ถอดคำบรรยาย:
คอร์ส “มัคคานุคาเข้มระดับ 2”
เรื่อง พังประตูคุก ตอนที่ 3 “แรงเงา”
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
ณ สวนธรรมศรีปทุม
เรื่อง พังประตูคุก ตอนที่ 3 “แรงเงา”
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
ณ สวนธรรมศรีปทุม
สวัสดีโยคีทุกท่าน
นี่ก็เป็นเช้าของวันที่ 2 ในการปฏิบัติในหลักสูตร “มัคคานุคาเข้มระดับ 2”
ทำไมต้องเป็นเข้มระดับที่ 2? หมายถึงว่า มีเข้มระดับที่ 1 หรือเปล่า?...ไม่มี
เข้มระดับที่ 1...ไม่มี แต่อยู่ๆ ก็เป็นเข้มระดับ 2 เพราะว่า พอเป็นคอร์สพื้นฐาน
มันก็เหมือนกับที่คนทั่วไปเค้าเรียกกันว่า คอร์สพื้นฐานเป็นคอร์สเบื้องต้น คอร์สระดับที่ 1
อะไรอย่างนี้ พอเป็นคอร์สเข้มก็คือระดับที่ 2
ระดับที่ 2 นี้ก็จะมุ่งเน้นไปที่การภาวนา แล้วก็การฟังเนื้อหาสาระ
ระดับที่ 2 นี้ก็จะมุ่งเน้นไปที่การภาวนา แล้วก็การฟังเนื้อหาสาระ
เพราะในคอร์สพื้นฐานที่เราปูเนี่ย จะเน้นการฟังเนื้อหาสาระ เพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้นก่อน
พอเกิดสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น อะไรคือสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น
พอเกิดสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น อะไรคือสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น
รู้ว่าอะไรคือกุศล อะไรคืออกุศล น่ะ
เมื่อก่อนก็อาจจะตีขลุม เค้าเรียกว่าตีขลุม
เมื่อก่อนก็อาจจะตีขลุม เค้าเรียกว่าตีขลุม
เดินหงุดหงิดออกไปใส่บาตรก็ว่าทำบุญ นะ
อย่างเนี้ยะ อย่างเนี้ยะไม่เห็นความจริงละ อันนี้ปุถุชนเลยนะ
อย่างเนี้ยะ อย่างเนี้ยะไม่เห็นความจริงละ อันนี้ปุถุชนเลยนะ
เดินหงุดหงิดๆ ออกไปใส่บาตร ใส่บาตรแล้วก็ยังหงุดหงิดๆ แล้วก็เดินกลับเข้ามา
อย่างนี้ไม่เห็นความจริง อย่างนี้ไม่มีสัมมาทิฏฐิแม้แต่เบื้องต้นด้วย
ทีนี้พอฝึกไปก็เริ่มเห็น การออกไปใส่บาตร ฟังดูเหมือนกับการออกไปทำบุญทำกุศล...ซึ่งก็จริง
แต่ในขณะ แต่ละขณะที่ออกไปเดินออกไปใส่บาตร
ทีนี้พอฝึกไปก็เริ่มเห็น การออกไปใส่บาตร ฟังดูเหมือนกับการออกไปทำบุญทำกุศล...ซึ่งก็จริง
แต่ในขณะ แต่ละขณะที่ออกไปเดินออกไปใส่บาตร
ใจเป็นอกุศล โกรธ หงุดหงิด รำคาญ เริ่มเห็นแล้ว...อ้อ แบบนี้มันไม่ใช่ล่ะมั้ง
เริ่มรู้จักกุศล เริ่มรู้จักอกุศล อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น
แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มรู้ต่อไปว่า ทำกุศล...ผลเป็นกุศล, ทำอกุศล...ผลเป็นอกุศล
ท่านลองเช็คลิสต์ตัวเองนะ ดูซิว่ามีสัมมาทิฏฐิหรือยัง
ออกไปใส่บาตร...ใจหงุดหงิด รู้เลยว่า ทำอกุศล...ผลเป็นอกุศล
การให้ทานย่อมมีผลเหมือนกัน
สมมติว่าการโกรธหงุดหงิดรำคาญต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานพันธุ์ดุ
แต่ก็ยังเข้าใจได้ว่า ทานที่เราทำไว้ก็ยังส่งผล
อาจจะเป็นสุนัขพันธุ์ดุแต่มีคนเลี้ยงเอาอาหารอย่างดีให้
ทานที่ท่านทำไว้ก็ยังไปส่งผลในภพภูมิ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างนั้นเลย
ทำอกุศล...ผลเป็นอกุศล เริ่มรู้แล้ว ไม่ใช่ว่า โอ้ย...วันนี้ฉันออกไปทำบุญ
ไม่นะ...อันนั้นเป็นคำรวมๆ เฉยๆ ซึ่งต้องมาแยกดูรายละเอียด
เมื่อเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจกฏแห่งกรรมโดยธรรมชาติเลย...โอ้ย แน่นอน
กรรมเกิดขึ้นได้จากการที่มีโลภะ โทสะ โมหะ เข้าประกอบ
แล้วเกิดการกระทำสิ่งนั้นลงไป ก็จึงเป็นกรรม
เมื่อทำกรรม...ก็รับวิบาก นะ ก็เริ่มเข้าใจกฏแห่งกรรม
เมื่อเห็นกฏแห่งกรรม ความเข้าใจต่อมาที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ
ถ้างั้นเวียนว่ายตายเกิดแน่ เพราะได้สร้างกรรมสร้างเวรเอาไว้มันก็ต้องเกิดการรับผล
จึงเกิดการเวียนว่ายตายเกิด
ผู้เกิดสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจเรื่องของภพภูมิ...มีแน่ เพราะทำเอาไว้เอง
เอาล่ะ นี่ก็คือสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น เมื่อใครมีอย่างนี้แล้วก็จะเริ่มเห็นโทษภัยในสังสารวัฏฎ์ล่ะ
เป็นธรรมชาติเลย ที่ใครเห็นอย่างเนี่ยะมาหมดเนี่ย จะเห็นเลยว่าสังสารวัฏฏ์นี้น่ากลัว
แล้วก็เห็นเลยว่า เมื่อก่อนนี้เราทำมาไม่ใช่น้อยเลย ตั้งแต่ยังไม่รู้เลย
เพราะคนไม่รู้ก็ทำกัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูก ฉันทำอย่างนี้ฉันทำถูก
เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
สถานที่นี้เราเปิดอบรมคอร์สของนักศึกษา ในหลักสูตรหลักสูตรนึง
ในหลักสูตรนั้น หลังจากวันที่จบหลักสูตร มีเด็กออกมาแสดงความคิดเห็น
เรื่องที่เค้าเล่าวันนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ผมเอาไปเล่าทุกคอร์สเลย
เด็กคนนั้นบอกว่า คือเค้าเป็นนักศึกษาปี 4 แล้วตอนนี้
เค้าบอกว่าตอนที่เค้าอายุ 17 มีอยู่วันนึงน้องชายเค้าวิ่งเข้ามาในบ้าน
แล้วก็บอกว่าโดยจิ๊กโก๋ไล่ตี เค้ารู้สึกโกรธมาก เค้าจึงหยิบปืน แล้วก็ออกไป
แล้วก็วิ่งไล่ยิงพวกจิ๊กโก๋ที่มาตีน้องชายเค้า.....เค้าถูกตำรวจจับ
แต่วันนั้นเนื่องจากอายุแค่ 17 เค้าจึงรอดตารางมาอย่างหวุดหวิด
จนเค้ามาเข้าคอร์สปฏิบัติในครั้งนั้น เมื่อวัน...ไม่กี่วันที่ผ่านมา
เค้าเริ่มรู้สึกว่า เค้าทำผิด !!
แต่เค้าบอกว่า วันที่ผมไล่ยิงน่ะ ผมรู้สึกว่าผมทำถูก !!
แล้วผมก็รู้สึกว่าผมทำถูกมาตลอด จนกระทั่งผมมาเข้าคอร์ส ผมถึงรู้ว่าผมทำผิด
ฟังดูไม่แปลก ..... แต่ที่มันสุดยอดตรงที่เค้าบอกว่า ....ผมเอะใจขึ้นมา
ผมรู้เลยว่าทุกคนที่ทำผิดในโลกนี้ ตอนนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองทำถูก
เออ...ทุกคนที่ทำผิด ในใจจะรู้สึกว่าตัวเองทำถูก
ที่เค้าตั้งคำถามคือ...นั่นนะสิ ในเมื่อทุกคนรู้สึกว่าตัวเองทำถูก
แล้วใครจะเป็นคนบอกว่ามันถูกหรือว่ามันผิด?
เพราะทุกคนมันรู้สึกว่า...ใช่ สิ่งที่ฉันทำมันถูกอ่ะ
ถ้าฉันปกป้องลูก นี่ปกป้องน้อง เค้าบอกว่าเค้าปกป้องชีวิตน้อง
เค้าปกป้องน้องชาย .......เค้าทำถูก
การที่เค้าไปไล่ยิงคน ......เค้าทำถูก
จนถึงวันนี้เค้ารู้แล้วว่าเค้าทำผิด เค้าทำผิดแล้ว... ใครจะเป็นคนบอก?
เพราะวันนี้แม้จะมีคนบอก เรายังรู้สึกว่าเราทำถูกอยู่เลย
มันจึงเป็นข้อเตือนใจทุกๆ คนเลยนะว่า
อย่าไว้ใจเสียงข้างในนะ เพราะมันเริ่มต้นคิด มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิละ
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเรียก พวกมิจฉาทิฏฐิ
คนที่จะบอกว่า หรือรู้ว่ามีเครื่องเตือนว่าสิ่งนั้นถูก หรือไม่ต้องบอกเลย
คือ ผู้ที่ถึงความเป็นสัมมาทิฏฐิ
แม้แต่บอกว่า เอ้า...สติคงจะเป็นคนบอก นี่มันยังไม่ใช่เลย!
วันนี้ไม่ใช่ไม่มีสติกัน สติก็บอก แต่มันก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่มันทำถูก
ทุกวันนี้ทุกคนก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสติ
ต่อให้สติเตือนคุณก็ยังทำอยู่นั่นแหล่ะ เพราะคุณรู้สึกว่านั้นถูก
คนที่จะบอกว่าถูกหรือผิดคือ...สัมมาทิฏฐิ
เมื่อไหร่เกิดสัมมาทิฏฐิจริงๆ ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่ทำคืออะไร
การมาปฏิบัติจนถึงตรงนั้นเนี่ย พระพุทธเจ้าตรัสเรียกจุดนั้นก็คือ...พระโสดาบันขึ้นไป นะ
สัมมาทิฏฐิในองค์มรรคก็เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน แต่สัมมาทิฏฐิเบื้องต้นที่เมื่อกี้เราพูดกันเนี่ย
คือสัมมาทิฏฐิที่จะพาเข้ามาสู่ทางแห่งการพ้นทุกข์
เหมือนกับอนุบาลน่ะ เหมือนอนุบาล
ถ้าสัมมาทิฏฐิในพระโสดาบันคือการเข้าไปปริญญาตรีเนี่ย
การจบ การเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยจนกระทั่งไปจบด็อกเตอร์ที่พระอรหันต์ นะสมมติอย่างนี้
สัมมาทิฏฐิในเบื้องต้นที่เราพูดกันคือ เริ่มต้นเข้าเรียนอนุบาล
ไม่ใช่อะไรนักหนาเลย พาเค้าเข้ามาอยู่ในทางก่อน
ถ้ายังไม่เห็นโทษภัยเหล่านี้เนี่ยะ ก็ไม่เข้า แล้วก็ไม่เดินทางเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ดังนั้นถ้าใครไม่มีสัมมาทิฏฐิแม้ในเบื้องต้นเลยเนี่ย...
ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันไม่อะไร ฉันไม่เชื่อ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ก็เหมือนกับเด็กแว้นซ์ ที่อยู่ข้างออกอ่ะ ทำตามใจตัวเองไป
หา...หาอะไรไม่เจอเลย นึกว่ากูเก่ง กูแน่ สิ่งที่กูคิด กูถูก !!! มันก็มีอยู่แค่นี้แหล่ะ นะ
ยิ่งรวย ยิ่งมีเงิน ยิ่งประสบความสำเร็จ ยิ่งหลงหนักเข้าไปใหญ่เลยทีนี้
ยิ่งหลงหนักเลย ไม่ได้แปลก ไม่ได้โก้อะไร เห็นก็......ไม่รู้จะทำยังไง ?
ทีนี้เมื่อมาเข้ามาสู่การปฏิบัติ เราจะมาดูกันว่า
บนจอวันนี้เราจะมาดูหนังเรื่อง “แรงเงา” กัน
ท่านจะดูแล้ว หรืออาจจะยังไม่ดู เราจะทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กัน
จากนี้ท่านจะเห็นโครงสร้าง จะเห็นโครงสร้าง แล้วจะเห็นความจริง
เราจะเริ่มต้นกันที่ จุดแรก...
จะเห็นว่า -10, ศูนย์, แล้วก็ +10 ก็คล้ายๆ กับสเกลบนมิเตอร์ของเครื่องวัด
คำว่า -10 .......คนๆ นี้เป็นลักษณะแบบไหน?...เป็นปุถุชน
คำนี้...เดี๋ยวนี้พวกเรา รับไม่ได้แล้วนะ
ใครมาพูดว่าเป็นปุถุชนนี่ คือ...ด่ากันดีกว่า
ด่าอะไรก็ได้นะ แต่ถ้าพูดหือ...ปุถุชน โอ้โห...มัน มันเหมือน...
ไอ้อะไรสักอย่างนึงในทางโลกที่รุนแรงมาก
“ปุถุชน เลวอย่างเป็นเนื้อแท้”
คำว่า “เลวอย่างเป็นเนื้อแท้” ผมจะให้ท่านสังเกต...
สมมติมีใครไปสั่ง... มีนักการเมืองสั่งลูกน้องไปฆ่าคู่แข่ง
ลูกน้องไปถึงยิงเปรี้ยง...ตายเลย กลับมารายงานเจ้านาย ฆ่าเรียบร้อยแล้วนาย
" โอ้ย...เยี่ยมมาก เอารางวัลไป นะ กินฉลองกันหน่อยวันนี้ "
นี่เลวอย่างเป็นเนื้อแท้ คือทำบาป ทำชั่ว ทำอกุศล
ไม่มีเสียงเตือน ไม่มีเครื่องเตือน ไม่รู้สึก guilty ไม่รู้สึกอะไรเลย...
พวกนี้เลวอย่างเป็นเนื้อแท้เลย เอาล่ะ...
จากนั้นสมมติว่าคนๆ นี้ เริ่มอ่านหนังสือธรรมะ เข้าสู่การไปวัดไปวา
เกิดพระเทศน์วันนั้นมันโดน...ปึ้ง !! ขึ้นมา
โอย...เรานี่ทำผิด ไม่เอาละ ต่อไปนี้เราจะเป็นคนดี
จากนั้นเค้าเริ่มรู้สึกที่ จะ พยายามจะเป็นคนดี
จะเห็นเงาจางๆ ที่ขยับๆ เขยื้อนออกมาจาก...จากสีทึบๆ
สิ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นในทางปฏิบัติ?
สมมติว่า ไม่พอใจคู่แข่งคนอื่นอีก รู้สึก...แหม หมั่นไส้จริงๆ
กำลังจะตัดสินใจเรียกลูกน้องไปเก็บอีก
" อืม...ไม่เอาดีกว่าโว้ย ทำแล้วมันไม่สบายใจเลย มันตายไป ครอบครัวของมันก็เดือดร้อน
ก็ว่ากันไปดิกว่า "
ตอนนี้มันเริ่มมีอีกเสียงนึง อีกเสียงนึงเล็กๆ อีกเสียงนึงก็บอกว่า
" ไม่ยิงมันแล้วมันจะได้คะแนนได้ยังไง คะแนนก็ถูกแชร์ไปที่มัน เดี๋ยวดีไม่ดีแพ้อีก เสร็จเลย "
อีกแสียงก็บอกว่า
"อืม...อย่าเลย เห็นใจมันบ้าง"
มันเริ่มมีสองเสียง เริ่มพูดสวนกัน
ไอ้เสียงเลวอย่างเป็นเนื้อแท้ก็ยังมีอยู่ จะพาฆ่าอย่างเดียว
ส่วนไอ้เสียงที่คอยห้ามก็จะเป็นอีกเสียงนึงที่พยายามจะเป็นคนดีขึ้นมา
แต่อันนี้ยังไม่ใช่ของจริง...
เพราะทันทีที่เผลอเมื่อไหร่ ไอ้นี่จะวิ่งกลับ แล้วหายกลับไปเป็นคนเดิม
แสดงว่าอันนี้เป็นแรงฝืนเฉยๆ ตัวจริงยังไม่ใช่ แต่หากเค้าฝืนไปเรื่อยๆ เค้าก็เริ่มพยายามที่จะฝืนต่อไปอีก
ตอนนี้ต้องพยายามที่จะมีศีล เค้าฝืนต่อไป ไม่ได้...เราไม่ทำ
สมมติว่าคนขึ้ขโมยก็เริ่มพอจะขโมยของใคร มันก็เริ่มมีเสียงสวนขึ้นมาเรื่อยๆ
ฮี่ย....อย่างไปเอาของเค้าเลย ไม่ดีหรอก
หรือว่าถ้าใครเป็นคนชอบว่า ชอบด่า กำลังจะ...
อืม...ไม่เอาล่ะ ขนาดเรายังไม่ชอบให้ใครว่าเลย แล้วทำไมเราต้องไปว่าคนอื่น...
มันก็เริ่มเกิดเสียงสวนขึ้นมาเรื่อยๆ ข้างใน เริ่มเป็น 2 เสียง เหมือนมี 2 คนอยู่ข้างในละ
คนนึงจะพาทำบาปเหมือนเดิมตามสัญชาตญาณ
ส่วนอีกคนนึงเริ่มง้างเอาไว้ เริ่มเป็นคนมีศีล
จากนั้นจะเห็นว่า ถ้าเค้าไม่หยุด ตัวตนจริงจะเริ่มขยับตาม
แล้วก็จะขยับตาม ลักษณะนี้เหมือนกับ...
ผมมักจะอุปมาเหมือนกับ หนังยางที่ไปลากหิน
ท่านจะรู้สึกว่า ดึงไปๆ หนังยางมันยืดออกเรื่อย แต่หินมันไม่เดินตามเลย
หินมันไม่ขยับเลย ดึงไปเรื่อย ดิงไปเรื่อย ดิงไปเรื่อย ดิงไปเรื่อย ดึงๆ ดึงไปเรื่อย หินไม่ขยับ!!
จนถึงจุดๆ นึง หินเริ่มขยับ... สมมติว่าหนังยางจะไม่ขาดนะ
ดึงไปเรื่อย ดึงไปเรื่อย ยืดๆๆ แล้วหินค่อยๆ ขยับ
แต่ถ้าคนๆ นั้นหมดความเพียรก่อน มันจะดีดกลับ !!! ..... แล้วหินจะอยู่เท่าเดิม
เค้าเปลี่ยนสัญชาตญาณไม่ได้
เค้าเป็นยังไงเค้าจะเป็นอยู่อย่างนั้น !!
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ท่านอาจจะเห็นและก็อาจจะได้ยินหรืออาจจะเป็นคนพูดเองในอดีตว่า
ฉันไม่เห็น... มันจะเข้าคอร์ส ไม่เห็นมันจะดีขึ้นเลย
ท่าน ลากมันไม่ไป
ความเพียรท่านไม่พอ
ท่านทำแล้วท่านเลิก ไม่มีความเพียรอันถูกต้อง ไม่มีสัมมาวายามะ !!
การลากสัญชาตญาณที่สั่งสมมาจากอดีตอันยาวนาน...ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมบอกให้เลย...
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาเปลี่ยนทุกอย่างใน 5 วัน...เป็นไปไม่ได้
นอกจากท่านจะสั่งสมของเก่ามาแบบสุดๆ
แล้วท่านไม่ใช่เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่เงาของท่านไปอยู่ตรงกลาง
แต่ครั้งนี้ท่านตกมาอยู่ในโลก ท่านจึงไหลกลับ ถ้าอย่างนี้ท่านเด้งกลับที่เดิมไม่ยาก
แต่ถ้าท่านมาจากอย่างนี้ คือวีนแตกเป็นสายเลือด โกรธ ด่า หงุดหงิด
คือติดอยู่ในกระแสเลือดเลย โอ้โห...อย่างนี้ต้องถ่ายเลือดกันนานเลยล่ะ!
