9/07/2556

ความเห็นผิด

โครงการปฏิบัติธรรมวันเดียว

ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ย.พ.ส.)

ถอดคำบรรยาย ของ อ.ประเสริฐ   อุทัยเฉลิม [ ปฏิบัติธรรมวันเดียว ] ช่วงบ่าย (2)
ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น 4 อาคารธรรมนิเวศ ศูนย์ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ฯ
วันเสาร์ ที่ 31 สิงหาคม 2556


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! กายนี้ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย และทั้งไม่ใช่ของ
บุคคลเหล่าอื่น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! กรรมเก่า (กาย) นี้ อันเธอทั้งหลาย พึงเห็นว่า
เป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น (อภิสงฺขต), เป็นสิ่งที่ปัจจัยทำ ให้เกิดความรู้สึกขึ้น
(อภิสญฺเจตยิต), เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้ (เวทนีย).

รอบบ่าย…..ต่อ
ถ้าพอจะจินตนาการสิ่งที่ผมพูดได้
ท่านจะเริ่มเข้าใจคำของพระพุทธเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ
[ ขอภาพบนจอละกัน ]
ภิกษุทั้งหลาย กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย
แสดงว่าที่เราเห็นผิด  เราเห็นผิดกันทั้ง7  พันล้าน
และทั่งไม่ใช่ของบุคคลเหล่าอื่น
ไม่ใช่พรหมมาบันดล บันดาล
ภิกษุทั้งหลาย กรรมเก่าคือกายนี้  
ที่ท่านสร้างเหตุเกิดกันมามากมาย
คำว่ากรรมเก่า อย่านึกว่าเป็นอดีตชาติแต่เพียงอย่างเดียว
วินาทีที่ท่านเพิ่งจะกินเสร็จ ท่านกินอะไรเข้าไป
มันอาจจะไปสร้างไปก่อให้เกิดเป็นมะเร็ง เกิดเป็นร่างกายสมบูรณ์อะไรก็แล้วแต่
มันล้วนแต่เป็นกรรมเก่าเมื่อวินาทีที่แล้วทั้งสิ้น ที่ท่านทำกับกายนี้
อันเธอทั้งหลายพึงเห็นว่า เป็นสิ่งที่มีปัจจัยทั้งหลายปรุงแต่งเกิดขึ้น
เอาดิน เอาน้ำมาเทใส่ เอาลมใส่เข้าไปพึ่บพับ เริ่มขยับได้ มีวิญญาณเข้ามาครองสิง
มีอากาศธาตุเข้าไปปน ทั้ง 6 ธาตุนี้รวมกันแล้วก็กลายเป็นชีวิต
เป็นสิ่งที่ทำให้มีปัจจัยให้เกิดความรู้สึกขึ้น
ทำไมจะรู้สึกไม่ได้ มันมีวิญญาณครองอยู่
เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้
ก็แน่นอนก็มันมีวิญญาณ  แล้วก็ด้วยความไม่รู้ ……
นั่งสมาธิ ปวดขา เป็นทุกข์
พอบอกว่า พอสมควรแก่เวลา เป็นสุข
เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้
เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ เป็นสุข
ไปให้ค่าปรุงแต่ง อยากให้เป็นดั่งใจ
ทุกอย่างมันกลายเป็นเครื่องที่ทำให้เป็นเหตุเกิดทั้งหมด
แล้วก็มองไม่เห็นความจริงนี้เลย
แต่ถ้าท่านเข้าใจหรือจินตนาการตามที่ผมพูด
ท่านจะไม่สงสัยในคำนี้เลย

แต่เพราะมิจฉาทิษฐิ จึงทำให้เราเห็นผิด
เมื่อเห็นผิด จึงกลายเป็นทุกข์ เพราะไปยึดถือสิ่งเป็นทุกข์น่ะ  
มันก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ
……………………………………………………………………
( เงียบไปประมาณ  1 นาที )

