โครงการปฏิบัติธรรมวันเดียว
ถอดคำบรรยาย ของ อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม [ ปฏิบัติธรรมวันเดียว ] ช่วงเช้า 2
ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น 4 อาคารธรรมนิเวศ ศูนย์ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ฯ
วันเสาร์ ที่ 31 สิงหาคม 2556
รอบบ่าย…..
เดี๋ยวเรา นั่งสมาธิ ภาวนา………….อิ่มๆเนี่ย ดีเลย ^ ^
เหมือนเวลาเรา ออกกำลัง เราก็ต้องยกเวท หนักๆ บ่อย
ถ้ายกเวทเบาๆ มันก็ไม่ค่อยได้แรง
นั่งสมาธิตอนง่วงๆ ก็ต้องอดทน สมาธิต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งหน่อย
ไม่อย่างนั้นมันจะโงก ง่วง สัปหงก ความง่วง มันก็มีอยู่ 2 ง่วง ก็คือ
ถ้ากายมันง่วง เพราะว่ากายต้องการพักผ่อน อันนั้น ก็เรื่องนึง
กับ ความง่วงที่เกิดจากจิตที่ซึมเซา อันนั้นก็อีกเรื่องนึง
ถ้าจิตที่ซึมเซา ก็ต้องสลัดออกให้หมด กลับมาตั้งมั่นอยู่กับองค์บริกรรม
เมื่อจิตตั้งมั่น มันก็จะลอยหลุดออกมาจากสิ่งนั้น สิ่งนั้นมีอยู่ แต่ไม่มีผล ไม่มีผลต่อใจ
วันไหนที่เรามีความทุกข์ มีความบีบคั้น จากเหตุปัจจัยจากภายนอกและภายใน
อย่างเช่นความง่วง นี่เป็นเหตุปัจจัยภายในที่ทำให้จิตใจอ่อนล้า ท้อแท้
หรือจากเหตุปัจจัยภายนอก เช่น คนรัก สิ่งที่เรารัก พัดพราก หรือเกิดเรื่อง
ความตั้งมั่นของจิต ที่เราฝึกไว้ ก็จะไม่ทำให้เราจมลงไปในเนื้อเรื่องเหล่านั้น
การฝึกมันจึงต้องพร้อมเจอทุกสถานการณ์ ทุกรูปแบบ
เราไม่จัดสรรการฝึก เราควบคุมได้บ้าง
เราเรียกว่า สถานที่หรือสิ่งต่างๆที่เป็นสัปปายะ เกื้อกูลต่อการปฏิบัติ
ในศูนย์ปฏิบัตินี่จัดสรรมากสุดแล้ว แต่ข้างนอกนี่เราจัดสรรอะไรไม่ได้เลย
งั้น จะให้ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจ ก็ไปไม่ได้
นักปฏิบัติตัวจริง ดูกันตอนที่มันไม่ได้ดั่งใจ
ถ้าได้ดั่งใจ นี่ไม่ต้องมาหัดปฏิบัติหรอก มันมีความสุขได้ไม่ยาก ถ้ามันได้ดั่งใจ
แต่ชีวิตของเรามันมีความทุกข์ตอนที่มันไม่ได้ดั่งใจนี่แหละ
แต่ทำอย่างไรการปฏิบัติถึงจะทำให้เราลอยอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น
กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถทำอะไรให้เกิดจิตใจของเราเป็นสุขเป็นทุกข์
มันเป็นปกติ จะปวดขา ก็เป็นปรกติ ขามันก็ปวดของมัน มีขามันก็ต้องปวดขาอยู่แล้ว
วันไหนพ้นจากการเกิด ขาก็ไม่ต้องมี ไม่มีขาก็ไม่มีทุกข์
ไม่มีทุกข์ ก็ไม่สร้างขา
เราจะไปหวังอะไร ในเมื่อเราเกิดมาแล้วมีขันธ์ 5
การปรากฎขึ้นแห่งขันธ์ คือ การปรากฎขึ้นแห่งทุกข์
นั่งแล้วปวดขาทำยังไง ทำยังไงถึงจะพ้นไปจากเวทนาเหล่านี้ได้
จะพ้นยังไงเล่า เวทนามันเป็นของคู่ขันธ์อยู่
หมดเหตุเกิดของขันธ์ 5 เมื่อนั้นมันหมดทุกข์
……………………เงียบ……....................................…….