ต้องดึงแล้วดึงอีก มันจะดึงท่านกลับอยู่เรื่อย
ท่านดึงๆ ดึงๆ ก็ฝืนไว้ ใช้มรรค ใช้ศีล ใช้คุณธรรมจริยธรรม ดึงๆ ดึงๆ
จนกระทั่งมันเริ่มขยับตามอย่างนี้แหล่ะ
ท่านจะเริ่มรู้สึกว่า เมื่อก่อนต้องมีเจตนาเป็นเครื่องเว้น... (เดี๋ยวเราไปฟังต่อในมรรคมีองค์แปด )
จนค่อยๆ หมดเจตนาเป็นเครื่องเว้น ท่านจะเห็นว่าตัวจริงของท่านเริ่มตามขึ้นมา
สมมติว่าเป็นคนขี้ขโมยอย่างที่เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ นะ
เดี๋ยวจะไปเชื่อมโยงในเรื่องของมรรคมีองค์แปด ในเรื่องของศีล
พอจะเอา... อืม ไม่เอา อย่าไปเอาของเค้าเลย ไม่เอาละ... อืม
มันเกิดเจตนาเป็นเครื่องเวันที่จะ... ไม่เอาละ ไม่ทำละ
จนกระทั่งวันนึงที่บอกว่าเงินของเค้าหล่น ไปเก็บแล้ว...
....คุณๆ เงินคุณหล่น...
ปั๊บ มันจะถึงตรงนี้... ไม่มีความรู้สึกอยากได้ แล้วก็ไม่มีเจตนาที่จะต้องเว้นอีก
ทั้งสองเสียง...เงียบ ไม่มีเสียงแล้ว
เพราะไม่มีเสียงบอกว่า เฮ้ย !อยากได้ว่ะ แล้วอีกเสียงบอก ไม่เอา ไม่ใช่ของเรา...!!
ถ้าเป็นอย่างนี้ยังเป็นเงาๆ อยู่
แต่ถ้าเมื่อไหร่มันทับ... พลั้วะ!!
เงินหล่น คุณ... ถ้ามีใครมาถามว่า... เอ้า เอ้ยทำไมไม่เอาเลยอ่ะ...
เอาทำไมอ่ะ ไม่ใช่ของเรา...
เอ้า เมื่อก่อนเป็น...
ก็ไม่รู้ แต่ไม่เห็นอยากได้เลย...
ไม่มีเจตนาจะเอา แล้วไม่มีเจตนาจะเว้น... ตอนนี้ทับกันสนิทล่ะ ทับกันสนิทล่ะ
จากนั้นก็ยังไม่พอ เข้ามาสู่ภาวนาแบบท่านทั้งหลาย
เข้ามานั่ง เมื่อยมั้ยครับ?...เมื่อย, ปวด?...อืม ปวด, เบื่อเหมือนกันน่ะ...
ตอนนี้ก็พยายามฝืนต่อไปเน่อะ เข้าสู่การภาวนาแระ
คนดีไม่พอ...เน่อะ ความเป็นคนดีไม่พอหรอก ก็พยายามที่จะ...
เพราะว่าดีแล้วก็ยังไม่พ้นทุกข์เลย
เพราะจิตมันยัง ป๊อบแป๊บ ป๊อบแป๊บ ป๊อบแป๊บ ตลอด น่ะ
ก็พยายามที่จะฝืน ที่นี้ต้องใช้กำลังเยอะมาก... เห็นมั้ย
ท่านมานั่งเนี่ยะ โห... ทั้งปวด ทั้ง... คือตอนเนี้ยะมันจะดึงกลับบ้านเก่าล่ะ...
ไอ้นี่ก็รั้งเอาไว้ เพราะความตั้งใจ เห็นแระโทษภัย ไม่ได้...ถ้าไม่ฝืนมันเหมือนคนติดยาอ่ะ ถ้าไม่บังคับตัวเองให้มันพ้นๆ จุดๆ นึงไปเนี่ยะ ก็ไม่มีทางพ้นการติดยาไปได้
เริ่มฝืนไปเรื่อยๆ... ปั๊บ! ฝืนต่อไปอีก นะ ไม่ขยับเลย เพราะท่านเป็นคนดีอยู่แล้ว...
แต่จนกระทั่งมันเริ่มขยับ
แล้วมันก็เริ่มขยับ จังหวะนี้เองถ้าเราตรวจสอบดู
ตรงนี้ ก็นั่งกันดูสง่าผ่าเผยหลังตรง
พอกลับไปถึงห้องนอนก็...โอ้ย... ก็จะลงเลย...โอย
มันจะกลับไปที่เดิมก่อน พอถึงตรงนี้ก็ ฮึดขึ้นมาใหม่...
มันจะเริ่มมีสองคน มันจะกลายเป็นคนสองบุคลิกอยู่
ตรงนี้ก็ดูเนี้ยบเนียน เดินสง่า นุ่มนวล ถึงห้อง...โอ้ย โอ้ยอย่างนี้ว้า
อะไรอย่างนี้น่ะ ก็ยังเป็นสองคนอยู่... ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้นให้เข้าใจความจริงว่า เรากำลังฝึก เรากำลังฝืน
อย่างนี้ก็มีเจตนาในการทำสิ?...มีเจตนาแน่
โอ้ย อย่างนี้ก็ยังพยายาม?...
โอ้ย ถ้าไม่พยายามอ่ะ กลับไปนานแล้ว เน้อะ
ต้องเข้าใจให้ถูกนะว่า ตรงไหนคือตรงไหน
เดี๋ยวจะให้ดูว่าตรงไหนที่ไม่ต้องมีความพยายาม
ถ้าตรงนี้ไม่่มีนะ .... ล้างสัญชาตญาณไม่อยู่นะ
เพราะสิ่งนี้สั่งสมมานานนะ
โอ้ย...อยากไปทำบุญ
ทำไมไม่อยากไปทำบุญล่ะ
อยากไปทำบุญก็เป็นอยากสิ เป็นโลภะ...
......
ขอโทษ!! ยังติดอยู่ในฝั่งปุถุชนอยู่เลย
ถ้าไม่อยากทำกุศลนะเสร็จนะ มันจะดึงไม่ขึ้นนะ !!!
จนกว่าโน่นแหล่ะ เห็นกุศลเป็นปกติ แล้วปล่อยกุศล แต่ไม่เลิกทำกุศล แล้วค่อยมาคุยกัน
วันนี้พวกเราเนี่ยพวกเราฟังธรรมแล้ว ฟังแล้วมั่ว
ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน เอาธรรมที่ฟังเนี่ยะมาปนกับชีวิตตัวเองหมด
แต่ละระดับ คนพูดพูดให้คนในระดับของตัวเองฟัง แล้วเราอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
ครูบาอาจารย์บอกว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดาถามพระองค์ว่า...
พระองค์ข้ามโอฆะแห่งวัฎฎะสงสารหรือว่ากิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ยังไง?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตไม่พักและก็ไม่เพียร...
แต่ไม่ใช่ที่จุดนี้ จุดนี้ยังปุถุชนเลย
จุดที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง...เดี๋ยวจะไปถึง
แต่ตอนนี้ถ้าไม่พักไม่เพียรนี่ไหลกลับเลยนะ ...ไหลกลับเลยนะ !!
เหมือนคนขี่จักรยานตอนเริ่มต้น ต้องใช้กำลังมากนะ
แต่จุดที่พระพุทธเจ้าพูดถึง คือจุดที่จักรยานมันเพลนแล้วนะ
แล้วมันก็วิ่งไปด้วยความเร็วของมันแล้ว
ตอนนั้นไม่ถึบมันก็ไป ถีบมันก็ไปนะ... ไม่พักและก็ไม่เพียรด้วย
ไม่ต้องพยายามที่จะถีบและก็ไม่ต้องหยุดถีบ
แต่มันเป็นจุดที่เข้าสู่สมดุลที่สุดแล้ว อันนั้นคือจุดๆ นั้น
แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง !!! ตรงนี้ยังต้องใช้กำลังลากสัญชาตญาณอยู่เลย
เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่เป็นยังไงล่ะ มันทำตาม... อัตโนมัติเลย
โทรศัพท์ดังกรี๊ง...หันควับ
เดินจงกรมอยู่มีคนเดินเข้ามา เข้ามา เค้าก็เดิน เราก็เดินเนี่ย เดินเข้าไปทางเดียวกัน
...ในใจเป็นยังไงล่ะ...
เฮ่...ไอ้นี่แปลกเว้ย ทางของฉันยังเข้ามาอีก เฮ้อ...เห็นๆ อยู่ว่าเราเดินอยู่
เป็นยังไงล่ะ ดีตายล่ะข้างในอ่ะ .นิดนึงมันก็ขึ้น
มีคนมานั่งอาสนะเราเนี่ยะเดินเข้ามา
เอ๊อ !! อาสนะมีตั้งเยอะดันมานั่งอาสนะกู เอ้อ...ไอ้นี่ เลยต้องนั่งข้างหลังเลย
นั่น...อย่านี้หรอ ไม่พักไม่เพียร
อย่างนี้เพียรให้หนักเลย !! เพียรถอนมันให้หนักเลยจะบอกให้
พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่า ความเพียรอันถูกต้อง สัมมาวายามะ มรรคองค์ที่ 6 เนี่ย
ละอกุศลเข้าไป ละเอาไว้ อกุศลยังเต็มไปหมดเลย
เพราะจิตสั่งสมสัญชาตญาณที่มีแต่เอาตัวรอด มีแต่เห็นแก่ตัว
ชีวิตนี้มีแต่อะไรทำให้ผู้อื่นบ้างลองถามต้ัวเอง มันมีแต่ทำเข้ากระเป๋าตัวเอง
ไปทำงานได้เงินเดือนมา ก็กินของตัวเอง...
เอ้า ไม่กินเองแล้วกินกะใคร่ล่ะ เออ,
ก็ฉันทำของฉันก็ชอบธรรมในการกินอยู่แล้ว ก็เงินของฉันอ่ะ...
นี่ไง เริ่มต้นคิดมันก็ผิดหมดแล้วอ่ะ แล้วมันจะไม่ทุกข์ได้ยังไง
วันนี้มันถึงได้หน้าแห้งไปหมด
ย้ายยิ้มไม่เห็นได้เงินเดือนเลย มีแต่ความสุข
แต่ของเรายิ่งทำงาน ยิ่งได้เงินเท่าไหร่ มันยิ่งทุกข์ไม่มีอะไรเหมือน มันมิจฉาฯ ตั้งแต่ต้นแล้ว
อะไรก็ทำเข้ากู เข้ากู พวกกู เข้าของกู มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์
วันนี้ไม่เข้าใจหรอก แต่ปฏิบัติไปแล้วจะเข้าใจ
งั้นวันนี้กว่าจะฝืนทุกอย่างได้ โลกใบนี้มันแปลก แปลกคือทุกอย่างที่เราเข้าใจมันผิดหมด
ความถูกต้องในความเข้าใจดันสวนทางกันหมดกับการที่เรารู้สึกหมดเลย
แล้วมันเป็นอย่างนั้นด้วย
หยุดคิดถึงจะรู้... ( คิดขนาดนี้มันยังไม่รู้เลย )
ก็ใช่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งไม่รู้ไง... ( เอ๊ อะไร? พูดแปลกๆ )
หยุดคิดอ่ะจะรู้... ( หยุดคิดจะรู้ได้ยังไง? คิดยังไม่รู้เลย! )
ก็คิดมันก็อยู่ในฟอง ฟองแชมพูอยู่นั่น... มันจะไปรู้ได้ไง !!
มันก็หลงเดินออกไปจากความจริงไปเรื่อยๆ
พอหยุดพลั๊วะ. !! ..มันก็กลับมาอยู่ที่ความจริง
ธรรมะทั้งหมดที่ผมพูดไปเนี่ย มันเข้าไปไม่ถึงใจท่านนะ
เพราะท่านคิดตลอด ผมพูดไปท่านก็คิด ผมพูดไปท่านก็คิด ผมพูดไปท่านก็คิด...
มันเลยไปติดอยู่ที่ฟองแชมพูกันหมดน่ะ
มันเหมือนว่าท่านมีคนๆ นึงกำลังสระผม แล้วฟองเยอะๆ เนี่ยะ
แต่ผมต้องการให้ครีมของผมเข้าไปให้เข้าถึงหนังหัวเค้า
เพื่อมันจะได้ซึมเข้าไปเลยเนี่ย ได้งายได้เนี่ย ...ตอนนี้ติดอยู่ที่ฟองหมด
เพราะท่านคิดเอาหมด ใส่เข้าไปติดอยู่ที่ฟองหมดเลย
เหมือนมีผงไปติดอยู่ที่ฟองหมด ไม่ถึงหนังไม่ถึงหัวเลย
หยุดคิดสิ !! หยุดคิดแล้วใช้จิตสัมผัส แล้วให้เห็นความจริง
คิดปั๊บ...มันไปอยู่ที่คิด
คิดปั๊บ...มันไปอยู่ที่คิดหมดน่ะ
กลับไปก็คิดมันก็หายไป เพราะคิดมันไม่ใช่ของจริง มันก็เลยใช้จำเอา
แล้วออกไปก็ มันไม่ impact เข้าไปที่...ปั้ง !!แล้วมันก็เกิดรู้แจ้งขึ้นมา
มัน impact ที่นี่(จิต) แล้วรู้แจ้งที่นี่ (จิต) ... มันไม่ได้ impact ที่ฟองแชมพู
วันไหนที่คนภาวนาไปเยอะๆ จนมันเอาฟองแชมพูออก... มันปั้บเข้าไปนี่ มันถึง...
เอ..ทำไมฟังคราวก่อนกับฟังคราวนี้ ก็พูดเหมือนกันเนี่ย
ทำไมคราวก่อนมันไม่เข้าใจแบบนี้ ? ทำไมคราวนี้มัน...
เพราะฟองแชมพูมันลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหมด
หมดก็เริ่ม... มันก็ต่อสายตรงเลย
ซักพักเดียวมันเห็นข้างใน ฟังข้างนอก เห็นข้างใน ฟังข้างนอก
จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน...ปั้งง !! ขึ้นมา
แต่ถ้าอยู่ตรงเนี้ยะ( สมอง) ...ไม่มีน่ะ คิดเอาเรื่อยๆ คิด
ท่านไม่ได้เชื่อผมหรอก
ท่านก็ไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้าด้วย
แต่ท่านเชื่อความคิดตัวเอง
ใครพูดอะไร...ท่านก็คิด, ใครพูดอะไร...ท่านก็คิด...
อืม อันนี้จริง อันนี้ไม่จริง อันนี้ฉันเห็นด้วย เออจริงด้วย อืมแต่ว่าฉันไม่ใช่อ่ะ...
มันอยู่แค่นี้แหล่ะ มันจึงไม่เคยเข้าไปที่นี่ (ใจ) เลย
เพราะมันอยู่ที่ ใครก็ไม่รู้ที่กำลังพูดอยู่นั่นอ่ะ...
"โมหะ .........โมหะ"
หลังจากนั้นพอเริ่มฝืนก็เข้าสู่...
จะเห็นว่า... เอ๊ะ เที่ยวนี้ เงาเริ่มค่อยๆ ถอยหลังกลับละ
จากครั้งแรกๆ ท่านเริ่มฝืนน่าดู มาถึง โอ้โหตั้งหน้าตั้งตานั่งดูลมหายใจนี่ เพ่ง เกร็งตัวแข็ง
จากนั้นค่อยๆ ขยับเข้า ความตั้งใจเริ่มลดลง
อ้า ตั้งใจไม่ดีหรอ มากไปหรอ... กลายเป็นเพ่งไปเลย
จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยกลับ แล้วค่อยๆ เข้าสู่สมดุลได้
มันก็เริ่มขยับ
ตอนนี้ ใครมาเข้าคอร์สหลายๆ ครั้งเข้า ก็ไม่เห็นรู้สึกเบื่อ ไม่เห็นรู้สึกอะไร
พูดอะไรเรื่องเบื่อ...โอ้ย มีความสุขจะตาย อยู่บ้านเครียดน่าดู
มาเนี่ย โอ้โห...มันโล่งไปหมด เดินๆ โอ้ย... สบายจริง
มีความสุขจริงๆ กลัวจะถึงวันสุดท้ายด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าสู่... ไม่ได้มีความฝืนแล้ว
เพราะฉะนั้นเจตนาที่จะรั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องมีมากแล้ว ก็ค่อยๆ เข้าสู่ ปล่อยๆ ปล่อยๆ
มันก็เริ่มขยับเข้า ขยับเข้า
ถึงตรงนี้ เริ่มเห็นธรรมละ เริ่มเห็นความจริงล่ะ เริ่มเห็นความจริง
จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งทุกข์คือ เป็นเนื้อแท้เลย ถ้าอย่างนี้อ่ะ ไม่พักและก็ไม่เพียร
ถ้าตรงนี้เนี่ย ยังมีความเพียร เพราะฉะนั้นไม่จบ
ถ้าถึงตรงนี้แล้วยังเพียรอยู่...ไม่จบ
ในคืนที่พระอานนท์ เป็นคืนก่อนที่จะเข้าสู่พิธีสังคายนา
พระอานนท์เดินจงกรมนั่งสมาธิตลอดเลย
เพราะว่ามีพระอรหันต์ 499 รูป รอจะทำสังคายนาอยู่ พระอานนท์ยังเป็นพระโสดาบันในคืนนั้น
ก็แน่นอนล่ะเหมือนคืนนี้ วันพรุ่งนี้เนี่ยจะมีพิธีสังคายนา
แล้วคืนนี้ท่านเป็นพระโสดาบัน คืนนี้ท่านต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้...
มันจะกดดันขนาดไหนล่ะ หรือว่าคืนนี้จะเป็นพระโสดาบันดี ( หัวเราะ )
กดดันมากนะ เพราะมีมหาสาวกนั่งรอกันอยู่ 499
เราเป็นพระโสดาบันคนเดียว ต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้...
โอ้โห แล้วอะไรจะสั่งได้ล่ะ...ใช่มั้ย?
ท่านเดินจงกรมนั่งสมาธิทั้งคืนเลย ก็อยู่ท่านี้ล่ะ
ไปไม่ไหวละ !! คือหมดแรงละ
พระอานนท์ก็พักแระ สำเร็จไม่สำเร็จไม่เอาละ ไม่เอาแล้ว! ไม่เอาแล้ว!
ตลอดคืนน่ะ จะเอาให้ได้ มันก็เลยไม่สนิทซักที...โอ้ยยย มันไม่เอา
วินาทีที่ความสมดุลมันเกิดขึ้นอ่ะ ด้วยการปล่อยเจตนา แล้วก็เอนตัวลงนอน
มัน...ปั๊บ ตรงนี้พอดี
ตรงนี้ล่ะ...ไม่พักและก็ไม่เพียร
เมื่อเพียรจะขยับ มันจะเข้าไป ถึงตรงนี้ก็สลัดคืน พลั้วะ !! ...เห็นธรรมเลย นะ...จบ
เอาล่ะสภาพจริงๆ ก็... ที่จะให้รู้ ไม่ใช่ให้มารู้ตรงนี้หรอกน่ะ ตรงนี้เป็นเรื่องของข้างหน้า
แต่ที่ต้องการก็คือเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ
ที่เราต้องมาทำมาใช้ความเพียรกันล่ะ เพื่อจะลากสิ่งนี้กลับขึ้นมาให้ได้
จำไว้อย่างนึงว่า ถ้าเราลากแล้วเราเลิก มันจะกลับ
แต่ถ้าเราไม่เลิกมันจะมา...
ท่านอย่าคิดว่า โอ้ย...ทำมาตั้งนานแล้ว ป่านนี้ก็ยังไม่เห็นอะไรซักทีเลย...
ทำไม่พอ !!! อย่ามัวคร่ำครวญ !!!
ขันธ์พวกนี้ ไม่ได้มาใจดีขึ้น เพราะว่าท่านคร่ำครวญ แล้วเห็นอกเห็นใจท่าน...ไม่มี!!
สมัยพุทธกาลก็มีนะ พระที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ปฏิบัติมา 30 ปี เดินจงกรมนั่งสมาธิมาตลอด 30 ปี ไม่สำเร็จ ไม่บรรลุ
เหมือนเดิม ทำอะไรก็อยู่แค่นั้น จนเข้าทรุด เดินจนเข่าทรุด
กอดเสาไว้ แล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้
นางฟ้าอยู่แถวนั้นก็เห็นใจท่าน ก็แปลงกายมาเป็นมนุษย์ แล้วก็นั่งร้องไห้เป็นเพื่อน
ร้องๆ ร้องเป็นเพื่อน พระก็หันมา...
เอ้า มาร้องไห้อยู่ทำไม
ก็เห็นท่านร้องไห้ ก็เลยจะนั่งร้องไห้เป็นเพื่อน คิดว่าถ้าร้องไห้แล้วเผื่อจะได้มรรคผลนิพพานบ้าง
โพล่งขึ้นมาเลย !!