ทันทีที่เงียบ เราก็จะปรุงแต่งข้างในต่อ
บางคนก็เป็นทุกข์ เพราะว่าไปจดจ้องรอคอยว่าเมื่อไหร่จะพูด
เราทุกข์ได้ตลอดเวลา
ทำยังไงทันทีที่ผมหยุด ท่านหยุดด้วย
เหมือนไฮปริด  พอรถติดไฟแดงปุ๊บเครื่องมันก็ดับ มันจะได้ไม่ต้องใช้พลังงาน
นี่มันเงียบแต่ข้างนอก ข้างในมันไม่เงียบ มันติดอยู่ตลอด มันสร้างเหตุเกิดตลอด
เดี๋ยวก็คิดอกุศล เดี๋ยวก็กุศล เดี่ยวก็ปรามาส เดี๋ยวก็กลายเป็นสรรเสริญ
มันก็วนไปเวียนมาอยู่แค่นี้ สร้างแต่ภพให้เกิดได้ไม่หยุด
ทำยังไงถึงจะหยุดๆๆการปรุงแต่งพวกนี้ลงได้
เมื่อไหร่หยุดการปรุงแต่ง ภพจะสั้นลง ๆ ๆ เพราะมันไม่ไปสร้างเหตุเกิด
แต่วันนี้พอให้นั่งสมาธิก็นั่งคิด พอเคาะเป๊ง !! ก็ไม่อยากจะรู้ลม
กำลังมันอยู่เลย คิด กำลังมันอยู่ ก็สร้างภพต่อไปอีก
แม้แต่ความคิดที่ไม่มีตัวตนท่านยังจัดการต่อกับมันไม่ได้เลย
ความมันไหน ก็ไหนก็ไม่รู้
มันเป็นเครื่องพลังผลักดันให้ท่านหมุนๆๆ
วิ่งไล่ล่าหาความสุข  แล้วก็ไม่รู้สุขอะไร

เพราะฉะนั้นการมาปฏิบัติธรรมจริงๆ คืออะไรกันแน่ครับ ?

ปลายทางของการปฏิบัติธรรม ก็คือ หมดความยึดถือในขันธ์ 5 น่ะแหละ
จะได้พบกับความสุขสงบเย็น   เรา ไม่ คุ้น กับ สิ่ง นั้น แล้ว
เหมือนกับเด็กขี่จักรยานไม่คุ้นกับการขี่จักรยานซะแล้ว
ท่านได้คุ้นกับการนั่งอยู่ โดยที่ไม่ปรุงแต่งแล้ว
ทำยังไงถึงจะเบียดทำให้การไม่ปรุงแต่งมันมากขึ้น ๆ ๆ
มากขึ้นจนกระทั่งเห็นความจริง   
อันนี้ต้องช่วยตัวเองแล้ว  ต้องช่วยตัวเอง

เหตุเกิดของท่านไม่มีที่สุด
วันนี้พยายามจะไปสร้างเหตุเกิดให้มันมีความสุข
ไม่ว่าจะมนุษย์ เทวดา พรหม ก็ล้วนแต่ยังมีตัวตน  ยังไงก็ไม่สุข
ในการที่จะพ้นจากทุกข์นั่นแหละ คือ สุขแท้จริง
แต่วันนี้ สุก ก.ไก่นะ สุขในกามสุข
เป็นสุขที่เราพยายามสร้างมากลบเกลื่อนความทุกข์  มันจึงไม่เคยหมด
ท่านซื้อโน่นซื้อนี่มาเพื่อจะกลบเกลื่อนสร้างความรู้สึกหนึ่ง มากลบอีกความรู้สึกหนึ่ง
ทั้งๆที่ความรู้สึกนั้น เป็นของเกิดขึ้น ดับไป ชั่วคราว
มนุษย์ใช้วิธีนี้ ในการกกลบเกลื่อนความทุกข์มาตลอด
โดยการสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมากลบอีกสิ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ
มนุษย์จึงไม่เคยพ้นไปจากทุกข์ได้

