ถอดคำบรรยาย หัวข้อ เข้าใจเวทนา ปล่อยวางเวทนา
ถ้าในทุกๆอิริยาบถ....คือความจริงคำว่า อิริยาบถ มันก็เป็นเพียงชื่อเรียกนะ
มันก็คือการเปลี่ยนแปลงของสภาพกายเฉยๆ ถ้าในทุกอิริยาบถ จิตใจเป็นปกติ
อยู่กับวิหารธรรมจนใจเป็นปรกติ
ไม่ว่าจะนั่งสมาธิ หลับตา ลืมตา ลุกขึ้นเดิน หยิบจับ เข้าห้องน้ำ
ใจก็ยังคงสงบเย็นอยู่กับอุเบกขาไปเรื่อยนะ
เพราะฉะนั้นในวันแรกๆ ก็ให้เกิดความรู้สึกเคยคุ้นไปอย่างนี้
ไม่ใช่ไปสร้างความรู้สึกว่า... เฮ้อ นี่ออกจากสมาธิ … ตอนนี้อยู่ในสมาธิ
ทุกอย่างให้เหมือนกับเป็นอย่างเดียวรวด มันก็จะกลับไปสู่ธรรมหนึ่ง
แต่ก็ต้องเห็นธรรมคู่ จนกระทั่งเข้าใจ แล้วก็วางธรรมคู่ ก็จะเหลือธรรมหนึ่ง
แต่เราก็สามารถค่อยๆปูพื้นไปก่อนได้นะ อิริยาบถต่างๆ การกระทบต่างๆ
มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยทั้งหลายนะ
ใจไม่เห็นจำเป็นต้องไปกวัดแกว่งตามเลย
พอจะจินตนาการสิ่งที่ผมพูดได้
ท่านจะเริ่มเข้าใจคำของพระพุทธเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเราเข้าใจตามนั้น
เริ่มต้นก็เห็นจากการเกิดขึ้นดับไปของความสุขความทุกข์ทั้งหลาย
ใจก็จะเข้าสู่อุเบกขา สุดท้าย จากปัญญาที่มันเห็นความทุกข์ความสุขเกิดขึ้น ดับไป
มันก็สามารถลงไปเห็นต่อได้อีกว่า แม้แต่อุเบกขาเองก็เกิดขึ้นดับไปเช่นกัน
จะไปยึดถืออะไรกับอุเบกขา แม้อุเบกขาก็ต้องวางอุเบกขาอีกรอบนึง
ก็เข้าสู่สุญญตาด้วยความสงบเย็น
เส้นทางที่เรามาฝึก เราก็จะฝึกตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อให้เดินทางเข้าสู่ทางที่ลัด สั้น ตรงที่สุด ถึงแม้เราจะอยู่ในเพศของฆราวาส ก็ตาม
แต่คำว่าภิกษุทั้งหลาย ก็คือ ผู้ที่เห็นโทษภัยในวัฏฏะ ไม่ได้แบ่งชนชั้น
อริยมรรคมีองค์ 8 ถึงแม้ว่าการเป็นะภิกษุจะสามารถเดินทางได้สะดวกกว่า
ไม่ได้บอกว่าเร็วกว่า แต่เดินทางได้สะดวกกว่า
เนื่องจากการเนกขัมมะ และก็ไม่เข้าไปยุ่งกับกาม ก็จะสะดวกกว่า
โดยการละฉันทราคะ คือความยินดีพอใจ
ก็เริ่มต้นจากการเข้ามาเนกขัมมะ เอากายพรากออกมาจากบ้านจากเรือน
จากสิ่งที่เคยคุ้นก่อน แล้วก็มาอยู่ที่นี่
จากนั้นก็เริ่มโภชเนมัตตัญญุตา ก็คือเรื่องโภชนาอาหาร
ก็ลดมื้อลดคาวลงเท่าที่จำเป็น
ในหลักสูตรปฎิบัติ ศีลที่เกื้อกูลที่สุดในการปฏิบัติก็คือ ศีลแปด
เป็นศีลที่เกื้อกูล อานิสงส์มากมาย แต่เอาไว้ก่อนนะครับเรื่องอานิสงส์นี้
พระพุทธเจ้าเคยทรงตรัสบอกกับนางวิสาขาในบางพระสูตรไว้ชัดเจน
ผู้ที่ถือศีล 8 จะมีอานิสงส์อย่างไร ซึ่งเอาเถอะ ดีๆทั้งนั้นแหละ
ก็ไม่ได้ถือศีลด้วยอานิสงส์แหละ แต่จะถือศีลด้วยให้เกื้อกูลแก่การปฏิบัติ
ทีนี้ในวันแรก ให้เคยคุ้นกับความสงบ
หลักสูตรนี้ ท่านจะได้ยินผมพูดบ้างไม่พูดบ้าง
ไม่พูด...ท่านก็อยู่กับความสงบไป มันก็เกิดดับเป็นขณะไปนะ อยู่เป็นขณะไป
ไม่ใช่ตอนนี้ฟังบรรยายชั่วโมงนึง ไม่ใช่นะ มันฟังตอนผมพูดแค่นั้นเอง
เมื่อกี้ก็ไม่ได้ฟัง ตอนนี้กำลังฟังอยู่
…. ไม่มีอะไรหรอก …...มีแต่เราไปตั้งขึ้นมาเอง ไปบัญญัติขึ้นมาเอง
เมื่อตอนไม่ได้ฟังจะบอกยังไงว่าไม่ได้ฟัง ^ ^...