นั่งสมาธิ …………………………………..ถึงเวลาอันสมควร
ก็ต่างกัน แค่ ลืมตา กับหลับตา
แล้วก็ขยับเขยื้อนบ้างเพื่อให้ ได้คลายทุกขเวทนาลงบ้าง
ต่อให้จะมีผู้เข้าไปยึดถือ หรือไม่มีผู้เข้าไปยึดถือกายนี้
กายนี้ก็ยังเสร้างเวทนาทางกายขึ้นมา
แต่ผู้มีปัญญาก็จะไม่ทุกข์ ผู้ไม่มีปัญญาก็จะทุกข์
วันนี้ เป็นการมาพูดแบบพูดคุยเปิดอก ไร้รูปแบบไม่มีเงื่อนไข
ผมจะพูดความจริง
ความจริงแบบที่ผมไม่รู้ว่า ท่านจะรู้มั๊ย
แล้วผมก็ไม่รู้ว่า ท่านจะรู้มั๊ยว่า การมาปฏิบัติธรรมจริงๆ มาทำไม
……………..
โลกนี้ มันว่างมาก่อน
มันมีสิ่งของต่างๆที่เป็นธรรมชาติ
มันถูกมาก่อตัวรวมกัน แล้วก็มีหนังห่อหุ้ม
แล้วมีธรรมชาติที่เรียกว่า จิต เข้าไปยึดถือ
จากนั้น มันจึงก่อเกิดเป็นชีวิต ทำยังไง สิ่งนี้ ถึงจะเอาตัวรอดอยู่ได้
มันจึงต้องสร้าง ตา หู จมูก ลิ้น กายขึ้นมา เพื่อต่อเชื่อมกับโลกภายนอกให้ได้
เมื่อเชื่อมได้ ทำยังไงถึงจะมีชีวิตรอด มันจะทำทุกอย่าง เพื่อให้มันอยู่รอดให้ได้
นี่คือสัญชาติของสิ่งที่สั่งสมมาตลอด
จากนั้น่มันเริ่มก่อตัวขึ้นมาเป็นชีวิต แล้วก็ ฆ่า ...เอาตัวรอด
ทำทุกอย่างเพื่อให้เอาตัวรอดให้ได้ จึงเริ่มเกิดการทำผิดศีล
เมื่อเกิดการทำผิดศีล จิตใจเริ่มเร่าร้อนขึ้น
ทุกการฆ่าทุกครั้งที่ท่านออกไปล่าสัตว์ หรือ ไอ้นี้ ออกไปล่าสัตว์ มันจะเต็มไปด้วยใจระทึก
ขณะที่มันกำลังระทึก ใจบีบคั้น อยากจะได้สัตว์นั้นนำมากิน
มันจึงเกิดเป็นตัณหาสร้างเหตุเกิดให้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ไฟ ลม
ที่มาอยู่รวมกันแล้วมีวิญญาณครองสิง เริ่มสร้างเหตุต่อไปเรื่อยๆ
จากนี้ จนกระทั่งตายไป แล้วก็เริ่มต้นก่อกันขึ้นมาใหม่
จากสภาพที่มีการส่งต่อของจิตวิญญาณเกิดดับ
แล้วก็ขึ้นมาเป็นชีวิตใหม่ แต่ชีวิตใหม่ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นมนุษย์
เพราะสภาพของขันธ์ 5 แปรเปลี่ยนไปใน 31 ภพภูมิ จากกรรมที่ทำมาเอง
จากวันนั้น ถึงวันนี้ สภาพของธาตุดินทั้งหลาย
ก็รวมตัวกันใหม่ ก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่
แล้วก็แตกสลายคืนสู่ดิน แล้วก็กลับมาก่อตัวกันใหม่
แล้วก็สร้างกันขึ้นมาใหม่
มันมีแต่สภาพแตกสลาย แล้วก็รวมกันขึ้นมาใหม่
……………..แตกสลาย แล้วก็รวมกันขึ้นมาใหม่
