอนเล่นๆ นอนจริงๆ นอนให้หลับ
คนหนึ่งๆ ก็มีสี่อิริยาบถ

ฉะนั้นในทุกอิริยาบถ เราใส่องค์ภาวนาเข้าไป
เช่นนั่งทำงานนี่ให้เข้าใจว่า นั่งนั่นก็ว่างจากตัวกูผู้นั่ง
เป็นเพียงสักว่าธาตุชนิดหนึ่งที่กองอยู่บนเก้าอี้
แล้วมือก็เขียนหนังสือไป สมองก็ทำงานไป ทำไปว่างๆ
โดยไม่มีตัวกูผู้กระทำ หรือทำโดยไม่ต้องมีตัว
มีแต่ธาตุว่างกับงานว่างเท่านั้น แล้วจะทำงานเพลิน
เหมือนเด็กๆ เล่นกีฬา
เมื่อไม่มีตัวกูผู้เล่น มีแต่ธาตุอย่างหนึ่งที่แกว่งไปแกว่งมา
เพื่อจับลูกวอลเล่ย์บอลใส่ให้ตรงห่วงด้วยสมาธิ
เป็นการฝึกสมาธิให้ชำนาญ
เป็นการฝึกทักษะหรือปัญญาในการตัดสินใจให้แม่นยำ
อย่างนี้ก็ต้องอาศัยจิตว่างในการเล่น
มีทั้งสมาธิและปัญญาที่ต้องเอามาใช้ ก็ออกจากจิตว่างทั้งนั้น
เรียกว่าเล่นด้วยความว่าง เล่นเพลินแล้วก็สนุกด้วย
เพราะไม่มีตัวกู เรียกว่าว่างจากตัวกู ไม่ใช่ว่าโยนลงไปลูกไม่ลงห่วงแล้วเจ็บใจตัวเอง
ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างนั้นไม่สนุกแล้ว
ตัวกูเกิดแล้ว ทุกข์เกิดแล้ว จิตไม่ว่างแล้ว สติปัญญาขาดแล้ว
เช่น ทีมบอลของประเทศไทย ส่วนมากตอนแรกจะได้ลูกนำไปก่อนหนึ่งลูก
แล้วฝ่ายตรงข้ามก็พยายามเล่นด้วยจิตนิ่ง จิตว่าง ใช้สติปัญญากำกับอย่างดี
จนได้ลูกเสมอกัน ๑-๑
พอต่อไปฝ่ายตรงข้ามก็โหม่งเข้าอีก เป็นสองต่อหนึ่ง ของไทยก็ใจผิดปกติแล้ว
เล่นกันไม่เป็นขบวนการแล้ว จิตไม่นิ่งแล้ว สมาธิหายหมดแล้ว ปัญญาก็หดหายไปหมด
ผลออกมาก็คือแพ้
นี่เห็นไหม? จิตไม่นิ่ง สมาธิไม่เกิด ปัญญาก็หดหายหมด
เพราะเขาไม่ได้เล่นด้วยจิตว่าง เล่นด้วยจิตที่เป็นตัวกูที่แพ้

เราดูข้างนอก ว่าแพ้แก่คู่แข่ง
แต่ตามจริงแล้วเขาแพ้แก่จิตของเขาเอง
คือแพ้แก่ตัวกู
พอมีตัวกูก็โยนลูกไม่ลงบ้างเพราะขาดสมาธิ ปัญญา ทักษะ
โหม่งลูกไม่เข้าประตูบ้าง เพราะขาดทั้งสติและปัญญา พร้อมสมาธิ
เขาก็แพ้จิตเขาเอง
ถ้าต่างคนต่างขาดสมาธิและปัญญา ขบวนการก็เสียหมด
จิตรวนเร กายรวนเร ทำให้ขบวนการรวนเร
ผลสุดท้ายแพ้แก่ตัวเอง  เพราะไม่ได้ฝึกจิตมา
ฝึกแต่ทักษะภายนอก มันไม่พอหรอก
เมื่อเล่นด้วยจิตไม่ว่าง
ทำงานก็เหมือนกัน ถ้าเริ่มนั่งทำงานแล้วมีตัวกูมันก็เกิดเบื่องาน
ความทุกข์มันก็เกิดขึ้นทันที เรียกว่าทำงานด้วยจิตวุ่น
เพราะมีตัวกูเป็นผู้กำกับ
ถ้าทำงานด้วยจิตว่างมีสติปัญญากำกับ ทำงานเพลิน ทำงานสนุก
แล้วก็เป็นสุขกับงานที่ทำนั่น เรียกว่าทำงานด้วยจิตว่างจากตัวกู
พอไปถึงอิริยาบถนอน  ก็อย่าคิดว่ากูนอน
มันเป็นธาตุอย่างหนึ่ง ที่มันกองอยู่บนเตียง
มันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็น สุญญตา
มันต้องนอนว่างๆ
ภาวนาว่านอนว่างๆ
คือว่างจากตัวกูผู้นอนนั่นเอง