แต่ในการปฏิบัติ ตามอริยมรรคมีองคฺ์ 8
เป็นการจัดการกับทุกข์ จนกระทั่งดับที่เรียกว่า  ด้วยการปฏิบัติตามมรรค
แล้วก็รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์คือ สมุทัย
เมื่อวางสมุทัยลง ทุกข์จึงดับ ทุกข์ ดับ ก็เกิดเป็นนิโรธ
หนทางที่จะทำให้นิโรธเกิดขึ้น ก็คือ มรรค
หากไม่มีปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  สัตว์โลกก็ไม่อาจออกจากทุกข์ได้
ท่านบอกท่านไม่เห็นอยากออก …..ไม่มีปัญหา ท่านได้สิทธิ์นั้นอยู่แล้ว
แต่ สิทธิที่จะมีอริยมรรคมีองค์ 8 กำลังจะหมดลงไปอีกไม่นาน
นี่ 2600 ปีแล้ว ประตูคุกกำลังจะถูกลั่นดาลอีกครั้งนึง แบบไม่มีทางออก อีกนับชาติไม่ถ้วน
วันนี้ ประตูคุกยังเปิดอยู่ เพียงแต่พังประตูข้างในของท่าน
ประตูหน้าหรือประตูใหญ่ พระพุทธเจ้า เปิดเอาไว้ให้แล้ว
แต่ท่านพังประตูของท่านออกมาไม่ได้ เพราะท่านติดสิ่งที่ท่านติดเอาไว้เอง
ท่านไม่คิดจะมาปฏิบัติเพราะท่านติดทุกอย่างที่ท่านซื้อเอาไว้ในกรงขัง
ไม่ว่า ทีวีจอแบน แอร์คอนดิชั่น เตียงอย่างดี ห้องน้ำอย่างหรู
ท่านติดเข้าไปในห้องขังของท่านจนท่านไม่คิดจะออกจากห้องขังแล้ว
วันนี้ ความน่ากลัวของสังสารวัฎกลับไม่ใช่สมัยอย่างที่สมัยพุทธกาลเคยมี
สมัยพุทธกาล ทุกคนต่างต้องการแสวงหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์
ทุกคนปรารถนาความเป็นพระอรหันต์ที่จะพ้นทุกข์
ฤาษีชีไพร ยืนขาเดียว เหนี่ยวกินลม ทำกันทุกอย่าง เพื่อหาทางพ้นทุกข์ แต่ก็หาพ้นทุกข์ไม่ได้
แต่วันนี้ ทุกคนหลงอยู่ในความสุข ที่เป็นความสุขจอมปลอม
ที่ใช้อยู่เพียงชั่วขณะหนึ่งชีวิตเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นก็วนกลับเข้าไป  คุกของท่านมันไม่ได้มีแค่แดนมนุษย์
มันมีแดนสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ด้วย ที่ท่านสร้างเอาไว้ในแต่ขณะๆ
ท่านเคยโกรธใครมั๊ย
เคยโลภมั๊ย
เคยทำบาปทำชั่วมั๊ย  ท่านทำมาหมดแล้ว
เพราะฉะนั้น จบจากแดนมนุษย์
ประตูห้องขังของท่านก็จะเปิด !!
พระยายมก็จะกระชากท่านไปในที่ๆสมควรจะไป
แล้วท่านก็จะไปอยู่ในแดนใหม่ จะเป็นแดนไหนไม่ทราบ ก็แล้วแต่กรรมที่ทำมา
คนทำดี ก็ได้ไปอยู่แดนที่ดีหน่อย แต่คำว่าดี ก็ไม่ได้ดีตลอดเวลา
พอหมดจากแดนสวรรค์  แดนวิมานก็ลงมาอยู่แดน 1 แดน 2
สัตว์นรก อสุรกายเหมือนกัน
แต่เมื่อมองในภาพรวม จะเห็นว่า สัตว์โลกนี้จะออกจากกรงขังไปไม่ได้เลย
เพียงแต่เดินเปลี่ยนแดนไปเรื่อยๆ
ท่านเดินเปลี่ยนแดนกันนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
วันนี้มีพระพุทธเจ้าเปิดประตูคุกมา 2600 ปีแล้ว
แล้วผมเชื่อว่าอีกไม่นานนักประตูคุกจะถูกลั่นดาน
แล้วประตูนี้ จะถูกปิดอีกยาวนานจนกว่าจะมีพระศรีอารยเมตไตรมาเปิดประตูอีกครั้งนึง

ประตูเปิดอยู่ แต่ไม่มีคนออก!!