เงียบ ถ้าเงียบ
ก็ไม่ได้ฟัง
ไม่ต้องจ้องรอคอยอะไร
การจ้องรอคอย ก็ทำให้ไม่เป็นอิสระ มันก็เป็นทุกข์
อยู่สบายๆนะ 7 วัน เมื่อจิตใจเกิดความผ่อนคลาย สมาธิจะเกิดได้ง่ายมาก
วันนี้เราเข่นเอา เข่นเอาจะให้สงบ
มันถึงไม่สงบ
อยู่ให้อิสระ
ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ที่บ้านท่านก็ไม่มีอะไรแล้ว
ถ้ามี ก็มีอยู่ในใจท่านเอง บ้านก็อยู่ข้างนอก ลูกก็อยู่ข้างนอก
สามีแฟนอะไรก็อยู่ข้างนอกหมด
ถ้าจะมีขึ้นมาก็มีในใจ เฉยๆ ใจดำริขึ้นมาก็มี ไม่ดำริ ก็ไม่มี
ตอนฟังผมก็ไม่มี พอผมพูดถึงก็มี ท่านก็คิดตามขึ้นมา ถ้าตอนไม่คิด ก็ไม่มี
ทุกคนเค้าว่างเค้าอิสระ อยู่ในหน่วยๆๆของเค้า
เรามายึดถือว่าเป็นของเราเอง เราก็เลยทุกข์
ต้นไม้ ใบหญ้า ตึก ว่างจากความหมายของการเป็นตัวตนทั้งสิ้น
มีแต่เรา ที่เข้าไปยึดพอมีเรา ก็มียึด
พอมีเรา ก็มีเค้า มีลูก มีสามี มีภรรยาขึ้นมา
อีตอนไม่ได้ดำริตริตรึก มันก็ไม่มี บริษัทก็ไม่มี เงินในธนาคารก็ไม่มี
ก็เท่ากันหมดน่ะ เราต้องการเท่าไหร่ มากขนาดไหน
เห็นมาอยู่นี่ก็ ปิ่นโตคนละอัน เบาะก็เท่ากัน
จะจน จะรวย ไม่เห็นยุวพุทธจะเคยถามเลยในบัญชีมีเท่าไหร่
สามารถเข้าถึงความเป็นอิสระได้เท่ากันหมด ถ้ามีปัญญา
ถ้าไม่มีปัญญา บางทีคนมีมากกว่า ทุกข์มากกว่า
ถ้าไม่มีปัญญา คนมีน้อย ก็ทุกข์มากกว่า
ถ้ามีปัญญาก็ไม่มีทุกข์ แต่ถ้ายึดปัญญาก็ยังไม่พ้นทุกข์
………………
ไม่รู้เรื่องซะตั้งแต่วันแรกเลย (หัวเราะ ) เดี๋ยวอีก 7 วันมันจะรู้เรื่องมั๊ยนี่ ^ ^
ฟังไปเรื่อยๆ พูดไม่รู้เรื่อง …. ถ้าพูดความจริงมันก็เลยไม่รู้เรื่อง
ถ้าจะให้รู้เรื่องก็ต้องเลี่ยงๆความจริงไปหน่อย ไปอยู่กับปัญญัติหน่อย
ก็จะค่อยๆรู้เรื่องเองนะ
นั่งก็ปวดนะ
ปวดก็อดทน ขันติเป็นธรรมเครื่องเผากิเลส
มีกิเลสก็เลยต้องเผากิเลสนะ
แต่น่าแปลกนะ เผากิเลส แต่ทำไมเราร้อน !