ใช่ ! ไม่มีอะไร
เผื่อร้องไห้แล้วจะได้มรรคผลนิพพานอย่างท่านบ้าง
เลยมีแรงขึ้นมาเลย ทำต่อ... รู้สึกว่าท่านก็เลยบรรลุไป
ไม่มีน่ะ ...คร่ำครวญ ร้องไปเผื่อใครจะมาเห็น เห็นอกเห็นใจ...ไม่มีนะ
ไอ้นั่นยังมีตัวตนบานไปหมด
ไม่มีล่ะ ไม่มีคนนั่งดู ไม่มีอะไรทั้งนั่นน่ะ คร่ำครวญก็ไม่รู้จคร่ำครวญให้ใคร
วันนี้เรานั่งบ่นๆ บ่นก็เพราะว่า อยากให้คนมาเห็นใจ
โอ้ยทำขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นคุณงามความดีกันบ้าง
โอ้ย พวกนี้ตัวตนทั้งนั้น บานเบอะ อีกนานเลยอ่ะ ถ้าอย่างนี้
ละไปเถอะ !! ไอ้คร่ำครวญเนี่ยะ
ละไปเลย !! อีกนานถ้าอย่างเนี่ยะ
มันต้องแกล้วกล้าอาจหาญ ถ้าเข้าไปอยู่แถวนี้...ไม่มีแล้วไอ้เสียงพวกนั้น นะ
มีแต่...โอ้ย พักก่อน ทำต่อ
มีเกียร์ว่างกับเกียร์เดินหน้า ไม่มีเกียร์ถอยหลัง ไม่มีเกียร์ถอยหลัง
อ่ะนะ ก็ฝากเรื่องนี้ "แรงเงา" เอาไว้
วันนี้ท่านจะได้รู้ว่า ต้องตั้งใจ...
บางคนนะ ฉันพยายามแล้ว พยายาม พยายาม...พูดไม่ได้ ไม่มีอ่ะ
ไม่พยายามแล้วจะเข้าไปตรงนี้ได้ยังไง
มันฟังกันผิดที่หมดวันนี้ แล้วก็ตีความกันหมด
ฉันอยากไปทำบุญนะ เฮ้ย...อยาก ?
อยากไปเหอะ ดีกว่าอยากไปทำบาป
จนกระทั่งมันเข้าใจเรื่องบุญน่ะ จนกระทั่งมันเข้าใจเรื่องกุศลน่ะ แล้วจิตมันจะปล่อยเอง
อยากไปเลย อยากสวนมันเลย...
วันนี้มันต้องมีเจตนาสวนกัน
ไม่งั้น...เอ้า เจตนาเป็นเรื่องไม่ดี
แล้วพระพุทธเจ้าจะบอกทำไม ในมรรคในองค์ที่ 3 ที่ 4...เจตนาเป็นเครื่องเว้น
โอ; มันไม่ใช่ทุกคนเข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี จะเป็นพระอรหันต์กันหมดซะเมื่อไหร่อ่ะ
ตอนนี้ ถ้าท่านเป็นพระอนาคามีจะเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์อย่างนั้นอ่ะ...
ไม่พักแล้วก็ไม่เพียร เพราะมันจ่ออีกนิดเดียว
ขนาดพระอนาคามียังต้องเพียรเลย !!!
เพียรจนกระทั่งไปถึงปลายๆ โน่นล่ะ ถึงจะไม่พักไม่เพียร
วันนี้ปฏิบัติก็จะได้เข้าใจ
เข้าใจ เพราะคนที่ฟังอาจจะไม่ได้อยู่แค่ตรงนี้นะครับ
มีนักปฏิบัติหรือว่ามีผู้ที่เข้ามาสนใจนั่งดู DVD ชุดนี้อีก
แล้วเราก็ได้ยินข้อมูลเหล่านี้มา เราก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่ายังไงกันแน่
ไม่งั้นจะมีสัมมาวายามะไปทำไม
ความเพียรน่ะ อันถูกต้อง แล้วไม่เพียรจะพ้นอกุศล
จะพ้นสัญชาตญาณนี้ไปได้ยังไง สั่งสมมาแค่ไหนก็รู้
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า หากเอามุมไหนก็ได้ตั้งแต่
เลือดที่คอ น้ำตาตาที่ไหล น้ำนมที่ดื่ม
ท่านบอกเลยว่าถ้าเอามารวมกันตั้งแต่ชาติแรกเนี่ย มหาสมุทรก็รับไว้ไม่ไหวแล้ว
ให้รู้เลยว่าเราสั่งสมมานานแค่ไหน
ท่านบอกว่าหากเอาน้ำตาตั้งแต่ชาติแรกมาจนถึงปัจจุบัน
เอามารวมกัน มหาสมุทรยังรับไว้ไม่ได้เลยแต่ละคน
แล้วชาตินี้ท่านร้องไห้เท่าไหร่ล่ะ ผมว่าขันนึงไม่รู้จะถึงหรือเปล่า
บางคนบอกว่า ของหนูเกิน
ก็โอ้ เยอะเหมือนกันนะนั่นอ่ะ ถ้างั้น
ของผม ผมว่าขันนึงผมรวมไม่ถึงอ่ะ
ของเค้าบอกว่า ของเค้าน่าจะได้กะละมัง เอาละ กะละมังก็เอาล่ะ...
แต่กะละมังเป็นมหาสมุทรนี่ก็ไม่หมูล่ะ มันจะนานขนาดไหนล่ะ
แล้วพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสอะไรเล่นๆ
คือท่านเห็นมาจน โอ่โห มันยาวนานจนหาต้นไม่ได้
ไอ้หาต้นไม่ได้นี่ยังพอ..... และปลายอยู่ที่ไหนเนี่ย ไม่มีน่ะ
เพราะท่านสร้างเหตุเกิดตลอดนะ... ท่านสร้างเหตุเกิตตลอด
เดี๋ยวจะไปดูกันว่ามันสร้างเหตุเกิดยังไง?
เอาล่ะ เราจบเรื่องสัญชาตญาณไป เราพาไปรับประทานอะไรกันหน่อย
เป็นมือเช้าที่น่าทานทีเดียว กำลังหิวๆ มาตั้งแต่ ศีล 8
แต่อันนี้จะดูจะรสจัดไปนิดนึงสำหรับภาคเช้านะ
แต่เห็นแล้วก็อดน้ำลายไหลไม่ไหว เพราะนี่รู้สึกจะหน้าตาจะมะนาวนำอยู่
บีบมะนาวลงไป แล้วโขลกกุ้งแห้งไปหนอย โอ้ย...นะ
ตำพริกโขลก ครกๆ ครกๆ ลงไปอีกหน่อยเนอะ แล้วก็เอามาแตะๆ ลิ้น เพื่อที่ชิม
โอ้ย...ทีนี้น้ำลายมันไหลออกมา ข้างลิ้น นะ เปรี้ยว เปรี้ยวไปนิดนึงอ่ะ
ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป แล้วตำใหม่อีกที
หลายคนไม่ไหวแล้ว เช็ดน้ำลายแล้วนะ ข้างหลัง ( หัวเราะ ) ทนไม่ไหวแล้ว เช็ดน้ำลายล่ะ
สื่อนี้หลายท่านก็เห็นแล้ว
แต่สื่อนี้... ดูดีๆ นะ ผมจะชี้ความจริงให้เห็นล่ะ
ภาพที่ท่านเห็น มันทำให้เราอยากกิน
ทั้งๆ ที่เรารู้ว่า ภาพนี้เป็นภาพ ....ไม่ใช่ไก่จริงๆ
ถ้าเราซื้อไก่จริงๆ มาตั้ง แล้วเราเห็นไก่จริงๆ
มันก็คงไม่แปลกที่เราจะน้ำลายไหล เราก็รู้สึกอย่างนั้น
ถ้าสมมติว่านี่เป็นถาด แล้วก็มีไก่ตั้งอยู่
ถ้าท่านเห็นไก่ที่อยู่ในถาดอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่ในนั้น (ในภาพ)
ไก่อยู่ที่มือผมจริงๆ เป็นไก่ย่างหน้าตาแบบเดียวกัน แล้วน้ำลายไหล
ก็รู้สึกว่า...โอเคน่ะ เพราะมันเห็นไก่ย่างมันน่ากิน
แต่ถ้าผมเก็บไก่ย่างที่มือผม .....แล้วเปลี่ยนมาเป็นขึ้นจอ
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นภาพ มันไม่ใช่ของจริง แต่เราก็น้ำลายไหล
เราจะมาเริ่มอธิบายที่จุดนี้ก่อนว่าทำไม?
ให้ทุกคนมองมาที่ขวดน้ำนี้นะครับ เห็นขวดน้ำนะครับ...เห็น
ท่านเห็นขวดน้ำนี้ได้ เพราะมีแสงมากระทบขวดน้ำ แล้วสะท้อนกลับไปเข้าไปในตาท่าน
ถ้าปิดไฟในห้องนี้หมด...พรึ่บ !!! ขวดน้ำอยู่ที่เดิม แต่ท่านไม่เห็น
แสดงว่า ไม่ใช่ว่าขวดน้ำเข้าไปอยู่ในตา
เพราะว่าถ้าขวดน้ำเข้าไปอยู่ในตาของแต่ละคน คงต้องใช้ขวดน้ำเยอะมาก
แต่ท่านเพียงแต่เห็นแสงสะท้อนเท่านั้นเอง
ดังนั้ันสิ่งที่ท่านกำลังเห็นอยู่ตอนนี้คือแสง ไม่ใช่ขวด
แต่ด้วยความถี่ของแสง มีอะไรซักอย่างหนึ่งมาแปลค่าสิ่งที่กระทบเข้าไปในตาแล้วบอกว่านี่คือ ขวด
เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ ต่อให้ท่านจะพยายามสังเกตสิ่งที่ผมพูดยังไงท่านก็ไม่เจอ
เพราะกระบวนการทำงานของมัน รวดเร็วและก็ซับซ็อน
แล้วท่านอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด จึงไม่มีวันที่จะไปเข้าใจมันได้
นอกจากต้องทรงฌานจริงๆ ถึงจะไปแยกแยะ
พอทรงฌานแล้วเห็นทุกอย่าง slow motion ลง แล้วเห็น details details
จ้องลงไป เพ่งเข้าไป มันแตก แตกออก แตกออก จนกระทั่งเป็นชิ้นๆ
อันนั้นต้องอาศัยฌานที่นิ่งจริงๆ
แต่ในกระบวนการที่เรา 1 วินาที คือ 1 วินาทีที่ติ๊กๆ ติ๊กๆ ไปเรื่อยๆเนี่ยะ
ท่านไม่มีทางที่จะเห็นมัน
เพราะฉะนั้น เราจะแค่ทำความเข้าใจในระดับความคิด จินตนาการ
พระพุทธเจ้าถึงใช้คำว่า “จินตามยปัญญา” ซึ่งยังจำเป็นอยู่
เพราะภาวนา... ถ้าไม่เห็นก็ต้องกลับมาระดับจินตามนปัญญา
คือจินตนาการตามผมไปเรื่อยๆ สิ่งที่ผมจะพูดให้ฟัง
ตกลงท่านไม่ได้เอาขวดเข้าไปในตา ท่านแค่เห็นแสง
ถ้าผมเอาไก่ย่างมาถืออยู่ ท่านเห็นแสงหรือว่าไก่ย่าง?...แสง
แล้วนี่ (ภาพไก่ย่าง) ก็เหมือนกัน นี่แสงหรือไก่ย่าง?...แสง
ของจริง ท่านก็เห็นแสง
ของไม่จริงคือภาพ ท่านก็เห็นแสง
นี่คือสาเหตุที่ทำไมมันถึงแปลค่าออกมาเหมือนกัน
เพราะมันแปลจากแสงในตา มันแปลจากแสงในตา มันไม่ได้มาแปลที่ตัวนี้
เค้าเรียก “อายตนภายนอก”
ตาของท่านคือ “อายตนภายใน”
เมื่ออายตนภายนอกกระทบกับอายตนภายใน เกิดจักขุวิญญาณขึ้นมาแปลค่า
3 อย่างรวมกันเรียกว่า “ผัสสะ”
มันจึงเริ่มการกระทบ แล้วก็กระบวนการภายในของท่านเริ่มทำงาน
พอเกิดผัสสะกระทบทางตาเรียกว่า “จักขุผัสสะ”
เมื่อผัสสะเกิดขึ้น ก็จะมีวิญญาณแปลค่า
จึงเกิดเป็นอารมณ์ ชอบ ไม่ชอบ ต่อไปเรื่อยๆ ยาวออกไปเลย
เราจะมาดู... ดูสื่อตัวอย่างนี้ก่อน
เอาล่ะนะครับก็เป็นการทดสอบ Lip Balm ในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง
โดยอาศัยผู้คนที่เดินไปเดินมา สาวๆ เป็นอาสาสมัครให้เข้ามาทดสอบ
เค้าก็บอกว่าในการทดสอบเค้าก็จะมี โรเจอร์ แอนด์ แม็กซ์ ที่จะเข้ามาช่วยทำการทดสอบด้วย
คุณจะมีปัญหามั้ย ถ้าจะต้องจูบกับนายแบบ 2 คนนั้น...
คำตอบ...ไม่มีปัญหา ดีซะด้วย ก็หล่อออกปานนี้นะ ก็คงไม่มีปัญญหาอยู่แล้ว
เอาล่ะเราจะมาหยุดตรงนี้กันซักแป๊ปนึงก่อน...
ผมจะถามว่า ผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้จูบกับใครอยู่ครับ
จูบกับใครคร้บ?...จูบกับนายแบบ
ผู้หญิงคนนี้กำลังจูบกับนายแบบ บางคนก็บอกว่าจูบกับลิง
เชื่อผมเถอะว่า ถ้าเค้าจูบกับลิงน่ะ เค้ากระเด้งออกนานแล้ว
ขนาดเราเห็นเรายังจึ๊กกะดึ๋ย แทน
ถ้าเค้าจูบเอง แล้วเค้ารู้ว่าจูบกับลิงเนี่ย กระโดดออกแล้ว
แต่เค้าจูบอย่างดูดดื่มเพราะเค้ากำลังจูบกับนายแบบ
นายแบบอยู่ที่ไหน?...อยู่ในใจ ท่านบอกว่านายแบบอยู่ในใจ
เอาล่ะ... ทำมือให้เหมือนปากลิงตรงนี้เลย ทำมือให้เหมือนปากลิงนะครับ
กล้องจับคนนั่งดูหน่อย ทำมือให้เหมือนปากลิง แล้วเอาไปแปะไว้ที่ปาก เอาไปแปะไว้ที่ปาก
ผู้ชมทางบ้านทำตามนะครับ แปะไว้ที่ปาก .....แปะไว้นะ
ขณะนี้ความรู้สึกของท่าน มีแค่นี้ ถูกมั้ยครับ? ที่แปะอยู่นี้
ท่านมีความรู้สึกเซ็กซี่ เหมือนได้จูบนายแบบ หรือขยะแขยงเหมือนจูบกับลิงมั้ย?...ไม่มี !!
ก็...ก็มันก็แปะๆ แค่นี้ อย่าไปสนใจว่า มือท่าน ปากท่านนะ !!
เอาความรู้สึกอย่างเดียวนะ เอาความรู้สึกอย่างเดียว อาจจะเย็นด้วยซ้ำ...มือท่านเย็น
ย้อนกลับมาที่นี่
สิ่งที่สัมผัสผู้หญิงคนนี้ทั้งหมดมีเท่าที่ท่านมีตอนนี้ ... มีเท่ากัน !!!
มันเป็นนายแบบได้ยังไง ?
ถามตัวเองเลยว่า มันเป็นนายแบบได้ยังไง ในเมื่อมันมีเท่ากันเราตอนนี้
ทางธรรมะเรียกสิ่งนี้ว่า “โผฏฐัพพะ”
แตะไว้นะครับ แตะไว้!!!
เพราะผมจะลากเรื่องนี้อย่างเดียวเลยนะ ชี้ให้เห็นเลย
สภาพของท่านตอนนี้ ไม่มีการปรุ่งแต่งขึ้นมาเป็นตัวตนบุคคลเราเขา
มีแต่สัมผัสเฉยๆ แต่สัมผัสเดียวกันนี้ ที่เกิดที่ผู้หญิงคนนี้
มันถูกปรุงแต่งขึ้นมาเป็นนายแบบ แล้วเค้าก็กำลังจูบอย่างดูดดื่มได้ยังไง?
นี่แหล่ะที่เรียกว่า “การปรุงแต่ง” ล่ะ
แล้วมนุษย์โลกทั้ง 7 พันล้านคนคุ้นกับสิ่งนี้มาตั้งแต่เกิด จึงไม่รู้จักมัน
สถาพที่ท่านทำอยู่แล้วมันไม่มีการปรุงแต่ง
ท่านทราบมั้ยว่าสภาพนี้เข้าไปใกล้นิพพานมาก
จับดูให้คุ้นเลยว่า ถ้าหยุดการปรุงแต่งมีแค่นี้เอง (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก)
มันจะไม่เกิดเป็นอารมณ์แน่ๆ แล้วมันจะไม่ถูกหลอก
แต่คนๆ นี้ (หญิงที่กำลังจูบกับลิง) ถูกหลอก เพราะเค้าไปสร้างภาพขึ้นมาข้างในคู่ขนานตามกันไป
มนุษย์ในโลก 7 พันล้านคนหลงเข้าไปอยู่ในสิ่งนี้ จึงไม่เห็นความจริง นึกออกหรือยัง ?
ถ้าไม่มีสิ่งนี้ จะเท่ากับท่านตอนนี้ (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก) ท่านเข้าไปใกล้พระอรหันต์
แต่ผู้หญิงคนนี้คือปุถุชน แต่นี่เป็นเรื่องชั่วคราว
เพราะท่านออกไปเห็นอาหารข้างล่างปั๊บ...ท่านจะปรุงทันที
ท่านจะกลับไปสู่สิ่งนี้อีก .... เหมือนคนนี้
และสภาพนี้ ( ไม่ปรุงแต่ง ) เป็นสภาพที่เราไม่คุ้น
เมื่อมันหยุดการปรุงแต่ง มันจะไม่เกิดเป็นอารมณ์
พระอรหันต์เป็นผู้ไม่มีอารมณ์
ท่านจึงบอกว่า หลังจากนี้ ถ้าท่านดูหนังดูละคร (เอามือลงด้วยครับ) ก็ไม่สนุกอ่ะสิ...!!
จะไปสนุกยังไง เพราะมันผัสสะกระทบทางตาแล้วไม่เกิดเป็นอารมณ์ ไม่มีการปรุงแต่งภายในเลย
ผมถึงบอกว่า วันนี้ต่อให้ท่านรู้ความจริงท่านก็ไม่เอา
ถึงได้บอกว่า เด็กขี่จักรยานเนี่ย มันไม่ยอมอยู่ในบ้านหรอก ทั้งที่ในบ้านมันมีความสุขกว่า
จนกว่าวันนึงมันจะเข้ามาคุ้นจริงๆ
มันสงบลงไปจริงๆ มันเห็นประโยชน์จริงๆ มันถึงยอมปล่อยของเก่า
มรรคมีองค์แปดเป็นกระบวนทำงานอย่างเป็นประบบและมีรูปแบบมากนะครับ
เริ่มต้นจากให้จิตเข้าไปคุ้นกับความสงบในสัมมาสมาธิ
เริ่มต้นจากปฐมฌานเข้าไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่ม...
มันจะเหมือนเด็กขี่จักรยานแล้วก็เข้าไปอยู่ในบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นเด็กจะค่อยๆ ปล่อยทางฝั่งอกุศล
แล้วเข้าไปอยูทางฝั่งกุศลที่เป็นความสงบมากขึ้น
เมื่อคุ้นเคยกับความสงบมากขึ้นๆ เรื่อยๆ
เค้าจะเอนเปลีjยนทางแล้วมาติดที่ความสงบแทน
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สุขที่ไม่ควรกลัวคือสุขในฌาน
สุขที่ควรกลัว คือ สุขในกามสุขทั้งหลาย ซึ่งเป็นสุขร้อนอย่างที่พวกเราชอบกันนั่นล่ะ
เป็นสุขในกามสุข ซึ่งเป็นของเปล่าๆ ปลี้ๆ เป็นของไร้สาระ
มีอะไรที่ท่านดูแล้วสนุกแล้วม้นอยู่ค้างอยู่อย่างนั้น
ไปดูคอนเสิร์ตเสียไปซัก 3 พัน 5 พัน 2 ชั่วโมงอ่ะ ออกมา
ที่พูดกันทั้งหมด คือ การเลียซากที่ไม่มีของจริง
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันเหมือนต่อมน้ำ ตุ๋ม !! ...แล้วก็หายไปเลย
กามสุขทั้งหลายเหมือนต่อมน้ำ
เหมือนของในฝัน
เดินออกมาจากห้างฯ เดินออกมาจากคอมเสิร์ตจริงๆ เนี่ย
วินาทีนั้นลองถามตัวเองสิ !! เมื่อกี้เหมือนฝันไปเลย
เงินหลุดมือไปแล้ว 5 พัน เหมือนฝันไปเลย ไปเย้ว ๆ แป๊บ...หมดไปแล้ว 5 พัน
แล้วก็มนุษย์โลกหมดไปกับอย่างนี้ แล้วก็ไปหมดข้างหน้าต่อ
เอาของยัดใส่ลิ้นเข้าไป แล้วก็บอกว่า อร่อย แพง ยอมจ่าย
เดินออกมาจากร้านปุ๊บ...หมดไปอีก 3 พัน เหมือนของในฝันเลย
ขี้ออกมาเท่าเดิมเลย ไม่มี 5 พันแล้ว !!