มีคนถามผมว่า สาวกในสมัยปัจจุบัน กับ สมัยพุทธกาล มีอะไรที่ต่างกันบ้างง
ผมบอกว่า สาวกในสมัยพุทธกาลทำงานหนัก เพราะไม่มีใครรู้จักศาสนาเลย
วันนั้นพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ….ท่านอย่ามองภาพวันนี้
ไปเดินตรงไหน เค้าก็ต้องถามว่า คุณเป็นลูกศิษย์ของใคร
เหมือนที่พระสารีบุตรเคยถามกับพระอัสชิว่า
ท่านเป็นศิษย์ของใคร อาจารย์ของท่านสอนท่านว่ายังไง
พระอัสชิก็เลยบอก อาจารย์ของเรา สอนเรา แต่ว่าเราเป็นภิกษุใหม่
ทุกคนก็ถามว่า ใครเป็นอาจารย์ของท่าน
ไม่มีใครรู้จักว่า คนนี้เป็นพระอรหันต์  คนนี้เป็นพระเป็นอะไรๆทั้งสิ้น
คนนี้เป็นพระอัครสาวก ไม่มี …. เดิน แต่งตัวคล้ายๆกันหมด
ปริพาชก ก็ต้องแต่งตัวแบบนี้ ก็อาจจะต้องถามใครเป็นลูกศิษย์ของใคร
ก็อาจจะโกนหัวอะไร ก็ต่างกันไปบ้าง
วันนั้น ไม่มีคนรู้จักพระพุทธศาศนา
แต่มีคนแสวงหาหนทางพ้นทุกข์กันอย่างมากมาย
เมื่อได้ยินความจริง ก็ออกไปพ้นได้   แล้วก็ออกไปปฏิบัติตาม
แต่วันนี้ มีพุทธศาสนาครบถ้วน เป็นประเทศพุทธที่มีคนพุทธมากกว่า 90 %
แต่สาวกวันนี้ ทำงานง่ายมาก
แค่ประกาศว่าจะมีหลักสูตรวันเดียวก็มีคน 300 คนมานั่งฟัง
คราวที่แล้วมานั่งฟัง 500 , 800 เยอะแยะไปหมด
วันนั้น จะมีคนพูดซักคน 2 คน ยังยาก!!
แต่วันนี้มีคนเข้ามา …  นี่คือความง่ายขึ้นของสาวก
แต่ที่ยากกว่าก็คือว่า คนทั้งหลายหลังจากได้ยินความจริงแล้ว ทุกคนกลับไปเหมือนเดิม
เพราะไม่เห็นว่ามันทุกข์
เค้าถูกฉาบทาเอาไว้ด้วยสิ่งที่เป็นอนิจจังอยู่ต่อหน้าต่อตา แต่ถูกฉาบทาให้เป็นนิจจัง
ท่านอยากจะได้ความสุขแบบเดิม อย่าให้มันเปลี่ยนแปลง
อยากได้ร่างกายแบบนี้ อย่าให้มันเปลี่ยนแปลง
อย่าได้ให้มันเป็นโรคภัย ทั้งๆที่โรคภัยไข้เจ็บในในยุคสมัยของเรา มากมายก่ายกอง
เรายังบอกว่า ร่างกายนี้เป็นทุกข์
ในสมัยที่มนุษย์มีอายุ 80,000 ปี เค้ามีแค่ อยากกิน ไม่อยากกิน แล้วก็แก่
โรคภัยไข้เจ็บไม่มีเลย ความทุกข์ของมนุษย์ในยุคนั้น มีแค่ 3 อย่าง
ถ้าสมมุติเค้าเจอเพื่อนกัน เค้าจะ….
“ เฮ้อ ชั้นทุกข์มาก ชั้นไม่อยากกินเลย ”
“เหรอ ? ชั้นก็ทุกข์เหมือนกัน แต่ชั้นอยากกินไอ้นั่นจังเลย”
อีกคนนึงมา “ เฮ้อ ! ชั้นรู้สึกจะแก่ไปหน่อยแล้ว ”
แค่นี้ เค้าก็เห็นกันแล้วว่ามันเป็นทุกข์


แต่ของเรานี่ ตื่นเช้ามาว ลุ้นกันน่าดู
ไปหาหมอตรวจร่างกายทุกปีนะ โอ้โห ลุ้นกันตัวโก่ง ว่าไม่รู้ปีนี้จะโดนแจ็คพอตอะไร
ไม่รู้จะป่วย ไม่รู้จะเป็นมะเร็งขั้นไหน ไม่รู้จะอะไร
ทุกวันนี้ อยู่ดีๆ ก็ ไปเลย
เราเนี่ย เหมือนคนที่เดินอยู่บนเส้นลวด แต่กลับกลายเป็นไม่รู้ว่าตัวเองทุกข์
วันนี้อยู่ยบนความไม่เสถียร
มีแต่ความคิดเอาเองอยากจะให้มันเสถียร ทั้งที่มันไม่เคยเสถียรเลย
เดินกันขาสั่นพั่บๆๆทุกวัน   ออกจากบ้าน ไม่รู้จะได้กลับบ้านรึปล่าว
ลูกออกไป ไม่รู้จะไปเจออะไร วันนี้ ไม่รู้จะได้ลูกกลับมามั๊ย
ทุกอย่างอยู่บนความไม่เสถียร
ความน่ากลัวตลอดเวลาแต่ไม่เห็นเลยทุกข์ กลับชื่นชมเหลือเกินกับชีวิตนี้
ว่าข้า มีแต่ความสำเร็จ มีแต่ตัวตนขึ้นมาขวางบังความจริงหมดเลย
ทำยังไงถึง……..
สิ่งที่ผมพูดนี่เป็นความจริงทั้งหมดเลยแต่กลับไม่มีใครเห็น น่าแปลกมากเลย
พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มาจนกระทั่งไม่รู้จะพูดว่ายังไง
ท่านก็บอกว่า วิปลาส 4 ที่เกิดในมนุษย์คือ
แทนที่จะเห็น อนิจจัง กลับเห็นทุกอย่างเป็น นิจจัง
ใครสวยอยู่ยังไงก็คิดว่าตัวเองจะสวยอยู่อย่างนั้น
วันไหนที่แก่จริงๆ บางคนก็ต้องฆ่าตัวตาย ที่มันติด รูปมากๆ
เก็บเงินเก็บทองไปผ่าตัดเพื่อให้ได้ดั่งใจ แล้วมันจะอยู่ได้สักเท่าไหร่
กลับไม่เห็นความจริง กลับอาศัยความพึงพอใจเล็กๆ น้อยๆ มาตีค่าเป็นความสุข
เอา 10 นาทีมาเป็นเจ้าของชีวิต ความรู้สึกเล็กๆ น้อยๆ เอามาเป็นเจ้าของชีวิต
แล้วก็วิ่งไล่ล่าแสวงหาไอ้ความรู้สึก 10 นาทีนั้น
ยอมทำทุกอย่างในชีวิตเพื่อแสวงหา 10 นาทีนั้น

