1/18/2557

สติตัวจริง ความอัศจรรย์ที่เราไม่เคยรู้จัก Part 2

ถอดคำบรรยาย:
เรื่อง “สติ(ตัวจริง)...ความอัศจรรย์ ที่เราไม่เคยรู้จัก” (ต่อ)
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2553
ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์




ก่อนที่เราจะมาดูด้วยกันอีกครั้ง 
 ผมอยากจะให้ท่านพอจะนึกอะไรออกในภาพนี้ก่อนนะครับ

 
ผัสสะ คือ การกระทบ อาตายนะภายนอก คือ ภาพข้างนอก กระทบเข้ามาที่ตา
แล้วมีวิญญาณมาแปรค่า (ที่เรียกว่า จักขุวิญญาณ)
เราถึงจะดูรู้เรื่อง ถ้าสองอย่าง กระทบกันแล้วไม่มีวิญญาณออกมาแปร เราจะดูไม่รู้เรื่องนะครับ 
ตรงนี้จะมีวิญญาณมาแปร แปรเสร็จแล้วมันจะกลายเป็น ชอบ หรือ ไม่ชอบ (เรียกว่า เวทนา)
ให้เรามาพูดภาษาเดียวกันก่อน
เดี๋ยวพอผมไปแล้วเดี๋ยวท่านจะไม่เข้าใจ
จาก เวทนา ถ้าไม่มีสติคอยระลึก หรือคอยสกัดเอาไว้ทัน
มันจะเกิดทวีความรุนแรงขึ้นมาเป็น ตัณหา ต้องการจะดึงเข้ามาเป็นของเรา ของกู 
จากตัณหา  มันจะโตขึ้นเรื่อยๆ เริ่มส่งเป็นสายใยออกไปยึดสิ่งรอบตัว
ยึดทุกอย่างที่มันสนใจและปรารถนา เอาแค่นี้ก่อนนะครับ  เอาแค่ 3-4 ตัวนี้ก่อน

ผัสสะ คือ การกระทบนะครับ แล้วก็มีการแปรค่า (โดยวิญญาณ)
 หลังจากนั้น ชอบ-ไม่ชอบ สุข-ทุกข์ (เวทนา) จะเกิดขึ้นทันที
ต่อจากนั้นถ้าไม่มีการระแวดระวังมันจะโตขึ้นมาเป็น ตัณหา ต้องการจะดึงเข้า หรือผลักออก 
แล้วก็จะเกิดการไปรวบเอาไว้เป็นไปเบอร์แมน คือที่เป็น อุปาทาน



เอาล่ะ! เรามาเริ่มดูกันใหม่ เมื่อกี้เราเห็นเนื้อเรื่องแล้ว ทุกคนจะกระโจนลงไปในเนื้อเรื่องหมด 
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับจะกระโจนลงไปในเนื้อเรื่องกันหมด
ความตั้งมั่นของสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จะไม่มีในการดู
 ท่านจะไม่เห็นขึ้นมาในชั้นของน้ำมันเลย 
เราลองมาดูกันว่า...เนื้อเรื่องธรรมดาๆ เนี่ย!... ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวัน
 แล้วเราก็เป็นอย่างนี้ด้วย มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ...ในเชิงลึก?


ตอนนี้รีเบคก้าทุกข์มั้ยครับ? “ไม่ทุกข์นะครับ”
 ทุกข์มั้ยครับฝั่งนี้?     “ไม่ทุกข์นะครับ”
เอาธรรมะชั้นธรรมดาก่อนนะครับ!
ถ้าธรรมะชั้นลึกเนี่ย... การปรากฏขึ้นแห่งขันธ์เนี่ย  ทุกข์แล้วนะครับ นี่ทุกข์แล้วนะครับ
การเกิดขึ้นมาเป็นรีเบคก้าเนี่ยทุกข์แล้วแน่นอนนะครับ
แต่เอาล่ะ ผมถึงบอกวันนี้ธรรมะพูดยากตรงนี้ล่ะครับ เพราะว่าคนฟังมีเยอะมากนะครับ
เอาเป็นว่า เรามาพูดกันชั้นธรรมดาที่จะพ้นทุกข์เรื่องของตัณหานะครับ
ยังไม่พ้นทุกข์กันเรื่องของสลายอุปาทานนะครับ
เดี๋ยวเกิดในที่นี้มีอริยะบุคคลนั่งอยู่ในที่นี้จะเริ่ม...เอ๊ย! พูดให้มันชัดๆ 
พูดให้ชัดนะแล้วนะครับ...วันนี้เรามาพูดกันในระดับของผู้ที่ "กำลังสดับตรับฟังคำสอนนะครับ”
 เพราะไม่อย่างนั้นนางปฏาจาราก็พูดไว้ชัดเจนนะครับว่า... 
นอกจากทุกข์แล้ว ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
 นอกจากทุกข์แล้ว ไม่เคยมีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์แล้ว ไม่เคยมีอะไรดับไป
เอาล่ะ... ตรงนั้น เราพักไว้ก่อน เรามาพูดคุยกันเรื่องธรรมดาก่อน 
ไม่อย่างนั้นท่านจะภาวนาเจริญสติไกลเกินไป...มันจะไกลไปนิดนึง ( ชมคลิปกันต่อ )


ป้าย SALE ตั้งเอาไว้อยู่นี่ ปั๊บบบ.... ผมถามว่า ...
อาตายนะภายนอก คือ ป้าย SALE กระทบตาของรีเบคก้าเนี่ย
มีจักขุวิญญาณออกมาแปลค่าว่า S-A-L-E แปลว่า ลดราคา
ตอนนี้รีเบคก้าทุกข์มั้ยครับ?    “ไม่ทุกข์” 

ท่านขับรถมายุวพุทธฯ นี่ เห็นป้ายโน้น ป้ายนี้ ป้ายนั้น ท่านทุกข์มั้ยครับ? 
ที่ป้ายโฆษณาตามข้างทาง ถ้าท่านไม่แว๊บขึ้นมา หูยยย...Midnight Sale เลยเหรอ...
โอ้โห! ตอนนี้เริ่มแล้ว....แต่มันไม่ใช่จากการแปลค่าที่สัมผัส
มันเริ่มเกิดกระบวนการปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว
 เพราะฉะนั้น...มันไม่เกี่ยวกับป้าย ... มันเกี่ยวกับท่าน! 
ตอนนี้ที่รีเบคก้าเห็น S-A-L-E เนี่ย...ไม่ทุกข์นะครับ! มันก็แค่ป้ายธรรมดาเท่านั้นเอง
แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ



 ( ชมคลิปต่อ )


ตอนที่มองลอดเข้าไปข้างในนี่แหล่ะ แล้วไปเจอผ้าพันคอสีเขียว
ผ้าพันคอสีเขียวกระทบตาของรีเบคก้า
เมื่อกี้ที่เราบอก ผัสสะ กระทบแล้วเกิดอะไรครับ? เวทนา ชอบ-ไม่ชอบ
งานนี้ชอบมั้ยครับ?     “ชอบ
รีเบคก้ารู้สึกตัวมั้ยครับ?   “ไม่รู้” 
มีสติมั้ยครับ?   เพราะฉะนั้น เวทนา จะขยายต่อไปเป็น ตัณหา 
ตอนนี้ตัณหาเริ่มบีบคั้นข้างใน รีเบคก้า
รีเบคก้ารู้มั้ยครับว่าตัวเองทุกข์?
“ไม่รู้”

ตอนที่ท่านเดินอยู่ในห้างแล้วก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้...
ท่านรู้มั้ยครับว่าท่านทุกข์? “ไม่รู้”
รู้อย่างเดียวว่า ถ้าได้ฉันมีความสุข
นี่คือ ปุถุชนผู้มิได้สดับ ตามที่พระพุทธเจ้าบอก
รู้อย่างเดียวว่า ถ้าได้...ฉันมีความสุข ถ้าไม่ได้...ฉันมีความทุกข์ 
แต่ตอนที่ฉันเดินอยู่นี่แล้วมองไปที่กระบะนี่...ฉันไม่รู้
เพราะฉะนั้น...มนุษย์ไม่มีทางออกจากทุกข์ได้ เพราะมนุษย์ไม่รู้อริยสัจ
แค่ข้อ 1 คือ รู้ทุกข์ ...ก็ไม่รู้แล้ว! อย่าไปพูดถึงสมุทัยเลย
แต่ที่นี้พอผ้าพันคอสีเขียวกระทบเข้ามาที่ตาของรีเบคก้า
เมื่อกี้ที่เราบอกว่าตัณหาเกิด ก็คือ เริ่มบีบคั้น
ใครพารีเบคก้าเข้ามาในร้านครับ?  ....."ตัณหา”
 ตัณหามีเชื้อมาจากโลภะนั้นเอง ( ชมคลิปต่อ )

รีเบคก้ารู้สึกตัวมั้ยครับตอนนี้?
มีสติขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอมั้ยครับตอนนี้?
 ไม่มีเลยนะครับ!... ตาลอยมาเลยนะครับ ตาลอยมาเลย