ถ้าปฏิบัติอย่างนี้อีกไม่นานก็เข้าใจธรรมะ
รู้ธรรมะ ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เป็นการปฏิบัติในการทำงาน หรือเป็นการปฏิบัติใน
ชีวิตประจำวันได้ แม้แต่นั่งรถเมล์ หรือยืนบนรถเมล์
หรือยืนรอรถเมล์ ก็ปฏิบัติธรรมได้เยอะแยะ ถ้ารู้จักปฏิบัติ
แต่ถ้าขับรถส่วนตัว รถติดครึ่งชั่วโมงหนึ่งชั่วโมง ก็ปฏิบัติกันเสีย
ไม่ใช่นั่งตกนรกร้อนใจอยู่หนึ่งชั่วโมงหรือครึ่งชั่วโมง
มีแต่ขาดทุน หรือได้คิดอะไรก็นั่งใจลอยอยู่ ก็คงไม่เป็นประโยชน์เช่นกัน

ประการที่สอง
ถ้าเราอยากรู้ว่าคนที่เป็นฆราวาสก็ดี พระก็ดี  
ที่เขาปฏิบัติถึงธรรมแล้ว ให้เราสังเกตดู
๑. ยิ้มอยู่ตลอดเวลา คือ ยิ้มอยู่ในจิตออกมาข้างนอกนิดๆ

๒. ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เป็น หน้าจะแจ่มใส จะเป็นปกติ
           ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ บังคับใจไม่ให้ยินดี ยินร้ายได้ แล้วก็วางเฉย

๓. ความโลภจะไม่มี เมื่อไม่มีความโลภ ความโกรธจะมาจากไหน
เพราะจิตไม่ทะเยอทะยาน จิตใจคงที่ตลอดเวลา

๔. จิตของพระอริยบุคคลนั้น จะเดิน จะนั่ง จะยืน จะนอน
ก็อยู่กับความว่างทุกอิริยาบถ โดยเป็นเองโดยอัตโนมัติ
๕. รูป เสียง ฯลฯ เข้าทาง ตา หู ก็เห็นว่าเป็นเช่นนั้นเอง
ไม่มีอุปาทานเข้าไปยึดถือ  เห็นเป็นของว่างเพราะจิตว่างอยู่ภายใน
แล้วแสงแห่งความว่างก็สอดลอดออกมาภายนอก ก็ชวนกันว่างหมด

๖. ท่านอยู่กับจิตว่าง

๗. เมื่อท่านอยู่กับจิตว่าง ก็อยู่กับโลกภายในว่าง โลกภายนอกว่าง
โลกคือแผ่นดินก็ว่าง จักรวาลทั้งจักรวาลก็ว่างหมด
สุดท้ายทั้งหมด ทั้งเล็กสุด ใหญ่สุด ก็ถูกควบคุมด้วยความว่าง
    