นั่งชม.นึงปวดขาจัง อดทน ๆ
อดไม่ไหวแล้ว มันปวดไปหมดเลย เราอยากเปลี่ยนท่านะ
เผากิเลสแบบไหน ทำไมเราเดือดร้อน ก็เราน่ะแหล่ะ เป็นผลผลิตจากกิเลส
ก็ไอ้ความรู้สึกว่าเป็นเรานี่แหล่ะ คือผลผลิตจากโมหะ
ที่กำลังเผาอยู่น่ะ เผาโมหะอยู่ เผาความเห็นผิดอยู่
ก็ไปยึดกายเป็นของเรา เวทนาเป็นของเรา ทุกอย่างมันเป็นของเราหมด
จะไม่ทุกข์ได้อย่างไรล่ะ
เอาละ มองมาที่เทียนนะครับ
เที่ยนเนี่ยะ ร้อนโดยสภาพใครๆก็รู้
ผมเริ่มจากฝั่งนู้นก่อนนะครับ เห็นเงาในกระจกนะครับ
เห็นเงาของเทียนในกระจก ไฟของเทียน เห็นนะครับ !
เงาในกระจก หรือไฟใน กระจก ร้อนไหมครับ…….. ไม่ร้อน…..
แล้วถ้าตรงนี้ละครับ ( เทียนจริงๆ ) …….. ร้อนนะครับ
แต่ถ้าผมเอามือไปจับในกระจกได้นี่ ไม่ร้อน ถูกมั๊ยครับ
เงาของมัน ไม่ร้อน....
ถ้าจิตของท่านอยู่ในสภาพที่ไม่ปรุงแต่ง
ท่านจะเห็นเวทนาหรือความเจ็บปวด เหมือนไฟในกระจก จะร้อนได้อย่างไร
แต่วันนี้ ตอนนี้ เรามีความสามารถพิเศษ……. พิเศษจริงๆ
………………………………...ที่ทำให้ไฟในกระจกร้อนขึ้นมาได้ !
คน 7 พันล้านคนทุกภพภูมิรวมกันหมดเนี่ย ยกเว้นพระอรหันต์อย่างเดียว
มีความสามารถพิเศษคือ ทำให้เงาในกระจกเนี่ย…..ร้อนขึ้นมาได้
เพราะการปรุงแต่งขึ้นมา เอาไฟในกระจกมาเป็นของ กูซะ
กระจกงงอ้ะ!เราเก่งกว่า
เวทนาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ดับไป เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัย
แต่เรายึดเข้ามาเป็นของเรา
ธรรมชาติจิตเดิมแท้เนี่ย จะเหมือนกระจก ที่ไม่มีการปรุงแต่ง
จู่ๆ เราก็ปรุงแต่งมันขึ้นมา เอาไฟมาเป็นของเรา
แต่เอาล่ะ มันมีเชิงลึกกว่านั้น แต่นี่ก็คือเหตุผลว่า ทำไมเราจึงทุกข์กับอาการปวด
วันนี้ท่านยังพอควบคุมได้ เมื่อปวด ท่านยังพอขยับได้
ยังขยับเขยื้อนเคลื่อนให้เกิดการถ่ายเทได้
แต่ถ้าวันไหนที่ท่านไม่สามารถเคลื่อนตัวได้ อย่างเช่น นอนในไอซียู
แล้วเคลื่อนตัวไม่ได้
พลิกตัวไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ท่านจะทุกข์มั๊ยล่ะ ? ยิ่งทุกข์กว่านี้อีก
ยิ่งทุกข์กว่านี้หลายเท่าเลย
แล้วถ้าเรามาฝึกอย่างนี้ แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง ทำอย่างไรไม่ทุกข์ล่ะ
มันต้องไม่ทุกข์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้น่ะ ไม่ใช่ไปรอฝึกตอนนั้น
ตอนนั้นฝึกอย่างไรไหวล่ะ สภาพจิตใจก็แย่เต็มทีแล้ว
ตอนนี้จิตใจยังแกล้วกล้าอาจหาญอยู่ ยังอยู่ในวัยที่สามารถฝึกได้
…..ต้องรีบฝึก !!