รีเบคก้า...เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลลาร์นะ เธอไม่ต้องการใช้ผ้าพันคอหรอก! 
ป๊าบบบ....หันกลับเลย! เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิต 900 ดอลลาร์
มันเกิดการยับยั้งชั่งใจขึ้นมา...ตรงนี้แหล่ะครับที่เป็นสติ
เอ๊ย! พอที่จะทำมาหากิน แต่ไม่พอที่จะให้พ้นทุกข์หรอกครับ หมุนกลับเลยนะครับ
ทันทีที่สติมานี่หมุนกลับเลย ท่านลองสังเกตดูนะครับ
แต่คนที่ดึงรีเบคก้าเข้ามาคือใครครับ?   โลภะ
โลภะ คือ ความโลภ ลากรีเบคก้าจากนอกร้านเข้ามาจนถึงผ้าพันคอสีเขียวแล้ว
แต่สติมันเกิดระลึกขึ้นมาก่อน...โลภะจึงดับ! เนื่องจากว่า...
โลภะก็คือ เจตสิก... สติ ก็คือ เจตสิก มันประกอบจิตได้คนละทีเดียวนะครับ
หนึ่งดวงที่จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเจตสิกมาประกอบ ในเมื่อโลภะเกิดขึ้นมา...ปั่บ ปั่บ ปั่บ ปั่บ!
สติขึ้นแทรกปั๊บ! โลภะเข้าไม่ได้เลย
ทีนี้จิตที่ประกอบเจตสิกที่เป็นสติ เป็นมหากุศลจิต ขณะนั้น...โลภะเข้าไม่ได้เลย 
ความรู้สึกของรีเบคก้าจึงหมุนกลับเลย
แต่...มันมีเหตุปัจจัยให้เกิด หมดเหตุ หมดปัจจัย มันก็ดับเหมือนกัน
พอ โลภะ สู้ไม่ได้...พี่ใหญ่ของกิเลส คือ โมหะ จัดการเอง


ก็นั่นนะสิ! ใครจะใช้ผ้าพันคอกันล่ะ
เอากางเกงยีนส์เก่าๆ พันรอบคอ มันก็อุ่นได้เหมือนกัน นั่น...มันไม่ชวนกันธรรมดา
ผมบอกแล้วว่าระดับเซียนเนี่ยเค้าไม่มาขายตรงกันหรอก เค้ากระแทกใส่เลย!
เอากางเกงยีนส์เก่าๆ พันคอก็ได้ เริ่มหันหลังกลับ!
หลักการของโมหะ คือ ทำอะไรครับ? .... ทำให้หลง !!!


ความหมายของผ้าพันคอผืนนี้ก็คือ...มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความเป็นเธอ
หลงรึยังครับ? เคลิ้มเลยมั้ยครับ
เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย? ยัง ยัง ยัง ยัง.... พูดมาอีก พูดมาเรื่อยๆ เรียบร้อย... ยัง ยัง ยัง พูดมาอีก
ชอบเลย ที่นี้ชอบโมหะแล้ว ไม่ชอบสติ
เพราะผมบอกแล้ว มันไม่ชอบกับการปล่อยแก้ว! มันคว้าแก้วขึ้นมาใหม่
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับยังไม่เข้าใจหรอกว่า...
สิ่งที่ตัวเองกำลังหลงเข้าไปเรื่อยๆ กำลังจะสร้างความฉิบหายให้กับตัวเอง
ที่พระพุทธเจ้าสกัดไว้เนี่ย...เพื่อให้ชีวิตไม่พบกับความฉิบหายวิบัติ แต่ไม่มีใครยอมฟังเลย
กำลังเล่นน้ำอย่างเพลิดเพลินสนุกสนาน
ถ้ามีคนเตือนอยู่ข้างๆ ก็บอกว่า... ใครบอกว่าทุกข์ สนุกจะตาย
ชมคลิปต่อ

มันจะทำให้ดวงโตเธอดูโตขึ้นนะสิ!
ท่านี้จะคลาสสิคมากสำหรับคุณผู้หญิงนะครับ
ลองสังเกตตัวเองเวลาไปลองเสื้อผ้า ลองกิฟต์ ลองอะไรนะครับ
จะต้องทำท่าอย่างนี้ด้วยนะครับ...จะสวยเป็นบางมุม
มันจะทำให้ทรงผมฉันดูดีมีราคา (จะหันหน้าด้านเดียวด้วยนะครับ!)
เข้าได้ทุกอย่าง (เข้าได้ทุกอย่างด้วยนะครับ!)
เธอจะเดินไปสัมภาษณ์งานอย่างมั่นใจ ....หลงแล้วนะครับ!
คุ้นๆ มั้ยครับ เสียงพวกนี้ ที่มันดังในหัวนะครับ
เมื่อก่อนเราก็ไม่รู้นะครับ ใครเป็นใครกันบ้าง
บางทีมันก็ชวนมายุวพุทธฯ บางทีมันก็ชวนไปห้างต่อนะครับ
ที่ชวนมายุวพุทธฯ นี่ก็เพราะมันอยู่ใกล้เดอะมอลล์บางแคเท่านั้นเองนะครับ
เพราะยุวพุทธฯ นี่มาชั่วโมงกว่า เดอะมอลล์บางแคนี่เดิน 5 ชั่วโมงกว่านะครับ 
ดูเอาแล้วกันว่าใครเด็ดกว่าใคร ชมคลิปต่อ
           
                                

เรียบร้อยนะครับ โมหะปิดการขาย!
 แล้วก็ปิดการขายมาตลอดด้วย ไม่ใช่ปิดครั้งนี้ครั้งเดียว ชมคลิปต่อ


ตอนนี้รีเบคก้ารู้สึกตัวมั้ยครับ ถ้าสมมติว่าเค้ารู้สึกตัว
สมมติว่าภาวนาว่า ยืนหนอ หรือเค้ารู้สึกตัวว่ายืนเนี่ย แปลว่าเค้าจะไม่พลาดครั้งนี้รึป่าวครับ?
ไม่ใช่เลย!!!   เพราะอะไรรู้มั้ยครับ? เพราะรีเบคก้าไม่สามารถจัดการกับคนถือไฟฉาย (อวิชชา) ได้
รีเบคก้ากำลังวิ่งไล่คว้าเงาของไฟฉายอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีวันที่รีเบคก้าจะเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้ ผมจะบอกให้!


ทีทุกกระบะฉันจะถามตัวเองว่า ฉันต้องใช้มันมั้ย?
(ผมว่าเสียงนี้ท่านเคยได้ยินบ่อยๆ เวลาที่ท่านจะกำลังจะเดินเข้าไปใน Midnight Sale!) 
ทีทุกกระบะฉันจะถามตัวเองว่า ฉันต้องใช้มันมั้ย?
สติมาแล้วนะครับ! ดูแล้วค่อนข้างมั่นใจแล้ว ดูจากสีหน้า แววตา เริ่มมั่นใจ


เปิดประตูอีกทางแล้วค่ะ ทางนี้! (รีเบคก้าวิ่งไปซื้อของซะแล้ว)
สติไปไหนแล้วครับ? ผมถึงบอกว่า (สติ) 7% น่ะไม่พอกินหรอก ไม่พอกินจริงๆ
ไม่ใช่เฉพาะรีเบคก้าหรอก...ถามตัวท่านเองดูเถอะ
ถ้าเอากล้อง cctv ใส่ไว้บนหัวนะครับ วันๆ นึงเนี่ย! แล้วพอสัก 5 วันลองมาเปิดดู...
จะเห็นภาพแบบนี้เกิดเป็นปกติ


ดูเหมือนจะเป็นสติรึป่าวไม่ทราบ
นี่ฤดูหนาว นี่ถุงมือแคชเมียร์ ฉันต้องใช้มัน เพราะฉันมีมือ
นี่ฤดูหนาว นี่ถุงมือแคชเมียร์ ฉันต้องใช้มัน เพราะฉันมี “มือ” ฮึ ฮึ ...
มันฟังไม่ค่อยขึ้นเลย แต่เอาน่ะ! สติก็แล้วกัน
ถึงจะอ่อนหน่อย ฉันจะซื้อถุงมือคู่นี้! คู่นี้เท่านั้น!


อืม…ไม่รู้บอกใคร คือ จะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองนั่นแหล่ะ
พวกเราก็เคยเป็นนะครับ ผมสังเกตเห็นบ่อยเลย เวลาจะทำอะไรเที่ยวไปพูดกับใครก็ไม่รู้...
ไม่ได้มีใครสนใจเลย (ยิ้ม)...ที่หลังอย่าทำเลย มันเหนื่อยเปล่าๆ
แล้วมันทำให้คนมองดูเราแบบ...ทำทำไมเนี่ยะ? ดูคลิปต่อ


ทีนี้ก็เดินอย่างมั่นใจ เข้มแข็ง...และมัธยัสถ์


วิธีสังเกตง่ายๆ เวลาตัณหาเกิด ตาจะหัน  ตัณหา ตาหันเลย
อันนี้ของจริงด้วยนะครับ ตัณหา ตาหันเลยปั๊บ!
ถามว่าตอนนี้มีสติอีกมั้ยครับ?   หมดแล้ว! ไอ้ที่ปากพูดไปว่าฉันจะ ...(เข้มแข็ง...และมัธยัสถ์)
พูดไปอย่างนั้นแหล่ะ แต่ใจไม่ไปด้วยเลย นี่คือชีวิตของพวกเราทุกคน!


ฉันต้องใช้มันมั้ย?    ฉัน ต้อง ใช้ มัน มั้ย?(กัดฟันถามตัวเองแล้วนะ) 
อืม! สติมาแล้วครับ! แต่รู้สึกว่ามากันน้อย เลยต้องชวนกันมาเยอะๆ หน่อย
ฉัน ต้อง ใช้ มัน มั้ย? เลยนะครับ
เพราะทีแรกเลยบอกไว้แล้วว่าที่ทุกกระบะฉันจะถามตัวเองว่า “ฉันต้องใช้มันมั้ย?”
ไม่! ป๊าบบบบ! วางเลยนะครับ


สาวผมตรง : นี่ๆ ดูบู๊ต Gucci!
รีเบคก้า : เอ่อๆ ฉันขอโทษนะคะ ฉันหยิบก่อน!
สาวผมตรง : ค่ะ...ฉันรู้ แต่คุณวางไปแล้วนะ
รีเบคก้า : ค่ะ... ฉันวางไปแล้ว แต่ฉันเห็นก่อน ฉันจะซื้อคู่นี้น่ะคะ!
สาวผมตรง: ค่ะ...ก็ฉันเห็นคุณปล่อยมือไปแล้วนี่!

ใช่..ก็คุณปล่อยมือไปแล้วนี่ แล้วทำไมล่ะ? ก็ตามกฎกติกาก็จบไปแล้วนี่
แล้วทำไมเค้าไม่ยอมครับ? เพราะจากตัณหา มันกลายเป็นอุปาทาน! 