          
พวกเราไปทัศนาจร ไปศึกษากันประมาณ ๑๐ ชีวิต
ไปไหน  ไปประเทศเมียนม่าร์หรือพม่านั่นแหละ
ดูแล้วทั้งประเทศมีแต่พระเจดีย์ ไปตรงไหนซอกไหนมุมไหนก็เห็นมีแต่เจดีย์
มีเจดีย์เล็กบ้างใหญ่บ้าง ตามอำนาจคุณทรัพย์
เขาก็บอกว่าในเจดีย์นี้มีเส้นผมพระพุทธเจ้า เจดีย์นั้นอีกก็มีเส้นผมพระพุทธเจ้าอีก
แสดงว่าเส้นผมพระพุทธเจ้ามากองอยู่ที่ในประเทศพม่านี่เอง
แสดงว่าพม่านับถือของสูงสุด
และที่เราไปดูกันทุกๆ ที่ ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็ไม่มีที่ไหนเท่ากับพระธาตุอินแขวน
ยิ่งตอนเช้าเย็น คนจะขึ้นลงฝักไฝ่มากเป็นร้อยหลายๆ ร้อย
ถ้าตอนหัวค่ำหน่อยก็คงจะเหยียบพัน
เหลือระยะทางประมาณสามกิโล ห้ามรถขึ้น
พวกที่เดินก็เดินกันไป พวกไม่เดินก็ต้องควักสตางค์กันหน่อย มีคนรับอาสาหาม
สี่คนต่อหนึ่งคน หามกันเหมือนคนอินเดียตอนที่เอาไปเผาที่แม่น้ำคงคาอย่างนั้น
แต่ที่นี่คนถูกหามยังกระดุกกระดิกได้อยู่ยังไม่ตาย
คนๆ หนึ่งก็ตกราวๆ ๔๐๐-๘๐๐ บาท หวาดเสียว
ถ้าคน ๔ คนนั้นพร้อมใจกันแล้วทิ้งคานหามไม้ไผ่พร้อมกัน
รับรองว่าเคล็ดแน่นอนเลย
พอไปถึงก็เข้าพักโรงแรม ก่อนถึงโรงแรมก็มีบ้านชาวเขาติดถนน ขายของ
ส่วนมากก็มีของชำร่วย ถ้าท่านหิวน้ำ อย่าเพิ่งวิ่งไปหาโค้กเด็ดขาด
จะโดนโขกขวดหนึ่งเทียบเงินไทยแล้ว ราคาถึงร้อยบาท
จะบอกให้ มีคนโดนมาแล้ว ผู้เขียนเองก็เกือบไป
แต่บุญบารมีที่เงินไม่อยู่กับตัว ไม่ยังงั้นสงสารคนหาม
หยุดตั้งสองสามครั้ง ตอนหยุดนั้นแหละเมตตาโง่มันมา
แล้วจะโดนชาวเขามันต้มเอาจุกเลย เพราะคิดว่าราคาโค้กเหมือนบ้านเรา
พอเมตตาซื้อเลี้ยงเขา แรงสงสารนี้แหละทำให้กระเป๋าฉีก
พอไปถึงเข้าที่พักจัดกระเป๋า อาบน้ำอาบท่า เวลาก็ใกล้โพล้เพล้
ก็รีบเดินกันไปอีก หนทางไม่เรียบ ต้องปีนบันไดกันไปเรื่อย แต่ไม่เป็นไร
ปีนบันไดจากวังเนียงเตรียมพร้อมไปแล้ว ๔๔ ปี กว่าจะมาที่นี่
เดินกันไปพลางชักรูปกันไปพลาง
คนยิ่งหนาตาขึ้น ก่อนถึงพระธาตุอินแขวนก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้

พระธาตุอินแขวนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ อันดับที่เจ็ดของโลก
ไม่ใช่พระอินทร์เอาก้อนหินไปแขวนไว้หรอก
เป็นก้อนหินใหญ่ประมาณ ๔-๕ เมตร ตั้งอยู่บนก้อนหินอีกก้อนหนึ่ง
และไม่ได้ติดกัน ทำท่าจะตกแต่ก็ไม่ตก ทำให้ผู้ดูหวาดเสียว
เขาเอาเจดีย์ไว้ข้างบนอีก
จึงบอกว่านั่นแหละ อะไรๆ ก็เจดีย์
แกงเจดีย์ ต้มเจดีย์ ยำเจดีย์ ทอดเจดีย์ ลาบเจดีย์ เจดีย์ทั้งนั้นนับไม่หมด
เจดีย์ทั้งเมือง น่าจะชื่อเมือง เจดีย์ ควรเปลี่ยนจากเมืองพม่าเป็นเมืองเจดีย์ให้รู้แล้วรู้รอดไป
จะได้หมดเรื่อง