ยอมทุกๆ อย่าง ยอมทำทุกอย่าง
ปล่อยให้ 10 นาทีนั้นมาเป็นเจ้าของแล้วก็บงการชีวิต ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์เร่าร้อน …
นี่คือวิปลาสข้อที่ 1 "เห็นของอนิจจังเป็น นิจจัง"
"เห็นของเป็นทุกข์ เป็นสุข"
กายนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ   ใจนี้มีแต่ทุกข์ล้วนๆ
ขันธ์ 5 มีแต่เกิดขึ้นดับไปเกิดขึ้นดับไป
มีแต่สภาพทุกข์ แต่กลับเห็นว่ามันเป็นสุข
เข้าไปพึงพอใจกับกายนี้เหลือเกิน  กับใจนี้เหลือเกิน

"เห็นความเป็นอนัตตา เป็นอัตตา"
ของไม่ได้มีตัวตัว ความคิดก็ล้วนเกิดดับเกิดดับ
ตั้งแต่นั่งมาตั้งเช้ามาจนถึงตอนนี้  ความคิดไม่รู้เกิดดับเกิดดับไปกี่เรื่องแล้ว
ก็ยังไปยึดถือความคิดนี่ จนกระทั่งเป็นสุขเป็นทุกข์
ไม่ได้เห็นความจริงเลย แค่ไอ้ของเกิดๆ ดับๆ ไม่รู้มันอยู่ที่ไหน ลอยลมนี่
ก็ยังปล่อยให้มันทำให้เป็นเป็นสุขเป็นทุกข์ นั่งเคลิ้ม...นั่ง
เหมือนที่หลวงพ่อบอกว่า "บ้าชั่วคราว บ้าถาวร" อะไรนั่น
นั่งเคลิ้มมมมม   เป็นสุข  เป็นทุกข์ นั่งยิ้มนั่งทุกข์อยู่ได้ เห็นของอนัตตาเป็นอัตตา

ข้อที่ 4 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ก็คือ "เห็นของไม่งาม เป็นของงาม"
เห็นของปฏิกูลเป็นของงาม นี่...ปฏิกูลชัดๆ
แหวะออกมานี่ เห็นๆ กันอยู่แล้ว   ใครทำอสุภะฯ ใครเคยเห็น
ก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว เห็นของไม่งามเป็นของงาม ปลื้มกันไม่สุด

วิปลาส 4 อย่างนี้ ทำให้มนุษย์เพี้ยนกันไปหมดเลย
ใช้ชีวิตบนมิจฉาทิฏฐิกันหมดเลย แค่ทำยังไงให้กลับมาเห็นความจริงให้ได้ …

รึประโยคที่ผมบอกว่า เมื่อสารีบุตรถามพระอัสสชิ
ถ้าท่านเห็นตามที่ผมบอกหรือจินตนาการตามที่ผมบอก  
ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ได้   ลองฟังพระอัสสชิ

"ธรรมเหล่าใดเกิดมาแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรมและแสดงความดับเมื่อหมดเหตุ"

เมื่อมีเหตุให้เกิดจึงเกิดก่อร่างสร้างขึ้นมา
เมื่อหมดเหตุด้วยการเจริญมรรคจึงเกิดนิโรธ เหตุก็ดับทั้งหมด
ถ้าใครเห็นความจริงตรงนี้ นี่คือคำที่สั้นที่สุดที่จะเดินทางสู่พระนิพพาน
แล้วมีอะไรล่ะไม่เกิดดับ..ไม่มี
เพราะทุกอย่างมีเหตุให้เกิดแล้วหมดเหตุก็ดับ