ไม่มีที่สิ้นสุดเมื่อสภาพไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้
จึงเริ่มหมุนเป็นวงกลม เรียกว่า สังสารวัฎ
เพราะทุกๆการเกิด ได้สร้างเหตุเกิดเอาไว้ทุกขณะจิต
จน ท่าน นั่ง อยู่ตรงนี้
ถ้าการรวมกันทั้งหมด ของสิ่งที่เรียกว่า สังขาร
ถ้าการปรุงแต่งของดินน้ำ ไฟ ลม เข้ามาอยู่รวมกัน
ถ้าการรวมกันของทั้งหมดที่เรียกว่า "สังขาร"
คือการปรุงแต่งของ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้ามาอยู่รวมกัน
และก็มีธรรมชาติที่เป็นวิญญาณเข้าไปครองสิ่งรับรู้ความรู้สึกนี้
สภาพเหล่านี้ถูกเรียกว่า "ขันธ์ห้า" และขึ้นมาอยู่ตรงนี้เป็นอย่างนี้
ก็ไปตั้งชื่อว่า "นายประเสริฐ"
พอเป็นนายประเสริฐเกิดขึ้นมาด้วยความที่ยึดถือมาตลอด
ก็หลงยึดขันธ์เนี่ยขึ้นมาเป็นเราเป็นของเรา
สภาพความไม่รู้ก็จึงเริ่มต่อสู้เพื่อจะรักษาสภาพของตัวตนเอาไว้ ของทุกคน
ก็จึงค่อยๆ สร้างเหตุเกิดต่อไป จนกระทั่งกายนี้แตกสลาย
แต่ไม่เคยแตกสลายจริง เพราะจิตวิญญาณได้สร้างเหตุเกิด
จึงเกิดต่อไปเป็นกายชรูป ค่อยๆ ก่อจิตตชรูป
จิตวิญญาณก็เริ่มสร้างกายนี้ขึ้นมาใหม่ ปฏิสนธิวิญญาณเข้าไปอยู่ในท้องมารดา
จากนั้นก็เริ่มจากความว่าง แล้วก็สร้างขึ้นมาเป็นกายขึ้นมาอีกครั้งนึง
แล้วก็ออกมาด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มาอยู่รวมกัน แล้วก็สร้างมันขึ้นมาอีก
ถูกยึดถือขึ้นมาเป็นเรามาเสมอ ตั้งแต่ชาติแรกจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าเห็นความจริงของทุกข์นี้
ท่านจึงหาทางทำยังไงที่ให้ทุกอย่างสลายกลับไปที่เดิม ก่อนที่จะมารวมกัน
ท่านจึงได้ยินคำว่า "จิตเดิมแท้"
จิตเดิมแท้ จะกลับไปอยู่ที่เดิม ที่ไม่มีตัณหาเข้ามาบีบคั้น
ไม่มีความไม่รู้ ไม่ก่อสร้างนามรูปขึ้นมาอีก จะทำยังไงถึงจะจัดการกับสิ่งนี้ลงได้
นี่คือปัญญาการตรัสรู้อริยมรรคมีองค์แปด เพื่อจะสลายทุกอย่าง ดินสู่ดิน น้ำสู่น้ำ ฯลฯ
แล้วไม่ก่อตัวขึ้นมาเพราะจิตโง่อีก
จิตไม่เข้าไปยึดถือขันธ์ห้านี้
ขันธ์ห้าจึงหมดเหตุเกิด
วันนี้ถ้าใครบอกว่า
"สามีฉันเป็นอย่างนั้น ลูกฉันเป็นอย่างนี้ งานฉันแย่เหลือเกิน ฉันเป็นมะเร็ง"
พวกนั้นไม่ใช่สาระเลย
เพราะว่า มันมีสิ่งนี้ ….เมื่อมีสิ่งนี้ ….สิ่งนั้นจึงมี !!