เวลานอนในโรงพยาบาลไม่ได้นอนทีละชั่วโมงนะ
เวลานั่งสมาธิชั่วโมงนึงอย่าขยับเนี่ยน่ะ ร้องโอยเลย
แต่เวลาเจ็บป่วยหรือว่าอยู่ในสภาพนั้นเนี่ย มันนอนกันเป็นเดือนๆปีๆนะ
เพราะฉะนั้น ใครที่อิสระตั้งแต่ตอนนี้เนี่ย ไม่ต้องถามถึงตอนนั้น มันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
^ __^ ก็ตอนนี้มันยังไม่มีปัญหาเลย จะไปมีปัญหาได้อย่างไรในตอนนั้น
เพราะฉะนั้น ก็เริ่มตั้งแต่ ความอดทน อดกลั้น นะครับ ในเบื้องต้น
เพื่อที่จะได้เห็นความจริงให้ได้ ผมก็จะค่อยๆชี้ไปเรื่อยๆนะ
ตอนนี้ก็ให้ท่านค่อยๆ ฟังไปก่อน เชื่อว่าพอถึงเรื่องของขันธ์ 5 เนี่ย
ก็จะค่อยๆเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆนะ
วันนี้ ….. เพราะความที่เราเข้าไปยึดทุกอย่างเป็นของเรา
มันก็เลยนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่า ไอ้สภาพที่ไม่เป็นของเรามันเป็นยังไง
เพราะตั้งแต่ลืมตา จนหลับตา ตั้งแต่ตื่นจนหลับ มันเป็นสภาพนี้ตลอด
มันเลยนึกไม่ออก
เพราะงั้นมีทางเดียว คือ ค่อยๆใช้ความตั้งมั่น และสมาธิ
เข้ามาทำให้เราพรากตัว แล้วก็แยกตัวออกไป จึงจะเห็น
ถ้าเอามือไปอังเทียนนะ …..จะร้อน นะครับ ...ร้อน
ถ้าสมมุติว่า ผมตัดเวทนาออก ไม่ให้ความรู้สึกร้อนเกิดขึ้นที่ตัวผม
ถ้าผมไปอังเทียน มันจะไม่ร้อน ถ้าไม่ร้อน มือมันจะไหม้
ถ้าผมไม่รู้สึกร้อน มือมันจะไหม้ !!!
วันนี้ ถ้าท่านนั่งแล้วท่านไม่ปวด ท่านมีปัญหาแน่ นะครับ
แต่ถ้าวันนี้ท่านนั่งแล้วท่านปวด ท่านจะรู้สึกว่าความปวดทั้งหลายเนี่ย
มันเหมือนมารผจญ ท่านจะรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นศัตรูของท่าน
แต่ถ้าท่านไม่ปวดเลยเนี่ย..ตอนนั้น ท่านอาจจะต้องเป็นอัมพฤกษ์หรือ อัมพาต
แล้ววันที่ท่านเป็นอัมพฤกษ์ หรือ อัมมพาตเนี่ย ท่านจะคิดถึงเวทนา ความปวด
ทำไมคนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เราต้องคอยพลิกตัวให้
เพราะไม่งั้นเดี๋ยวหลังเน่า เดี๋ยวมีแรงกดทับ ถูกมั๊ยครับ เพราะมันจะเน่า
เพราะเค้าไม่มีเวทนาอีกแล้ว
….