พระธาตุอินแขวน เขาบอกว่าพระอินทร์เอามาแขวนไว้
แกเอามาแขวนไว้ทำไมทำให้คนหวาดเสียวก็ไม่รู้
เราดูตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ เพราะเรารู้ไม่ถึง
ไม่เคยเรียนมาทางด็อกเตอร์ รู้แต่เพียงว่า
เราทุกคนที่เดินได้ ยืนได้ นั่งได้ นอนได้ ทำอะไรอยู่ได้ แต่ไม่ล้มไม่ตกไปนอกโลก
เพราะแรงดึงดูดของโลก แล้วโลกเองละใครดึงดูดเอาไว้
เข้าตาจนถ้าถามแบบนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลา
ท่านจงมีสติมองโลกโดยความเป็นของว่าง
ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าตัวกูออกไปเสีย
จึงจะไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะหมดตัวกู
ทุกคนไม่เข้าใจว่าตัวเองแขวนอยู่บนความว่าง คือว่างจากตัวตนของตน
ความเจ็บ ความตายเป็นขบวนการของธรรมชาติ
ให้ศึกษามันแล้วแยกได้ ถ้าเห็นความว่างแล้ว จิตนั้นก็ว่าง
เมื่อจิตว่างทุกอย่างว่างหมด ไม่ใช่ว่าง ไม่มี
ว่างมีทุกอย่าง ว่างอยู่ในมี มีก็อยู่ในว่าง
แต่ต้องปฏิบัติให้จิตเห็นจิตว่าจิตเองก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
และเห็นสุดยอดคือ สุญญตา คือความว่างจากตัวตน
ทุกอย่างเอา อนิจจัง อนัตตา เข้าไปจับจะว่างหมด
แล้วที่บอกว่าเราทุกคน วัตถุทุกอณุปรมาณู ตั้งอยู่บนความว่างทั้งนั้น
ถามว่าโลกนี้ตั้งอยู่บนอะไร
ก็โลกตั้งอยู่บนความว่าง
สัตว์โลก สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตก็ตั้งอยู่บนความว่าง
เราตาบอดเองจึงมองไม่เห็น เพราะไม่ปฏิบัติธรรม
จึงดูอะไร เห็นอะไรน่าอัศจรรย์ไปหมด
เมื่อโลกภายในว่าง คือ ตา หู ฯลฯ
โลกภายนอกคือ รูป เสียง ฯลฯ วิญญาณ ผัสสะ เวทนาก็ว่างไปหมด
คนจึงไม่มี
ความตายจะมาจากไหน ความ เจ็บ ความแก่จะมาจากไหน
มันล้วนแต่ ไม่ใช่กู ไม่ใช่กู ทั้งนั้น
จิตประเภทนี้เป็นจิตที่อยู่กับความว่างอย่างเดียว

เราดูดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลกจักรวาล
มันก็ตั้งอยู่บนความว่างทั้งหมดเลย
จะนับประสาอะไรกับก้อนหินพระธาตุอินแขวนนิดเดียว
ก็ไม่น่าสงสัยว่า ก้อนหินพระธาตุอินแขวนก็ตั้งอยู่บนความว่าง
แต่คนไม่ปฏิบัติธรรม
ไม่รู้จัก อนิจจัง อนัตตา
สุญญตา คือความว่างจากตัวตน
จึงเห็นเป็นอัศจรรย์ไปหมด ทึ่งไปหมด
เขาเรียกภาษาพระว่ามี อุจธทจะ คือความทึ่ง

ความทึ่งนี้พระอรหันต์เท่านั้นจะละได้
พระโสดา สกิทา อนาคา ยังละไม่ได้
ฉะนั้นเมื่อยังไม่ปฏิบัติธรรม
ก็ควรปล่อยคนพวกนั้นให้ทึ่งไปก่อน   แล้วทึ่งจนตายก็ไม่หายทึ่ง
คิดว่าผู้อ่านผู้ปฏิบัติคงจะเข้าใจ แล้วก็รีบปฏิบัติ
ให้หมดความทึ่งกันเสียที จะได้เห็นความว่าง

              
สำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต เมืองพัทลุง
๙ เมษายน ๒๕๕๒
กราบ พระเดชพระคุณ ท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

พระเดชพระคุณท่านอาจารย์ได้จากไปนานแล้ว
แต่เกล้า อยากจะแสดงออกเพื่อจิตวิญญาณที่ยังเหลืออยู่
โดยเมตตาคุณ ต่อศิษย์นั้นอยู่ตลอด
แม้แต่พระเดชพระคุณได้ละสังขารร่างกายไปนานแล้วก็ตาม
แต่ในความรู้สึก พระเดชพระคุณยังมาช่วยแนะนำ
และคุ้มครองศิษย์อยู่ตลอดเวลา

ตั้งแต่พระเดชพระคุณยังหายใจอยู่
ก็เคยเรียกศิษย์ไปบอกว่า ปรมานุตรสุญญตา นั้น คือว่างถึงที่สุด
ในตอนนั้นเกล้า ผู้เป็นศิษย์ก็ยังหูหนักอยู่
คงจะยังเด็กเกินไป สำหรับการปฏิบัติ
เพราะพระเดชพระคุณเคยถามว่า เธออายุเท่าไหร่แล้ว


กราบเรียน ท่านว่า ยี่สิบห้าปี
พระเดชพระคุณก็ได้พูดว่า เธอยังเด็กเกินไป
ก็จริงเหมือนที่พระเดชพระคุณบอก
ท่านบอกว่ามันต้องสามสิบห้าปีคนจะรับผิดชอบ
แต่ถ้าสามสิบห้าปีแล้วยังไม่รับผิดชอบ
ชีวิตนี้จะล้มเหลวหมด ท่านบอกอย่างนั้น