รีเบคก้ารู้มั้ยครับว่ามันไปถึงไหน? ไม่รู้หรอกครับ! ....ทำยังไงก็ไม่รู้
ต่อให้รู้ อยากหนอ อยากหนอ อยากหนอ มันก็ไม่ดับหรอก!
มันกำลังวิ่งคว้าไฟอยู่...มันไม่ได้หวดเข้าไปที่ตัวอวิชชาเลย!
มันไม่เข้าไปสะกิดด้วยซ้ำ ตอนนี้มันต้องใช้กำลังภายในที่มีอยู่ทั้งหมด
ต้องใช้ขันติทั้งหมดเลยนะครับ! แต่เค้าก็ไม่สามารถเอาขันติมาใช้ในเวลาที่ต้องการได้
เพราะเค้าไม่เคยฝึกอะไรทั้งสิ้น จิตของเค้ายังเถื่อนแบบสมบูรณ์แบบ
ยังทำงานแบบใช้สัญชาตญาณ 100% (สุดท้ายก็ตบตีแย่งกัน)


อืม....ชักคุ้นๆ แล้ว พอถึงตอนนี้

ถ้าไม่ใช่กระเป๋าล่ะ? 
ถ้าไม่ใช่รองเท้าล่ะ? 
ถ้าเป็นสามีคนอื่นล่ะ? 
ถ้าเป็นกิจการที่กำลังประมูลล่ะ? 

เปลี่ยนเนื้อเรื่องเป็นอะไรก็ได้ครับ!   เรื่องจะจบคล้ายๆ กัน
ถ้าไม่มีความยับยั้งชั่งใจของสติ!
อาจจะสั่งฆ่าใครทิ้งก็ได้
อาจจะเอาน้ำกรดไปราดหน้าใครก็ได้
อาจจะทำสิ่งที่ไม่สมควรทำเพราะว่าทนความบีบคั้นของข้างในไม่ได้
เพราะมันนอนไม่หลับ! มันอยากได้เค้าตัวสั่นทั้งๆ ที่เค้าไม่ควรจะเป็นของเราเลย!
นี่คือสิ่งที่มนุษย์ไม่เคยรู้จักเลย
นี่คือสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามที่จะตรัสบอกมาตลอดเส้นทาง 45 ปี (นับแต่ตรัสรู้)
แต่ไม่เคยมีใครนำออกมาขยายให้คนทั่วไปได้ฟังในยุค  2500 ปี ที่ผ่านมา
วันนี้...เราลองค่อยๆ กลับมาย้อนดูว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนบงการ?
ครูบาอาจารย์ที่เดินทางสั่งสอนเรื่องนี้มาก็มาก
มายุวพุทธก็เพิ่งจะมา  อย่างหลวงพ่อเอี้ยน   แต่น้อยคนเหลือเกินที่จะฟังท่านรู้เรื่อง
น้อยคนเหลือเกินที่จะเข้าใจว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร?
ท่านต้องการให้ใส่เข้าไปที่คนถือไฟฉายนี่แหล่ะ!
อย่ามัวมาเสียเวลา แล้วก็เอาสิ่งที่ตัวเองคว้า แล้วก็ดีใจว่าตัวเองคว้าไฟฉายได้
เกิดตัวตนที่เข้าไปรู้ เข้าไปทัน ก็กลายเป็นสิ่งที่มากางกั้น ในการเดินทางต่อไป

ถึงวันนี้เราจะต้องมารู้กันสักทีว่า...  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนอะไรกันแน่
ถึงวันนี้เราจำเป็นต้องรู้ว่า...   อริยสัจ 4 ที่ท่านพูดถึงมีรายละเอียดอย่างไร?
ถึงได้ทำให้บุรุษผู้หนึ่งพ้นทุกข์อย่างถาวร แล้วสามารถนำพาสาวกส่วนหนึ่ง...
ซึ่งท่านบอกว่าน้อยเหลือเกิน นำพาสาวกส่วนหนึ่งที่มีปัญญา
สามารถข้ามโอฆะแห่งความทุกข์ แห่งกิเลส ข้ามตามท่านไปได้ ไปสู่วิมุติเดียวกัน

วันนี้ยังมีเส้นทาง ยังคงเหลืออยู่นะครับ
ถึงแม้ว่าจะเป็นทางจางๆ เล็กๆ ก็ตาม
แต่ผมก็เชื่อว่ายุวพุทธฯ ก็กำลังทำทางนั้นขยายไปให้ใหญ่ขึ้น
เพื่อให้ผู้คนยังพอเดินตามได้ในจำนวนมากๆ
วันนี้...เราก็ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยกันนะครับ

เราก็กลับมาดูกันว่า  ในอริยสัจ 4 และข้อสำคัญที่สุดก็คือ มรรคมีองค์ 8
ในข้อที่เป็นมรรค คือ หนทางแห่งการพ้นทุกข์ สามารถขนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ให้พ้นกองทุกข์ไปได้ยังไง?
มีข้อไหนเหรอ  ที่สามารถทำให้สรรพสัตว์สามารถเข้าใจทุกข์ได้อย่างแจ่มแจ้ง
วันนี้ผมไม่ได้มีเวลามาสำหรับพูดเรื่องนี้นะครับ
แต่ก็มีการพูดคุยกันไว้ก่อนที่จะเริ่มต้นแล้วว่า ขอคิวต่อไปเพื่อจะพูดเรื่องนี้ให้จบ
 เพราะว่าสติเป็นแค่อุปกรณ์ๆหนึ่งสำหรับจัดการกับกิเลสทั้งหลายที่ถึงตัวของคนถือไฟฉาย 
ใช้ศัพท์แบบนี้ก็แล้วกัน เพราะเราพูดแบบนี้มาตั้งแต่ต้น
เดี๋ยวผมจะให้ท่านดูอะไรคร่าวๆ นิดเดียว
เราลองมาดูอริยสัจกันสักนิดนึงก่อน
เราลองมาดูกันสักนิดนึงก่อนว่า ท่านพูดถึงอริยสัจ 4 ว่ายังงไง


ท่านบอกว่า อริยสัจ 4
ในปริวรรธที่ 1 ท่านบอกว่า ทุกข์ เป็นอย่างนี้ๆ
ท่านก็อธิบายแจกแจงว่าทุกข์เป็นอย่างไรบ้าง
สมุทัย เป็นอย่างนี้ๆ
นิโรธ เป็นอย่างนี้ๆ
นิโรธ คือ อะไร คือการกำจัดทุกข์ การสำรอกตัณหา การกำจัดอวิชชา
มรรค เป็นอย่างนี้ๆ ในปริวรรธที่ 1 ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าแต่ละตัว
แต่ละตัวมีความหมายว่าอย่างไร

เข้าสู่ปริวรรธที่ 2 ท่านบอกว่า “ทุกข์ ควรรู้”
อันนี้เริ่มเป็นกิจในอริยสัจแล้วนะครับ
แต่ชาวพุทธกลับไม่เคยรู้เลยว่า… กิจในอริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ บอกเอาไว้ คืออะไร?
เรารู้จักว่า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คืออะไร เราท่องเอา!
เราก็ไม่ได้เข้าไปถึงระดับจิต ไม่เป็นไร
แต่เราไม่รู้เลยว่าในบรรทัดที่ 2 เนี่ย! พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ด้วย
ซึ่งเป็นกิจในอริยสัจ ทุกข์ ควรรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ควรเจริญ

พอเข้าถึงปริวรรธ 3 เนี่ย ท่านบอกเลยว่า
ทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ   
ทุกข์ควรรู้ เราได้รู้จนหมดแล้ว กิจที่ต้องทำในทุกข์ไม่มีอีก
สมุทัยเป็นอย่างนี้ๆ    
กิจในสมุทัย คือ ควรละ เราได้ละจนหมดสิ้นแล้ว กิจในสมุทัยไม่มีที่เราต้องทำอีก
นิโรธเป็นอย่างนี้ๆ   
กิจในนิโรธควรทำให้แจ้ง เราได้ทำให้แจ้งจนถึงที่สุดแล้ว กิจในนิโรธไม่มีที่เราต้องทำอีก
มรรคควรเจริญ
เราเจริญจนถึงที่สุดแล้ว กิจในมรรคไม่มีอีกแล้ว เราได้ทำจนถึงที่สุดแล้ว

เมื่อครบปริวรรธ 3 อาการ 12
พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงปฏิญาณตนเป็น พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันนั้น เวลานั้น
เมื่อเข้าสู่อาการ 12  แปลว่าในอริยสัจ 4 ทั้ง 3 รอบท่านเห็นแจ้งหมดแล้ว
ผู้ที่จะเดินตามท่านจนถึงที่เดียวกัน คือ  ชาติสิ้นแล้ว พรมจรรย์มีอยู่จบแล้ว กิจที่ต้องทำไม่มีอีก
ก็คือ พระอรหันต์องค์ต่อๆ ไปจะเข้าสู่วิมุติเดียวกัน

เมื่อไหร่จิตของใครก็ตามพูดคำนี้ออกมา...ก็อนุโมทนาสาธุเลย
พรมจรรย์นี้จบแล้ว ชาติสิ้นแล้ว…นะครับ พระอรหันต์...
เมื่อเข้าถึงตรงนั้นจะรู้เอง เพราะฉะนั้น...วันนี้เราจะเดินตามคำขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรากำลังพูดถึงหนทางแห่งการพ้นทุกข์อย่างถาวร
ต้องกล้าๆ หน่อย ...เปิดใจหน่อย
เพราะบางคนบอกว่า การเกิดทุกคราวเนี่ย เป็นทุกข์ร่ำไป
การเกิดขึ้น การปรากฏแห่งขันธ์ คือ การเกิดขึ้นแห่งทุกข์
เพราะฉะนั้นแปลว่าอะไร สุดท้าย...
การที่พ้นทุกข์ทั้งหมด คือ การที่ไม่ต้องกลับมาเกิด ไม่ต้องกลับมาตายอีก
เพราะการปรากฏแห่งขันธ์อันเดียวก็ทุกข์มากแล้ว