"โอ้ย! วันนี้ฉันหิวมากเลย ฉันไม่มีเงินจะไปกิน"
แน่นอน! ถ้ามีขันธ์ ขันธ์ก็สร้างกระเพาะ เมื่อมีกระเพาะ กระเพาะก็ต้องหิว
เมื่อมีหิว หิวก็เป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ ทุกข์ก็ไปทำให้เกิดอวิชชา
แล้วก็ดิ้นรนแสวงหา เกิดตัณหาบีบคั้น สร้างเหตุเกิดต่อไป...ไม่มีที่สิ้นสุด
สังสารวัฏนี้จึงหมุนวนเป็นวงกลม
มีชาตินี้ มีชาติหน้า มีชาติไหนๆ
ซึ่งความจริงไม่ใช่ชาติ จากวันนั้นถึงวันนี้...รวดเดียว ท่านไปแบ่งแล้วก็เรียกมันเอง
การเปลี่ยนแปลงสภาพของขันธ์ตามเหตุปัจจัย
เดี๋ยวเป็นเดรัจฉาน เป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นมนุษย์
หากเอาการเกิดการตายที่เราแบ่งเป็นชาติออกให้หมด มันจะเป็นรวดเดียว
แล้วเป็นรวดเดียวหาที่จบไม่ได้ด้วย
เหลือทางเดียว จิตจะต้องหมดตัณหาบีบคั้น หมดอุปาทานในขันธ์นี้ให้ได้
นี่คือสาเหตุพวกท่านมานั่งปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมทั้งหมดเพื่อสลายสิ่งเหล่านี้คืนสู่ธรรมชาติให้หมด
แต่วันนี้ไม่ใช่ ทุกคนมาเอาบุญ ทุกคนมานั่งสมาธิให้สงบ
ท่านยังหมุนวนอยู่ในขันธ์ ท่านพยายามจะทำให้ขันธ์เป็นสุข
ทำยังไงฉันถึงจะมีความสุข มันจะสุขอะไรกะไอ้ขันธ์ที่มันเป็นทุกข์ตลอดเวลา
การมาปฏิบัติธรรมเป็นพระโสดาบัน
พระโสดาบันที่ไหนก็ไม่เคยมาแสวงหาความสุข
เพราะพระโสดาบันเห็นความจริงแล้วว่า ขันธ์ห้าเป็นทุกข์ การไปยึดถือขันธ์ห้า...เป็นทุกข์
ถ้าพระโสดาบันจะมีความสุขมีอยู่อย่างเดียวคือ ทำยังไงถึงจะหมดอุปาทานในขันธ์ห้า
หมดความยึดถือในขันธ์ห้า พวกนี้ที่มันมาก่อรวมกัน แล้วก็วางมันคืนลง
นั่นแหล่ะถึงจะพบความสุขที่แท้จริง
ไม่มีการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้มีความสุข
ไม่มีรถคันนี้สีเขียว
ไม่มีพระโสดาบันคนไหนเป็นอย่างนั้น
เพราะทำยังไงก็ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนให้ขันธ์ห้าเป็นสุขขึ้นมาได้
นี่คือความจริงของธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเห็น แล้วทำยังไงถึงสัตว์โลกถึงจะรู้ตาม
ท่านถึงบอกว่า โอ้โห!...แล้วจะทำยังไงให้สัตว์โลกได้รู้
ที่เราบอกว่า เจริญมรรคมีองค์แปด แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกว่า
“เธอจะพ้นจากความเกิด พ้นจากความแก่ พ้นจากความเจ็บ และก็พ้นจากความตาย”
เราก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าเราติดในความเป็นเรา
"ต่อให้เป็นพระอรหันต์ ฉันก็ยังตายนี่ ฉันไหนล่ะ!"
ไอ้นี่มันเป็นธรรมชาติ เมื่อหมดความยึดถือ ถอดถอนความเห็นผิดทั้งหมด
มันจะคืนสู่ธรรมชาติไป
แต่ในการทำอย่างนั้นมันอาศัยกระบวนการ
ในการฝืนสัญชาตญาณออกไป มันอาศัยความมุ่งมั่น
ความมุ่งมั่นมีอยู่ แน่นอนความมุ่งมั่นยังเป็นตัวตน
แต่เป็นตัวตนเพื่อไปสลายตัวตนในอนาคต
ในการจะบุกป่าฝ่าดงไป ก็ต้องบุกป่าฝ่าดงไปด้วยกำลัง
แต่พอพ้นไปจนถึง เหมือนคนจะเดินขึ้นยอดเขาต้องใช้กำลังที่จะเดินอย่างเต็มที่
แต่พอถึงยอดเขาแล้วก็ค่อยๆ ชะลอลงๆ แล้วก็วางลง
ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านั้นอีก