มันหอมกว่าหรือว่าสีสวยกว่า...ไม่มีเลย
เป็นธาตุดินออกมาเท่ากันเลย
แล้วก็ปะทะของในฝันเนี่ย เดินจ่ายของในฝันเนี่ย จ่ายแต่ของในฝันเนี่ย
ทำมาห่ากินเนี่ย ไม่ใช่ทำมาหากิน
ทุกวันนี้ ทำมาห่ากินหมด ได้มาห่าตามกินหมด
แล้วก็เหลือแต่ซากเอาไว้เลียๆ เลียๆ ไม่มีของจริงเลย
วันนี้มันไม่เห็นความจริง ไม่เห็นความจริง นี่คือ... ไม่เห็นความจริง
ต่อให้เห็นความจริง... เอาล่ะ เราจะมาหยุดแค่นี้แหล่ะ แต่ผมอยากจะชี้ต่อไป
แสดงว่า ผู้หญิงในนี้ (หญิงที่กำลังจูบกับลิง)
ก็คือพวกเราทุกคน หรือทุกคนในโลกนี้ล่ะ สร้างสิ่งนี้ขึ้นมา
จากสัมผัสที่มีอยู่แค่นี้ (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก) เอง
มันจึงกลายเป็นสุข แล้วก็กลายเป็นทุกข์
ถ้ามันแปะเท่าที่ท่านแปะตอนนี้ มันจะสุขทุกข์มั้ยเนี่ย?...ไม่มี !!
มันจะสุขทุกข์มั้ย เพราะ มันเป็นการสัมผัสปกติที่แปะเข้าไปเนี่ย?...ไม่มี !!
แต่วันนี้ทุกอย่างที่เกิดเป็นสุขเป็นทุกข์ในทุกคน
เพราะท่านสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาที่เรียกว่า “การปรุงแต่ง”
การปรุงแต่งเกิดขึ้นมาได้จาก “การให้ค่า”
เราจะไปดูรายละเอียดกันในปฏิจจสมุปบาท วันท้ายๆ
เมื่อมีการให้ค่าแล้วไปยึดสิ่งนี้มาเป็นเราเป็นของเรา
กระบวนการทุกอย่างจึงเริ่มเกิดขึ้น เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา
การปรุงแต่งน่ะ... ท่านนั่งอยู่เดี๋ยว ท่านก็ปรุงแต่ง
เดี๋ยวก็เป็นสุข ท่านก็ไปสร้างภพภูมิที่จะพาเกิด
เดี๋ยวๆ ท่านก็ไปคิดถึงอะไรแล้วก็ใจเป็นทุกข์ ท่านก็ปรุงแต่งสิงที่ไม่ได้มีอยู่จริงๆ
สิ่งที่มีอยู่จริงมีแค่สัมผัส (นิ้วแปะที่ริมฝีปาก) นี้
แต่ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเองหมดจากในใจ
ใจที่สร้างขึ้นมานี้แหล่ะที่เป็นคนสร้างภพภูมิของท่านทั้งหมด
การปรุงแต่งทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นนี้แหล่ะ ที่พาท่านเกิด
เมื่อวาน ผมบอกให้ลดการปรุงแต่ง หยุดการปรุงแต่ง
ด้วยการกลับมาอยู่กับองค์บริกรรม
ด้วยการรู้ลมหายใจ อยู่กับการเดินจงกรม เพื่อให้ลดสิ่งนี้ลงไป
แต่มันก็ลดยังไม่ลงหรอก เพราะแม้แต่ท่านเดิน ท่านก็ยังปรุงแต่ง
แล้วก็ปรุงแต่งการเดิน
เป็นกูเดิน
กูเดินดี
คนนั้นเดินไม่ดี
กูเดินช้างดงาม
คนนั้นเดินเร็ว
เห็นอะไรก็ยังไม่หยุด ยังไม่หยุด ยังกดมันไม่ลง
เพราะของมันฟูอยู่อย่างนั้นน่ะ
เหมือนหมอนน่ะ กดเท่าไหร่ ปล่อยเด้งคืน ปล่อยเด้งคืน ปล้อยเด้งคืน
เหมือนหมอนที่เค้าขายในห้างอ่ะ บีบจนรีด ใส่ถุงมา
พอเราตัดปุ๊บ มันฟู่ ขึ้นมาใบเท่าเดิมเลย
เพราะฉะนั้นเรากำลังรีดๆ รีดๆ แต่ถ้าไม่มีปัญญาเนี่ย มันก็ฟู่ กลับมาเท่าเดิมอีก
วันนี้ขณะที่รีด ขณะที่กำลังขย่มมันลงเนี่ย
จึงต้องอาศัยปัญญา เข้าไปเห็น แทรกเข้าไปเลย
แต่เอาล่ะ มันต้องทีละอย่างนะ ถ้าคนมีปัญญาจริงๆ ขณะที่รีดลง รีดลง บีบลง
มันเห็น...ตุ้ม พร้อมกันเลย นะ
เพราะสมถะและวิปัสสนาก็ปนกันอยู่ในนั้นแหล่ะ
ขณะที่รีดลงๆ รีดลงๆ รีดลงๆ ตอนนี้บางคนไม่มีปัญญาก็ต้องหมันรีดไปก่อน
พอมันพองก็รีดต่อไป จนกระทั่งนานๆ ไป มันก็คงแฟบ แฟบไปได้บ้าง แต่แฟบไม่หมด
ผมต้องการชี้เรื่องการปรุงแต่ง
จูบลิง good?... ไม่ใช่ จูบนายแบบ good
เห็นกันจังๆ เลย แล้วรู้สึกยังไง...พอเห็น
เมื่อกี้ก็จูบไอ้ตัวนี้ แต่มีความสุขเหลือเกิน
พอเปิดตาไปเจอไอ้ตัวเดิมที่จูบเมื่อกี่นี้อ่ะ
ตอนนี้ปรุงแต่งเป็นปฏิฆะแล้ว!!
ตอนนี้ปรุงแต่งเป็นปฏิฆะ หมายความว่ายังไง?...อ่ะ กล้องจับนะ
ถ้า (อ่ะนี่...แป๋ม) ถ้าผมเป็นณเดชน์ (ตอนนี้เป็นณเดชน์นะ แป๋มนะ)
แล้วก็เข้ามาข้างหลัง แล้วก็...
" เป็นไงล่ะ เดินนั่งเมื่อยมากซินะ แล้วก็นวดๆ "
ตอนนี้จะคล้ายๆ จูบลิงเมื่อกี้เลย
อ่ะโอ้ย....ข้างบนอีกนึดนึงก็จะ... จะเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา
ขณะนี้กำลังปรุงแต่ง เพราะจริงๆ สัมผัสคือ มือ กับ มือ
ถ้าผมเป็นณเดชน์ แล้วผมกำลังนวดแป๋มเนี่ยะ !!
ให้ท่านเอามือขวาท่านจับมือซ้ายครับ แล้วบีบ
อ่ะแป๋มเอามือขวาจับมือซ้ายแล้วบีบ
ถามตัวเองว่า มีความรู้สึกอะไรบ้างมั้ย?...ไม่เลย ก็แค่หายเมื่อย
ถ้าเราเมื่อยเราก็เอามือขวาบีบมือซ้ายก็หายเมื่อย
ณเดชน์ก็ทำแบบเดียวกันนะ
ณเดชน์ก็ทำแบบเดียวกัน
ก็เหมือนกับมือขวามาจับมือซ้ายเหมือนกัน แล้วก็บีบ แต่เราปรุงขึ้นมาเหมือนกัน
เห็นแล้วยังว่าการปรุงแต่งคืออะไร?...
เราก็ปรุงตอนณเดชน์มาลูบเหมือนกัน
แต่ในทางกลับกัน
สมมติว่าผมเป็นคนที่ตามจีบแป๋มมานานละ ...แต่ไม่ชอบขี้หน้าตาคนนี้เลย
ถ้าผมมาโดนตำแหน่งเดียวกับ แล้วผมก็ทำแบบเดียวกับที่ณเดชน์ทำเลยน่ะ
บีบ...แบบเดียวกันเลย น้ำหนักเท่ากันเลย
อึ่ย...ไปไกลๆ ได้มั้ย รำคาญ...
มันจะเกิดการปรุงแต่งในทางลบอีกด้านนึง อันนี้สร้างนรกละ
เมื่อกี้สร้างความรู้สึกที่ดี อันนี้สร้างความรู้สึกที่ไม่ดี
ซึ่งพาไปบวกไปลบล่ะทีนี้ เพราะสิ่งที่สร้างขึ้นมาตลอดเนี่ยะ
ถามตัวเองซิว่า ไอ้สิ่งอย่างเนี้ยะสร้างตลอดทั้งวันมั้ยเนี่ย?
แล้วถ้ามันไม่มี...เท่ากับศูนย์ หยุดการปรุงแต่ง
มันจะมีสภาพ ถ้าผมจับ หรือณเดชน์จับ หรือว่าคนที่ตามจีบ....จับ
มันจะเหลือเ่่ท่าเหมือนเท่ากับ มือขวาจับมือซ้ายอ่ะ
ในคนที่หล่อและที่ไม่หล่อ แต่มีสภาพเดียวกัน
ในครั้งนึงที่นางอุบลวรรณา (เอ้ ผมจำชื่อถูกหรือเปล่า) เถรี
ซึ่งเป็นภิกษุณีที่รูปโฉมงามมากน่ะ จนกระทั่งมีคนแอบรักเธอ แล้วก็อยากจะได้เธอ
ในครั้งนั้นเธออยู่ที่กุฏิ คนบาปหยาบช้านี่ก็ตามเข้าไป แอบ แอบอยู่ใต้เตียง
แล้วก็ข่มขืนพระอรหันต์ เพราะตอนนั้นเธอเป็นพระอรหันต์แล้ว
ขณะที่กำลังจะข่มขืนเนี่ย เธอก็ได้บอกกับโจรนั้น
บอกว่า อย่าทำเราเลย เธอกำลังทำกรรมหนักละ
แต่ไอ้นั่นหน้ามืดแล้ว มันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น มันก็ดำเนินการข่มขืนเลย ข่มขืนจบมันก็หนีไป
เรื่องก็เลยดังขึ้นมา แต่เนื่องจากนางเป็นหญิง
พระพุทธเจ้าก็ให้นางวิสาขาเป็นคนเข้าไปตรวจสอบ
ตรวจสอบทั้งหมดแล้วก็ยอมรับว่ามีการข่มขืนจริง
เรื่องมันเกิดเป็นที่สับสนขึ้นมาก็คือว่า
ขณะนี้มีการร่วมเพศ จะถือว่าภิกษุณีขาดจากความเป็นภิกษุณีมั้ย?
พระพุทธเจ้าก็จึงเรียกนางมาแล้วก็สอบถาม
ขณะที่กำลังมีอะไรอยู่นั้น เธอรู้สึกอย่างไร?...
ภิกษุณีก็ตอบว่า หม่อมฉันไม่ยินดีและก็ไม่ยินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
เข้าใจรึยัง?...
ถ้าอย่างนี้ (แสดงอาการยินร้าย ฮึดฮัดๆ )...ถ้าอย่างนี้ เธอไม่ใช่,
แล้วถ้ายินดีก็ไม่ใช่แน่, ยินร้ายก็ไม่ใช่ด้วย, แล้วก็ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ด้วย ก็ปฏิเสธปกป้องไป
แต่ว่าไอ้นั้นมันหื่นจัด หลังจากนั้นไอ้นั่นก็โดนธรณีสูบไปมั้ง
ส่วนเธอ...
พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เธอไม่ได้ขาดจากกความเป็นภิกษุณี เพราะเธอไม่ได้เกี่ยว
เพราะฉะนั้นคำว่า “ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย” นี่แหล่ะ
ที่เป็นทั้งรอยต่อในฝั่งนี้และก็เป็นความรู้สึกในฝั่งโน้น
ผมต้องการให้เราเห็นการปรุงแต่งในเชิงเป็นรูปธรรม ที่เราสามารถเข้าไปสัมผัสอย่างเนี้ยะ
(อย่างในคลิปจูบลิง)
วันนี้เราปรุงแต่งความยินดีความยินร้ายขึ้นมาตลอดเวลา
เรากลับไปที่จุดสมดุลย์เดิมไม่ได้ ที่ผมพยายามจะชี้ ผมถึงบอกว่า
ถ้าเราบอกว่าเราหยุดการปรุงแต่ง แล้วเราพยายามหาจุดที่เทียบเคียงว่า
อริยบุคคลหรือว่าพระอรหันต์ที่ท่านไม่ยินดีไม่ยินร้าย ท่านรู้สึกยังไง?...
ก็ลองเอามือขวาบีบมือซ้าย แล้วเทียบกับ ณเดชน์มาจับ แล้วเทียบกับคนที่เราเกลียดมาจับ
เราจะพบความจริงอะไรบางอย่างของการปรุงแต่ง
แล้วเราเอาตรงนั้นแหล่ะมาลองเทียบเคียงดู
แต่ผมจะบอกท่านต่อไปเลยว่า ต่อให้ท่านรู้ ตอนนี้ท่านก็ทำมันไม่ได้
นี่ผมแค่จะชี้ให้เห็น เพราะวันนี้เราปรุงแต่งมาทั้งชีวิต จนไม่รู้ว่าการปรุงแต่งคืออะไร
เราปรุงแต่งอยู่กับสิ่งนี้มาตลอดทั้งชีวิต
โดยไม่รู้ว่าเราปรุงแต่งอยู่ทุกวินาที
แล้วเราจะรู้จักมันได้ยังไง?
เพราะฉะนันสื่อนี้ หรือสิ่งที่ผมให้ทำนี้จะเป็นบรรทัดให้ท่านเทียบ
ว่าเมื่อไหร่ปรุงแต่ง ... เมื่อไหร่ไม่ปรุงแต่ง
แต่จะละการปรุงแต่งจริงๆ กลับมาจากการเจริญมรรค ไม่ใช่การจัดการที่ผล
นี่แค่ทำให้ท่านรู้จักนะ ไม่ใช่ให้ท่านจัดการ เพราะไม่มีทางจัดการมันได้
แสงไฟ ถ้าผมเห็นการปรุงแต่งคือแสงไฟ
รู้แล้ว...แสงไฟนี้เป็นผลมาจากการปรุงแต่ง...จัดการเลย...ทำให้ตาย ไม่มีดับ
ถ้าจะจัดการ ต้องใช้การเจริญมรรค ไปซัดหลอด ไปทำลายแบตฯ แล้วไฟถึงจะดับ
วันนี้มีหลายคน ไปนั่งทำผล จัดการที่ผล นะ ไปนั่งเล่นกับผล ไม่ได้กินมันหรอก...
แปลว่าอะไร?...
วันนี้โกรธ ทำไง?...ก็เข้าไปรู้ไง รู้แล้วทำไมไม่ดับ รู้แล้วทำไมดับ?
เคยละอกุศล เคยฝึกให้พ้นจากสัญชาตญาณบ้างมั้ย?
เคยเนกขัมมะบ้างมั้ย?
รู้มั้ยอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์?
จัดการกับศีลของตัวเองบ้างมั้ย?
ท่านสร้างเหตุเกิดให้ไฟเกิด ด้วยการเติมพลังเข้าไปที่แบตเตอรี่
เพราะฉะนั้นไม่มีวันชนะมันหรอก
มีอย่างเดียวต้องเข้าไปจัดการเหตุด้วยการเจริญมรรค
ซึ่งเราพูดกันแน่ๆ คอร์สนี้ “มรรคมีองค์แปด”
คนนั่งเล่นเกมส์
เห็นการเกิดดับของอารมณ์ เห็นอารมณ์ที่บีบคั้น เห็นความสนุก เห็นความเครียด เห็นความทุกข์
ทำมา 2 ปี ถามผมว่า เนี่ยผมนั่งดูจิต ผมเห็นอารมณ์เกิดขึ้นดับไปตลอดเวลา 2 ปี
แล้วผมต้องทำยังไงต่อ?
เลิกเล่นเกมส์เหอะ !!
เพราะในเมื่อคุณยังสร้างเหตุเกิดไม่หยุด แล้วคุณจะให้มันดับได้ยังไง
ในเมื่อฟองก๊าซในบ่อน้ำเน่ามันผุดขึ้นมาไม่เลิก
แล้วคุณนั่งดูฟองน้ำเน่าก็คืออารมณ์ที่มันปุบปับๆ ขึ้นมาเนี่ย
นั่งดูไป 10 ปี ฟองน้ำเน่ามันจะหายมั้ยล่ะ?...ไม่หาย
นี่ผมก็นั่งดูอยู่ เห็นแล้วการเกิดดับ เห็นแล้วทำไมหรอ
แล้วถ้าไม่ตักน้ำในบ่อน้ำเน่าออก ไม่เติมน้ำใหม่ ไม่ชำระพื้นบ่อ ฟองมันจะหายมั้ยเนี่ย?...ไม่หาย
แต่ถ้าทำอย่างนั้นเนี่ย ต้องไปสนใจฟองมั้ย?...ไม่ต้อง
ถ้าทำอย่างนั้น เดี๋ยวน้ำจะใสขึ้นๆ แล้วฟอง ฟองของแก๊สไข่เน่าจะหายไป ถูกมั้ย?...ถูก
นี่ (ไฟฉาย) คือสิ่งที่พระพุทธจ้าตรัสรู้
ไอ้ผลทั้งหมดที่ปุบปับๆ กันขึ้นมาตอนนี้อ่ะ จะค่อยๆ หายไปจากการเจริญมรรค
ไม่ใช่ไปเล่นกับไฟ ไม่ใช่ไปเล่นกันแสงไฟ
มันต้องบี้เข้าไปที่ต้นกำเนิด
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่าง “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา...” เนี่ย
ที่ได้ยินคาถาของพระอัสสชิเนี่ย
สิ่งทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น
พร้อมแสดงความดับโดยสิ้นเชิง เพราะหมดเหตุ
ความดับมาได้จากการหมดเหตุ ไม่ใช่ไปพยายามดับสิ่งที่มีอยู่
--------------------------------------------
เอ่าล่ะนะครับ สำหรับช่วงเช้า
เนื้อหาสาระก็เริ่มดึงท่านเข้าสู่เส้นทางการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ล่ะ
ในครั้งนี้ให้เห็นแรงเงา การฝืนดึงเพื่อล้างสัญชาตญาณให้เข้าสู่ความเป็นคนปกติ
วันนี้เราไม่ปกติ
จุดที่สองคือ ให้ท่านให้ได้เห็นการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นจากการเทียบเคียง
แต่วันนี้ท่านจะจัดการอะไรมันไม่ได้หรอก
เราจะไปจัดการกันด้วยการเจริญมรรค... นี่คือการจัดการที่แท้จริง
เอาล่ะ สำหรับช่วงเช้านี้นะครับ ก็ให้ทุกคนไปปฏิบัติภาวนากันต่อ
การรับประทานอาหาร อย่างปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ท่านไม่ได้เข้าไปภาวนา
การรับประทานอาหาร จะเป็นสิ่งที่เราถูกลากกลับไปที่สัญชาตญาณได้ง่ายมาก
จากการ... รสชาติที่อร่อย แล้วมันก็มาอร่อยที่ใจ อร่อยที่ลิ้น แล้วมันก็มาอร่อยที่ใจ นะ
ฟังตามผมดีๆ นะครับ อร่อยที่ลิ้น แล้วมันก็มาอร่อยที่ใจ ดูซิจะเห็นมั้ยน่ะ
ตกลงคำว่าอร่อยที่ลิ้น คือรสชาติที่สัมผัสที่ลิ้น
ส่วนอร่อยที่ใจ คือ สร้างนายแบบขึ้นมาในใจ
ลองไปดูซิท่านตั้งมั่นพอจะเห็นมั้ยว่า อร่อยที่เราพูดถึงวันนี้มันรวมกัน 2 ตัวเลย
อร่อยลิ้น ถ้าอร่อยลิ้นจริง มันจะรสชาติเกิดขึ้นตอนอาหารเข้าไปแตะ แล้วก็เคี้ยวๆ อยู่ในนั้น
พอกลืนพลั้วะ !! ...หายแล้วนะ
แต่สังเกตดูว่า อร่อยใจยังอยู่นะ
นี่คือการปรุงแต่งที่แทรกอยู่ในทุกอณู ทุกวินาที ของทุกคน
พอรสชาติไม่ถูกใจอย่างที่กูตั้งไว้ ก็เกิดเป็นปฏิฆะ
เกิดเป็นเวทนาคือความทุกข์
ถ้าใช่อย่างที่กูกตั้งไว้ก็เกิดเป็นความสุข เป็นความชอบ
แล้วก็หลงติดซ้ำเข้าไป เรียกว่าราคานุสัย ฝังราก ลึก ตอกลิ่มปั้ง!!เข้าไปในจิต
ถ้าไปเกิดเป็นปฏิฆะ ไม่ชอบรสชาตินี้
ก็นั่งหงุดหงิดรำคาญอยู่คนเดียว สร้างนรกกับการกิน ผัสสายตนะที่เกิดขึ้น
ก็มีแต่ทุกข์ อยู่บนโลกมนุษย์ ก็สร้างแต่ทุกข์ในนรก
พอสร้างจนกระทั่งชินไปตกอยู่ในนรกก็ไปพบกับสิ่งที่ไม่พอใจไม่น่ารักใคร่
อย่างที่ท่านพระองค์บอก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่เปิดฟังกันเมื่อคืน
อย่าสร้างภพแบบนี้ ท่านสร้างของท่านเอง เห็นหรือยัง
ทุกอย่างมาจากเราทำเอง เพราะมี "เรา" นี่แหล่ะ
เอา "เรา" ออกน่ะ หายกันเกลี้ยงเลย
เพราะมี เรา เนี่ย เราจึงมีการ -เราไม่ชอบ - เราชอบ - เราพอใจ - เราไม่พอใจ
เราทำ เราเก่ง เราดี เราคืออะไร?...