นี่คือวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากวัง
เพราะว่าเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ แล้วก็การตาย
ท่านจึงสงสัยว่า.... ไม่มีใครสักคนเลยเหรอที่พยายามจะเอาชนะเรื่องนี้ที่เป็นทุกข์มาก
พวกเราเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา
เราปฏิบัติไปให้ตาย... ผมพูดกันแบบ ไม่เกรงใจเลย 
เราปฏิบัติไปให้ตาย เรานึกว่าปฏิบัติมาแล้วหาความสุข
ผมบอกว่า ความสุขมีแน่... เมื่อความทุกข์ลดลง 
ความทุกข์ลดลงจนถึงที่สุดแล้ว ก่อนที่จะเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์
ทุกข์ก็ไม่หมด (ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์)
ในระดับพระอนาคามีทุกเหลือน้อยเต็มที เอาแค่พระโสดาบัน ทุกข์ก็เหลือน้อยแล้ว 
พุทธเจ้าทรงเอานิ้วก้อยช้อนเข้าไปที่พื้นดิน
แล้วท่านถามสาวกว่า
“ขี้ฝุ่นที่ติดปลายพระนขาพระตถาคตนี่ หากเทียบกับมหาปฐพีทั้งหมดมีประมาณเท่าไหร่”
สาวกก็ตอบว่า “มีประมาณน้อยมากจนไม่สามารถเทียบได้เลยพระเจ้าข้า”
ท่านบอกเลยว่า... ขี้ฝุ่นที่ติดปลายเล็บของพระตถาคตนี้
คือความทุข์ของผู้ที่เข้าสู่สัมมาทิฐฐิคือพระโสดาบัน
จากทุกข์ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ จะเหลือแค่ขี้ฝุ่นที่ติดปลายเล็บเลย
 นี่แค่พระโสดาบันนะครับ เอาแค่พระโสดาบัน
ซึ่งธรรมดาเกิดอีกไม่มีชาติที่ 8 (เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ) อย่างประมาทเลยก็ไม่มีชาติที่ 8
ทุกข์ยังเหลือน้อยแค่นี้ ทำไมถึงเหลือน้อยแค่นี้ล่ะ?

ท่านนั่งอยู่ที่นี่พอได้ยินเสียง ครื้น! อุ๊ย...ฝนตก!
ทุกข์แล้ว!  ฝนตกทำไมต้องทุกข์ ล่ะ?
อีกตัวอย่างนึง พอเดินมา เอ๊ะ! จดหมายฉันหายไปไหนแล้ว? เรียกคนใช้มา
“นี่จดหมายฉันหายไปไหน” อ่อ...เจอแล้ว ไม่เป็นไร  ทีหลังวางตรงนี้น่ะ!
นั่น... เอาอีก! คือ มันทุกข์ได้ตลอดเวลา
คนหาเรื่องทุกข์ได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง ทุกข์ได้ทุกวินาที
เดินๆ ไป เห็นมดเดินผ่าน ก็เอาแล้ว ... ใครวางขนมหวานไว้ตรงนี้
ไหน! เรียกลูก เรียกหลา เรียกใครมาด่าอีก
นี่แค่มดเดินผ่านก็ทุกข์   ยุงบินตัวก็ทุกข์
คือ ทุกอย่างทำให้เราเป็นทุกข์ได้หมด
เพราะไม่มีอะไรทัน ไม่มีสติ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น!

ดูอย่างรีเบคก้าสิ นึกอยากได้ ก็เอา เสร็จแล้วก็มีเรื่องมีราว
หลายคนบอก..เฮ้ย! แค่รีเบคก้า แค่ซื้อของ
ผมบอกว่า........เอาเนื้อเรื่องออกสิครับ!
วันนี้ที่ท่านทุกข์กันทั้งหมด มันแค่เปลี่ยนเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ
แล้วมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด มันแค่เหมือนเอาเปลือกออก
วันที่เราตายเนี่ย เหมือนเอาเปลือก (ร่างกาย) นี้ออก
สมมุติว่า (ร่างกาย) เป็นถุงปุ๋ย เอาถุงเดิมนี้ออก ผมดึงวื๊บบบ!!! แล้วเอาถุงใหม่มาใส่
แล้วเค้าเรียกถุงนั้นว่า “เดรัจฉาน”
ผมไม่ได้บอกว่าเป็นจิตดวงเดิมนะครับ แต่พูดเป็นรูปธรรมเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ
เดี๋ยวไปถึงธรรมะชั้นลึกจะถามว่า จิตเกิดดับไม่ใช่เหรอ...
“จิตเกิดดับ” ครับ  ไม่ใช่ดวงนี้แล้วครับ!
แต่เอาเป็นว่า เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ...ให้เป็นรูปธรรม
ดึงถุงเก่าออก เอาถุงใหม่มาใส่ เค้าเรียกถุงนี้ว่า “เดรฉาน” เป็นมด...
เช้าออกไปก็ไปหากิน กิน กิน กิน กิน
วันนี้โชคดีหน่อย ลากแมงปอกลับมาได้
เดินกันอยู่อย่างนี้จนหมดชีวิตไป ใส่เปลือกกลับมาเป็นคนใหม่
เช้าออกมา ขึ้นรถไฟฟ้า/ขับรถออกไป
วันนี้ขายได้ล๊อตใหญ่ เหมือนได้แมงปอกลับบ้าน กินได้หลายวันหน่อย
เช้าวันรุ่งขึ้น ออกไปใหม่ ดึ๊ก ดึ๊ก ดึ๊ก ออกไปหากิน ทำอยู่อย่างนี้จนตาย !!! 
แล้วก็ถอดเปลือกออก เอาเปลือกสัตว์นรกใส่แทน
เพราะว่าตลอดเวลาที่เป็นมนุษย์นั้นทั้งโกรธ ทั้งแค้น ทั้งอาฆาต พยาบาทคนอื่น
ถึงเวลาก็ส่งเหตุ เหตุปัจจัยก็ส่งผล พอส่งเหตุปัจจัยเสร็จ ก็ดีงเปลือกออกไป
เอาเปลือกเทวดาใส่แทน เพราะวันๆ หนึ่งก็เคยมีหิริ โอตัปปะ
เห็นประโยชน์ต่อผู้คน ช่วยเหลือคนอื่นมามากมาย ทำทาน ก็ไปใส่เปลือกเทวดาต่อ
พอหมดเวลา จบแล้วก็เอาเปลือกเทวดาออก  กลับไปเป็นเปรตใหม่ 
ก็เคยโลภ เคยอยาก จิตใจบีบคั้นไปเอาของที่ตัวเองไม่เคยได้ วนอยู่แค่นี้ละครับ!
ผมถามว่า... มันดีกว่ากันตรงไหนเหรอ?
ไม่ว่าภพภูมิไหนนะ มันแค่เปลี่ยนที่ชดใช้กรรมที่คุณเคยทำมาเท่านั้นเอง
เท่าไหร่ๆๆ มันก็ไม่หายทุกข์หรอกครับ! เป็นอะไรๆๆ มันก็ไม่หายทุกข์
ทำไมไม่หายทุกข์   ถ้าเป็นเทวดาก็มีความสุขนี่.... 
ไอ้ตอนที่สุขนั่นแหล่ะ! ตัวแสบเลย!
พอหล่นจากเทวดาจะทุกข์เป็น 2 เท่า
คนที่มีความรักกันมากแล้วก็ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเลย
เค้าบอกชีวิตฉันไม่เห็นเคยมีความทุกข์เลย มีแต่ความสุข
อย่ารอให้อีกคนนึงจากไปก็แล้วกัน
ยิ่งรักเท่าไหร่! ลูกของคุณคนไหนที่เป็นลูกรักลูกโปรดเท่าไหร่เนี่ย...ไปแน่
คุณน่ะเสร็จแน่!

ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเทศน์อริยสัจ 4 ทุกครั้ง
 พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จากอดีตจนถึงพระสมณโคดม 
ก่อนที่ท่านจะขึ้นเรื่องอริยสัจ 4 ท่านจะพูดเรื่องอนุปุพพิกถา 5
เพื่อเป็นการฟอกจิตของผู้ฟังให้พร้อมที่จะฟัง
 ยุคปัจจุบันนี่เราแทบไม่ได้พูดถึงเลย
แทบจะไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำว่า
ก่อนที่มีคนจะพูดเรื่องอริยสัจ 4 จะต้องพูดเรื่องอนุปุพพิกถา 5 ก่อน
อะไรล่ะ ท่านสอนอะไร?   ผมจะบอกให้เลยว่าท่านสอนอะไร

ก่อนที่วันนั้นจะมีการบรรลุเป็นพระโสดาบัน
ก่อนที่จะพูดเรื่องอริยสัจ 4 ให้คนเข้าใจเนี่ย

ข้อที่ 1 ในอนุปุพพิกถา 5 คือ ทานกถา
ท่านจะสอนเรื่องการให้ทาน 
การให้ทานดียังไง เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ผู้คนยังไง
คนก็นั่งฟัง โอ้...จริง สาธุ สาธุ

ข้อ 2 ก็เรื่องสีลกถา สอนถึงการถือศีล
ว่าจะทำให้พวกเราเนี่ยะ กั้นทางกาย กั้นทางใจเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทำผิด ทำพลาดต่อผู้คน
 มันก็จะเกิดเป็นวิบากกรรมในเชิงหยาบก็จะไม่กลับมา
คนก็ โอ้...การถือศีลนี้ดี ทำให้เราไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ในเรื่องหยาบๆ

ข้อที่ 3 ท่านก็เริ่มให้ผลคือ สัคคกถา การถือศีล 
การทำทานจะเริ่มส่งผลเป็นอานิสงค์ทำให้เรามีความสุข 
การให้ทานไปก็ทำให้มีโภคทรัพย์ที่จะกลับมา
โอ้ ดี ผู้คนเหล่านั้นที่ถือศีลทำทานมาก็จะมีความสุข 
ได้โภคทรัพย์มา หลายท่านก็กำลังได้สิ่งนั้นอยู่

หลังจากนั้น ข้อที่ 4 (กามาทีนวกถา)
ท่านบอกเลยว่า สัตว์ทั้งหลายก็จะเริ่มเข้าไปหลงยึดติดในสิ่งที่ตัวเองได้มาจากการทำมาเอง
เป็นความสุข! เป็นทรัพย์สมบัติ ! เป็นความสุขจากการถือศีล เป็นคนดีมาตลอด ! 
หลังจากนั้น ความยึดติดเหล่านั้นก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นการปกป้อง
ป้องกันสิ่งที่ตัวเองได้มาไม่ให้หลุดไปเป็นของคนอื่น
จะไปยึดติดในสิ่งเหล่านั้น ใครจะปล้น จะมาขโมยก็เริ่มจะทุกข์แล้ว
ทีนี้มันไม่ใช่สุขแล้ว เริ่มทุกข์ที่จะประคองเอาไว้ ใครมาเป็นได้ฆ่ากัน! เอาละสิ!