งั้น... การมาปฏิบัติธรรมก็เพื่อละความเห็นผิดในความเป็นตัวตน
เราเห็นผิดยังไง? เช่น ถ้าท่านนั่งๆ เดี๋ยวก็มียุงมากัด เดี๋ยวก็มีมดมากัด ฉันไปนั่งในวัดป่า
หรือเข้าไปปฏิบัติในป่า
เดี๋ยวก็ยุงมากัด
เดี๋ยวก็มดมากัด
"ซืด..โอ้โหย..ไม่ไหว ที่นี่ มดเยอะจริงๆ ยุงเยอะจริงๆ รำคาญ
แล้ว หงุดหงิด หงุดหงิดไปหมด"
ทันทีที่ยุงมันกัด มันปักเข็มลงไป "จื๊ด" มันดูดเลือดตรงนั้นออกไป
กายของเราเริ่มทำงาน จริงๆ ไม่ใช่กายของเรา ขอโทษ
กายทำงานของเค้าเอง ด้วยการส่งสาร ส่งอะไรต่ออะไร
ถ้าเป็นหมอก็จะเห็นชัดเจนว่า ปฏิกิริยาตรงนี้ เริ่มมีการต่อสู้ เพื่อที่จะปกป้องสภาพตรงนี้
เกิดเป็นปูด เป็นคัน เกิดความร้อนขึ้นมา
ร่างกายเริ่มเผาอุณหภูมิขึ้น เพื่อทำลายผู้บุกรุก
ท่านเคยสั่งงั้นเหรอ?...เค้าทำของเค้าเอง
กายนี้ต้องการธาตุดิน อาหาร ผัก ผลไม้ เติมเข้าไป
ถ้าได้ธาตุดินเหล่านี้เติมเข้าไป
ธาตุทั้งหลายจะถูกดูดซึมเข้าไปตามเลือดตามเนื้อ
สร้างโครงสร้างที่เป็นเนื้อแข็งแรงขึ้นมา
เกี่ยวกับใครเอามันยัดเข้าไปมั้ย?...ไม่เกี่ยว
ขอให้มีธาตุไหลเข้าไปเถอะ ธาตุจะเข้าไปทำงานมัน แล้วธาตุนี้จะค่อยๆ แบ่งของมันเอง
มันเป็นเราตรงไหน!
มันเป็นของเราตรงไหน!
เช้ามามันอึออกไป มันถ่ายออกไปจนเสร็จ
มันเป็นของเราตรงไหน!
เราสั่งให้มันทำตรงไหน!
ผมบอกแล้ว เมื่อไหร่ละสักกายทิฏฐิ
ไม่ใช่มาเปลี่ยนแปลงให้ไอ้นี่ไม่เป็นของเรา
มันไม่เคยเป็นของเราแม้แต่วินาทีเดียว
เรามีความรู้สึกนึงที่ลมๆแล้งๆ เข้าไปยึดถือมันเฉยๆ
วันนี้อยากกินก๋วยเตี๋ยว ไปซื้อก๋วยเตี๋ยว
วันนี้อยากกินข้าวขาหมู ไปซื้อข้าวขาหมู
ด้วยความอยากคือความรู้สึก
แต่ทันทีที่เติมข้าวขาหมูเข้าไป...ปั๊บ มันเกิดปฏิกิริยาต่อต้านข้างใน
เริ่มเอาไปหมักหมม พอกเป็นอ้วน เป็นฉุ เป็นอะไรขึ้นมา
จากความรู้สึกที่อยากกินเฉยๆ แต่กายนี้ไม่ได้มีความสุขด้วย
วันนี้อยากกินหมูปิ้งร้านนั้น อยากกินไก่ทอดหาดใหญ่
ไปซื้อไก่ทอดหาดใหญ่เพราะฉันอยากกิน
ซึ่งความอยากอยู่ที่ไหนไม่รู้ เป็นนามธรรม
แต่ไอ้นี่รับกรรม เพราะใส่ไก่ทอดที่ทอดด้วยน้ำมันที่ดำปี๋เข้าไป
มันก็เริ่มปฏิกิริยาต่อต้านอนุมูลอิสระอะไรทั้งหลายแหล่... จนเกิดเป็นมะเร็ง
มีอะไรเกี่ยวกับความรู้สึกลมๆ แร้งๆ นี้บ้าง?...ไม่มีเลย
เราไปขี้ตู่ ไปยึดถือ ไปอะไรๆ ของมันเอง
เราเอาอะไรใส่เข้าไป มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมันทั้งนั้นแหล่ะ
มันเป็นมะเร็งเพราะเหตุปัจจัยที่ความอยากก็อยู่ส่วนหนึ่ง เราไปสร้างมันขึ้นมาเอง
แล้วเราก็เอาไอ้นี่ใส่เข้าไป มันก็เลยเกิดเป็นมะเร็ง
เรา”...ที่ไหน
ถ้า...”เรา”...ต้องสั่งได้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า
“ถ้ากายนี้เป็นของเธอ กายนี้จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ถ้ามันอาพาธมันเจ็บป่วย แสดงว่ากายนี้ไม่ใช่ของเธอ”
เพราะไม่เคยมีใครอยากเจ็บป่วย เนื่องจากมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย
เรากินกินอะไร มันก็เป็นอย่างนั้น (You are what you eat.)
