9/21/2556

มรรคองค์ที่ ๖ สัมมาวายามะ

ถอดคำบรรยายธรรม เรื่อง มรรค องค์ที่ ๖
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ธรรมบรรยาย เพื่อความรู้แจ้ง แห่งวิถีทางดับทุกข์
ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2556

มาถึงข้อ 6 เข้าสู่การชำระเรื่องจิตใจแล้วนะครับ 6 7 8 นี่สำคัญแล้วนะครับ
                                                         (องค์มรรคที่ ๖)
                                   กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม 
                                            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ความพากเพียรชอบ เป็นอย่างไรเล่า 
                                   อิธะภิกขะเว ภิกขุ, 
                                            ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้, 
                                   อะนุปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง อะนุปปะทายะ, 
                                   ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ 
                                            ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว้,
                                            เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น, 
ตรงนี้ ยังไม่จบนะครับ แต่ว่าในสัมมาวายามะ มีหัวข้อย่อยอยู่ 4 หัวข้อ
อันนี้ หัวข้อที่ 1 เราจะเห็นว่า ท่านบอกว่า 
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ประคองจิตตั้งไว้
เพื่อจะยังอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิดขึ้น
เอานะครับ 6.1 แล้วกันนะครับ เพื่อจะยังบาปอกุศลที่ยังไม่ได้เกิด ไม่ให้เกิด
                                  อุปปันนานัง ปาปะกานัง อะกุสะลานัง ธัมมานัง ปะหานายะ,
                                  ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ 
                                          ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว้, 
                                          เพื่อจะละอกุศลธรรม อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว, 
                                  อนุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ, 
                                  ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยังอาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ,
                                           ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว้, 
                                           เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น 
เดี๋ยวเรามาดูกันต่อนะครับ เมื่อกี้ใน 6.1 หัวข้อย่อยที่ 1 ท่านบอกว่าไม่ให้บาปอกุศลเกิดขึ้น 
มาดูใน 6.2 ในหัวข้อย่อยที่ 2 ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยามปรารถความเพียร ประคองตั้งจิตไว้
เพื่อจะละอกุศล (เห็นมั๊ยครับ ) ละ อกุศลอันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว 
เมื่อกี้นี้ ไม่ให้บาปมันเกิด แต่ถ้ามันพลาดเกิด ให้ละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว
นะครับ อันนี้คือสิ่งที่ท่านตรัสเอาไว้ ใน 6.2
พอมาดู 6.3 หัวข้อย่อยที่ 3 ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ประคองจิตตั้งไว้
เพื่อจะยังกุศลกรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น ....ทีนี้ มาสร้างกุศลแล้ว 
ใน 6.1 บอกว่า ไม่ให้บาปอกุศลเกิด 
ใน 6.2 บอกว่า ละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว หรือบาปที่เกิดขึ้นแล้วซะ
6.3 ท่านบอกว่า ให้ทำกุศลที่ยังไม่เกิด ให้เกิด นะครับ ไล่กันไปเรื่อยๆโดยที่มีคำๆนึงเหมือนๆกันคือ 
ย่อมมีความพอใจให้เกิดขึ้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร
ตรงนี้ยังมีความพยายาม ต้องทำความพอใจเป็นฉันทะให้เกิดขึ้นก่อน 
ไม่อย่างนั้นเนี่ย จิตไม่เห็นประโยชน์ของสิ่งนั้น จิตจะไม่ตั้งมั่น 
จะไม่ประคองตั้งใจไว้ ตั้งจิตไว้เพื่อจะทำสิ่งนี้ให้เกิด 
แต่เมื่อเห็นแล้วในสัมมาสังกัปโป นะครับ คือ มรรคองค์ที่ 2
มีความดำริชอบเอาไว้แล้ว ที่จะพรากออกจากกาม ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน
พอสิ่งนี้จะเกิดเนี่ย ย่อมยังความพอใจให้เกิดขึ้น เพราะมีดำริก่อนไว้แล้ว
มีดำริของเก่าไว้แล้วว่าจะไม่ทำสิ่งนี้อีก ก็จึงต้องพยายามปรารภความเพียรไว้ ที่จะไม่ทำบาป ทำอกุศล
นึกออกมั๊ยครับ? มีดำริเอาไว้ก่อนแล้ว นะครับ
เพราะเกิดปัญญาขึ้นมาแล้วว่า ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ภพชาติหมุนวนแน่
สังสารวัฏหมุนวนแน่ ถ้าไม่ฝืนอำนาจฝ่ายต่ำขึ้นมาเนี่ย
เพราะฉะนั้น เมื่อเราดำริแล้วว่า เราจะเป็นคนดี จะพ้นทุกข์ในอนาคตให้ได้
พอมันเกิดบาปอกุศลขึ้นมา ก็ละเสีย แล้วก็เจริญกุศลขึ้นมา เจริญกุศลขึ้นมา
เพราะตอนนี้ต้องนึกภาพว่า กุศลยังไม่เต็มพร้อม ก็ต้องเจริญกุศลขึ้นมาเรื่อยๆ
.....หัวข้อสุดท้ายครับ