เริ่มมีการทำสิ่งผิดๆ ชั่วๆ ลงไป เพื่อปกป้องสิ่งที่ตัวเองได้มาจากสิ่งที่ตัวเองทำมาเอง
หลังจากนั้น ถ้าไม่มีข้อต่อไปเนี่ย มนุษย์จะเริ่มไหลกลับลงไปในภูมิที่ต่ำกว่า
เพราะเริ่มทำผิดทำพลาดทางกาย วาจา ใจ ต่อไป เป็นทุจริต 3
เพราะไม่มีสติคอยรับรู้ คอยทันผัสสะ ที่เค้าเรียกว่า อินทรียสังวร

มนุษย์ที่ไม่เคยฝึกก็จะเริ่มไหลลงต่ำอีกครั้งหนึ่ง
เวียนกลับไปในภพต่ำๆ อีก จากสิ่งที่ตัวเองทำไว้
แล้วก็ค่อยๆ สะบักสะบอมปีนขึ้นมาใหม่ กว่าจะได้เป็นมนุษย์
พอเริ่มเป็นมนุษย์ก็สะบักสะบอม บางคนก็เริ่มมีจิตที่เชื่องลง เชื่องลง! ไม่เอาแล้ว...
ให้ทาน ถือศีล เริ่มต้นใหม่ แล้วก็จะได้ทรัพย์สินมาเป็นข้อที่ 3
แล้วกระโดดขย้ำทรัพย์สิน และก็ปกป้องเอาไว้อีก แล้วก็หมุนวนกลับไปใหม่

พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า วัฏสงสารนี้ไม่มีทางออก หาต้นไม่ได้ หาปลายไม่เจอ
มันหมุนเป็นวงกลม มันจะไปเอาต้นเอาปลายที่ไหน มันหมุนเป็นวงกลม อยู่อย่างนี้!

ทีนี้ในอนุปุพพิกถา 5 ข้อที่ 5 (เนกขัมมานิสังสกถา)
มีคำๆ หนึ่งว่า ผู้ที่จะออกจากวงจรนี้ได้ ต้องเนกขัมมะออกมา
เนกขัมมกถาจึงได้เกิดขึ้นในอนุปุพพิกถา 5
พอถึงตรงนั้นเนี่ย บริษัททั้งหลายที่นั่งฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเริ่มเห็นคล้อยตามนะครับ

นี่ถ้าผม ถ้าพวกท่านย้อนกลับไปเมื่อ 2500 กว่าปีก่อน
 พวกท่านกำลังจะตื่นเต็มที่แล้วนะครับ
พอพระพุทธเจ้าเทศน์อริยสัจ 4 โครม!
จึงได้มีเกิดการบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเลย
เพราะเห็นแล้วว่าสิ่งที่เรากำลังหมุนวนอยู่นี้ มันเป็นเรื่องที่หลงวนกันไม่จบ ไม่มีวันจบด้วย!

โอ้....ชาตินี้รวยจริงๆ โชคดีจริงๆ ที่ร่ำรวย แล้วก็ปกป้องผลประโยชน์
พอใครจะมาเอาก็เริ่มทำบาป ทำกรรม ทำอกุศลเพื่อที่จะปกป้องสิ่งเหล่านี้ไว้
เพื่อให้มันอยู่เท่าเดิมให้ได้ พอมันไม่อยู่ มันขยับขึ้นก็ดีใจ ทรัพย์สินมันเพิ่มขึ้น
พอขยับลง ก็ทุกข์ใจ! โง่!เป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นที่ได้มา
เป็นแค่ของยืมใช้บนโลก
แล้วก็ไม่มีปัญญาที่จะเปลี่ยนโภคทรัพย์เหล่านั้นเป็นอริยทรัพย์เพื่อที่จะใช้ในการเดินทางต่อไป
ยึดเอาไว้เป็นของกู ของกูคนเดียว ไม่ให้ใครหรอก
กูหามันมาได้เหนื่อยยากด้วยตัวกูเอง
กลายเป็นยิ่งเพิ่มตัวตน อัตตา กันเข้าไปใหญ่เข้าไปอีก!

คนถือไฟฉายตัวโตเลยทีนี้ ....เรียบร้อย!
การที่จะตีมันได้ก็ยากอยู่แล้ว ดันไปให้อาหารให้มันโตกันเข้าไปใหญ่
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า การจะออกจากความเป็นทาส มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

หนึ่ง ก็คือ ต้องตัดอาหารไอ้เจ้าราชสีห์นี้
สอง หนูเองก็ต้องมาฟิตร่างายด้วย

พอราชสีห์อ่อนกำลังลง หนูก็แข็งแรงขึ้น
แข็งแรงขึ้นด้วยขันติบารมี ด้วยอะไรต่ออะไร สติ สัมปชัญญะ หรือสมาธิ
เพื่อจะมารอโค่นไอ้ราชสีห์นี้ลง
การตัดอาหารราชสีห์ คือ การเนกขัมมะ

ครับ ทำไมจึงต้องเนกขัมมะ?
การที่ท่านมาอยู่ในคอร์สปฏิบัติของยุวพุทธฯ ก็ดี หรือที่ไหนๆ ก็ดีตามที่ท่านศรัทธา
ที่เค้าบอกว่า เนกขัมมะ คือ การพรากออกมาจากสิ่งที่เป็นกาม
ทำไมต้องพากออกมาจากสิ่งที่เป็นกาม?
คำว่า “กาม” ไม่ใช่ผู้หญิงผู้ชายเสพเมถุน...ไม่ใช่!

คำว่า “กาม” ละเอียดกว่านั้น
คือ กามที่ติดอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้แหล่ะ
ท่านนั่งดูทีวีทุกวันๆๆ  ละครเรื่องนี้ เรื่องนี้ เรื่องนี้
ถ้าท่านมาอยู่คอร์สปฏิบัติใจมันจะหวนนึกถึงเรื่องนั้น

ในคอร์สปฏิบัติมีคุณลุง ผมก็ถามว่า “ลุง..สูบบุหรี่เหรอ?”
ลุงก็ตอบ “เออ... ”
ผม: “ติดรึป่าวล่ะ?”
ลุง : “โอย! ไม่ติดหรอก สูบมา 20 ปีแล้ว ถ้าติด ติดไปนานแล้ว”
ผม: “อ้าวเหรอ?” (ยิ้ม)
ลุง : “ถ้าติด ลุงติดไปแล้ว ปัดโถ่เอ๊ย”
ผม: “อ้าว แล้วเมื่อกี้เห็นลุงสูบ”
ลุง : “สูบ...สูบไปอย่างนั้นแหล่ะนะ ไม่ติดหรอก ถ้าติด ติดไปนานแล้ว 20 กว่าปีแล้ว ปัดโถ่ ”
ผม: “เหรอ? เอ๊ะ! มันยังไงนะ  เวียนหัว !”

ก็เลยไปถามอีกคนหนึ่งที่มาเข้าคอร์ส
ผม: “ป้า...อยากกลับบ้านมั้ย?”
ป้า : “อยาก...อยากกลับบ้าน คิดถึงบ้าน”
ผม: “ป้าติดบ้านเหรอ?” ป้า : “ไม่ติด ติดบ้าอะไร สร้างมากับมือ อยู่มาตั้ง 20 กว่าปีแล้ว ไม่ติด!”
ผม: “เหรอ?” เหรอ?