วันนี้ถ้าท่านสูญเสียคนที่รัก
วันที่เราได้คนที่รักมาเพราะมีเหตุ
แล้วสุดท้ายเหตุเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปรไป
ความรักอะไรมันจะจีรังถาวร..ไม่มี
ความรู้สึกที่ท่านจะรักคนนั้นคนนี้ รักสิ่งของ ท่านยังไม่เคยจีรังถาวรเลย
มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในทุกขณะ
แล้วทำไมถึงจะบังคับให้คนอื่นเค้ามาจีรังกับท่านล่ะ!!
ในเมื่อเค้าเองก็เกิดดับ มันมีแต่ของไม่เสถียร แล้วท่านเอาความเสถียรมาจากไหน
ลูกบอลตั้งอยู่บนลูกบอลตั้งอยู่บนลูกบอล
ลูกนึงกลิ้งอีกลูกนึงก็กลิ้ง
มันก็กลิ้งของมันโดยอิสระ
แล้วจะเอาเสถียรมาจากไหน
………..
กายนี้ของท่านก็ไม่เคยสเถียร
ใจก็ไม่เคยเสถียร
แล้วจะเอาอะไรให้มันเสถียร
มันมีแต่ของเกิดดับ มีแต่ของอนิจจัง



ถ้าเราเห็นอย่างนี้มันจะเริ่มวาง
วางความยึดถือเหล่านี้ลง แล้วจะเห็นความจริง
วันนี้ชีวิตของท่านเดินอยู่เหมือนกับเดินอยู่กลางแสงแดด
…..เต็มด้วยความเร่าร้อน ………..
บางคนยังไม่รู้ว่าร้อน เพราะมัวแต่ไปปรุงแต่งความร้อนว่าเป็นสิ่งที่ดี
เหมือนกับที่ผมบอกเรื่องซาวน์น่า กลับไม่เห็นความร้อนตามความเป็นจริง
เพราะอยู่บนความปรุงแต่งทั้งหมด
นอนอยู่ที่บ้านก็กลายเป็นความร้อนเป็นทุกข์
ทั้งๆ ที่ความร้อนก็เป็นแค่อุณหภูมิที่มันเปลี่ยนแปลงแปลงไปตามเหตุปัจจัย
เมื่อไม่มีเครื่องปรับอากาศมันก็แปรเปลี่ยนกลับไปอยู่สภาพเดิมของมัน
เราก็ไปตีค่าร้อนนั้นว่า เป็นทุกข์
พอเข้าไปอยู่ในซาวน่าร้อนกว่าที่บ้านอีก แต่ไปตีค่ามันและให้ค่ามันเป็นความสุข
มนุษย์จึงโง่ไปโง่มาซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้
แล้วก็ไม่มีใครเห็นความจริง
เพราะการปรุงแต่งมันฉาบทาเอาไว้ทั้งหมด

ที่นี้ทำยังไง?
พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า ดังคาถาของพระอัสสชิ…
ทำยังไงถึงจะหมดเหตุ
หมดเหตุ ผลจึงดับ
พระพุทธเจ้าก็บอกไว้ เหตุเกิดก็คือตัณหา ตัณหาผู้สร้างภพ
การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป ไม่มีการเกิดครั้งไหนที่ไม่ทุกข์...ไม่ต้องห่วง!
ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไรมีทุกข์แน่  เพียงแต่ว่าระดับของความทุกข์
ดีกรีของความทุกข์มันแตกต่างกันในระหว่างภพภูมิ
อเวจี ก็เดือดร้อนกันแบบอเวจี
สัตว์เดรัจฉานก็เดือดร้อนแบบสัตว์เดรัจฉาน
มนุษย์ก็ทุกข์แบบมนุษย์
เทวดาก็ทุกข์แบบเทวดา
นักปฏิบัติก็ทุกข์แบบนักปฏิบัติ
คนชั่วก็ทุกข์แบบคนชั่วเร่าร้อนใจ
คนโกงบ้านกินเมืองก็ทุกข์แบบคนโกงบ้านกินเมือง
ตัวมันเองพยายามปรุงแต่งสิ่งขึ้นมากลบ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ทุกข์
ถ้าจุ่มอยู่ในน้ำร้อน น้ำนี้ร้อน จุ่มนานๆ ชิน !!
ชินแล้วบอกว่าไม่ร้อน เปล่าหรอกมันร้อนแต่มันชิน
ยิ่งชินยิ่งน่ากลัว..จะบอกให้!
ยิ่งชินยิ่งไม่คิดจะออกจากมันเลยทีนี้   ยิ่งชินยิ่งโง่เลย
โชคดีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สั่งสมบารมีมาดีจริงๆ
เห็นคนแก่
เห็นคนเจ็บ
และเห็นคนตาย
ท่านเห็นถึงความแก่ เห็นถึงความเจ็บ และเห็นถึงความตาย
ท่านพ้นจากความเป็นคนขึ้นมา
แล้วท่านจึงสงสัยเลยว่า คนอยู่กับมันได้ยังไง
ทั้งๆ ที่สิ่งนี้มันเป็นทุกข์ ทุกข์มากด้วยของมวลมนุษยชาติ
เมื่อไหร่ท่านรู้ว่าทุกข์
ท่านจึงแสวงหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์
แต่พวกเรากลับชิน

