ถอดคำบรรยาย หัวข้อ นกกับต้นไม้
……..ไม่ต้องนั่งที่เดิมก็ได้นะ เรามาถึงเราก็นั่งข้างหน้าเลย
ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เห็นมั๊ย ? ว่าเราน่ะ ยึดทุกอย่างเป็นเจ้าของ
ถ้าลองท่านเดินไปแล้วมีใครมานั่งที่ที่ท่านนั่งเมื่อกี้นี้ ….ท่านจะฉุนกึ้กขึ้นมาเลย
มันจะกึ้กกก !ขึ้นมาเลย ( หัวเราะ ) อะไรคนนี้ อยู่ๆมานั่งที่เรา เอ๊อ! แปลก
ที่มีตั้งเยอะแยะไม่นั่ง มานั่งที่เรา ……..ทำไมถึงที่ เรา ล่ะ?
เวลาเราไปสัมมนาที่ไหน โรงแรมไหนที่มีน้องน้ำเยอะๆ เราใช้ไม่ค่อยคุ้มหรอก
เพราะเราใช้ห้องเดียว เราเคยเข้าห้องไหน เราก็เข้าแต่ห้องนั้น
นี่คือธรรมชาติของรูปนาม เราไม่รู้เรื่อง !! รูปนามเค้าทำของเค้าเอง เราไปยึดเค้าเฉยๆ
วันนี้มาทำยังไงให้มันเห็นความจริง มันจะได้ปล่อย
เดินจงกรม นั่งสมาธิ…...
การบรรลุธรรม ไม่ใช่บรรลุธรรมจากการเดินจงกรม นั่งสมาธิ
แต่การเดินจงกรม นั่งสมาธิเป็นอุปกรณ์ เป็นสิ่งที่เกื้อกูล สนับสนุนให้เกิดปัญญา
เป็นสิ่งหนึ่ง ! เมื่อการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ทำให้จิตตั้งมั่น
ความตั้งมั่นของจิต ก็จะเห็นในความเกิดดับในฐานทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม
เมื่อเห็นความเกิดดับในฐาน ทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม จะเกิดปัญญาเรียกว่า สัมมาทิฎฐิ
เมื่อเกิดสัมมาทิฎฐิ ก็จะพ้นไปจากโคตรปุถุชน เข้าสู่โคตรของอริยชน
จากนั้นก็จะเป็นความจริงมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เพราะความตั้งมั่นสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น
เพราะฉะนั้นวันนี้ ……
บางท่านฟังรู้สึกเบิกบานเข้าใจแจ่มแจ้ง ฟังแล้วสนุก มันรื่นเริงในธรรมกับสิ่งที่ได้ยิน
อันนั้นก็เป็นเครื่องวัดว่า ฐานจิตของท่านเข้าไปใกล้มาก หรือดีไม่ดีก็ข้ามไปซะแล้ว
แต่ถ้าฟังแล้วก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่รู้พูดอะไร ก็ไม่ได้ว่าอะไร
แต่ท่านจะแปลกใจ เมื่อถึงวันท้ายๆ หากท่านกลับไปฟัง MP3 ชุดนี้อีกครั้งนึง
ว่า……..ทำไมท่านถึงรู้เรื่อง !!!
หากท่านเคยดูหนังที่เค้าฉายตอนจบก่อน ฉายตอนท้ายตอนจบก่อน….ดูไม่รู้เรื่อง !!!