โอ๊ะ! ไม่มีใครติดอะไรเลยสักอย่าง
เห็นเด็กๆ ทำหน้าเบื่อๆ
ผมก็ถาม “อ้าวทำไมล่ะ” เด็ก: “อยากกลับไปดูหนัง”
ผม: “อ้าว ติดทีวีเหรอ?”
เด็ก: “ ไม่ติด! ทีวี จะไปติดได้ไง มันอยู่ที่บ้าน พอดึงปลั๊กออกก็ไม่ติดแล้ว” ฮึๆ (หัวเราะ)
เอ่อ เอา เอาเข้าไป คอมพิวเตอร์มันก็ไม่ติด
ผม: “เกมล่ะ ติดมั้ย?”
เด็ก: “มาเนี่ยตั้งหลายวัน ไม่ได้เล่นเกม”
ผม: “แล้วอึดอัดมั้ย”
เด็ก: “ก็นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอก
ผม: “ติดเกมรึป่าว”
เด็ก: “ไม่ติด! เกม... จะไปติดได้ไง ถ้ามีตังค์ก็ค่อยไปหยอด

ไม่ติด ไม่มีใครติดอะไรสักอย่าง
แต่พอเนกขัมมะออกมาล่ะ พล่านเลยข้างในน่ะ
พาไปเที่ยวหัวหิน 3 วัน นอน 5 ดาว  อยากกลับบ้าน
ทั้งๆ ที่เชอราตันเนี่ย ทั้งห้องพัก ทั้งที่นอน สวยกว่าที่บ้านทุกอย่างเลย แต่อยากกลับบ้าน
อยากไปไหนรู้มัยครับ? ไปที่ชอบ ที่ชอบ
ขนาดมีชีวิต มันยังจะไปอย่างนี้ แล้วถ้าเสียชีวิตล่ะ
จึงได้ยินบ่อยๆ ว่าวินาทีแรกมาเปิดประตูบ้านเลย เพราะฉะนั้น ต้องทำยังไง?
พรากออกมาให้ได้นะครับ!
มีไว้ใช้ในโลกก็มีไว้เป็นของยืมใช้
มีปัญญาก็เปลี่ยนเป็นอริยทรัพย์ซะ เพื่อเอาไว้เดินทางต่อไป เผื่อชาติหน้า
ถ้าชาตินี้ยังจัดการกับคนถือไฟฉายไม่ได้แน่แฮะ ก็สร้างเสบียงเอาไว้หน่อย ประมาททำไม
เอ๊ย! ชาติหน้ามีจริงเหรอ?
เดี๋ยวคราวหน้าจะพูดให้ฟัง ว่าชาติหน้ามีจริงไหม?
หรือมาเข้าคอร์สที่ยุวพุทธฯ ก็ได้นะครับ
ชาติหน้ามีจริงแน่  แต่ผมไม่ได้บอกหรอกว่ามันจริง ไม่จริง

วันหนึ่งที่ผมไปอยู่ที่เกาะพงัน
มีฝรั่งผู้ชายผู้หญิง 2 คู่ ผมไปอยู่ในวัดแห่งหนึ่ง มีภาพเขียนเป็นพุทธประวัติ
ตอนนั้นผมจำได้เป็นภาพพระแม่ธรณีบิดมวยผม
ฝรั่งผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาถามผมว่าภาพนี้หมายถึงอะไร?
ผมก็อธิบายให้เขาฟัง มันก็โยงไปถึงเรื่องภพชาติ ชาติที่แล้วนะ
พอผมอธิบายจบ เค้าก็บอกว่า เค้าเชื่อนะ เรื่องภพชาติแต่แฟนเค้าไม่เชื่อ
แล้วเค้าถามว่า แล้ว you ล่ะเชื่อมั้ย?
ผมตอบว่า ผมไม่ได้เชื่อ
ฝรั่ง: “อ้าว ?”
ผม: “มันเป็นความจริง”   เค้าก็งง!
ผมบอกว่า มันคือความจริง   ความจริงไม่เคยเปลี่ยนไปตามความเชื่อของใคร

คุณจะเชื่ออะไรก็ได้ คุณเรียกมันว่า “ขวด” อีกคนเรียกมันว่า “แจกัน”
ผมบอกว่าเนี่ย “ แก้ว” เค้าบอกเค้าไม่เชื่อว่ามันเป็น “แก้ว” เค้าว่ามันเป็น “ขวด”
ผมบอกว่า ก็เรื่องของคุณ
อีกคนก็บอกว่า “ไม่ใช่ขวด นี่มันแจกัน”
ผมบอก ก็เรื่องของคุณอีกแหล่ะ
แต่ในความเป็นจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อของใครเค้า
เรียกว่า “สัจธรรม” 
ต่อให้ผมเชื่อว่ามันเป็น “กะละมัง”  มันก็ไม่ใช่อยู่ดี!
มันไม่ได้เกี่ยวกับว่า ผมเชื่อว่ามันเป็นอะไร
แต่มันคือความจริงว่ามันเป็นอย่างนั้น แล้วมันก็ไม่เคยเปลี่ยนไปตามความเชื่อของใครทั้งสิ้น
วันไหนที่คุณจบชีวิตมันก็จะเป็นไปตามนี้แหล่ะ...ไม่ได้เป็นไปตามความเชื่อ!

 “นรก” ไม่ได้เป็นไปตามความเชื่อนะครับ แต่ไปตามความชั่ว 
เพราะฉะนั้น ถึงท่านจะเชื่อว่าไม่มีก็ตาม แต่ท่านได้ไปแน่ (ถ้าท่านทำชั่ว)
แล้ววันนั้นช่วยออกมาบรรยายที (ยิ้ม)... เพื่อนๆ จะได้รู้
แต่ก็มีคนที่ตายแล้ว กลับมา แล้วก็ฟื้น ท่านจะเห็นได้ว่าคนที่ตายแล้วฟื้น ไม่กล้าทำชั่วอีกเลย
เค้าไปเห็นอะไรมาเหรอ? ผมไม่ทราบ...
แต่ว่าที่แน่ๆ ตอนที่ผมเฉียด (ตาย) ผมก็ไม่เอาแล้วนะครับ ผมก็ไม่เอาแล้ว!

เอาล่ะ...ทีนี้เรามาถึงเรื่องอริยสัจ ผมจะชี้ให้ท่านเห็นก่อนที่เราจะจบแล้วก็จากกันไปนะครับ
ก็คือ... ในอริยสัจทั้งหมด เรื่องของ มรรค คือ เรื่องที่สำคัญที่สุด
ในมรรคทั้ง 8 ข้อเนี่ย วันนี้ผมจะไม่ลงรายละเอียดแล้ว
 นอกจากว่าคราวหน้ามีเวลาก็จะลงไป ค่อยๆ ดูกัน แต่ผมจะชี้ให้ท่านเห็น 3 ตัว


ข้อนี้ สัมมาวาจา เป็น ศีลข้อที่ 4
สัมมากัมมันโต เป็น ศีลข้อที่ 1 2 3
ผู้ใดก็ตามที่ถือศีลทั้ง 5 ข้อ ครบอย่างสมบูรณ์นะครับ
สัมมาอาชีโว คือ อาชีพที่เราไม่ได้ทำผิดทำพลาดอะไร
ท่านจะอยู่ในมรรค ข้อ 3, 4 และก็ 5 มรรคทั้ง 3 ข้อจะบริบูรณ์ที่ตัวของเขาเอง

แต่ผมยังไม่มีเวลาพอที่จะบอกว่า
แล้วสิ่งเหล่านั้นจะทำให้ท่านแกล้วกล้า อาจหาญ เข้มแข็ง มีสัมมาสมาธิขึ้นมาได้ยังไง
แต่พอมาถึงมรรคข้อที่ 6, 7, 8

สมมติมีผู้ชายคนหนึ่งถือมรรค 3 ข้อนี้ (สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว)
ถือศีล 5 บริสุทธิ์ผุดผ่องเลย
วันนั้นเค้ากำลังนั่งรถเมล์ไปทำงาน พอไปถึงที่ทำงาน 8 โมงกว่า
ที่ทำงานเริ่มทำงาน 8 โมงครึ่ง นึกขึ้นได้ เฮ้ย! ลืมใส่สร้อย
โอ้โห คนที่เคยใส่สร้อยมาตลอดชีวิต พอลืมใส่สร้อยปั๊บ ใจไม่ดีเลย 
เอ๊ะ! หรือเป็นลางร้ายเนี่ย ยกนาฬิกาขึ้นดู กลับไปเอาก็ไม่ทัน เดี๋ยวตอกบัตรไม่ทัน จะซวยกันใหญ่
ฮึ้ย! แต่กลับไปเอาดีกว่าน่ะ ใจเริ่มยึกยักๆ เริ่มบีบคั้นเป็นทุกข์แล้ว เอายังไงดี

ผมขอหยุดภาพไว้ตรงนี้
ผมถามว่าเค้าทำผิดศีลข้อไหนเหรอครับ?
ในศีล 5 มีผิดศีลข้อไหนไหมครับ?  ไม่มีเลย!
แล้วทำไมทุกข์แทบตาย?

ผมถึงบอกว่า จริยธรรม คุณธรรม ศีล 5 ไม่ได้ทำให้คนดีพ้นทุกข์
 มรรคมีองค์ 8 จึงยิ่งใหญ่ และประเสริฐที่สุด 
ตรงนี้แหล่ะ (สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสมาธิ)
 สามารถทำให้บุคคลพ้นทุกข์ได้ เริ่มต้นดูจากข้อที่ 6 เลย


ข้อที่ 6 สัมมาวายาโม ความเพียรชอบ
ความเพียรอะไร ท่านบอกเพียรอะไรล่ะ? เพียรอย่าให้อกุศลเกิด 
อกุศล ก็คือ ความทุกข์ ความร้อน ความเดือดเนื้อร้อนใจ เกิดขึ้นในจิต
ข้อนี้เราทำไม่ค่อยได้ มันเกิดอยู่เรื่อยๆ ก็มาถึงข้อ 2
ถ้าอกุศลเกิดขึ้น ความโกรธเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าบอกว่ายังไงครับ?  ละ ... ที่เกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าบอกให้ละอกุศลที่เกิดขึ้น
ถ้าความโกรธกำลังเกิดขึ้นกับใครสักคนในห้องประชุม
ผมบอกให้ ละ เลย เค้าละได้มั้ยครับ? ไม่ได้! มันไม่ง่ายขนาดที่มันจะ... (ดีดนิ้วทีเดียว แล้วหายไป) ไม่ใช่! มันยังขุ่นอยู่เลย
ท่านจึงบอกว่า...ข้อ 3 เพียรทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด
ในขณะที่อกุศลเกิด อกุศลเข้ามาปนอยู่ในดวงจิต
รู้แล้วว่าโทสะเข้ามาประกอบจิต ขณะนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ 
คือ เข้าไปรู้กายคตาสติ ในฐานไหนก่อนก็ได้
ลมหายใจก็ได้...เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาตลอด
ขณะที่ทิ้ง (อกุศล) แล้วก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ ขณะนั้นเอง จิตจะไปมุ่งอยู่ที่ลมหายใจ
ขณะที่ท่านกำลังฟังผมอยู่ตอนนี้... หยุดครับ!