เราไปงานศพเราเห็นมันเป็นธรรมดา
แต่ทำไมตอนเราจะตายเราถึงไม่ธรรมดากับมัน
เพราะเราปรุงแต่ง เราถูกการหลอกลวงฉาบหน้าไว้ทั้งหมด
เมื่อเราเห็นสภาพทุกข์ ตอนนั้นเราจะไม่ทุกข์
เมื่อเราเข้าใจสภาพทุกข์แล้วปล่อยวางความทุกข์ลงได้ เมื่อนั้นเราถึงจะพ้นทุกข์
แต่เมื่อไหร่เราไม่เห็นความจริง เราจะกอดสิ่งนี้เอาไว้ แล้วก็ใจเป็นทุกข์


อ่ะ... ผมก็พูดมาเยอะนะครับ
ผมจำได้ว่าตอนเช้า กระปอมหรือจิระยุก็บอกว่า
"อาจารย์ประเสริฐมีผู้ที่ให้ฉายาว่า เป็นคนที่อธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย"
แต่วันนี้พูดยังไงก็ไม่ง่ายเลย ยิ่งพูดยิ่งไม่รู้เรื่อง ยิ่งพูดก็ยากขึ้นเรื่อยๆ ยากขึ้นเรื่อยๆ
ไหนบอกว่าวันนี้จะมาพูดสบายๆ ไม่บรรยายธรรม ไม่เปิดสื่อซักชิ้นเลยวันนี้
กะพูดกอดเข่าคุยกันเลย ฮึ...กอดไปกอดไป คนเริ่มเดินออก ^___^
แต่ไม่ออกหรอก...ไม่ออ  ออกไปฉี่เฉยๆ

นี่คือความจริง แค่นั้นเอง ถ้าจะบรรยายตามพระพุทธเจ้าตรัสก็ได้
เดี๋ยวหลักสูตรนี้ก็คงตัดออกมาเป็นแผ่น ผมก็ไม่รู้ว่าจะชื่ออะไร
เมื่อกี้นี้มีคนบอกว่า "ก็ อาจารย์.. ก็อาจจะชื่อ 'อย่างนี้ก็มีด้วยหรอ'"
ถ้าท่านวันข้างหน้าถ้าท่านได้ยินเมื่อเค้าแจก mp3 "อย่างนี้ก็มีด้วยหรอ"
ก็ อ๋อ ว่า...วันนั้นอ่ะที่ฉันเคยไปฟัง