ความรู้สึกที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเฉยๆ อย่างนั้นเอง
เป็นฟองแชมพู เอาออกพลั้วะ !! จะกลับเข้ามาอยู่ แค่นี้ (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก)
แค่นี้ (มือขวาจับแขนซ้าย) ออกไปร้อน...ร้อน
แค่นี้ (มือขวาจับแขนซ้าย)
ทำไมร้อนแล้วต้องบ่น?...เพราะกูไม่ชอบ
เอาแหล่ะ มากันเป็นพวงเลยทีนี้ สร้างภพเลย
แล้วภพอะไรล่ะ ?
ภพของความไม่พอใจ ภพของความไม่พอใจ เป็นภพทุกขคติภูมิ เป็นทุกขคติภูมิ
อ่ะ เดี๋ยวสวดธาตุปัจจเวก นั่งพับเพียบ...
เวลาลงไปรับประทานอาหารนะ ก็จริงๆ สวดธาตุปัจจเวก ก็ต้องสวดตอนที่มีอาหารอยู่ตรงหน้า
จบการบรรยายตอนที่ 3
------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 2 ความน่ากลัวของสังสารวัฎ ☜ ☞ตอนที่ 4 สันทิฎฐิกนิพพาน
กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ
แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มรู้ต่อไปว่า ทำกุศล...ผลเป็นกุศล, ทำอกุศล...ผลเป็นอกุศล
ท่านลองเช็คลิสต์ตัวเองนะ ดูซิว่ามีสัมมาทิฏฐิหรือยัง
ออกไปใส่บาตร...ใจหงุดหงิด รู้เลยว่า ทำอกุศล...ผลเป็นอกุศล
การให้ทานย่อมมีผลเหมือนกัน
สมมติว่าการโกรธหงุดหงิดรำคาญต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานพันธุ์ดุ
แต่ก็ยังเข้าใจได้ว่า ทานที่เราทำไว้ก็ยังส่งผล
อาจจะเป็นสุนัขพันธุ์ดุแต่มีคนเลี้ยงเอาอาหารอย่างดีให้
ทานที่ท่านทำไว้ก็ยังไปส่งผลในภพภูมิ พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างนั้นเลย
ทำอกุศล...ผลเป็นอกุศล เริ่มรู้แล้ว ไม่ใช่ว่า โอ้ย...วันนี้ฉันออกไปทำบุญ
ไม่นะ...อันนั้นเป็นคำรวมๆ เฉยๆ ซึ่งต้องมาแยกดูรายละเอียด
เมื่อเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจกฏแห่งกรรมโดยธรรมชาติเลย...โอ้ย แน่นอน
กรรมเกิดขึ้นได้จากการที่มีโลภะ โทสะ โมหะ เข้าประกอบ
แล้วเกิดการกระทำสิ่งนั้นลงไป ก็จึงเป็นกรรม
เมื่อทำกรรม...ก็รับวิบาก นะ ก็เริ่มเข้าใจกฏแห่งกรรม
เมื่อเห็นกฏแห่งกรรม ความเข้าใจต่อมาที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ
ถ้างั้นเวียนว่ายตายเกิดแน่ เพราะได้สร้างกรรมสร้างเวรเอาไว้มันก็ต้องเกิดการรับผล
จึงเกิดการเวียนว่ายตายเกิด
ผู้เกิดสัมมาทิฏฐิจะเข้าใจเรื่องของภพภูมิ...มีแน่ เพราะทำเอาไว้เอง
เอาล่ะ นี่ก็คือสัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น เมื่อใครมีอย่างนี้แล้วก็จะเริ่มเห็นโทษภัยในสังสารวัฏฎ์ล่ะ
เป็นธรรมชาติเลย ที่ใครเห็นอย่างเนี่ยะมาหมดเนี่ย จะเห็นเลยว่าสังสารวัฏฏ์นี้น่ากลัว
แล้วก็เห็นเลยว่า เมื่อก่อนนี้เราทำมาไม่ใช่น้อยเลย ตั้งแต่ยังไม่รู้เลย
เพราะคนไม่รู้ก็ทำกัน เพราะรู้สึกว่าตัวเองถูก ฉันทำอย่างนี้ฉันทำถูก
เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว
สถานที่นี้เราเปิดอบรมคอร์สของนักศึกษา ในหลักสูตรหลักสูตรนึง
ในหลักสูตรนั้น หลังจากวันที่จบหลักสูตร มีเด็กออกมาแสดงความคิดเห็น
เรื่องที่เค้าเล่าวันนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ผมเอาไปเล่าทุกคอร์สเลย
เด็กคนนั้นบอกว่า คือเค้าเป็นนักศึกษาปี 4 แล้วตอนนี้
เค้าบอกว่าตอนที่เค้าอายุ 17 มีอยู่วันนึงน้องชายเค้าวิ่งเข้ามาในบ้าน
แล้วก็บอกว่าโดยจิ๊กโก๋ไล่ตี เค้ารู้สึกโกรธมาก เค้าจึงหยิบปืน แล้วก็ออกไป
แล้วก็วิ่งไล่ยิงพวกจิ๊กโก๋ที่มาตีน้องชายเค้า.....เค้าถูกตำรวจจับ
แต่วันนั้นเนื่องจากอายุแค่ 17 เค้าจึงรอดตารางมาอย่างหวุดหวิด
จนเค้ามาเข้าคอร์สปฏิบัติในครั้งนั้น เมื่อวัน...ไม่กี่วันที่ผ่านมา
เค้าเริ่มรู้สึกว่า เค้าทำผิด !!
แต่เค้าบอกว่า วันที่ผมไล่ยิงน่ะ ผมรู้สึกว่าผมทำถูก !!
แล้วผมก็รู้สึกว่าผมทำถูกมาตลอด จนกระทั่งผมมาเข้าคอร์ส ผมถึงรู้ว่าผมทำผิด
ฟังดูไม่แปลก ..... แต่ที่มันสุดยอดตรงที่เค้าบอกว่า ....ผมเอะใจขึ้นมา
ผมรู้เลยว่าทุกคนที่ทำผิดในโลกนี้ ตอนนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองทำถูก
เออ...ทุกคนที่ทำผิด ในใจจะรู้สึกว่าตัวเองทำถูก
ที่เค้าตั้งคำถามคือ...นั่นนะสิ ในเมื่อทุกคนรู้สึกว่าตัวเองทำถูก
แล้วใครจะเป็นคนบอกว่ามันถูกหรือว่ามันผิด?
เพราะทุกคนมันรู้สึกว่า...ใช่ สิ่งที่ฉันทำมันถูกอ่ะ
ถ้าฉันปกป้องลูก นี่ปกป้องน้อง เค้าบอกว่าเค้าปกป้องชีวิตน้อง
เค้าปกป้องน้องชาย .......เค้าทำถูก
การที่เค้าไปไล่ยิงคน ......เค้าทำถูก
จนถึงวันนี้เค้ารู้แล้วว่าเค้าทำผิด เค้าทำผิดแล้ว... ใครจะเป็นคนบอก?
เพราะวันนี้แม้จะมีคนบอก เรายังรู้สึกว่าเราทำถูกอยู่เลย
มันจึงเป็นข้อเตือนใจทุกๆ คนเลยนะว่า
อย่าไว้ใจเสียงข้างในนะ เพราะมันเริ่มต้นคิด มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิละ
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสเรียก พวกมิจฉาทิฏฐิ
คนที่จะบอกว่า หรือรู้ว่ามีเครื่องเตือนว่าสิ่งนั้นถูก หรือไม่ต้องบอกเลย
คือ ผู้ที่ถึงความเป็นสัมมาทิฏฐิ
แม้แต่บอกว่า เอ้า...สติคงจะเป็นคนบอก นี่มันยังไม่ใช่เลย!
วันนี้ไม่ใช่ไม่มีสติกัน สติก็บอก แต่มันก็ยังเชื่อว่าสิ่งที่มันทำถูก
ทุกวันนี้ทุกคนก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสติ
ต่อให้สติเตือนคุณก็ยังทำอยู่นั่นแหล่ะ เพราะคุณรู้สึกว่านั้นถูก
คนที่จะบอกว่าถูกหรือผิดคือ...สัมมาทิฏฐิ
เมื่อไหร่เกิดสัมมาทิฏฐิจริงๆ ถึงจะรู้ว่าสิ่งที่ทำคืออะไร
การมาปฏิบัติจนถึงตรงนั้นเนี่ย พระพุทธเจ้าตรัสเรียกจุดนั้นก็คือ...พระโสดาบันขึ้นไป นะ
สัมมาทิฏฐิในองค์มรรคก็เริ่มตั้งแต่พระโสดาบัน แต่สัมมาทิฏฐิเบื้องต้นที่เมื่อกี้เราพูดกันเนี่ย
คือสัมมาทิฏฐิที่จะพาเข้ามาสู่ทางแห่งการพ้นทุกข์
เหมือนกับอนุบาลน่ะ เหมือนอนุบาล
ถ้าสัมมาทิฏฐิในพระโสดาบันคือการเข้าไปปริญญาตรีเนี่ย
การจบ การเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยจนกระทั่งไปจบด็อกเตอร์ที่พระอรหันต์ นะสมมติอย่างนี้
สัมมาทิฏฐิในเบื้องต้นที่เราพูดกันคือ เริ่มต้นเข้าเรียนอนุบาล
ไม่ใช่อะไรนักหนาเลย พาเค้าเข้ามาอยู่ในทางก่อน
ถ้ายังไม่เห็นโทษภัยเหล่านี้เนี่ยะ ก็ไม่เข้า แล้วก็ไม่เดินทางเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ดังนั้นถ้าใครไม่มีสัมมาทิฏฐิแม้ในเบื้องต้นเลยเนี่ย...
ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันไม่อะไร ฉันไม่เชื่อ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
ก็เหมือนกับเด็กแว้นซ์ ที่อยู่ข้างออกอ่ะ ทำตามใจตัวเองไป
หา...หาอะไรไม่เจอเลย นึกว่ากูเก่ง กูแน่ สิ่งที่กูคิด กูถูก !!! มันก็มีอยู่แค่นี้แหล่ะ นะ
ยิ่งรวย ยิ่งมีเงิน ยิ่งประสบความสำเร็จ ยิ่งหลงหนักเข้าไปใหญ่เลยทีนี้
ยิ่งหลงหนักเลย ไม่ได้แปลก ไม่ได้โก้อะไร เห็นก็......ไม่รู้จะทำยังไง ?
ทีนี้เมื่อมาเข้ามาสู่การปฏิบัติ เราจะมาดูกันว่า
บนจอวันนี้เราจะมาดูหนังเรื่อง “แรงเงา” กัน
“แรงเงา” การปฏิบัติเปลี่ยนสัญชาตญาณ
ท่านจะดูแล้ว หรืออาจจะยังไม่ดู เราจะทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กัน
จากนี้ท่านจะเห็นโครงสร้าง จะเห็นโครงสร้าง แล้วจะเห็นความจริง
เราจะเริ่มต้นกันที่ จุดแรก...
จะเห็นว่า -10, ศูนย์, แล้วก็ +10 ก็คล้ายๆ กับสเกลบนมิเตอร์ของเครื่องวัด
คำว่า -10 .......คนๆ นี้เป็นลักษณะแบบไหน?...เป็นปุถุชน
คำนี้...เดี๋ยวนี้พวกเรา รับไม่ได้แล้วนะ
ใครมาพูดว่าเป็นปุถุชนนี่ คือ...ด่ากันดีกว่า
ด่าอะไรก็ได้นะ แต่ถ้าพูดหือ...ปุถุชน โอ้โห...มัน มันเหมือน...
ไอ้อะไรสักอย่างนึงในทางโลกที่รุนแรงมาก
“ปุถุชน เลวอย่างเป็นเนื้อแท้”
คำว่า “เลวอย่างเป็นเนื้อแท้” ผมจะให้ท่านสังเกต...
สมมติมีใครไปสั่ง... มีนักการเมืองสั่งลูกน้องไปฆ่าคู่แข่ง
ลูกน้องไปถึงยิงเปรี้ยง...ตายเลย กลับมารายงานเจ้านาย ฆ่าเรียบร้อยแล้วนาย
" โอ้ย...เยี่ยมมาก เอารางวัลไป นะ กินฉลองกันหน่อยวันนี้ "
นี่เลวอย่างเป็นเนื้อแท้ คือทำบาป ทำชั่ว ทำอกุศล
ไม่มีเสียงเตือน ไม่มีเครื่องเตือน ไม่รู้สึก guilty ไม่รู้สึกอะไรเลย...
พวกนี้เลวอย่างเป็นเนื้อแท้เลย เอาล่ะ...
จากนั้นสมมติว่าคนๆ นี้ เริ่มอ่านหนังสือธรรมะ เข้าสู่การไปวัดไปวา
เกิดพระเทศน์วันนั้นมันโดน...ปึ้ง !! ขึ้นมา
โอย...เรานี่ทำผิด ไม่เอาละ ต่อไปนี้เราจะเป็นคนดี
จากนั้นเค้าเริ่มรู้สึกที่ จะ พยายามจะเป็นคนดี
จะเห็นเงาจางๆ ที่ขยับๆ เขยื้อนออกมาจาก...จากสีทึบๆ
สิ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นในทางปฏิบัติ?
สมมติว่า ไม่พอใจคู่แข่งคนอื่นอีก รู้สึก...แหม หมั่นไส้จริงๆ
กำลังจะตัดสินใจเรียกลูกน้องไปเก็บอีก
" อืม...ไม่เอาดีกว่าโว้ย ทำแล้วมันไม่สบายใจเลย มันตายไป ครอบครัวของมันก็เดือดร้อน
ก็ว่ากันไปดิกว่า "
ตอนนี้มันเริ่มมีอีกเสียงนึง อีกเสียงนึงเล็กๆ อีกเสียงนึงก็บอกว่า
" ไม่ยิงมันแล้วมันจะได้คะแนนได้ยังไง คะแนนก็ถูกแชร์ไปที่มัน เดี๋ยวดีไม่ดีแพ้อีก เสร็จเลย "
อีกแสียงก็บอกว่า
"อืม...อย่าเลย เห็นใจมันบ้าง"
มันเริ่มมีสองเสียง เริ่มพูดสวนกัน
ไอ้เสียงเลวอย่างเป็นเนื้อแท้ก็ยังมีอยู่ จะพาฆ่าอย่างเดียว
ส่วนไอ้เสียงที่คอยห้ามก็จะเป็นอีกเสียงนึงที่พยายามจะเป็นคนดีขึ้นมา
แต่อันนี้ยังไม่ใช่ของจริง...
แสดงว่าอันนี้เป็นแรงฝืนเฉยๆ ตัวจริงยังไม่ใช่ แต่หากเค้าฝืนไปเรื่อยๆ เค้าก็เริ่มพยายามที่จะฝืนต่อไปอีก
สมมติว่าคนขึ้ขโมยก็เริ่มพอจะขโมยของใคร มันก็เริ่มมีเสียงสวนขึ้นมาเรื่อยๆ
ฮี่ย....อย่างไปเอาของเค้าเลย ไม่ดีหรอก
หรือว่าถ้าใครเป็นคนชอบว่า ชอบด่า กำลังจะ...
อืม...ไม่เอาล่ะ ขนาดเรายังไม่ชอบให้ใครว่าเลย แล้วทำไมเราต้องไปว่าคนอื่น...
มันก็เริ่มเกิดเสียงสวนขึ้นมาเรื่อยๆ ข้างใน เริ่มเป็น 2 เสียง เหมือนมี 2 คนอยู่ข้างในละ
คนนึงจะพาทำบาปเหมือนเดิมตามสัญชาตญาณ
ส่วนอีกคนนึงเริ่มง้างเอาไว้ เริ่มเป็นคนมีศีล
ผมมักจะอุปมาเหมือนกับ หนังยางที่ไปลากหิน
ท่านจะรู้สึกว่า ดึงไปๆ หนังยางมันยืดออกเรื่อย แต่หินมันไม่เดินตามเลย
หินมันไม่ขยับเลย ดึงไปเรื่อย ดิงไปเรื่อย ดิงไปเรื่อย ดิงไปเรื่อย ดึงๆ ดึงไปเรื่อย หินไม่ขยับ!!
จนถึงจุดๆ นึง หินเริ่มขยับ... สมมติว่าหนังยางจะไม่ขาดนะ
ดึงไปเรื่อย ดึงไปเรื่อย ยืดๆๆ แล้วหินค่อยๆ ขยับ
แต่ถ้าคนๆ นั้นหมดความเพียรก่อน มันจะดีดกลับ !!! ..... แล้วหินจะอยู่เท่าเดิม
เค้าเปลี่ยนสัญชาตญาณไม่ได้
เค้าเป็นยังไงเค้าจะเป็นอยู่อย่างนั้น !!
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ท่านอาจจะเห็นและก็อาจจะได้ยินหรืออาจจะเป็นคนพูดเองในอดีตว่า
ฉันไม่เห็น... มันจะเข้าคอร์ส ไม่เห็นมันจะดีขึ้นเลย
ท่าน ลากมันไม่ไป
ความเพียรท่านไม่พอ
ท่านทำแล้วท่านเลิก ไม่มีความเพียรอันถูกต้อง ไม่มีสัมมาวายามะ !!
การลากสัญชาตญาณที่สั่งสมมาจากอดีตอันยาวนาน...ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมบอกให้เลย...
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาเปลี่ยนทุกอย่างใน 5 วัน...เป็นไปไม่ได้
นอกจากท่านจะสั่งสมของเก่ามาแบบสุดๆ
แล้วท่านไม่ใช่เป็นอย่างนี้จริงๆ แต่เงาของท่านไปอยู่ตรงกลาง
แต่ครั้งนี้ท่านตกมาอยู่ในโลก ท่านจึงไหลกลับ ถ้าอย่างนี้ท่านเด้งกลับที่เดิมไม่ยาก
แต่ถ้าท่านมาจากอย่างนี้ คือวีนแตกเป็นสายเลือด โกรธ ด่า หงุดหงิด
คือติดอยู่ในกระแสเลือดเลย โอ้โห...อย่างนี้ต้องถ่ายเลือดกันนานเลยล่ะ!
ต้องดึงแล้วดึงอีก มันจะดึงท่านกลับอยู่เรื่อย
ท่านดึงๆ ดึงๆ ก็ฝืนไว้ ใช้มรรค ใช้ศีล ใช้คุณธรรมจริยธรรม ดึงๆ ดึงๆ
จนกระทั่งมันเริ่มขยับตามอย่างนี้แหล่ะ
ท่านจะเริ่มรู้สึกว่า เมื่อก่อนต้องมีเจตนาเป็นเครื่องเว้น... (เดี๋ยวเราไปฟังต่อในมรรคมีองค์แปด )
จนค่อยๆ หมดเจตนาเป็นเครื่องเว้น ท่านจะเห็นว่าตัวจริงของท่านเริ่มตามขึ้นมา
สมมติว่าเป็นคนขี้ขโมยอย่างที่เคยยกตัวอย่างบ่อยๆ นะ
เดี๋ยวจะไปเชื่อมโยงในเรื่องของมรรคมีองค์แปด ในเรื่องของศีล
พอจะเอา... อืม ไม่เอา อย่าไปเอาของเค้าเลย ไม่เอาละ... อืม
มันเกิดเจตนาเป็นเครื่องเวันที่จะ... ไม่เอาละ ไม่ทำละ
จนกระทั่งวันนึงที่บอกว่าเงินของเค้าหล่น ไปเก็บแล้ว...
....คุณๆ เงินคุณหล่น...
ปั๊บ มันจะถึงตรงนี้... ไม่มีความรู้สึกอยากได้ แล้วก็ไม่มีเจตนาที่จะต้องเว้นอีก
ทั้งสองเสียง...เงียบ ไม่มีเสียงแล้ว
เพราะไม่มีเสียงบอกว่า เฮ้ย !อยากได้ว่ะ แล้วอีกเสียงบอก ไม่เอา ไม่ใช่ของเรา...!!
ถ้าเป็นอย่างนี้ยังเป็นเงาๆ อยู่
แต่ถ้าเมื่อไหร่มันทับ... พลั้วะ!!
เงินหล่น คุณ... ถ้ามีใครมาถามว่า... เอ้า เอ้ยทำไมไม่เอาเลยอ่ะ...
เอาทำไมอ่ะ ไม่ใช่ของเรา...
เอ้า เมื่อก่อนเป็น...
ก็ไม่รู้ แต่ไม่เห็นอยากได้เลย...
ไม่มีเจตนาจะเอา แล้วไม่มีเจตนาจะเว้น... ตอนนี้ทับกันสนิทล่ะ ทับกันสนิทล่ะ
จากนั้นก็ยังไม่พอ เข้ามาสู่ภาวนาแบบท่านทั้งหลาย
เข้ามานั่ง เมื่อยมั้ยครับ?...เมื่อย, ปวด?...อืม ปวด, เบื่อเหมือนกันน่ะ...