กินหมูก็เป็นหมู กินอะไรมันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ
แต่ที่นี้เรากินเพราะอยาก เรื่องมันก็เลยเป็นอย่างนี้นั่นแหล่ะ
เรากินเพราะอยาก
ซึ่ง “อยาก” อยู่ไหนก็ไม่รู้
พอกินเสร็จ ถ้าใครเป็นเบาหวานซัดน้ำตาลเข้าไป ซัดชีสเค้กเข้าไปตั้งแต่เช้าเงี่ยะ
กินเสร็จมันหายไปไหนไม่รู้อ่ะ...“อยาก”
มันทิ้งซากน้ำตาลทิ้งไว้ข้างใน
ซวยล่ะ...ไอ้ “อยาก” ไม่รู้มันหายหัวไปไหนละ
คือชนแล้วหนี
เมื่อมันชนแล้วหนี ปุ้ง!!...แล้วหายเลย
นี่มันทิ้งซากไว้นี่ ทั้งตับไตไส้พุงทำงานกันหนัก บีบคั้นน้ำตาล อินซูลินก็ไม่ค่อยมี
ฉีดกันใหญ่ มันก็ไม่ค่อยออก น้ำตาลก็พุ่งๆ หลอดเลือดก็มีปัญหา
ก็ตันๆ ก็ฉุ อะไรก็ตาบอด รักษาก็ไม่หาย
เนี่ยะ... ทิ้งซากเอาไว้เพียบ
เพราะอยาก...ซึ่งไม่มีตัวตน ไปอยากเฉยๆ
แล้วก็ใส่เข้าไป ใส่เข้าไป
อยาก...หายไปไหนแล้วไม่รู้
ไอ้นี่มันก็ยังค้างอยู่ กว่าจะถ่ายออกมา
อ่ะ...ตั้งหลายเดือนหลายวัน
ไหนอ่ะ...”เรา”
มันมีแต่ความรู้สึกลมๆ แล้งๆ ที่ไปบอกว่า “กายนี้เป็นของเรา”
พูดไปก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อ พูดไปก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นแจ้ง
แต่ไม่พูด ยิ่งไม่เห็นแจ้ง
ยิ่งไม่พูด ก็ยิ่งไม่รู้
เพราะสิ่งนี้มันไม่มีคนพูด สิ่งนี้เป็นสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
มาปฏิบัติธรรมก็จะเอาแต่ความสุข...ไม่มี !!!!
สุขยังไง ขันธ์ห้าเป็นทุกข์ และอุปาทานในขันธ์ก็ยิ่งเป็นทุกข์
ยึดขันธ์ห้าเข้าไป ของเป็นทุกข์ ก็ยิ่งเป็นทุกข์เข้าไปใหญ่
เหมือนมีรถพังๆ อยู่คันนึง
ท่านนั่งดูรถพังๆ ท่านทุกข์มั้ย? ที่มันวิ่งอยู่บนถนน...ไม่ทุกข์
แต่เจ้าของรถพังๆ ท่านว่าทุกข์มั้ย?...ทุกข์
ถ้าท่านดูรถพังๆ วิ่งผ่านหน้าบ้านท่านทุกข์มั้ย?...ไม่ทุกข์
จะไปทุกข์ทำไมไม่ใช่รถฉัน...ใช่!