ตกลงเวทนาดีหรือไม่ดี
คงไม่ใช่เรื่องของต้องมาบอกว่า ดีหรือไม่ดี
แต่มันเป็นธรรมชาติที่ขันธ์เนี่ย มันเกิดการเรียนรู้แล้วสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา
อย่างที่ผมบอกคือ ถ้าไม่มีเวทนา คือความร้อน แล้วก็โอ๊ย
….มันแสบมันร้อน เราจะไม่ชักมือออก
ทีนี้ทำไมเวลาท่านนั่งแล้วต้องปวด
ปกติเราไม่ได้อยู่ในท่านี้นะ ปกติท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้
ซึ่งเก้าอี้ต่อให้นั่งแล้วไม่ขยับเลย เดี๋ยวก็ปวด เดี๋ยวก็เมื่อย
ก็เป็นเวทนาที่เตือนให้ท่านได้ขยับบ้าง เพื่อให้เลือดได้ถ่ายเทหมุนเวียนได้
นี่เป็นธรรมชาติที่เค้าสร้างขึ้นมา เพื่อมีการเตือนกันอยู่
อย่างที่บอกคือ ถ้ามันไม่ร้อน มันจะมีปัญหา
สมมุติว่า นักฟุตบอลที่บาดเจ็บ แล้วเข้ามาริมสนามแล้วเค้าก็เอาสเปรย์ฉีด
พอสเปรย์ยาชาฉีดปั๊บ ! มันจะไม่รู้สึกเจ็บ มันจะลงไปวิ่งได้อีก
ซึ่งตรงนั้นมันอันตรายนะ อันตรายมากด้วย
เพราะถ้าเกิดมันเตือนแล้ว ร่างกายมันเกิดระบบที่เตือนแล้วเนี่ย
แล้วเราพยายามไปเอาการเตือนทั้งหมดออก ตอนนั้นอันตรายมาก
แต่ว่าการนั่งสมาธิเนี่ย แค่ 10 นาที ครึ่งชั่วโมง ชั่วโมงนึง เนี่ย
สิ่งที่ท่านนั่งอยู่ มันไม่ได้ทำให้เลือดหยุดเดินนะ
เพียงแต่ว่า ท่านไม่คุ้นกับมัน
เมื่อไม่คุ้นกับมัน ร่างกายมันจึงเกิดอาการเตือนด้วยวิธีต่างๆเพื่อให้ท่านขยับ
แต่ถ้าเราไม่ขยับ เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่ตั้งไว้ครึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงนึงก็ดี
สัญญาที่คอยเตือนว่าตรงเนี้ยะ ควรเปลี่ยนแล้วเนี่ย! มันจะเลื่อนตามขึ้นไป
คนที่นั่งสมาธิใหม่ๆ 10 นาทีก็แย่แล้ว
หลังจากนั้นก็ฝืนทน ….15 อ้าวมันก็เลื่อนขึ้นเป็นที่ 15
ฝืนๆๆ 30 มันจะเลื่อนไปที่ 30 จนบางคนนั่งชั่วโมงนึงสบายๆ
ไม่เตือน ก็ถามว่าเจ็บมั๊ย ก็เจ็บ ปวดมั๊ย ก็ปวด
แต่มันไม่ได้ทุกข์ทรมาน เพราะสาเหตุทั้งหมดมันอยู่ที่ใจ
ใจที่มันทนบีบคั้นไม่ไหว มันถึงต้องเปลี่ยน
แต่เมื่อมันหมดความบีบคั้น คือมันไม่เข้าไปยึดถือ มันก็เฉยๆ...เจ็บมั๊ย... เจ็บ!!!
ทุกวันนี้เวลามันเจ็บ มันเจ็บที่นี่ มันทนบีบคั้นอยู่ที่นี่
อย่างเด็กคนนึง มือเค้าจับอยู่ที่ประตู เด็กคนนั้นอายุประมาณซัก 7-8 ขวบ
พอดีลมมันกรรโชกมา ประตูนั้นมันหลุดจากที่เกี่ยว
ประตูก็ วู๊บบบบบ ปังงงงง!!~ เต็มที่เลย
เด็กกำลังจับประตูอยู่เนี่ย ประตูซัดเข้ามาปังง !!
ผมเห็นนะ ผมนึกว่าต้องกระดูกแตกแล้ว เพราะว่าลมมันกระชากมาแรง แรงมาก
เด็กคนนนั้นเนี่ย คือแบบ น้ำตาไหล แต่ไม่ร้อง
ผมเข้าไปดู บอกว่า ไหนหนูขยับมือซิ ขยับได้มั๊ย?
ก็ยังพอขยับได้ แต่ก็รู้ว่าเค้าเจ็บ ผมก็ถามว่า เจ็บมั๊ย?
เค้าก็บอกว่า เจ็บ แต่ผมสังเกตเห็นว่า เค้าไม่ได้ร้องไห้
ผมก็เลยถามว่า เจ็บแล้วทำไมไม่ร้องไห้ล่ะ?