คนดีไม่พอ...เน่อะ ความเป็นคนดีไม่พอหรอก ก็พยายามที่จะ...
เพราะว่าดีแล้วก็ยังไม่พ้นทุกข์เลย
เพราะจิตมันยัง ป๊อบแป๊บ ป๊อบแป๊บ ป๊อบแป๊บ ตลอด น่ะ
ก็พยายามที่จะฝืน ที่นี้ต้องใช้กำลังเยอะมาก... เห็นมั้ย
ท่านมานั่งเนี่ยะ โห... ทั้งปวด ทั้ง... คือตอนเนี้ยะมันจะดึงกลับบ้านเก่าล่ะ...
ไอ้นี่ก็รั้งเอาไว้ เพราะความตั้งใจ เห็นแระโทษภัย ไม่ได้...ถ้าไม่ฝืนมันเหมือนคนติดยาอ่ะ ถ้าไม่บังคับตัวเองให้มันพ้นๆ จุดๆ นึงไปเนี่ยะ ก็ไม่มีทางพ้นการติดยาไปได้
แต่จนกระทั่งมันเริ่มขยับ
แล้วมันก็เริ่มขยับ จังหวะนี้เองถ้าเราตรวจสอบดู
ตรงนี้ ก็นั่งกันดูสง่าผ่าเผยหลังตรง
พอกลับไปถึงห้องนอนก็...โอ้ย... ก็จะลงเลย...โอย
มันจะกลับไปที่เดิมก่อน พอถึงตรงนี้ก็ ฮึดขึ้นมาใหม่...
มันจะเริ่มมีสองคน มันจะกลายเป็นคนสองบุคลิกอยู่
ตรงนี้ก็ดูเนี้ยบเนียน เดินสง่า นุ่มนวล ถึงห้อง...โอ้ย โอ้ยอย่างนี้ว้า
อะไรอย่างนี้น่ะ ก็ยังเป็นสองคนอยู่... ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เพราะฉะนั้นให้เข้าใจความจริงว่า เรากำลังฝึก เรากำลังฝืน
อย่างนี้ก็มีเจตนาในการทำสิ?...มีเจตนาแน่
โอ้ย อย่างนี้ก็ยังพยายาม?...
โอ้ย ถ้าไม่พยายามอ่ะ กลับไปนานแล้ว เน้อะ
ต้องเข้าใจให้ถูกนะว่า ตรงไหนคือตรงไหน
เดี๋ยวจะให้ดูว่าตรงไหนที่ไม่ต้องมีความพยายาม
ถ้าตรงนี้ไม่่มีนะ .... ล้างสัญชาตญาณไม่อยู่นะ
เพราะสิ่งนี้สั่งสมมานานนะ
โอ้ย...อยากไปทำบุญ
ทำไมไม่อยากไปทำบุญล่ะ
อยากไปทำบุญก็เป็นอยากสิ เป็นโลภะ...
......
ขอโทษ!! ยังติดอยู่ในฝั่งปุถุชนอยู่เลย
ถ้าไม่อยากทำกุศลนะเสร็จนะ มันจะดึงไม่ขึ้นนะ !!!
จนกว่าโน่นแหล่ะ เห็นกุศลเป็นปกติ แล้วปล่อยกุศล แต่ไม่เลิกทำกุศล แล้วค่อยมาคุยกัน
วันนี้พวกเราเนี่ยพวกเราฟังธรรมแล้ว ฟังแล้วมั่ว
ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน เอาธรรมที่ฟังเนี่ยะมาปนกับชีวิตตัวเองหมด
แต่ละระดับ คนพูดพูดให้คนในระดับของตัวเองฟัง แล้วเราอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
ครูบาอาจารย์บอกว่า...พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดาถามพระองค์ว่า...
พระองค์ข้ามโอฆะแห่งวัฎฎะสงสารหรือว่ากิเลส โลภ โกรธ หลง ได้ยังไง?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตไม่พักและก็ไม่เพียร...
แต่ไม่ใช่ที่จุดนี้ จุดนี้ยังปุถุชนเลย
จุดที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง...เดี๋ยวจะไปถึง
แต่ตอนนี้ถ้าไม่พักไม่เพียรนี่ไหลกลับเลยนะ ...ไหลกลับเลยนะ !!
เหมือนคนขี่จักรยานตอนเริ่มต้น ต้องใช้กำลังมากนะ
แต่จุดที่พระพุทธเจ้าพูดถึง คือจุดที่จักรยานมันเพลนแล้วนะ
แล้วมันก็วิ่งไปด้วยความเร็วของมันแล้ว
ตอนนั้นไม่ถึบมันก็ไป ถีบมันก็ไปนะ... ไม่พักและก็ไม่เพียรด้วย
ไม่ต้องพยายามที่จะถีบและก็ไม่ต้องหยุดถีบ
แต่มันเป็นจุดที่เข้าสู่สมดุลที่สุดแล้ว อันนั้นคือจุดๆ นั้น
แต่ตอนนี้ยังไม่ถึง !!! ตรงนี้ยังต้องใช้กำลังลากสัญชาตญาณอยู่เลย
เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่เป็นยังไงล่ะ มันทำตาม... อัตโนมัติเลย
โทรศัพท์ดังกรี๊ง...หันควับ
เดินจงกรมอยู่มีคนเดินเข้ามา เข้ามา เค้าก็เดิน เราก็เดินเนี่ย เดินเข้าไปทางเดียวกัน
...ในใจเป็นยังไงล่ะ...
เฮ่...ไอ้นี่แปลกเว้ย ทางของฉันยังเข้ามาอีก เฮ้อ...เห็นๆ อยู่ว่าเราเดินอยู่
เป็นยังไงล่ะ ดีตายล่ะข้างในอ่ะ .นิดนึงมันก็ขึ้น
มีคนมานั่งอาสนะเราเนี่ยะเดินเข้ามา
เอ๊อ !! อาสนะมีตั้งเยอะดันมานั่งอาสนะกู เอ้อ...ไอ้นี่ เลยต้องนั่งข้างหลังเลย
นั่น...อย่านี้หรอ ไม่พักไม่เพียร
อย่างนี้เพียรให้หนักเลย !! เพียรถอนมันให้หนักเลยจะบอกให้
พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่า ความเพียรอันถูกต้อง สัมมาวายามะ มรรคองค์ที่ 6 เนี่ย
ละอกุศลเข้าไป ละเอาไว้ อกุศลยังเต็มไปหมดเลย
เพราะจิตสั่งสมสัญชาตญาณที่มีแต่เอาตัวรอด มีแต่เห็นแก่ตัว
ชีวิตนี้มีแต่อะไรทำให้ผู้อื่นบ้างลองถามต้ัวเอง มันมีแต่ทำเข้ากระเป๋าตัวเอง
ไปทำงานได้เงินเดือนมา ก็กินของตัวเอง...
เอ้า ไม่กินเองแล้วกินกะใคร่ล่ะ เออ,
ก็ฉันทำของฉันก็ชอบธรรมในการกินอยู่แล้ว ก็เงินของฉันอ่ะ...
นี่ไง เริ่มต้นคิดมันก็ผิดหมดแล้วอ่ะ แล้วมันจะไม่ทุกข์ได้ยังไง
วันนี้มันถึงได้หน้าแห้งไปหมด
ย้ายยิ้มไม่เห็นได้เงินเดือนเลย มีแต่ความสุข
แต่ของเรายิ่งทำงาน ยิ่งได้เงินเท่าไหร่ มันยิ่งทุกข์ไม่มีอะไรเหมือน มันมิจฉาฯ ตั้งแต่ต้นแล้ว
อะไรก็ทำเข้ากู เข้ากู พวกกู เข้าของกู มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์
วันนี้ไม่เข้าใจหรอก แต่ปฏิบัติไปแล้วจะเข้าใจ
งั้นวันนี้กว่าจะฝืนทุกอย่างได้ โลกใบนี้มันแปลก แปลกคือทุกอย่างที่เราเข้าใจมันผิดหมด
ความถูกต้องในความเข้าใจดันสวนทางกันหมดกับการที่เรารู้สึกหมดเลย
แล้วมันเป็นอย่างนั้นด้วย
หยุดคิดถึงจะรู้... ( คิดขนาดนี้มันยังไม่รู้เลย )
ก็ใช่ยิ่งคิดมันก็ยิ่งไม่รู้ไง... ( เอ๊ อะไร? พูดแปลกๆ )
หยุดคิดอ่ะจะรู้... ( หยุดคิดจะรู้ได้ยังไง? คิดยังไม่รู้เลย! )
ก็คิดมันก็อยู่ในฟอง ฟองแชมพูอยู่นั่น... มันจะไปรู้ได้ไง !!
มันก็หลงเดินออกไปจากความจริงไปเรื่อยๆ
พอหยุดพลั๊วะ. !! ..มันก็กลับมาอยู่ที่ความจริง
ธรรมะทั้งหมดที่ผมพูดไปเนี่ย มันเข้าไปไม่ถึงใจท่านนะ
เพราะท่านคิดตลอด ผมพูดไปท่านก็คิด ผมพูดไปท่านก็คิด ผมพูดไปท่านก็คิด...
มันเลยไปติดอยู่ที่ฟองแชมพูกันหมดน่ะ
มันเหมือนว่าท่านมีคนๆ นึงกำลังสระผม แล้วฟองเยอะๆ เนี่ยะ
แต่ผมต้องการให้ครีมของผมเข้าไปให้เข้าถึงหนังหัวเค้า
เพื่อมันจะได้ซึมเข้าไปเลยเนี่ย ได้งายได้เนี่ย ...ตอนนี้ติดอยู่ที่ฟองหมด
เพราะท่านคิดเอาหมด ใส่เข้าไปติดอยู่ที่ฟองหมดเลย
เหมือนมีผงไปติดอยู่ที่ฟองหมด ไม่ถึงหนังไม่ถึงหัวเลย
หยุดคิดสิ !! หยุดคิดแล้วใช้จิตสัมผัส แล้วให้เห็นความจริง
คิดปั๊บ...มันไปอยู่ที่คิด
คิดปั๊บ...มันไปอยู่ที่คิดหมดน่ะ
กลับไปก็คิดมันก็หายไป เพราะคิดมันไม่ใช่ของจริง มันก็เลยใช้จำเอา
แล้วออกไปก็ มันไม่ impact เข้าไปที่...ปั้ง !!แล้วมันก็เกิดรู้แจ้งขึ้นมา
มัน impact ที่นี่(จิต) แล้วรู้แจ้งที่นี่ (จิต) ... มันไม่ได้ impact ที่ฟองแชมพู
วันไหนที่คนภาวนาไปเยอะๆ จนมันเอาฟองแชมพูออก... มันปั้บเข้าไปนี่ มันถึง...
เอ..ทำไมฟังคราวก่อนกับฟังคราวนี้ ก็พูดเหมือนกันเนี่ย
ทำไมคราวก่อนมันไม่เข้าใจแบบนี้ ? ทำไมคราวนี้มัน...
เพราะฟองแชมพูมันลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหมด
หมดก็เริ่ม... มันก็ต่อสายตรงเลย
ซักพักเดียวมันเห็นข้างใน ฟังข้างนอก เห็นข้างใน ฟังข้างนอก
จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน...ปั้งง !! ขึ้นมา
แต่ถ้าอยู่ตรงเนี้ยะ( สมอง) ...ไม่มีน่ะ คิดเอาเรื่อยๆ คิด
ท่านไม่ได้เชื่อผมหรอก
ท่านก็ไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้าด้วย
แต่ท่านเชื่อความคิดตัวเอง
ใครพูดอะไร...ท่านก็คิด, ใครพูดอะไร...ท่านก็คิด...
อืม อันนี้จริง อันนี้ไม่จริง อันนี้ฉันเห็นด้วย เออจริงด้วย อืมแต่ว่าฉันไม่ใช่อ่ะ...
มันอยู่แค่นี้แหล่ะ มันจึงไม่เคยเข้าไปที่นี่ (ใจ) เลย
เพราะมันอยู่ที่ ใครก็ไม่รู้ที่กำลังพูดอยู่นั่นอ่ะ...
"โมหะ .........โมหะ"
หลังจากนั้นพอเริ่มฝืนก็เข้าสู่...
จะเห็นว่า... เอ๊ะ เที่ยวนี้ เงาเริ่มค่อยๆ ถอยหลังกลับละ
จากครั้งแรกๆ ท่านเริ่มฝืนน่าดู มาถึง โอ้โหตั้งหน้าตั้งตานั่งดูลมหายใจนี่ เพ่ง เกร็งตัวแข็ง
จากนั้นค่อยๆ ขยับเข้า ความตั้งใจเริ่มลดลง
อ้า ตั้งใจไม่ดีหรอ มากไปหรอ... กลายเป็นเพ่งไปเลย
จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยกลับ แล้วค่อยๆ เข้าสู่สมดุลได้
มันก็เริ่มขยับ
ตอนนี้ ใครมาเข้าคอร์สหลายๆ ครั้งเข้า ก็ไม่เห็นรู้สึกเบื่อ ไม่เห็นรู้สึกอะไร
พูดอะไรเรื่องเบื่อ...โอ้ย มีความสุขจะตาย อยู่บ้านเครียดน่าดู
มาเนี่ย โอ้โห...มันโล่งไปหมด เดินๆ โอ้ย... สบายจริง
มีความสุขจริงๆ กลัวจะถึงวันสุดท้ายด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าสู่... ไม่ได้มีความฝืนแล้ว
เพราะฉะนั้นเจตนาที่จะรั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องมีมากแล้ว ก็ค่อยๆ เข้าสู่ ปล่อยๆ ปล่อยๆ
มันก็เริ่มขยับเข้า ขยับเข้า
ถึงตรงนี้ เริ่มเห็นธรรมละ เริ่มเห็นความจริงล่ะ เริ่มเห็นความจริง
จนกระทั่งถึงที่สุดแห่งทุกข์คือ เป็นเนื้อแท้เลย ถ้าอย่างนี้อ่ะ ไม่พักและก็ไม่เพียร
ถ้าตรงนี้เนี่ย ยังมีความเพียร เพราะฉะนั้นไม่จบ
ถ้าถึงตรงนี้แล้วยังเพียรอยู่...ไม่จบ
ในคืนที่พระอานนท์ เป็นคืนก่อนที่จะเข้าสู่พิธีสังคายนา
พระอานนท์เดินจงกรมนั่งสมาธิตลอดเลย
เพราะว่ามีพระอรหันต์ 499 รูป รอจะทำสังคายนาอยู่ พระอานนท์ยังเป็นพระโสดาบันในคืนนั้น
ก็แน่นอนล่ะเหมือนคืนนี้ วันพรุ่งนี้เนี่ยจะมีพิธีสังคายนา
แล้วคืนนี้ท่านเป็นพระโสดาบัน คืนนี้ท่านต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้...
มันจะกดดันขนาดไหนล่ะ หรือว่าคืนนี้จะเป็นพระโสดาบันดี ( หัวเราะ )
กดดันมากนะ เพราะมีมหาสาวกนั่งรอกันอยู่ 499
เราเป็นพระโสดาบันคนเดียว ต้องเป็นพระอรหันต์ให้ได้...
โอ้โห แล้วอะไรจะสั่งได้ล่ะ...ใช่มั้ย?
ท่านเดินจงกรมนั่งสมาธิทั้งคืนเลย ก็อยู่ท่านี้ล่ะ
ไปไม่ไหวละ !! คือหมดแรงละ
พระอานนท์ก็พักแระ สำเร็จไม่สำเร็จไม่เอาละ ไม่เอาแล้ว! ไม่เอาแล้ว!
ตลอดคืนน่ะ จะเอาให้ได้ มันก็เลยไม่สนิทซักที...โอ้ยยย มันไม่เอา
วินาทีที่ความสมดุลมันเกิดขึ้นอ่ะ ด้วยการปล่อยเจตนา แล้วก็เอนตัวลงนอน
มัน...ปั๊บ ตรงนี้พอดี
ตรงนี้ล่ะ...ไม่พักและก็ไม่เพียร
เมื่อเพียรจะขยับ มันจะเข้าไป ถึงตรงนี้ก็สลัดคืน พลั้วะ !! ...เห็นธรรมเลย นะ...จบ
เอาล่ะสภาพจริงๆ ก็... ที่จะให้รู้ ไม่ใช่ให้มารู้ตรงนี้หรอกน่ะ ตรงนี้เป็นเรื่องของข้างหน้า
แต่ที่ต้องการก็คือเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ อย่างเนี่ยะ
ที่เราต้องมาทำมาใช้ความเพียรกันล่ะ เพื่อจะลากสิ่งนี้กลับขึ้นมาให้ได้
จำไว้อย่างนึงว่า ถ้าเราลากแล้วเราเลิก มันจะกลับ
แต่ถ้าเราไม่เลิกมันจะมา...
ท่านอย่าคิดว่า โอ้ย...ทำมาตั้งนานแล้ว ป่านนี้ก็ยังไม่เห็นอะไรซักทีเลย...
ทำไม่พอ !!! อย่ามัวคร่ำครวญ !!!
ขันธ์พวกนี้ ไม่ได้มาใจดีขึ้น เพราะว่าท่านคร่ำครวญ แล้วเห็นอกเห็นใจท่าน...ไม่มี!!
สมัยพุทธกาลก็มีนะ พระที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ปฏิบัติมา 30 ปี เดินจงกรมนั่งสมาธิมาตลอด 30 ปี ไม่สำเร็จ ไม่บรรลุ
เหมือนเดิม ทำอะไรก็อยู่แค่นั้น จนเข้าทรุด เดินจนเข่าทรุด
กอดเสาไว้ แล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้
นางฟ้าอยู่แถวนั้นก็เห็นใจท่าน ก็แปลงกายมาเป็นมนุษย์ แล้วก็นั่งร้องไห้เป็นเพื่อน
ร้องๆ ร้องเป็นเพื่อน พระก็หันมา...
เอ้า มาร้องไห้อยู่ทำไม
ก็เห็นท่านร้องไห้ ก็เลยจะนั่งร้องไห้เป็นเพื่อน คิดว่าถ้าร้องไห้แล้วเผื่อจะได้มรรคผลนิพพานบ้าง
โพล่งขึ้นมาเลย !!
ใช่ ! ไม่มีอะไร
เผื่อร้องไห้แล้วจะได้มรรคผลนิพพานอย่างท่านบ้าง
เลยมีแรงขึ้นมาเลย ทำต่อ... รู้สึกว่าท่านก็เลยบรรลุไป
ไม่มีน่ะ ...คร่ำครวญ ร้องไปเผื่อใครจะมาเห็น เห็นอกเห็นใจ...ไม่มีนะ
ไอ้นั่นยังมีตัวตนบานไปหมด
ไม่มีล่ะ ไม่มีคนนั่งดู ไม่มีอะไรทั้งนั่นน่ะ คร่ำครวญก็ไม่รู้จคร่ำครวญให้ใคร
วันนี้เรานั่งบ่นๆ บ่นก็เพราะว่า อยากให้คนมาเห็นใจ
โอ้ยทำขนาดนี้แล้วยังไม่เห็นคุณงามความดีกันบ้าง
โอ้ย พวกนี้ตัวตนทั้งนั้น บานเบอะ อีกนานเลยอ่ะ ถ้าอย่างนี้
ละไปเถอะ !! ไอ้คร่ำครวญเนี่ยะ
ละไปเลย !! อีกนานถ้าอย่างเนี่ยะ
มันต้องแกล้วกล้าอาจหาญ ถ้าเข้าไปอยู่แถวนี้...ไม่มีแล้วไอ้เสียงพวกนั้น นะ
มีแต่...โอ้ย พักก่อน ทำต่อ
มีเกียร์ว่างกับเกียร์เดินหน้า ไม่มีเกียร์ถอยหลัง ไม่มีเกียร์ถอยหลัง
อ่ะนะ ก็ฝากเรื่องนี้ "แรงเงา" เอาไว้
วันนี้ท่านจะได้รู้ว่า ต้องตั้งใจ...
บางคนนะ ฉันพยายามแล้ว พยายาม พยายาม...พูดไม่ได้ ไม่มีอ่ะ
ไม่พยายามแล้วจะเข้าไปตรงนี้ได้ยังไง
มันฟังกันผิดที่หมดวันนี้ แล้วก็ตีความกันหมด
ฉันอยากไปทำบุญนะ เฮ้ย...อยาก ?
อยากไปเหอะ ดีกว่าอยากไปทำบาป
จนกระทั่งมันเข้าใจเรื่องบุญน่ะ จนกระทั่งมันเข้าใจเรื่องกุศลน่ะ แล้วจิตมันจะปล่อยเอง
อยากไปเลย อยากสวนมันเลย...
วันนี้มันต้องมีเจตนาสวนกัน
ไม่งั้น...เอ้า เจตนาเป็นเรื่องไม่ดี
แล้วพระพุทธเจ้าจะบอกทำไม ในมรรคในองค์ที่ 3 ที่ 4...เจตนาเป็นเครื่องเว้น
โอ; มันไม่ใช่ทุกคนเข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี จะเป็นพระอรหันต์กันหมดซะเมื่อไหร่อ่ะ
ตอนนี้ ถ้าท่านเป็นพระอนาคามีจะเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์อย่างนั้นอ่ะ...