แล้วถ้าท่านคิดว่าเจ้าของรถพังๆ เค้าจะทุกข์มั้ย?...ทุกข์ดิ
มันซ่อมทุกวันอ่ะ เดี๋ยวก็ยางแตก เดี๋ยวก็เครื่องเสีย เดี๋ยวก็หม้อน้ำเดือด ก็ทุกข์ของมันทุกวันน่ะ
ก็ใช่...ก็ไอ้รถพังๆ เนี่ย เดี๋ยวก็หม้อน้ำเดือด เดี๋ยวก็เป็นนั่น เดี๋ยวก็เป็นนี่ เดี๋ยวก็พัง เดี๋ยวก็ล้อหลุด
แล้วถ้ามีคนเข้าไปยึดถือรถพังๆ นี่ พังทุกวันเนี่ย จะทุกข์มั้ยล่ะ?...ทุกข์สิ
แล้วทำไมท่านไม่ทุกข์กับรถพังๆ ของคนอื่นน่ะ…
มันไม่ใช่ของฉัน ของฉันก็ทุกข์แย่แล้วนี่
...ใช่!....
แล้วลองนึกว่า เมื่อท่านยึดไอ้นี่เข้าไปแล้ว
ท่านคลอดลูกออกมา ท่านแต่งงานกับใคร คล้องแขนกันไว้
และไอ้รถพังๆของคนอื่นที่ท่านเข้าไปยึดต่อเนี่ย มันจะทุกข์ต่ออีกมั้ยล่ะ
มันจะเริ่มเบิ้ลเป็นสองเท่าสามเท่า
จากนั้นลูกท่านไปมี ลูกสะใภ้บ้าง ลูกเขยบ้าง ก็เริ่มไปอีกทอดนึงแระ แล้วทุกข์มั้ยล่ะ?...ทุกข์สิ
ถ้าลูกเขยท่านไปมีคนนู้นน่ะ...ก็ยิ่งทุกข์กันใหญ่สิ
เพราะมันมาแต่งงานกับลูกสาวฉัน ก็ลูกสาวฉัน ก็มาจากเลือดเนื้อเชื้อไข
ทีนี้มันก็ผูกๆ ผูกๆ ผูกกันออกไปเรื่อยล่ะ!
มันเริ่มจากไหนล่ะ? มันเริ่มจากอุปาทานในขันธ์
แล้วอุปาทานในขันธ์เริ่มมาจากไหนล่ะ?
เริ่มจากจิตโง่ไง จิตที่ไม่รู้อริยสัจ จิตที่มีแต่อวิชชา
จิตที่มีแต่ความไม่รู้ แล้วก็ไปยึดตัวเอง
แล้วก็ยึดถือขันธ์ ขันธ์ก็ไปยึดถือทุกอย่างที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า งานนี้ไม่ทุกข์ก็แปลกล่ะ!
เพราะว่าในพระโสดาบันที่บอกว่าละสักกายทิฏฐิได้
ก็เริ่มตัดไอ้พวกนี้ออก เห็นแล้วว่า มันเป็นแค่สิ่งที่มากระทบเครื่องไหว สั่นไหว เกิดๆ ดับๆ
แต่ยังอดที่จะเข้าไปยึดถือไม่ได้ เพราะความผูกพัน
ทำยังไงถึงจะเกิดปัญญารู้แจ้ง?
นั่นจึงมีมรรคทั้งแปดองค์ ที่มาช่วยจัดการ
แล้วก็ทำให้ค่อยๆ ปลดทุกอย่างออกเป็นอิสระ ….เป็นอิสระออกไปเรื่อยๆ ทีละน้อยๆ
เริ่มจากปุถุชนเป็นกัลยาณชน เข้าสู่การปฏิบัติ
กัลยาณชน เข้าสู่ โสดาบัน
โสดาบัน ก็ยังมีความยึดถืออยู่บ้าง ยังมีโลภะโทสะโมหะอยู่
ก็ปฏิบัติต่อไปจนกระทั่งเบาบาง โลภะโทสะเริ่มเบาบาง เบาบางแล้วก็หลุดไป
หลุดไปกลายเป็นพระอนาคามี ก็เหลือแต่โมหะ ก็ไปจัดการในระดับจิตที่เป็นโมหะ
ก็จัดการกันต่อไปจนกระทั่งปล่อยวางได้ พลั้วะ!...
สลัดคืนสู่ธรรมชาติ
ตอนนั้นก็หลุดพ้น
กลับคืนสู่ธรรมชาติ
ไม่สร้างไอ้พวกนี้ขึ้นมาอีก ไม่ก่อร่างสร้างขันธ์ขึ้นมาอีก
แล้วเวลามันหลง มันหลงสุดๆ
เมื่อกี้ผมยกตัวอย่างเรื่องหนอน
ท่านบอกว่าท่านไม่อยากเกิดเป็นเดรัจฉานหรอก
แต่โทษเถอะ ถ้าท่านไปเกิดเป็นหนอนจริงๆ ท่านจะจำคำพูดที่ผมยกตัวอย่างเมื่อกี้ได้
หนอนก็ไม่ได้อยากเป็นมนุษย์
ถ้าท่านคิดว่าวันที่ท่านเป็นหนอน ท่านยังอยากจะเป็นมนุษย์มั้ย?...ไม่
ท่านจะอยากเป็นหนอนของท่านนั่นแหล่ะ!