สังเกตที่ก้นของท่าน ที่สัมผัสกับเก้าอี้ รู้สึกยังไงครับ?
ถ้าตรงนี้ก็นิ่มๆ หน่อย ถูกมั้ยครับ....ตรงนี้ก็แข็งๆ
ตอนที่ท่านฟังผมท่านรู้มั้ยครับว่าก้นมันรู้สึกยังไง? ไม่รู้เลย!
จิตรับรู้ได้ทีละอารมณ์เดียวนะครับ

เพราะฉะนั้น ถ้ากำลังโกรธอยู่ แล้วจิตไปรู้กุศลแทน 
อกุศลจะจางลงโดยอัตโนมัติ 

ความจริงน่ะมันดับไปเลย
แต่ด้วยความที่ยังมีสันตติ ท่านยังไม่สามารถเห็นขาว-ดำ/ ดำ-ขาวได้
มันจึงกลายเป็นสีเทาไปก่อน เพราะมันยังไม่เห็นความจริง
ถ้ามันถอดถอนเนี่ย มันจะ...ปั๊บ (ดีดนิ้ว) เป็นอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ
แค่กระพริบตานี่อกุศลดับวับ กุศลเกิดเลย พอระลึกทันว่าอกุศลเกิด…มันจะปั๊บ (ดีดนิ้ว) ขาดเลย
แต่มันจะถึงวันนั้นได้ยังไง?.....มันต้องฝึก!
ในขณะที่อกุศลเกิดท่านบอกให้ละอกุศลเสีย ตอนนั้นมันไปเจอกับอะไรครับ?


จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานพอดี เข้าไปรู้แล้วว่าโทสะเกิดขึ้นในจิต...ถึงได้ละไง
พอละปุ๊บ! มาดูลมหายใจ ขณะที่ดูลมหายใจ มันเกิดอะไรขึ้นครับ?

สัมมาสมาธิ อานาปานสติ ความตั้งมั่นของจิตเกิดขึ้นมาในทันทีเลย
มรรคมีองค์ 8 จะเริ่มค่อยๆ บริบูรณ์ขึ้นมาเรื่อยๆ

เคยเห็นตรงนี้มั้ยครับ? ทำไม 3 ข้อนี้ถึงเป็นสมาธิ?
ธรรมในข้อไหนๆ ๆ เนี่ยชนกันหมด จะเป็นการเกื้อหนุนเกิ้อกูลกันทั้งหมดเลยในมรรค 3 องค์นี้
ใครก็ตามที่ทำมรรค 3 องค์นี้จนบริบูรณ์   สิ่งนั้นจะย้อนกลับไปที่นี่

ท่านจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ในวาระต้น คือ เป็นพระโสดาบัน
เพราะฉะนั้น มรรคมีองค์ 8 จะสามารถเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้เป็นอริยบุคคลขั้นที่ 1 ได้

ดังนั้นเมื่อถึงอริยบุคคลขั้นที่ 1 ได้ ถึงพระอรหันต์แน่ 

วันนี้เราเอาคร่าวๆ แค่นี้พอ...นี่ขนาดคร่าวๆนะ ไม่ต้องมาแล้วก็ได้นะ รู้เรื่องแล้ว
เอาล่ะ...ฟังกันมาเยอะแล้ว (ยิ้ม) เริ่มเหนื่อยอ่อนท้อแท้
อ่ะ! ให้กำลังใจหน่อย ชมคลิป ( ชัยชนะ ) ( ไตรกีฬา )


เอาละครับ...ก็คงพอจะรู้ว่าชัยชนะคืออะไร?     เอาชนะกิเลส
ถ้าผมจะบอกว่า ...ไป! เดี๋ยวจบแล้วเราไปนิพพานกันเลย
ท่านจะบอกว่า... เดี๋ยวก่อน แป๊บนึงได้มั้ย? ยังไม่ได้บอกลูกเลย
เดี๋ยวยังไง...เดี่ยวขอเคลียร์งานอีก 2-3 เดือนก่อน
ไม่มีใครไปเลย (หัวเราะ)
แล้วผมก็ไม่ได้ให้ใครไปหรอก .... เพราะมันไม่ต้องไป

รีเบคก้า เห็นผ้าพันคอสีเขียว ตัณหาบีบคั้นเข้าไปในใจ
ถ้ารีเบคก้ามานั่งฟัง แล้วเริ่มฝึก
ขณะที่ภาพผ้าพันคอสีเขียวเข้ามากระทบตาปั๊บ! เกิด เวทนา ชอบ
ขณะนั้นรีเบคก้ามีสติรู้ทัน เวทนา ความชอบจะดับทันที
เค้าจะยืนอยู่หน้ากระจกแล้วเดินต่อไปได้เลย
เพราะเค้าเห็นแล้วว่าเค้าไม่จำเป็นต้องซื้อ ที่บ้านมีแล้ว 3 ผืน 4 ผืน 5 ผืน 10 ผืน
เดินไปแบบไม่โหยหาด้วย !
แต่ทุกวันนี้ที่เราโหยหา เพราะมีอุปาทานเข้าไปยึดติด
นอนอยู่ที่บ้านมันก็เขย่า มันเอามาจนได้ Midnight sale เนี่ยเค้าปิดเที่ยงคืนนะ รู้ไว้ด้วย!
เอ้าจริงเหรอ! นี่เพิ่ง 3 ทุ่มเอง กระโดดขึ้นมาจากเตียง ขับรถออกไปเลย
พอไปถึงปั๊บ! เค้าขายไปแล้ว ผ้าพันคอผืนนั้น เจ็บใจ เลย !  ...
ไม่น่าเชื่อสติเลย ถ้าซื้อไปซะก็สิ้นเรื่องแล้ว (อ้าว...ไปนู่นเลย)

ทีนี้ ถ้าฝึกไปจนกระทั่งเห็นทันว่าอะไรคือตัวที่บีบคั้น ทำให้เป็นทุกข์
ขณะที่ความทุกข์กำลังเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ละสมุทัยซะ!
สมุทัยควรละ


แล้วถ้านี่คือสมุทัย นิโรธ จะอยู่ที่นี่ครับ
 (การปล่อยวาง = ว่าง)
เราไปหาที่ไหนครับ?
ทันทีที่มีสติและกำลังเต็มที่ นิโรธอยู่ในระดับที่ 2 นะครับ ยังไม่ใช่มหาสุญญตา
สิ่งที่จะเกิดขึ้นทันทีคือการดับลงของตัณหา   จะเบาเลย!

เราไม่ได้หาความเบานะครับ!
พระพุทธเจ้าสอนให้เราปล่อยของหนัก แล้วความเบาจะอยู่ที่นั่นเอง! 
เมื่อไหร่ท่านละสมุทัย นิโรธจะอยู่ที่นั่น ถ้าท่านขับรถมายุวพุทธฯ
กำลังดูแผนที่ โอ๊ย...จะไปไม่ทันอยู่แล้ว! (กำลังบีบคั้น) เดี๋ยวก็ไม่ทันกันพอดี
โอ้โห...ธรรมะชั้นเลิศด้วยนะวันนี้!
อริยสัจ 4 โอ๊ย...ไปช้าไม่รู้เรื่องกันพอดี
ถ้าตอนนั้นท่านมีสติ ปั๊บ! เห็นความบีบคั้นที่กำลังดูแผนที่ มันดับวั๊บ!
ไม่ต้องมายุวพุทธฯ แล้วครับ เพราะนิพพานอยู่ที่นั่น!

เราวิ่งหานิพพานที่ไหนครับ? หลวงพ่อเอี้ยนถึงได้บอกว่า...
คนทั่วไปกำลังขี่วัวไปหาวัว แถมซ้ำหนัก กำลังจะขี่ควายไปหาวัว
เพราะว่าวัวนั้นมันนึกว่าตัวเองเป็นควาย มันโง่จนวัวจะกลายเป็นควายอยู่แล้ว
วัวพยายามจะไปหา  ควายก็พยายามจะไปหา แต่มันหารู้ไม่ว่าสิ่งที่มันกำลังจะไปหา
แปะอยู่ที่หน้าผากมันเอง
เพียงมันปล่อยของหนัก มันทิ้งสมุทัยอย่างเดียว นิพพานก็อยู่ที่นั่นเอง

จำภาพนี้ไว้นะครับ แล้วไม่ต้องไปหาที่ไหนอีก

ก็ขอจบการบรรยายวันนี้เพียงเท่านี้นะครับ

บุญกุศลอันใดที่ท่านทั้งหลาย รวมถึงกระผมได้กอปรบำเพ็ญเพียรมา
ขอจงเป็นตบะเดชะพละปัจจัยส่งผลให้ท่านทั้งหลาย
จงเกิดดวงตาเห็นธรรม เข้าใจธรรมะ มีปัญญาแทงทะลุตลอด
จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกคน ทุกท่านเทอญ


  ภาคท้าย ( ตอบคำถาม )

คุณอนุรุธ ว่องวานิชนายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
เรียนถามอาจารย์ประเสริฐ เรื่องการวางตัววางใจต่อสถานการณ์บ้านเมือง
ในขณะนี้ประเทศชาติกำลังเป็นทุกข์กันทั้งประเทศ
ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมที่รู้ว่าการยึดมั่นถือมั่นมีหลายระดับด้วยกัน
ไม่ว่าจะในความยึดมั่นในสถาบัน   ในสี ในอะไรก็ตามที่เราสมมติกันขึ้นมาในสังคม
จนกระทั่งกลายมาเป็นความทุกข์ในระดับประเทศแล้ว ทุกหย่อมแล้ว
ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมเนี่ย เราควรจะวางตัว วางใจย่างไรต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่?
เช่น คำถาม คือ จะเป็นอุเบกขาไป?
เห็นว่ามันก็เป็นฉากๆ หนึ่งของชีวิต ของชาติ ของสังคม ก็ดูไป
เป็นผู้ดู อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เพราะมันมีเหตุปัจจัยของตัวมันเอง
แล้วเราก็ขอให้ตัวเองเป็นผู้ดู ไม่เกี่ยว
คนข้างๆ เราจะคิดว่า ทำไมคุณไม่ไปช่วย...มันเป็นประเทศชาติของเรานะ?
จะบอกว่า...มันไม่ใช่ของเรา! แม้กระทั่ง “เรา” ก็ไม่ใช่เรา
ในระดับไหนเราควรจะวางตัว วางใจเราให้เหมาะ แล้วไม่เป็นทุกข์
เมื่อขับรถออกไปแล้ว รถก็ยังติดอยู่ กลับบ้าน เปิดทีวีก็ยังเห้นข่าวเหล่านั้นอยู่
ขออนุญาตถามครับ