เค้าบอกว่า ร้องไห้ มันก็ไม่ได้หายเจ็บ
…………….
มันก็เจ็บอยู่อ้ะ ไม่โวยวาย ไม่อะไร ….แล้วทำไมไม่โวยวาย
( เด็ก ) ก็ไม่เห็นมันมีอะไรดีขึ้น มันก็เจ็บ….
ท่านพุทธทาสท่านบอกว่า เวลามีดมันบาดนิ้วเนี่ยฉึกเข้าไปแล้ว เปิดเลย
คือกรีดเนื้อลงไปฉีกออกจากกันเนี่ย คนก็จะ โอ๊ยย โอยย จะเป็นลม (หัวเราะ)
คือมีดมันไม่ได้บาดเนื้อหรอก ! แต่มีดน่ะ มันบาดกู
ไอ้พลังที่มันเพิ่มขึ้นจากความเจ็บปวดน่ะ มันเพิ่มขึ้นจาก (โอ๊ยยย ) ความรู้สึกทั้งนั้นแหล่ะ
แต่ความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เจ็บมากหรอก
มีดมันกรึ้กก ลงไปเนี่ย แล้วก็.. เลือดไหล อ้ะ!หายแล้ว มันมีแค่เนี้ยแหละ
เหมือนพระป่า ท่านปวดฟัน ท่านเดินเข้าไปที่ห้องเครื่องมือ
ไปยืนๆแล้วก็เจอคีมอันหนึ่ง ท่านก็อ้าปาก แล้วก็ ดึงกรึกๆ แล้วก็วางมัน
...คนก็ …….☉__☉
ไปยืนๆแล้วก็เจอคีมอันหนึ่ง ท่านก็อ้าปาก แล้วก็ ดึงกรึกๆ แล้วก็วางมัน
...คนก็ …….☉__☉
แล้วท่านไม่เจ็บเหรอ? ท่านบอกเจ็บ ก็มันปวดฟัน
เดินเข้าไป มันก็ปวดฟันเท่าเดิมนี่ล่ะ หยิบคีม แล้วก็จับ แล้วก็ดึง มันเจ็บแค่ตอนดึงเท่านั้นแหละ
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดานี่ พอเดินเข้าไปเห็นเครื่องมือเข้าก็ โฮ๊ยยยยยยย ขามันอ่อน
พอจับคีมเข้า โอ๊ย มันเจ็บมากขึ้นแล้ววววว …...
แต่ถ้าเป็นคนธรรมดานี่ พอเดินเข้าไปเห็นเครื่องมือเข้าก็ โฮ๊ยยยยยยย ขามันอ่อน
พอจับคีมเข้า โอ๊ย มันเจ็บมากขึ้นแล้ววววว …...
ตอนที่กำลังอ้าปากนี่ มันยิ่งเจ็บมากขึ้นเป็น 3 เท่า 4 เท่า เอื๊อกกกกกก …..
นี่แค่ท่านฟังท่านยังเจ็บแล้วเลยน่ะ ( หัวเราะ 5555 )
ใจท่านเจ็บไปหมดแล้วเนี่ย ! (。>‿‿<。 )
ลุ้นตามแล้ว ตัวโก่ง…. นี่ยังไม่ทันปวดฟันเลย ใจมันไปหมดแล้ว
เพราะ มันเกิดการ ปรุงแต่ง ขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้ มันเกินขึ้นมาจากชีวิตทั้งหมด แล้วมันก็สร้างทุกข์มากมาย
………….…...
เพราะฉะนั้น เราก็ต้องคอยสังเกตเอา
เจ็บน่ะ มันเจ็บอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องเอาเจ็บมาเป็นของเราก็ได้
ยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายสักหน่อย จะได้เป็นแนวทางให้เข้าใจในการปฏิบัติได้
มีคน 3 คน เดินออกไปปากซอย ของสถานยุวพุทธเนี่ย! 9 กิโลเนี่ยะ ด้วยกัน 3 คน
กลางแดดเปรี้ยงๆ เดินไปได้ซัก 2 กิโลแรก
คนแรกบอก โอยยเดินไม่ไหว จะเป็นลม ทำไมมันร้อนอย่างนี้ เดินไปก็บ่นไป
ร้อนมากนะนี่ หิวน้ำจังเลย มีใครเอาน้ำมามั่งมั๊ย โอ๊ยย ทำไมไม่มีใครหยิบน้ำมาบ้างเลยนี่ โอ้โห หิวววว
ร้อนจะตายแล้ว โห นี่มาไกลแค่ไหนแล้วเนี่ย ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยเหรอ
คนที่ 2 พอได้ยินคนที่ 1 บ่นมากๆเข้า ก็บอกว่า เฮ้ย บ่นไปทำไม?