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็เรียกให้มาดูว่า
เธอดูหนังสือเซนเล่มนี้ซิ
ที่หน้าปกมีลูกพลับอยู่ห้าลูกตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างๆ
ท่านบอกว่าหมายถึง ขันธ์ห้าที่ไม่ถูกอุปาทานยึดถือ
ก็คือขันธ์ห้าที่ เป็นธรรมชาติ ที่เป็นบริสุทธิขันธ์
ต่อมาอีกวันหนึ่ง อาตมาตั้งสำนักวิปัสสนาหลายปีแล้ว
มีอะไรก็จะไปกราบเรียนถามท่านเสมอ
วันนั้นก็มีข้อข้องใจ ไปเรียนถามท่านว่า
ท่านอาจารย์ครับ
พระอรหันต์นั้นท่านมีจิตเป็นอย่างไร
ท่านก็ตอบทันทีว่า พระอรหันต์นั้นไม่มีอารมณ์
ท่านตอบแค่นี้เอง อาตมาคอแห้งเลย

พูดกับท่านเสียงแบบแหบๆ เครือๆ เพราะมองไม่เห็น
จนอยู่มาอีกหลายปี ท่านป่วยหนัก
ไขมันเข้าไปอุดตันในสมองท่าน จนท่านจำอะไรไม่ได้
พออาตมารู้เข้าก็ไปเยี่ยมท่านทันที
พระทุกองค์ที่เฝ้าไข้ สัญญากันว่า อย่ากราบเรียนท่านว่าอาตมาเป็นใคร
เพื่อจะดูว่าท่านฟื้นความจำหรือยัง
ไปถึงกราบท่านในห้องเล็ก ท่านนั่งบนเตียงคนป่วย
คำแรกที่ท่านพูดออกมาว่า มหาเอี้ยนหรือ
ทุกคนต่างดีใจ เพราะเห็นท่านจำได้แล้ว
ท่านพูดต่ออีกว่า มหาเอี้ยน เราจะตายแล้ว
พอได้ยินคำนั้น ทำให้อาตมาอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง จึงเรียกสติกลับมาได้
แล้วก็กราบเรียนท่านว่า พระเดชพระคุณอายุมากแล้ว
ผลงานก็มีมาก
ถ้าพระเดชพระคุณท่านอาจารย์เป็นอะไรไป
เกล้าจะสืบทอดตามความสามารถที่ทำได้
ท่านได้เปล่งวาจาออกมาว่า
เราขออนุโมนา อนุโมทนา อนุโมทนา สามครั้ง
ท่านอาจารย์ครับ
ตอนนี้เกล้าได้สืบทอดเต็มรูปแบบแล้วทุกประการ
และไม่เคยลืมท่านอาจารย์
ทุกครั้งไหว้พระสวดมนต์ จนกระทั่งก่อนนอน
ก็กราบ โยมแม่ กราบท่านอาจารย์ ไม่เคยลืมแม้แต่สักครั้งเดียว
ท่านอาจารย์ครับ
ตามที่ท่านอาจารย์ได้สอน ศิษย์ทำได้แล้ว
ศิษย์จะทำการสืบทอดจนกว่าชีวิตจะหมดลมหายใจ
เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขที่สงบเย็นของเพื่อนมนุษย์
และธรรมะคือความดับทุกข์ จะได้ไม่สูญสิ้นไปจากโลกนี้
และสุดท้าย
ก่อนที่เกล้าจะได้ลาออกจากวัด เกล้าได้เรียนถามอีกว่า
ถ้าหากว่าเขา ให้ยศพระครู เกล้าจะทำอย่างไร
ท่านก็บอกว่าให้เอาไว้
อยู่ต่อมาอดีตเจ้าคณะภาค ๑๘ ก็ให้ฐานาที่ พระครูวินัยธร จนถึงบัดนี้
เกล้าก็ได้ทำตามที่พระเดชพระคุณแนะนำแล้ว
และเกล้าจะไม่ขอ รับอีกต่อไป
ขอเป็นทาสพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
จนตลอดชีวิต ทั้งร่างกาย และจิตใจ จนหมดลมหายใจ

ด้วยเกล้า
        
(พระมหาทรงศักดิ์ วิโนทโก)
แห่งสำนักวิปัสสนาวังสันติบรรพต บนภูเขาวังเนียง
อ. เมือง จ. พัทลุง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น