มีหลักสูตรเข้มครั้งนึงที่จัดที่สวนยินดีธรรม
หลักสูตรนั่นเป็น ส่วนใหญ่เป็นนักปฏิบัติที่ปฏิบัติพื้นฐานมา 3-4 ครั้ง
แต่อยากปฏิบัติคอร์สเข้ม ก็จึงเปิดคอร์สเข้ม แต่มันจะเข้มทีเดียวมันก็ไม่เชิง
เพราะว่าตัวเองก็ไม่เคยเข้าคอร์สเข้ม เพราะเคยมาปฏิบัติแต่เบื้องต้น
หลักสูตรนั้นเลยกึ่งๆ พิกล คือมันจะเบื้องต้นก็ไม่ใช่เพราะทุกคนก็ฟังมาแล้ว
แต่จะเข้มทีเดียวจะพูดแบบคอร์สเข้มก็ไม่เชิง เพราะมันกำลังจะ...แบบ…
คล้ายๆ ป.6 จะขึ้น ม.1 อย่างเนี่ย มันก็ยังไม่เป็น ม.1 เต็มตัว
จะใส่เข้าไปลักษณะเป็นมัธยนเลยก็ใช่ที่ คอร์สนั้นเลยชื่อว่า "โตขึ้นนู๋จะเป็นเบ๊นซ์"
[...ไม่เข้าใจ?... ^ ^  ]
ผมจะไปเอานิสสันมาร์ซ แล้วก็ตัดสติ๊กเกอร์ว่า "โตขึ้นนู๋จะเป็นเบ๊นซ์" ติดที่ท้ายรถนิสสันมาร์ซ์
โดยที่ถ่ายรูปรถนิสสันมาร์ซ แต่ไกลจะเห็นภาพเลือนๆ ของเบ๊นซ์
คือนิสสันมาร์ชมันคิดในใจว่า "โตขึ้นนู๋จะเป็นเบ๊นซ์" ( หัวเราะ )
เหมือนนักปฏิบัติวันแรกๆ ที่จะเข้าคอร์สเข้ม "สุดท้ายฉันจะถึงความเป็นพระอรหันต์ให้ได้"
... "โตขึ้นนู๋จะเป็นเบ๊นซ์"  เป็นอีกแผ่นนึง 
ตัดไปเรื่อยแหล่ะมีเจ้าภาพอ่ะ เจ้าภาพเค้าอยากทำ
ส่วนวันนี้ก็...ใส่สัมมาทิฏฐิเข้าไป   นะครับ แล้วท่านก็ค่อยไป
เดี๋ยวยุวพุทธเนี่ย ก็คงอัพขึ้นไปหรือไม่ก็ทีมงานถ่ายๆ แล้วก็อัพขึ้น youtube เดี๋ยวเค้าก็แจกเป็นแผ่น
ก็ดีอย่างนึงวันนี้พูดไม่ได้ใช้สื่อเยอะ เวลาท่านไปฟัง mp3 มันก็ไม่ต้องไปตามหาสื่อ ไม่รู้เค้าพูดอะไร
เพราะว่าในสื่อ mp3 ส่วนใหญ่ก็ เวลาท่าน...อ่อ นี่เค้าฟังเค้าดูอะไรกันเนี่ยะ
แต่เดี๋ยวนี้ก็เค้าเอาขึ้น youtube กันง่ายหน่อยนะ
ท่านเข้าไป youtube พิมพ์ชื่อผม ตอนนี้ ผมก็เข้าไปลองดูโอ้โห...เยอะมาก
ไม่รู้ใครเอาอะไรขึ้นไปเยอะแยะ

ผมว่าสำหรับวันนี้พอสมควรแล้วนะครับ
เพราะว่าทั้งเรื่องง่ายเรื่องยากก็เยอะแยะมากมาย
ท่านสามารถไปหาฟังหาอ่าน ทั้ง dvd mp3 ที่ได้รับแจก
ทั้งหนังสือที่ท่านซื้อไปน่ะ ทำไมต้องให้ท่านซื้อ
เพราะถ้าแจกฟรีท่านจะวางและก็ทิ้งเลย แต่ถ้าท่านซื้อท่านจะเสียดายตังค์
แล้วท่านจะเริ่มอ่าน ลองไปดูนะครับก็เหมือนการเข้าคอร์สปฏิบัติ...
DVD ทุกอย่างถ่ายมาเหมือนสภาพเราอยู่ในคอร์ส

เอาล่ะนะครับ ผมก็เปิดเผยความจริงให้ท่านแล้ว
ส่วนท่านจะดำเนินยังไงก็... ผมเชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้มีปัญหาหรอก
ไอ้เรื่องพังประตูคุกอะไรทั้งสิ้น เพราะท่านเป็นคนเดินเข้ามาเอง
ท่านเห็นโทษภัยในวัฏฏะสงสารอยู่แล้ว

อ่ะ...ก่อนที่จะกลับเดี๋ยวเรา อะระหังสัมมาฯ พร้อมกัน
ให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่อย่างนั้นตอนนี้เราไม่มีหนทางแห่งการพ้นทุกข์แล้ว.

                              [อาจารย์ประเสริฐนำสวด]
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ. (กราบ);
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมังนะมัสสามิ. (กราบ);
สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ. ( กราบ )



เอ้า … ถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายนะครับ…
[อาจารย์ประเสริฐให้พร]

ธรรมใดอันพระศาสดาได้ตรัสรู้แล้ว รู้แจ้งแล้ว
ขอพระธรรมนั้นจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายที่กำลังเจริญอริยมรรคมีองค์แปด
ขอให้ทุกๆ ท่าน จงถึงที่สุดแห่งทุกข์
ตามคำของพระศาสดาทุกคนทุกท่านด้วยเทอญ.

[เสียงผู้ฟัง] "สาธุ สาธุ สาธุ"


ติดตามรับฟังเสียงจากไฟล์ MP3 ได้จากลิงค์ของเวปสวนยินดีธรรม ด้านล่างนี้ค่ะ
http://www.suanyindee.net/index.php?option=media&task=view&id=21

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น