นี่ล่ะคือความน่ากลัวของสังสารวัฏล่ะ
ถ้าเมื่อไหร่ท่านเป็นหนอนแล้วท่านดิ้นรนอยากเป็นมนุษย์...ท่านโชคดี
แต่ถ้าเมื่อไหร่ท่านเป็นหนอนแล้วท่านมีความสุขกับการเป็นหนอน
แล้วท่านเห็นความเป็นหนอนเนี่ยสุดยอด
เมื่อนั้นท่านจะอยู่อย่างนั้นไปอีกนานมาก
วันนี้ถ้าท่านเป็นอย่างนี้ และท่านทุกข์ขนาดนี้ แต่ท่านยังไม่รู้จักทุกข์
แล้วท่านก็คิดว่า “ฉันนี่อ่ะสุดยอด งานฉันดี ครอบครัวฉันดี ฉันอย่างนี้นะ...”
เรียบร้อย! ท่านอยู่ไปอย่างนี้แหล่ะ
ถามว่าเป็นอย่างเงี้ยะ อยากไปเดินธุดงค์แบบเป็นพระครูบาอาจารย์ที่ท่านถึงธรรมแล้วหลุดพ้นอ่ะ
อย่างที่ท่าน... โอ๋...องค์นี้หลุดพ้นแล้ว...
การหลุดพ้นต้องทำอย่างนี้อย่างนี้นะโยม ... จะทำตามท่านมั้ยล่ะ?
...ไม่อ่ะ ลำบาก นั่งสมาธิครึ่งชั่วโมงก็จะแย่แล้ว
เนี่ยะ...โอ้โหถ้าจะนั่งขนาดท่านน่ะ...ไม่ไหวหรอก เอาไว้ชาติหน้าดีกว่า
ชาติที่แล้วก็พูดอย่างเงี้ยะ ไอ้เนี่ยะถึงแล้วนี่
ชาติหน้าของชาติที่แล้วเนี่ย ก็อยู่ตรงเนี้ยะ ก็ผลัดไปชาติหน้าต่อไป
พอชาติหน้าเป็นหมา ที่นี้เสร็จเลย ที่นี้เป็นหมาถาวร...ฮึ!
เป็นหนอนก็เป็นหนอนถาวรเลย
เพราะมันไม่ได้เห็นอยากออกจากหนอนเลย
ไม่เห็นว่าจะอยากออกจากหนอน
แต่ถ้าวันนี้อยู่อย่างนี้เห็น โห!...มันมีแต่สภาพทุกข์จริงๆ นะ เอ้ย!...อย่างเนี้ยะ
จำได้มั้ย อริยสัจ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไง "ทุกข์ควรรู้"
นี่ทุกข์รู้มั้ยล่ะ...ไม่รู้ ทุกข์?...
กูไม่เห็นทุกข์เลย ...เสร็จเรียบร้อย!
อริยสัจข้อที่หนึ่งก็จบแระ! ไม่ผ่าน พอไม่ผ่านก็หมุนวนนี่
สังสารวัฏนี้ ก็เป็นไปอย่างที่เป็น...อยากเป็น เพราะว่าของจริงมันไม่มีอะไรให้เป็น
ขันธ์ห้าเค้าเป็นของเค้าอย่างนั้น
แต่ทำไมเราต้องไปเป็น ไม่มีเราเข้าไปเป็น
วันไหนมีเราเมื่อนั้นก็เสร็จ ไม่มีใครเป็นอะไร
ก็สภาพธรรมมันเป็นอย่างนั้นตามความเป็นจริง
มีเหตุเกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับ มีเหตุเกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
ติดตามรับฟังเสียงจากไฟล์ MP3 ได้จากลิงค์ของเวปสวนยินดีธรรม ด้านล่างนี้ค่ะ http://www.suanyindee.net/index.php?option=media&task=view&id=21
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น