ฝรั่งอุตส่าห์บินมาจากเมืองนอก มาอาบแดดบ้านเรา
สบายยยยย นี่เดินอ้าแขนเอาหน้าซันแทน ซันบาธ เดินไปสบาย อุ่นสบายเลย เห็นมั๊ย ?
สังเกตดูคนที่ 3 เดินไปเรื่อยดุ่ยๆๆ ก็ เลยหันไปถามว่า
คนที่ 2 : เธอไม่ร้อนบ้างเหรอ
คนที่ 3 : ร้อน
คนที่ 2 : ร้อนแล้วไม่เห็นพูดอะไรเลย
คนที่ 3 : ร้อน !!
คนที่ 2 : ร้อนเฉยๆ ?
คนที่ 3 : ก็ร้อน …
จะให้พูดอะไร ร้อนเนี่ย ร้อน ร้อน จะให้พูดอะไร ?
คนแรกก็ปรุงแต่งไปเรื่อยนะ ยิ่งปรุงก็ยิ่งทุกข์
คนที่สอง ก็ปรุงไปทางสุข โง่พอกัน นึกว่าจะดีกว่า
คนที่สามไม่ปรุงอะไรเลย ร้อนก็ร้อน ก็สภาพร้อนก็ร้อน ไม่ใช่ต้องทำไม่ให้ร้อน
ไม่ใช่มานั่งสมาธิ …..อาจารย์ นั่งยังไงถึงจะข้ามเวทนา….
จะข้ามไปทำไมเวทนา เดี๋ยวก็เป็นอัมพาตหรอก
อยากข้ามเวทนา ให้ไปเป็นอัมพาต จะได้ไม่ต้องรู้สึกกัน
เข้าใจเวทนา ปล่อยวางเวทนา
เวทนาก็เป็นหนึ่งในเวทนาขันธ์ จะไปทำอะไรเค้า
จะไปเอาเค้าออกจากขันธ์ 5 เหรอ ? (หัวเราะหึ หึ )
มีแต่เค้าวางอุปทานในขันธ์ เค้าไม่ใช่จะไปจัดการกับขันธ์
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นคือ เวทนา ก็สวดกันอยู่!
ก็เข้าไปยึดเค้าเองน่ะ เค้ามีของเค้าอยู่โดยธรรมชาติ
ไปยึดเค้าเองอ้ะ พอยึดเข้าทุกข์น่ะ ปล่อยวางได้ มันก็ว่างน่ะ
เวทนาก็ว่างแต่ไม่ใช่เวทนาไม่มี เวทนาก็เกิดดับ บางจังหวะที่ดับ ก็บอกมันข้ามได้
มันข้ามได้ไง ของมันเกิดๆ ดับๆ ตามเหตุตามปัจจัย
ปฏิบัติไปก็ยิ่งงงกันใหญ่
ก็เหมือนอย่างตอนนี้มันใกล้ๆวันที่ 9 เมษายน
ทีแรกก็ได้ยินข่าวว่า อาจจะมีการดับไฟฟ้า เพราะว่าท่อส่งแก้สจากพม่าไม่มา
โอโห ตื่นเต้นกันใหญ่ ไฟมันจะดับ!!