                                    อุปปันนานัง กุสะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา, อะสัมโมสายะ, 
                                    ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ, ภาวะนายะ,ปาริปูริยา,
                                    ฉันทัง ชะเนติ, วายะมะติ,วิริยัง อาระภะติ, จิตตัง ปัคคัณหาติ ปะทะหะติ ,
                                             ย่อมทำความพอใจให้เกิดขึ้น, ย่อมพยายาม, ปรารภความเพียร, ประคองตั้งจิตไว้, 
                                             เพื่อความตั้งอยู่, ความไม่เลอะเลือน, ความงอกงามยิ่งขึ้น,
                                              ความไพบูลย์, ความเจริญ, ความเต็มรอบ, แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว, 
                                     อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม 
                                              ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากล่าวว่า ความพากเพียรชอบ
เอาล่ะครับ มาถึงหัวข้อสุดท้าย หัวข้อย่อยสุดท้าย ข้อ 6.4
ย่อมทำความพอใจให้เกิดขั้น ย่อมพยายามปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้
ที่นี้มาดูว่า ท่านบอกว่า เพื่อความตั้งอยู่ ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ
ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว
ใน 6.3 ท่านบอกให้เราสร้าง ให้เราทำกุศล ให้เราเจริญกุศล
พอถึง 6.4 กุศลที่เจริญน่ะ ทำต่อไปให้งอกงามไพบูลย์ นะครับ ให้งอกงามไพบูลย์ เต็มรอบ
เอาล่ะ อันนี้เป็นความพากเพียรชอบ นะครับ
สาระสำคัญที่เราจะเห็นชัดๆคือ ท่านให้ละอกุศล แล้วก็เจริญกุศล
ในส่วนที่ 6.1 ที่ท่านบอกว่า อย่าให้อกุศลเกิด
เดี๋ยวเราจะไปเห็นในส่วนเนี้ยะ เกิดขึ้นได้เพราะว่า อินทรย์สังวร
การมีสติ ในส่วนของกายคตาสติก็ดี ในส่วนของการเจริญสติก็ดี จะทำให้เกิดการยับยั้ง
จะเกิดอินทรีย์สังวรขึ้น เพื่อไม่ให้บาปอกุศลเกิด แต่ทีนี้ มันก็หลุดได้เหมือนกัน
พอหลุดมาปุ๊บ ก็ต้องใช้ 6.2 คือ ละอกุศลซะ
ในช่วงแรกทำไมต้องละอกุศล? เพราะว่า ยังอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำ
ศีล.. ตอนแรกทำไมต้องมีเจตนาเป็นเครื่องเว้น เพราะถ้าไม่มีเจตนาเป็นเครื่องเว้น
มาพูดกันที่ระดับที่เป็น เอ่อ สุดไปแล้วเนี่ย ...
สมมุติว่า มีบางท่านที่บอกว่า "เงินใครหล่น ชั้นก็ไม่เห็นอยากได้เลย"
ไม่เคยอยากจะได้ ก็เลยคืนเค้าไปเลย ใช่ ท่านลอยพ้นเรื่องนั้นไปแล้ว
ผมถึงบอกว่า แต่ละคน ก็ยืนอยู่บนบันไดที่ต่างๆ กันไป
แต่วันนี้เรามาศึกษาว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เนี่ยครอบคลุมทั้งหมด นะครับ
ครอบคลุมทั้งหมด มาแยกแยะว่า สำหรับคนเก่ง สำหรับคนอินทรีย์อ่อน สำหรับคนอินทรีย์แก่
ต้องไปว่าในรายละเอียด ในอริยมรรคมีองค์ 8 เนี่ย ท่านบอกว่า ใช้ขนสรรพสัตว์ เลยนะครับ
ใช้ขนสรรพสัตว์นะครับ ไม่ใช่ที่ๆอย่างหยาบ
แต่ถ้าท่านไปเจออย่างท่านพาหิยะ "สักแต่รู้ สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน" ปั๊บ! หลุดเลย ก็ว่ากันไป...
แต่จะเอาคำสอน ที่ท่านสอนพระพาหิยะ มาเป็นฐานไม่ได้
เพราะว่าไม่มีใครอินทรีย์แก่เท่าพระพาหิยะ
พูดคำเดียวปุ๊บ!! ปล่อยขันธ์เลย แล้วไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีกด้วย
เข้าสู่นิพพานเลย เป็นพระอรหันต์เลย คือปล่อยแล้วหลุดเลย
วันนี้เรานี่ยังปล่อยๆ หยิบๆ อยู่นะครับ วันไหนก็ตามที่ท่านเข้าใจเรื่องขันธ์ 5
ท่านจะเห็นว่า เดี๋ยวปล่อย เดี๋ยวหยิบ เดี๋ยวปล่อย เดี๋ยวหยิบ อยู่นั่นแหละ
มันไม่หยิบยังไง? มันยังแสวงหาสุขอยู่เลย
มันยังไม่เห็นโทษภัยที่แท้จริงของอุปาทานของขันธ์
มันจึงต้องคอยแอบดูไปเรื่อย แอบดูไปเรื่อย เออทุกข์เนอะ
แต่ชั้นก็ยังสนุกดี เออ .. ก็จบกัน!! แค่นี้ก็รู้แล้วยังปล่อยไม่สุด
เพราะถ้าเห็นมันมีทุกข์เพียงส่วนเดียว แล้วมันสลัดแล้วมันไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีก ก็จบกัน
พระพาหิยะ พอสลัดแล้วไม่หยิบฉวยขึ้นมาอีก
แต่ของเรานี่ มันปล่อยๆ หยิบๆ แล้วทำยังไงมันถึงจะเริ่มเห็นเต็มที่
ก็เริ่ม มรรคองค์ที่ 7 ล่ะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น