 อาจารย์ประเสริฐ ท่านตอบดังนี้ 

นายกยุวพุทธิกสมาคมฯ นะครับ โยนคำถามมาแบบ...แทบจะต้องวิ่งออกเลยนะครับ (ยิ้ม)
ผมว่าหลายท่านคงกำลังอึดอัดแล้วก็เห็นใจผมเช่นเดียวกันนะครับ (หัวเราะ)
เพราะว่าถ้าท่านมานั่งตรงนี้ท่านคงจะรู้สึกว่า
โอ้โห จะตอบยังไงดี

เอาล่ะครับ ผมจะตอบ  อย่างที่ผมบอกนะครับว่า... เดี่ยวกลับมาตรงนี้ก่อนนะครับ
เดี๋ยวผมจะชี้แจงอีกที มันจะมีชั้นของเรื่องราว กับ ชั้นของปรมัตถ์
ผมได้รับคำถามนี้มาตลอดเวลา ไม่ใช่เพิ่งมาตอนนี้ล่ะครับ 
ตั้งแต่สมัยเค้าปิดสนามบินแล้ว  คำถามนี้มันต่อมาตลอด
เพราะจะเห็นได้เลยว่า มันทำท่าจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่
เพราะว่า ต่อไป มันก็จะเป็นอย่างนี้อีก เพราะเรื่องมันไม่จบหรอกครับ
ถ้าเอาเนื้อเรื่องเนี่ย ยังไงก็ไม่จบ
แต่มันต้องเริ่มจบที่เราก่อน

เวลาท่านขึ้นเครื่องบินเนี่ย เค้าบอกว่า เวลาเกิดความกดอากาศ
ขอให้ท่านสวมหน้ากากให้ตัวท่านเองก่อน ก่อนที่สวมให้คนข้างๆ
ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ? เพราะว่า...หากท่านไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อน คนข้างๆ ก็ตายด้วย ท่านมัวแต่ช่วยคนอื่น แต่ตัวเองเอาไม่รอด มันตายทั้งสองคน เพราะเวลาที่มีให้หายใจเนี่ย นิดเดียว! แล้วก็ตายเลย แต่ถ้าใส่ปั๊บเนี่ย จะมีโอกาสที่จะช่วยคนอื่น แล้วก็ปั้มหายใจขึ้นมาได้ ทีนี้...ในชั้นของเรื่องราว ก่อนที่ผมจะตอบคำถามของท่านายกฯ ผมขอยกตัวอย่างอันนี้อันหนึ่ง แล้วท่านจะเห็นภาพ วันที่หลวงพ่อคูณโดนขโมยขึ้นกุฏิ ขดมยเงินท่านไป 200,000 กว่าบาท ผมถามว่า...เอาคนในห้องทั้งหมด 150 คน ให้ตอบว่าหลวงพ่อคูณควรทำยังไง? จะมีคำตอบหลากหลายเลยถูกมั้ยครับ? หนึ่ง ก็บอกว่าหลวงพ่อเป้นพระไม่ควรเอาเรื่องหรอก อโหสิไปเถอะ สอง ก็บอกว่า ไม่ได้ อย่างนี้โจรขโมยมันก็ไม่หลาบจำ บางคนก็บอกว่า เล่นให้ถึงเจ้าคณะจังหวัดเลย อะไรเต็มไปหมดล่ะ คำตอบน่ะ แล้วหลวงพ่อคูณทำยังไง? ท่านบอกตำรวจว่า ท่านไม่เอาเรื่อง ท่านอโหสิ จบ จะมีคนบอกว่า ท่านทำถูก ท่านทำผิด ท่านทำอย่างนั้น ท่านทำอย่างนี้บ้าง มากมายเลย แล้วแต่...เพราะมันเป็นกรอบความคิดของแต่ละคน เนื้อเรื่องของท่านมีแต่ว่า ท่านจบแล้ว! แล้วท่านก็เห็นว่า ไอ้คนเอาไป ช่างเถอะมันอาจจะลำบากจริงๆ ก็เอาไปเถอะ  ก็จบ! สำหรับท่านไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่สำหรับบางคน ถ้าถูกโกงที่ จะบอก ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็ไม่หลาบจำ ก็ฟ้อง! จะฟ้องก็ฟ้อง ก็มีกฎหมายก็ฟ้อง จะทำอย่างไรก็ได้ บางคนบอก โอ้โห อย่าไปฟ้องเลย มันนิดๆ หน่อยๆ ผมเพียงแต่บอกทุกคนว่า คุณจะทำยังไงก็ตาม ขอให้จิตว่างก็แล้วกัน คำว่า “จิตว่าง” ไม่ใช่อย่างนี้นะครับ พอเดินไปซื้อของ แม่ค้าด่าปุ๊บก็ ...(ฝืนทำเป็นนิ่ง ท่าสมาธิ) อย่างนี้ไปไกลๆ เลยนะครับ อย่างนี้นี่ไปนั่งที่บ้าน แม่ค้าจะเอาผักขว้างเรา เพราะบังหน้าร้านเขา จิตว่างไม่ใช่แบบนี้นะครับ เดินไปถึง พอแม่ค้าบอก “นี่คุณ! ไม่ซื้อก็อย่าเลือกมาก ผักช้ำ” พอความโกรธเกิดขึ้นก็ทำ (แบบนี้) ไม่ต้อง! จิตว่าง ก็คือว่า ป้าของถุงนะ ขอเลือกแป๊บนึง คือ ไม่ได้มีความดลภ ไม่ได้มีความโกรธ ไม่มีความหลงอยู่ในนั้น ผู้พิพากษาเซ็นต์คำสั่งประหารชีวิตคนที่ฆ่าข่มขืนมาแล้ว 5 คดีรวด คนหนึ่งที่อยู่ในคณะผู้พิพากษาบอก ประหาร! ไอ้นี่ทิ้งไว้ไม่ได้แล้ว ประหารมันเลย! สองท่านแรกเขาใช้สติปัญญา ไม่ได้มีราคะ โทสะ โมหะ เข้าไปด้วย อีกคนมีความแค้นส่วนตัว นี่ผมเอามันเข้าคุกมา 3 รอบแล้ว ไม่เข็ด เซ็นต์มันไปเลยประหารชีวิต นักโทษโดนประหารเรียบร้อย ผู้พิพากษาคนนี้กระโดดตามเพื่อตายลงไปเป็นสัตว์นรกด้วย อีกสองคนสบาย ฆ่าเหมือนกันเลย เซ็นต์คำสั่งประหารเหมือนกัน สองคนแรกรอด เพราะว่า จิตว่างจากกิเลส กลับมาที่การชุมนุม ฮึๆๆๆ (หัวเราะ) ...ท่านไปชุมนุมได้เลย  ถ้าท่านอยากไปชุมนุม แต่ทุกครั้งที่ท่านแบบนี้เนี่ย (ยกมือ ปะท้วง มีส่วนร่วม) ขอให้จิตมันว่าง ถ้าท่านทำได้...ท่านไม่ลงนรกแน่ ไม่ว่าท่านจะใส่เสื้อสีอะไร หรมดจากสีนี้เดี๋ยวจะมีสีอื่นอีก ขณะที่ทำแบบนี้เนี่ย ท่านว่างรึเปล่า?

  แต่ผมสงสัยว่า ...ถ้าว่าง จะทำแบบนี้มั้ย? (ยิ้ม) 

ผมสงสัยว่า ถ้าว่าง จะทำแบบนี้มั้ย?
ถ้าท่านจะรักอะไรก็แล้วแต่ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ตามที่ท่านพูด
ผมเห็นว่าทุกสีพูดแบบนี้เหมือนกันหมดเลย
เพียงแต่ว่า ทุกคน..ถ้าจะทำอะไรตามอุดมการณ์ ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องอยู่ตรงนั้น
ทุกคนมีสิทธิ์จะทำทุกอย่างตามสิ่งที่คุณสั่งสมมา
แต่มันมีอย่างเดียว คือ ...
ถ้าทำด้วยจิตที่ไม่ว่างประกอบด้วยกิเลสในการทำเมื่อไหร่
คุณต้องรับผล! เรื่องของวัฏฏะ 3 คือ
เมื่อไหร่การกระทำมีโลภะ โทสะ โมหะ เข้าไปประกอบจะเรียกว่า “กรรม” ทันที
หลังจากนั้นจะเป็น วิบาก จะต้องทุกข์ทนในสิ่งที่ท่านต้องรับ
แต่ถ้าท่านทำสิ่งนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ จิตว่าง ทำด้วยสติปัญญา
จะทำแบบไหน สีอะไร ก็ทำไปเถอะ เพราะว่าเป็นเรื่องของแต่ละคน

ส่วนของผม
ผมทำหน้าที่ใส่เสื้อสีขาว ทุกวัน ในคอร์สปฏิบัติ
ช่วยให้คนที่กำลังมีความทุกข์ พ้นทุกข์ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ใครจะบอกว่าผมถูก ผมผิด ผมไม่รักชาติ ผมไม่ใส่ใจ!
ผมเพียงแต่ทำให้บุคคลพ้นทุกข์ไม่ว่าจะสีอะไรก็ตาม เท่านั้นเอง

อันนี้ขอเป็นคำตอบครับผม .

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น