ไม่พักแล้วก็ไม่เพียร เพราะมันจ่ออีกนิดเดียว
ขนาดพระอนาคามียังต้องเพียรเลย !!!
เพียรจนกระทั่งไปถึงปลายๆ โน่นล่ะ ถึงจะไม่พักไม่เพียร
วันนี้ปฏิบัติก็จะได้เข้าใจ
เข้าใจ เพราะคนที่ฟังอาจจะไม่ได้อยู่แค่ตรงนี้นะครับ
มีนักปฏิบัติหรือว่ามีผู้ที่เข้ามาสนใจนั่งดู DVD ชุดนี้อีก
แล้วเราก็ได้ยินข้อมูลเหล่านี้มา เราก็ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่ายังไงกันแน่
ไม่งั้นจะมีสัมมาวายามะไปทำไม
ความเพียรน่ะ อันถูกต้อง แล้วไม่เพียรจะพ้นอกุศล
จะพ้นสัญชาตญาณนี้ไปได้ยังไง สั่งสมมาแค่ไหนก็รู้
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า หากเอามุมไหนก็ได้ตั้งแต่
เลือดที่คอ น้ำตาตาที่ไหล น้ำนมที่ดื่ม
ท่านบอกเลยว่าถ้าเอามารวมกันตั้งแต่ชาติแรกเนี่ย มหาสมุทรก็รับไว้ไม่ไหวแล้ว
ให้รู้เลยว่าเราสั่งสมมานานแค่ไหน
ท่านบอกว่าหากเอาน้ำตาตั้งแต่ชาติแรกมาจนถึงปัจจุบัน
เอามารวมกัน มหาสมุทรยังรับไว้ไม่ได้เลยแต่ละคน
แล้วชาตินี้ท่านร้องไห้เท่าไหร่ล่ะ ผมว่าขันนึงไม่รู้จะถึงหรือเปล่า
บางคนบอกว่า ของหนูเกิน
ก็โอ้ เยอะเหมือนกันนะนั่นอ่ะ ถ้างั้น
ของผม ผมว่าขันนึงผมรวมไม่ถึงอ่ะ
ของเค้าบอกว่า ของเค้าน่าจะได้กะละมัง เอาละ กะละมังก็เอาล่ะ...
แต่กะละมังเป็นมหาสมุทรนี่ก็ไม่หมูล่ะ มันจะนานขนาดไหนล่ะ
แล้วพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสอะไรเล่นๆ
คือท่านเห็นมาจน โอ่โห มันยาวนานจนหาต้นไม่ได้
ไอ้หาต้นไม่ได้นี่ยังพอ..... และปลายอยู่ที่ไหนเนี่ย ไม่มีน่ะ
เพราะท่านสร้างเหตุเกิดตลอดนะ... ท่านสร้างเหตุเกิตตลอด
เดี๋ยวจะไปดูกันว่ามันสร้างเหตุเกิดยังไง?
เอาล่ะ เราจบเรื่องสัญชาตญาณไป เราพาไปรับประทานอะไรกันหน่อย
เป็นมือเช้าที่น่าทานทีเดียว กำลังหิวๆ มาตั้งแต่ ศีล 8
แต่อันนี้จะดูจะรสจัดไปนิดนึงสำหรับภาคเช้านะ
แต่เห็นแล้วก็อดน้ำลายไหลไม่ไหว เพราะนี่รู้สึกจะหน้าตาจะมะนาวนำอยู่
บีบมะนาวลงไป แล้วโขลกกุ้งแห้งไปหนอย โอ้ย...นะ
ตำพริกโขลก ครกๆ ครกๆ ลงไปอีกหน่อยเนอะ แล้วก็เอามาแตะๆ ลิ้น เพื่อที่ชิม
โอ้ย...ทีนี้น้ำลายมันไหลออกมา ข้างลิ้น นะ เปรี้ยว เปรี้ยวไปนิดนึงอ่ะ
ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป แล้วตำใหม่อีกที
หลายคนไม่ไหวแล้ว เช็ดน้ำลายแล้วนะ ข้างหลัง ( หัวเราะ ) ทนไม่ไหวแล้ว เช็ดน้ำลายล่ะ
สื่อนี้หลายท่านก็เห็นแล้ว
แต่สื่อนี้... ดูดีๆ นะ ผมจะชี้ความจริงให้เห็นล่ะ
ภาพที่ท่านเห็น มันทำให้เราอยากกิน
ทั้งๆ ที่เรารู้ว่า ภาพนี้เป็นภาพ ....ไม่ใช่ไก่จริงๆ
ถ้าเราซื้อไก่จริงๆ มาตั้ง แล้วเราเห็นไก่จริงๆ
มันก็คงไม่แปลกที่เราจะน้ำลายไหล เราก็รู้สึกอย่างนั้น
ถ้าสมมติว่านี่เป็นถาด แล้วก็มีไก่ตั้งอยู่
ถ้าท่านเห็นไก่ที่อยู่ในถาดอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่ในนั้น (ในภาพ)
ไก่อยู่ที่มือผมจริงๆ เป็นไก่ย่างหน้าตาแบบเดียวกัน แล้วน้ำลายไหล
ก็รู้สึกว่า...โอเคน่ะ เพราะมันเห็นไก่ย่างมันน่ากิน
แต่ถ้าผมเก็บไก่ย่างที่มือผม .....แล้วเปลี่ยนมาเป็นขึ้นจอ
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นภาพ มันไม่ใช่ของจริง แต่เราก็น้ำลายไหล
เราจะมาเริ่มอธิบายที่จุดนี้ก่อนว่าทำไม?
ให้ทุกคนมองมาที่ขวดน้ำนี้นะครับ เห็นขวดน้ำนะครับ...เห็น
ท่านเห็นขวดน้ำนี้ได้ เพราะมีแสงมากระทบขวดน้ำ แล้วสะท้อนกลับไปเข้าไปในตาท่าน
ถ้าปิดไฟในห้องนี้หมด...พรึ่บ !!! ขวดน้ำอยู่ที่เดิม แต่ท่านไม่เห็น
แสดงว่า ไม่ใช่ว่าขวดน้ำเข้าไปอยู่ในตา
เพราะว่าถ้าขวดน้ำเข้าไปอยู่ในตาของแต่ละคน คงต้องใช้ขวดน้ำเยอะมาก
แต่ท่านเพียงแต่เห็นแสงสะท้อนเท่านั้นเอง
ดังนั้ันสิ่งที่ท่านกำลังเห็นอยู่ตอนนี้คือแสง ไม่ใช่ขวด
แต่ด้วยความถี่ของแสง มีอะไรซักอย่างหนึ่งมาแปลค่าสิ่งที่กระทบเข้าไปในตาแล้วบอกว่านี่คือ ขวด
เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ ต่อให้ท่านจะพยายามสังเกตสิ่งที่ผมพูดยังไงท่านก็ไม่เจอ
เพราะกระบวนการทำงานของมัน รวดเร็วและก็ซับซ็อน
แล้วท่านอยู่กับมันมาตั้งแต่เกิด จึงไม่มีวันที่จะไปเข้าใจมันได้
นอกจากต้องทรงฌานจริงๆ ถึงจะไปแยกแยะ
พอทรงฌานแล้วเห็นทุกอย่าง slow motion ลง แล้วเห็น details details
จ้องลงไป เพ่งเข้าไป มันแตก แตกออก แตกออก จนกระทั่งเป็นชิ้นๆ
อันนั้นต้องอาศัยฌานที่นิ่งจริงๆ
แต่ในกระบวนการที่เรา 1 วินาที คือ 1 วินาทีที่ติ๊กๆ ติ๊กๆ ไปเรื่อยๆเนี่ยะ
ท่านไม่มีทางที่จะเห็นมัน
เพราะฉะนั้น เราจะแค่ทำความเข้าใจในระดับความคิด จินตนาการ
พระพุทธเจ้าถึงใช้คำว่า “จินตามยปัญญา” ซึ่งยังจำเป็นอยู่
เพราะภาวนา... ถ้าไม่เห็นก็ต้องกลับมาระดับจินตามนปัญญา
คือจินตนาการตามผมไปเรื่อยๆ สิ่งที่ผมจะพูดให้ฟัง
ตกลงท่านไม่ได้เอาขวดเข้าไปในตา ท่านแค่เห็นแสง
ถ้าผมเอาไก่ย่างมาถืออยู่ ท่านเห็นแสงหรือว่าไก่ย่าง?...แสง
แล้วนี่ (ภาพไก่ย่าง) ก็เหมือนกัน นี่แสงหรือไก่ย่าง?...แสง
ของจริง ท่านก็เห็นแสง
ของไม่จริงคือภาพ ท่านก็เห็นแสง
นี่คือสาเหตุที่ทำไมมันถึงแปลค่าออกมาเหมือนกัน
เพราะมันแปลจากแสงในตา มันแปลจากแสงในตา มันไม่ได้มาแปลที่ตัวนี้
เค้าเรียก “อายตนภายนอก”
ตาของท่านคือ “อายตนภายใน”
เมื่ออายตนภายนอกกระทบกับอายตนภายใน เกิดจักขุวิญญาณขึ้นมาแปลค่า
3 อย่างรวมกันเรียกว่า “ผัสสะ”
มันจึงเริ่มการกระทบ แล้วก็กระบวนการภายในของท่านเริ่มทำงาน
พอเกิดผัสสะกระทบทางตาเรียกว่า “จักขุผัสสะ”
เมื่อผัสสะเกิดขึ้น ก็จะมีวิญญาณแปลค่า
จึงเกิดเป็นอารมณ์ ชอบ ไม่ชอบ ต่อไปเรื่อยๆ ยาวออกไปเลย
เราจะมาดู... ดูสื่อตัวอย่างนี้ก่อน
“The Kissing Test (Lip Balm)”
เอาล่ะนะครับก็เป็นการทดสอบ Lip Balm ในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง
โดยอาศัยผู้คนที่เดินไปเดินมา สาวๆ เป็นอาสาสมัครให้เข้ามาทดสอบ
เค้าก็บอกว่าในการทดสอบเค้าก็จะมี โรเจอร์ แอนด์ แม็กซ์ ที่จะเข้ามาช่วยทำการทดสอบด้วย
คุณจะมีปัญหามั้ย ถ้าจะต้องจูบกับนายแบบ 2 คนนั้น...
คำตอบ...ไม่มีปัญหา ดีซะด้วย ก็หล่อออกปานนี้นะ ก็คงไม่มีปัญญหาอยู่แล้ว
เอาล่ะเราจะมาหยุดตรงนี้กันซักแป๊ปนึงก่อน...
ผมจะถามว่า ผู้หญิงคนนี้ ตอนนี้จูบกับใครอยู่ครับ
จูบกับใครคร้บ?...จูบกับนายแบบ
ผู้หญิงคนนี้กำลังจูบกับนายแบบ บางคนก็บอกว่าจูบกับลิง
เชื่อผมเถอะว่า ถ้าเค้าจูบกับลิงน่ะ เค้ากระเด้งออกนานแล้ว
ขนาดเราเห็นเรายังจึ๊กกะดึ๋ย แทน
ถ้าเค้าจูบเอง แล้วเค้ารู้ว่าจูบกับลิงเนี่ย กระโดดออกแล้ว
แต่เค้าจูบอย่างดูดดื่มเพราะเค้ากำลังจูบกับนายแบบ
นายแบบอยู่ที่ไหน?...อยู่ในใจ ท่านบอกว่านายแบบอยู่ในใจ
เอาล่ะ... ทำมือให้เหมือนปากลิงตรงนี้เลย ทำมือให้เหมือนปากลิงนะครับ
กล้องจับคนนั่งดูหน่อย ทำมือให้เหมือนปากลิง แล้วเอาไปแปะไว้ที่ปาก เอาไปแปะไว้ที่ปาก
ผู้ชมทางบ้านทำตามนะครับ แปะไว้ที่ปาก .....แปะไว้นะ
ขณะนี้ความรู้สึกของท่าน มีแค่นี้ ถูกมั้ยครับ? ที่แปะอยู่นี้
ท่านมีความรู้สึกเซ็กซี่ เหมือนได้จูบนายแบบ หรือขยะแขยงเหมือนจูบกับลิงมั้ย?...ไม่มี !!
ก็...ก็มันก็แปะๆ แค่นี้ อย่าไปสนใจว่า มือท่าน ปากท่านนะ !!
เอาความรู้สึกอย่างเดียวนะ เอาความรู้สึกอย่างเดียว อาจจะเย็นด้วยซ้ำ...มือท่านเย็น
ย้อนกลับมาที่นี่
สิ่งที่สัมผัสผู้หญิงคนนี้ทั้งหมดมีเท่าที่ท่านมีตอนนี้ ... มีเท่ากัน !!!
มันเป็นนายแบบได้ยังไง ?
ถามตัวเองเลยว่า มันเป็นนายแบบได้ยังไง ในเมื่อมันมีเท่ากันเราตอนนี้
ทางธรรมะเรียกสิ่งนี้ว่า “โผฏฐัพพะ”
แตะไว้นะครับ แตะไว้!!!
เพราะผมจะลากเรื่องนี้อย่างเดียวเลยนะ ชี้ให้เห็นเลย
สภาพของท่านตอนนี้ ไม่มีการปรุ่งแต่งขึ้นมาเป็นตัวตนบุคคลเราเขา
มีแต่สัมผัสเฉยๆ แต่สัมผัสเดียวกันนี้ ที่เกิดที่ผู้หญิงคนนี้
มันถูกปรุงแต่งขึ้นมาเป็นนายแบบ แล้วเค้าก็กำลังจูบอย่างดูดดื่มได้ยังไง?
นี่แหล่ะที่เรียกว่า “การปรุงแต่ง” ล่ะ
แล้วมนุษย์โลกทั้ง 7 พันล้านคนคุ้นกับสิ่งนี้มาตั้งแต่เกิด จึงไม่รู้จักมัน
สถาพที่ท่านทำอยู่แล้วมันไม่มีการปรุงแต่ง
ท่านทราบมั้ยว่าสภาพนี้เข้าไปใกล้นิพพานมาก
จับดูให้คุ้นเลยว่า ถ้าหยุดการปรุงแต่งมีแค่นี้เอง (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก)
มันจะไม่เกิดเป็นอารมณ์แน่ๆ แล้วมันจะไม่ถูกหลอก
แต่คนๆ นี้ (หญิงที่กำลังจูบกับลิง) ถูกหลอก เพราะเค้าไปสร้างภาพขึ้นมาข้างในคู่ขนานตามกันไป
มนุษย์ในโลก 7 พันล้านคนหลงเข้าไปอยู่ในสิ่งนี้ จึงไม่เห็นความจริง นึกออกหรือยัง ?
ถ้าไม่มีสิ่งนี้ จะเท่ากับท่านตอนนี้ (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก) ท่านเข้าไปใกล้พระอรหันต์
แต่ผู้หญิงคนนี้คือปุถุชน แต่นี่เป็นเรื่องชั่วคราว
เพราะท่านออกไปเห็นอาหารข้างล่างปั๊บ...ท่านจะปรุงทันที
ท่านจะกลับไปสู่สิ่งนี้อีก .... เหมือนคนนี้
และสภาพนี้ ( ไม่ปรุงแต่ง ) เป็นสภาพที่เราไม่คุ้น
เมื่อมันหยุดการปรุงแต่ง มันจะไม่เกิดเป็นอารมณ์
พระอรหันต์เป็นผู้ไม่มีอารมณ์
ท่านจึงบอกว่า หลังจากนี้ ถ้าท่านดูหนังดูละคร (เอามือลงด้วยครับ) ก็ไม่สนุกอ่ะสิ...!!
จะไปสนุกยังไง เพราะมันผัสสะกระทบทางตาแล้วไม่เกิดเป็นอารมณ์ ไม่มีการปรุงแต่งภายในเลย
ผมถึงบอกว่า วันนี้ต่อให้ท่านรู้ความจริงท่านก็ไม่เอา
ถึงได้บอกว่า เด็กขี่จักรยานเนี่ย มันไม่ยอมอยู่ในบ้านหรอก ทั้งที่ในบ้านมันมีความสุขกว่า
จนกว่าวันนึงมันจะเข้ามาคุ้นจริงๆ
มันสงบลงไปจริงๆ มันเห็นประโยชน์จริงๆ มันถึงยอมปล่อยของเก่า
มรรคมีองค์แปดเป็นกระบวนทำงานอย่างเป็นประบบและมีรูปแบบมากนะครับ
เริ่มต้นจากให้จิตเข้าไปคุ้นกับความสงบในสัมมาสมาธิ
เริ่มต้นจากปฐมฌานเข้าไปเรื่อยๆ จิตจะเริ่ม...
มันจะเหมือนเด็กขี่จักรยานแล้วก็เข้าไปอยู่ในบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นเด็กจะค่อยๆ ปล่อยทางฝั่งอกุศล
แล้วเข้าไปอยูทางฝั่งกุศลที่เป็นความสงบมากขึ้น
เมื่อคุ้นเคยกับความสงบมากขึ้นๆ เรื่อยๆ
เค้าจะเอนเปลีjยนทางแล้วมาติดที่ความสงบแทน
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า สุขที่ไม่ควรกลัวคือสุขในฌาน
สุขที่ควรกลัว คือ สุขในกามสุขทั้งหลาย ซึ่งเป็นสุขร้อนอย่างที่พวกเราชอบกันนั่นล่ะ
เป็นสุขในกามสุข ซึ่งเป็นของเปล่าๆ ปลี้ๆ เป็นของไร้สาระ
มีอะไรที่ท่านดูแล้วสนุกแล้วม้นอยู่ค้างอยู่อย่างนั้น
ไปดูคอนเสิร์ตเสียไปซัก 3 พัน 5 พัน 2 ชั่วโมงอ่ะ ออกมา
ที่พูดกันทั้งหมด คือ การเลียซากที่ไม่มีของจริง
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันเหมือนต่อมน้ำ ตุ๋ม !! ...แล้วก็หายไปเลย
กามสุขทั้งหลายเหมือนต่อมน้ำ
เหมือนของในฝัน
เดินออกมาจากห้างฯ เดินออกมาจากคอมเสิร์ตจริงๆ เนี่ย
วินาทีนั้นลองถามตัวเองสิ !! เมื่อกี้เหมือนฝันไปเลย
เงินหลุดมือไปแล้ว 5 พัน เหมือนฝันไปเลย ไปเย้ว ๆ แป๊บ...หมดไปแล้ว 5 พัน
แล้วก็มนุษย์โลกหมดไปกับอย่างนี้ แล้วก็ไปหมดข้างหน้าต่อ
เอาของยัดใส่ลิ้นเข้าไป แล้วก็บอกว่า อร่อย แพง ยอมจ่าย
เดินออกมาจากร้านปุ๊บ...หมดไปอีก 3 พัน เหมือนของในฝันเลย
ขี้ออกมาเท่าเดิมเลย ไม่มี 5 พันแล้ว !!
มันหอมกว่าหรือว่าสีสวยกว่า...ไม่มีเลย
เป็นธาตุดินออกมาเท่ากันเลย
แล้วก็ปะทะของในฝันเนี่ย เดินจ่ายของในฝันเนี่ย จ่ายแต่ของในฝันเนี่ย
ทำมาห่ากินเนี่ย ไม่ใช่ทำมาหากิน
ทุกวันนี้ ทำมาห่ากินหมด ได้มาห่าตามกินหมด
แล้วก็เหลือแต่ซากเอาไว้เลียๆ เลียๆ ไม่มีของจริงเลย
วันนี้มันไม่เห็นความจริง ไม่เห็นความจริง นี่คือ... ไม่เห็นความจริง
ต่อให้เห็นความจริง... เอาล่ะ เราจะมาหยุดแค่นี้แหล่ะ แต่ผมอยากจะชี้ต่อไป
แสดงว่า ผู้หญิงในนี้ (หญิงที่กำลังจูบกับลิง)
ก็คือพวกเราทุกคน หรือทุกคนในโลกนี้ล่ะ สร้างสิ่งนี้ขึ้นมา
จากสัมผัสที่มีอยู่แค่นี้ (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก) เอง
มันจึงกลายเป็นสุข แล้วก็กลายเป็นทุกข์
ถ้ามันแปะเท่าที่ท่านแปะตอนนี้ มันจะสุขทุกข์มั้ยเนี่ย?...ไม่มี !!
มันจะสุขทุกข์มั้ย เพราะ มันเป็นการสัมผัสปกติที่แปะเข้าไปเนี่ย?...ไม่มี !!