เพราะว่า ทุกวันนี้เราติดแอร์ไง ...ใช่มั๊ย ที่บ้านเราติดแอร์
แต่จริงๆบ้านน่ะ ไม่ได้ติดแอร์หรอก เราน่ะ ติดแอร์ (หัวเราะ )
บ้านน่ะ มันไม่ติดแอร์หรอก เราน่ะล่ะ ติดแอร์ เราเลยเดือดร้อนเลย บ้านมันไม่เดือดร้อน
ไฟดับบ้านมันไม่เดือดร้อน แต่เราน่ะเดือดร้อน เพราะเราติดแอร์
พอสมมุติว่า วันที่เค้าบอกมันเกิดดับที่บ้านเราพอดี
พรึ่บ !! ร้อนสิ ทีนี้ ก็ของมันเคยนอนเย็น
มันก็ร้อน ร้อนก็กระสับกระส่าย บ่นทั้งคืนเลย โอยย นอนไม่หลับเลย
เปิดหน้าต่างกันจนหมด อะไรก็หมด จะเปิดพัดลม เอ้า พัดลมก็ไม่มี
พอนอนพัดก็ไม่ได้ มันก็ไม่หลับ ก็มือมันพัดอยู่
จะวางพัดก็ไม่ได้ วางพัดก็ร้อน พอร้อนก็ไม่หลับ
ก็ต้องพัดต่อ ยิ่งพัดก็ยิ่งใช้พลังงาน ก็ยิ่งเหงื่อแตก ก็ยิ่งพัด ( ฮา…. )
ก็ไม่รู้จะทำไง คนเรา ทำแล้วงง มันวน (หัวเราะ 555 ) ทำแล้วมันวน
ยิ่งพัดก็ยิ่งเสียพลังงานใหญ่ ยิ่งพัดเหงื่อก็ยิ่งออก เพราะมันใช้พลังงานมาก
พอวางวางก็ร้อนเพราะว่ากล้ามเนื้อมันขยับไปขยับมา มันก็ร้อน
ทนจนถึงเช้า กว่าไฟจะมา พอไฟมา ก็เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย
……………...พอตอนบ่าย ไปฟิตเนส เข้าซาวน์น่า
โอ้โห ที่นี่แจ๋วจริงๆ ตู้ซาวน์น่ารุ่นใหม่มันร้อนดีจริงๆ
ตั้งมัน 60 เลย อุณหภูมิ ..เอาผ้าขาวโปะ…...อาห์…….
แจ๋วจริงๆ เหงื่อออกดีเหลือเกิน ( หึ หึ )
ทำไมไม่เข้ามันซะตั้งแต่เมื่อคืนไม่รู้ ต้องมาเสียเงินมาเข้าซาวน์น่าอีก
โง่ซ้ำโง่ซากอยู่เนี่ยะ กลางคืนก็โง่ทีนึงแล้ว
อุณหภูมิยังไม่ถึง 40 เลย บอกว่าทนไม่ไหว
ไอ้นี่เสียเงินมาเข้าอุณหภูมิ 60 แล้วบอกว่า มันร้อนดี ….เออ ! คน !!
!!~ ปรุงทั้งนั้น !!!
อยู่กับปรุงจนไม่รู้ว่า ปรุงคืออะไร แล้วจะหยุดปรุงยังไง มันไม่รู้ว่าปรุงคืออะไร?
มันวนไปเวียนมาอยู่เนี่ย !
…………….กลับมาอยู่กับความตั่งมัน ……………….
กลับมาหยุดก่อน หยุด หยุด อย่าคิด ไม่คิดไม่ได้
อยู่กับวิหารธรรมนั่นแหละ มันจะได้หยุดคิดก่อน
หยุดคิด ไม่ได้หยุดปรุงแต่งนะ คำเนี่ยมันต่อกันเฉยๆนะความคิดปรุงแต่งเนี่ย
แต่มันเป็น 2 คำ ความคิด + ปรุงแต่ง แต่มันต่อกันมาเป็นคำเดียว
พอหยุดคิดมันจะหยุดปรุงแต่ง
ปล่าว! ตอนหยุดคิดน่ะ ไม่ได้หยุดปรุงแต่งเลย
แต่มันต้องหยุดคิดก่อน ให้มันไปอยู่กับวิหารธรรมก่อน
แล้วเดี๋ยวถึงจะเห็นการปรุงแต่งทีหลัง
เมื่อหยุดการปรุงแต่งได้ ไม่ได้แปลว่าจะหยุดคิด
ถึงจะหยุดการปรุงแต่ง เดี๋ยวมันก็คิดต่อไป
แต่ทีนี้ คิดให้ตาย ก็ไม่ทุกข์ ……….. ^____^
เดี๋ยวเบรค 10
นาที ให้ท่านไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวกลับมาใหม่ กราบพระ…..
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ
- ด้วยจิตคารวะ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น