แต่วันนี้ทุกอย่างที่เกิดเป็นสุขเป็นทุกข์ในทุกคน
เพราะท่านสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาที่เรียกว่า “การปรุงแต่ง”
การปรุงแต่งเกิดขึ้นมาได้จาก “การให้ค่า”
เราจะไปดูรายละเอียดกันในปฏิจจสมุปบาท วันท้ายๆ
เมื่อมีการให้ค่าแล้วไปยึดสิ่งนี้มาเป็นเราเป็นของเรา
กระบวนการทุกอย่างจึงเริ่มเกิดขึ้น เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา
การปรุงแต่งน่ะ... ท่านนั่งอยู่เดี๋ยว ท่านก็ปรุงแต่ง
เดี๋ยวก็เป็นสุข ท่านก็ไปสร้างภพภูมิที่จะพาเกิด
เดี๋ยวๆ ท่านก็ไปคิดถึงอะไรแล้วก็ใจเป็นทุกข์ ท่านก็ปรุงแต่งสิงที่ไม่ได้มีอยู่จริงๆ
สิ่งที่มีอยู่จริงมีแค่สัมผัส (นิ้วแปะที่ริมฝีปาก) นี้
แต่ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาเองหมดจากในใจ
ใจที่สร้างขึ้นมานี้แหล่ะที่เป็นคนสร้างภพภูมิของท่านทั้งหมด
การปรุงแต่งทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้นนี้แหล่ะ ที่พาท่านเกิด
เมื่อวาน ผมบอกให้ลดการปรุงแต่ง หยุดการปรุงแต่ง
ด้วยการกลับมาอยู่กับองค์บริกรรม
ด้วยการรู้ลมหายใจ อยู่กับการเดินจงกรม เพื่อให้ลดสิ่งนี้ลงไป
แต่มันก็ลดยังไม่ลงหรอก เพราะแม้แต่ท่านเดิน ท่านก็ยังปรุงแต่ง
แล้วก็ปรุงแต่งการเดิน
เป็นกูเดิน
กูเดินดี
คนนั้นเดินไม่ดี
กูเดินช้างดงาม
คนนั้นเดินเร็ว
เห็นอะไรก็ยังไม่หยุด ยังไม่หยุด ยังกดมันไม่ลง
เพราะของมันฟูอยู่อย่างนั้นน่ะ
เหมือนหมอนน่ะ กดเท่าไหร่ ปล่อยเด้งคืน ปล่อยเด้งคืน ปล้อยเด้งคืน
เหมือนหมอนที่เค้าขายในห้างอ่ะ บีบจนรีด ใส่ถุงมา
พอเราตัดปุ๊บ มันฟู่ ขึ้นมาใบเท่าเดิมเลย
เพราะฉะนั้นเรากำลังรีดๆ รีดๆ แต่ถ้าไม่มีปัญญาเนี่ย มันก็ฟู่ กลับมาเท่าเดิมอีก
วันนี้ขณะที่รีด ขณะที่กำลังขย่มมันลงเนี่ย
จึงต้องอาศัยปัญญา เข้าไปเห็น แทรกเข้าไปเลย
แต่เอาล่ะ มันต้องทีละอย่างนะ ถ้าคนมีปัญญาจริงๆ ขณะที่รีดลง รีดลง บีบลง
มันเห็น...ตุ้ม พร้อมกันเลย นะ
เพราะสมถะและวิปัสสนาก็ปนกันอยู่ในนั้นแหล่ะ
ขณะที่รีดลงๆ รีดลงๆ รีดลงๆ ตอนนี้บางคนไม่มีปัญญาก็ต้องหมันรีดไปก่อน
พอมันพองก็รีดต่อไป จนกระทั่งนานๆ ไป มันก็คงแฟบ แฟบไปได้บ้าง แต่แฟบไม่หมด
ผมต้องการชี้เรื่องการปรุงแต่ง
จูบลิง good?... ไม่ใช่ จูบนายแบบ good
เห็นกันจังๆ เลย แล้วรู้สึกยังไง...พอเห็น
เมื่อกี้ก็จูบไอ้ตัวนี้ แต่มีความสุขเหลือเกิน
พอเปิดตาไปเจอไอ้ตัวเดิมที่จูบเมื่อกี่นี้อ่ะ
ตอนนี้ปรุงแต่งเป็นปฏิฆะแล้ว!!
ตอนนี้ปรุงแต่งเป็นปฏิฆะ หมายความว่ายังไง?...อ่ะ กล้องจับนะ
ถ้า (อ่ะนี่...แป๋ม) ถ้าผมเป็นณเดชน์ (ตอนนี้เป็นณเดชน์นะ แป๋มนะ)
แล้วก็เข้ามาข้างหลัง แล้วก็...
" เป็นไงล่ะ เดินนั่งเมื่อยมากซินะ แล้วก็นวดๆ "
ตอนนี้จะคล้ายๆ จูบลิงเมื่อกี้เลย
อ่ะโอ้ย....ข้างบนอีกนึดนึงก็จะ... จะเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมา
ขณะนี้กำลังปรุงแต่ง เพราะจริงๆ สัมผัสคือ มือ กับ มือ
ถ้าผมเป็นณเดชน์ แล้วผมกำลังนวดแป๋มเนี่ยะ !!
ให้ท่านเอามือขวาท่านจับมือซ้ายครับ แล้วบีบ
อ่ะแป๋มเอามือขวาจับมือซ้ายแล้วบีบ
ถามตัวเองว่า มีความรู้สึกอะไรบ้างมั้ย?...ไม่เลย ก็แค่หายเมื่อย
ถ้าเราเมื่อยเราก็เอามือขวาบีบมือซ้ายก็หายเมื่อย
ณเดชน์ก็ทำแบบเดียวกันนะ
ณเดชน์ก็ทำแบบเดียวกัน
ก็เหมือนกับมือขวามาจับมือซ้ายเหมือนกัน แล้วก็บีบ แต่เราปรุงขึ้นมาเหมือนกัน
เห็นแล้วยังว่าการปรุงแต่งคืออะไร?...
เราก็ปรุงตอนณเดชน์มาลูบเหมือนกัน
แต่ในทางกลับกัน
สมมติว่าผมเป็นคนที่ตามจีบแป๋มมานานละ ...แต่ไม่ชอบขี้หน้าตาคนนี้เลย
ถ้าผมมาโดนตำแหน่งเดียวกับ แล้วผมก็ทำแบบเดียวกับที่ณเดชน์ทำเลยน่ะ
บีบ...แบบเดียวกันเลย น้ำหนักเท่ากันเลย
อึ่ย...ไปไกลๆ ได้มั้ย รำคาญ...
มันจะเกิดการปรุงแต่งในทางลบอีกด้านนึง อันนี้สร้างนรกละ
เมื่อกี้สร้างความรู้สึกที่ดี อันนี้สร้างความรู้สึกที่ไม่ดี
ซึ่งพาไปบวกไปลบล่ะทีนี้ เพราะสิ่งที่สร้างขึ้นมาตลอดเนี่ยะ
ถามตัวเองซิว่า ไอ้สิ่งอย่างเนี้ยะสร้างตลอดทั้งวันมั้ยเนี่ย?
แล้วถ้ามันไม่มี...เท่ากับศูนย์ หยุดการปรุงแต่ง
มันจะมีสภาพ ถ้าผมจับ หรือณเดชน์จับ หรือว่าคนที่ตามจีบ....จับ
มันจะเหลือเ่่ท่าเหมือนเท่ากับ มือขวาจับมือซ้ายอ่ะ
ในคนที่หล่อและที่ไม่หล่อ แต่มีสภาพเดียวกัน
ในครั้งนึงที่นางอุบลวรรณา (เอ้ ผมจำชื่อถูกหรือเปล่า) เถรี
ซึ่งเป็นภิกษุณีที่รูปโฉมงามมากน่ะ จนกระทั่งมีคนแอบรักเธอ แล้วก็อยากจะได้เธอ
ในครั้งนั้นเธออยู่ที่กุฏิ คนบาปหยาบช้านี่ก็ตามเข้าไป แอบ แอบอยู่ใต้เตียง
แล้วก็ข่มขืนพระอรหันต์ เพราะตอนนั้นเธอเป็นพระอรหันต์แล้ว
ขณะที่กำลังจะข่มขืนเนี่ย เธอก็ได้บอกกับโจรนั้น
บอกว่า อย่าทำเราเลย เธอกำลังทำกรรมหนักละ
แต่ไอ้นั่นหน้ามืดแล้ว มันไม่ฟังอะไรทั้งนั้น มันก็ดำเนินการข่มขืนเลย ข่มขืนจบมันก็หนีไป
เรื่องก็เลยดังขึ้นมา แต่เนื่องจากนางเป็นหญิง
พระพุทธเจ้าก็ให้นางวิสาขาเป็นคนเข้าไปตรวจสอบ
ตรวจสอบทั้งหมดแล้วก็ยอมรับว่ามีการข่มขืนจริง
เรื่องมันเกิดเป็นที่สับสนขึ้นมาก็คือว่า
ขณะนี้มีการร่วมเพศ จะถือว่าภิกษุณีขาดจากความเป็นภิกษุณีมั้ย?
พระพุทธเจ้าก็จึงเรียกนางมาแล้วก็สอบถาม
ขณะที่กำลังมีอะไรอยู่นั้น เธอรู้สึกอย่างไร?...
ภิกษุณีก็ตอบว่า หม่อมฉันไม่ยินดีและก็ไม่ยินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
เข้าใจรึยัง?...
ถ้าอย่างนี้ (แสดงอาการยินร้าย ฮึดฮัดๆ )...ถ้าอย่างนี้ เธอไม่ใช่,
แล้วถ้ายินดีก็ไม่ใช่แน่, ยินร้ายก็ไม่ใช่ด้วย, แล้วก็ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ด้วย ก็ปฏิเสธปกป้องไป
แต่ว่าไอ้นั้นมันหื่นจัด หลังจากนั้นไอ้นั่นก็โดนธรณีสูบไปมั้ง
ส่วนเธอ...
พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เธอไม่ได้ขาดจากกความเป็นภิกษุณี เพราะเธอไม่ได้เกี่ยว
เพราะฉะนั้นคำว่า “ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย” นี่แหล่ะ
ที่เป็นทั้งรอยต่อในฝั่งนี้และก็เป็นความรู้สึกในฝั่งโน้น
ผมต้องการให้เราเห็นการปรุงแต่งในเชิงเป็นรูปธรรม ที่เราสามารถเข้าไปสัมผัสอย่างเนี้ยะ
(อย่างในคลิปจูบลิง)
วันนี้เราปรุงแต่งความยินดีความยินร้ายขึ้นมาตลอดเวลา
เรากลับไปที่จุดสมดุลย์เดิมไม่ได้ ที่ผมพยายามจะชี้ ผมถึงบอกว่า
ถ้าเราบอกว่าเราหยุดการปรุงแต่ง แล้วเราพยายามหาจุดที่เทียบเคียงว่า
อริยบุคคลหรือว่าพระอรหันต์ที่ท่านไม่ยินดีไม่ยินร้าย ท่านรู้สึกยังไง?...
ก็ลองเอามือขวาบีบมือซ้าย แล้วเทียบกับ ณเดชน์มาจับ แล้วเทียบกับคนที่เราเกลียดมาจับ
เราจะพบความจริงอะไรบางอย่างของการปรุงแต่ง
แล้วเราเอาตรงนั้นแหล่ะมาลองเทียบเคียงดู
แต่ผมจะบอกท่านต่อไปเลยว่า ต่อให้ท่านรู้ ตอนนี้ท่านก็ทำมันไม่ได้
นี่ผมแค่จะชี้ให้เห็น เพราะวันนี้เราปรุงแต่งมาทั้งชีวิต จนไม่รู้ว่าการปรุงแต่งคืออะไร
เราปรุงแต่งอยู่กับสิ่งนี้มาตลอดทั้งชีวิต
โดยไม่รู้ว่าเราปรุงแต่งอยู่ทุกวินาที
แล้วเราจะรู้จักมันได้ยังไง?
เพราะฉะนันสื่อนี้ หรือสิ่งที่ผมให้ทำนี้จะเป็นบรรทัดให้ท่านเทียบ
ว่าเมื่อไหร่ปรุงแต่ง ... เมื่อไหร่ไม่ปรุงแต่ง
แต่จะละการปรุงแต่งจริงๆ กลับมาจากการเจริญมรรค ไม่ใช่การจัดการที่ผล
นี่แค่ทำให้ท่านรู้จักนะ ไม่ใช่ให้ท่านจัดการ เพราะไม่มีทางจัดการมันได้
แสงไฟ ถ้าผมเห็นการปรุงแต่งคือแสงไฟ
รู้แล้ว...แสงไฟนี้เป็นผลมาจากการปรุงแต่ง...จัดการเลย...ทำให้ตาย ไม่มีดับ
ถ้าจะจัดการ ต้องใช้การเจริญมรรค ไปซัดหลอด ไปทำลายแบตฯ แล้วไฟถึงจะดับ
วันนี้มีหลายคน ไปนั่งทำผล จัดการที่ผล นะ ไปนั่งเล่นกับผล ไม่ได้กินมันหรอก...
แปลว่าอะไร?...
วันนี้โกรธ ทำไง?...ก็เข้าไปรู้ไง รู้แล้วทำไมไม่ดับ รู้แล้วทำไมดับ?
เคยละอกุศล เคยฝึกให้พ้นจากสัญชาตญาณบ้างมั้ย?
เคยเนกขัมมะบ้างมั้ย?
รู้มั้ยอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์?
จัดการกับศีลของตัวเองบ้างมั้ย?
ท่านสร้างเหตุเกิดให้ไฟเกิด ด้วยการเติมพลังเข้าไปที่แบตเตอรี่
เพราะฉะนั้นไม่มีวันชนะมันหรอก
มีอย่างเดียวต้องเข้าไปจัดการเหตุด้วยการเจริญมรรค
ซึ่งเราพูดกันแน่ๆ คอร์สนี้ “มรรคมีองค์แปด”
คนนั่งเล่นเกมส์
เห็นการเกิดดับของอารมณ์ เห็นอารมณ์ที่บีบคั้น เห็นความสนุก เห็นความเครียด เห็นความทุกข์
ทำมา 2 ปี ถามผมว่า เนี่ยผมนั่งดูจิต ผมเห็นอารมณ์เกิดขึ้นดับไปตลอดเวลา 2 ปี
แล้วผมต้องทำยังไงต่อ?
เลิกเล่นเกมส์เหอะ !!
เพราะในเมื่อคุณยังสร้างเหตุเกิดไม่หยุด แล้วคุณจะให้มันดับได้ยังไง
ในเมื่อฟองก๊าซในบ่อน้ำเน่ามันผุดขึ้นมาไม่เลิก
แล้วคุณนั่งดูฟองน้ำเน่าก็คืออารมณ์ที่มันปุบปับๆ ขึ้นมาเนี่ย
นั่งดูไป 10 ปี ฟองน้ำเน่ามันจะหายมั้ยล่ะ?...ไม่หาย
นี่ผมก็นั่งดูอยู่ เห็นแล้วการเกิดดับ เห็นแล้วทำไมหรอ
แล้วถ้าไม่ตักน้ำในบ่อน้ำเน่าออก ไม่เติมน้ำใหม่ ไม่ชำระพื้นบ่อ ฟองมันจะหายมั้ยเนี่ย?...ไม่หาย
แต่ถ้าทำอย่างนั้นเนี่ย ต้องไปสนใจฟองมั้ย?...ไม่ต้อง
ถ้าทำอย่างนั้น เดี๋ยวน้ำจะใสขึ้นๆ แล้วฟอง ฟองของแก๊สไข่เน่าจะหายไป ถูกมั้ย?...ถูก
นี่ (ไฟฉาย) คือสิ่งที่พระพุทธจ้าตรัสรู้
ไอ้ผลทั้งหมดที่ปุบปับๆ กันขึ้นมาตอนนี้อ่ะ จะค่อยๆ หายไปจากการเจริญมรรค
ไม่ใช่ไปเล่นกับไฟ ไม่ใช่ไปเล่นกันแสงไฟ
มันต้องบี้เข้าไปที่ต้นกำเนิด
พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า อย่าง “เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา...” เนี่ย
ที่ได้ยินคาถาของพระอัสสชิเนี่ย
สิ่งทั้งหลายเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น
พร้อมแสดงความดับโดยสิ้นเชิง เพราะหมดเหตุ
ความดับมาได้จากการหมดเหตุ ไม่ใช่ไปพยายามดับสิ่งที่มีอยู่
--------------------------------------------
เอ่าล่ะนะครับ สำหรับช่วงเช้า
เนื้อหาสาระก็เริ่มดึงท่านเข้าสู่เส้นทางการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ล่ะ
ในครั้งนี้ให้เห็นแรงเงา การฝืนดึงเพื่อล้างสัญชาตญาณให้เข้าสู่ความเป็นคนปกติ
วันนี้เราไม่ปกติ
จุดที่สองคือ ให้ท่านให้ได้เห็นการปรุงแต่งที่เกิดขึ้นจากการเทียบเคียง
แต่วันนี้ท่านจะจัดการอะไรมันไม่ได้หรอก
เราจะไปจัดการกันด้วยการเจริญมรรค... นี่คือการจัดการที่แท้จริง
เอาล่ะ สำหรับช่วงเช้านี้นะครับ ก็ให้ทุกคนไปปฏิบัติภาวนากันต่อ
การรับประทานอาหาร อย่างปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่ท่านไม่ได้เข้าไปภาวนา
การรับประทานอาหาร จะเป็นสิ่งที่เราถูกลากกลับไปที่สัญชาตญาณได้ง่ายมาก
จากการ... รสชาติที่อร่อย แล้วมันก็มาอร่อยที่ใจ อร่อยที่ลิ้น แล้วมันก็มาอร่อยที่ใจ นะ
ฟังตามผมดีๆ นะครับ อร่อยที่ลิ้น แล้วมันก็มาอร่อยที่ใจ ดูซิจะเห็นมั้ยน่ะ
ตกลงคำว่าอร่อยที่ลิ้น คือรสชาติที่สัมผัสที่ลิ้น
ส่วนอร่อยที่ใจ คือ สร้างนายแบบขึ้นมาในใจ
ลองไปดูซิท่านตั้งมั่นพอจะเห็นมั้ยว่า อร่อยที่เราพูดถึงวันนี้มันรวมกัน 2 ตัวเลย
อร่อยลิ้น ถ้าอร่อยลิ้นจริง มันจะรสชาติเกิดขึ้นตอนอาหารเข้าไปแตะ แล้วก็เคี้ยวๆ อยู่ในนั้น
พอกลืนพลั้วะ !! ...หายแล้วนะ
แต่สังเกตดูว่า อร่อยใจยังอยู่นะ
นี่คือการปรุงแต่งที่แทรกอยู่ในทุกอณู ทุกวินาที ของทุกคน
พอรสชาติไม่ถูกใจอย่างที่กูตั้งไว้ ก็เกิดเป็นปฏิฆะ
เกิดเป็นเวทนาคือความทุกข์
ถ้าใช่อย่างที่กูกตั้งไว้ก็เกิดเป็นความสุข เป็นความชอบ
แล้วก็หลงติดซ้ำเข้าไป เรียกว่าราคานุสัย ฝังราก ลึก ตอกลิ่มปั้ง!!เข้าไปในจิต
ถ้าไปเกิดเป็นปฏิฆะ ไม่ชอบรสชาตินี้
ก็นั่งหงุดหงิดรำคาญอยู่คนเดียว สร้างนรกกับการกิน ผัสสายตนะที่เกิดขึ้น
ก็มีแต่ทุกข์ อยู่บนโลกมนุษย์ ก็สร้างแต่ทุกข์ในนรก
พอสร้างจนกระทั่งชินไปตกอยู่ในนรกก็ไปพบกับสิ่งที่ไม่พอใจไม่น่ารักใคร่
อย่างที่ท่านพระองค์บอก พระพุทธเจ้าตรัสไว้ที่เปิดฟังกันเมื่อคืน
อย่าสร้างภพแบบนี้ ท่านสร้างของท่านเอง เห็นหรือยัง
ทุกอย่างมาจากเราทำเอง เพราะมี "เรา" นี่แหล่ะ
เอา "เรา" ออกน่ะ หายกันเกลี้ยงเลย
เพราะมี เรา เนี่ย เราจึงมีการ -เราไม่ชอบ - เราชอบ - เราพอใจ - เราไม่พอใจ
เราทำ เราเก่ง เราดี เราคืออะไร?...
ความรู้สึกที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเฉยๆ อย่างนั้นเอง
เป็นฟองแชมพู เอาออกพลั้วะ !! จะกลับเข้ามาอยู่ แค่นี้ (นิ้วมือแปะที่ริมฝีปาก)
แค่นี้ (มือขวาจับแขนซ้าย) ออกไปร้อน...ร้อน
แค่นี้ (มือขวาจับแขนซ้าย)
ทำไมร้อนแล้วต้องบ่น?...เพราะกูไม่ชอบ
เอาแหล่ะ มากันเป็นพวงเลยทีนี้ สร้างภพเลย
แล้วภพอะไรล่ะ ?
ภพของความไม่พอใจ ภพของความไม่พอใจ เป็นภพทุกขคติภูมิ เป็นทุกขคติภูมิ
อ่ะ เดี๋ยวสวดธาตุปัจจเวก นั่งพับเพียบ...
เวลาลงไปรับประทานอาหารนะ ก็จริงๆ สวดธาตุปัจจเวก ก็ต้องสวดตอนที่มีอาหารอยู่ตรงหน้า
(สวดธาตุปัจจเวก)
จบการบรรยายตอนที่ 3
------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 2 ความน่ากลัวของสังสารวัฎ ☜ ☞ตอนที่ 4 สันทิฎฐิกนิพพาน
กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ
- ด้วยจิตคารวะ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น