จนกระทั่งหนังดำเนินไปจนถึงกลับมาตอนแรก แล้ววกกลับไปตอนจบอีกครั้งหนึ่ง
ท่านจะรู้คทั้งหมดว่า อ๋อ…..เป็นอย่างนี้เอง
วันนี้หนังดูเหมือนวันแรกก็จริง แต่เอาตอนจบมาฉายก่อน
มันจะรู้เรื่องได้ยังไง นอกจากคนที่ดูหนังรอบ 2 รอบ 3
บางคนดูหลายรอบ แล้วก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
คลิปวีดีโอเรื่อง นกกับต้นไม้
หากที่บ้านท่าน มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง
มีรังนก แล้วก็นกออกจากไข่ นกตัวนั้น …… ลูกนกจิ๊บๆๆ เกิดขึ้นมาบนต้นไม้ต้นนั้น
หลังจากนั้น นกก็ค่อยๆโตขึ้นตามลำดับ โตจนกระทั่งถึงวันนึง
นกกับท่านพูดกันรู้เรื่อง ( ไม่รู้มันโตแบบไหน ^__ ^ )
ท่านก็ไปคุยกับลูกนกถึงต้นไม้ที่มันอยู่
ลูกนกก็คุ๊ยย คุยๆๆ เรื่องต้นไม้ เรื่องต้นไม้ เรื่องต้นไม้ เรื่องผลไม้ที่ออกลูกให้ท่านฟัง
ด้วยความชื่นชมยินดีว่าเป็นมัน เป็นของมัน
ท่านก็ เอ๊ะ ! เธอบอกว่าต้นไม้เป็นของเธอหรอ?
นกก็บอกว่า….อ้าว! ใช่สิ ก็ชั้นอยู่ที่นี่…. เป็นของชั้น
เห็นมั๊ยละ ? มันโตขึ้นทุกวัน ชั้นก็โตขึ้นทุกวัน …. เราโตขึ้นด้วยกัน
เวลาท่านไปหาปุ๋ยหาอะไรมาหยอดๆๆ ที่โคน มันก็แข็งแรงออกลูกเห็นมั๊ย
ชั้นดีใจมาก ชั้นมีความสุขมาก เวลามันออกลูก ออกมาเป็นผลไม้
แต่บางช่วงงเวลาที่มีเพลี้ย มีหนอนมากิน ชั้นก็เศร้าใจนะ
ชั้นทุกข์ใจกับต้นไม้ของชั้น ต้นไม้ของชั้นมันจะต้องตายแล้ว เราจะต้องตายด้วยกันอีกแล้ว
ท่านยืนฟังนกพูดซักพัก ท่านชักเอะใจแล้ว
นกเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ ท่านบอกว่า
“ ลูกนก อย่าหาว่าเสือกเลยนะ แต่จะบอกความจริงให้ ว่าต้นไม้กับลูกนกน่ะ ไม่เกี่ยวกันเลย ”
นกเคืองนะ พูดกันอยู่หลายตั้ง พูดกันไม่รู้เรื่อง
ท่านพยายามคิดว่าทำอย่างไงหว่า นกถึงจะรู้ความจริง ท่านจึงโพล่งขึ้นมา
อาศัยด้วยว่าเป็นนักปฏิบัติมาก่อน จึงบอกลูกนก บอกว่า
“เอาอย่างนี้ นกเอ๊ย ! ... ด้วยความหวังดี จากนี้ไปนะ สังเกตตัวเองแล้วก็สังเกตต้นไม้ไปเรื่อยๆ
ตามดูตามรู้ไปเรื่อยๆ แล้วซักพัก เธอจะเห็นความจริง !! ”
จากนั้น ทานก็ผละออกจากบ้านนั้นไปธุระที่อื่น เป็นเวลานานหลายปี
ในเวลาต่อมา ท่านกลับมาที่บ้านหลังนั้นอีก นั่งชมสวนอยู่ เห็นต้นไม้ ...แว๊บบขึ้นมา
เห็นนกเกาะอยู่พอดี ตัวมันโตขึ้นแล้ว
จึงเดินเข้าไปหาลูกนก อ้าว! ไมใช่ลูกนกแล้ว ตอนนี้นกตัวโตแล้ว
ด้วยความคิดว่าเที่ยวนี้มันต้องรู้ความจริงแล้ว เพราะมันโตแล้ว
มันน่าจะมีวุฒิภาวะพอแล้ว แล้วมันก็สังเกตมาเรื่อยๆแล้ว
ตามดู ตามรู้มาเรื่อยแล้ว
เป็นไงล่ะนก รู้ความจริงแล้วใช่มั๊ย ว่าต้นไม้กับแกน่ะ มันไม่เกี่ยวกันเลย มันเป็นคนละส่วนกัน แกไปยึดเฉยๆ ว่าต้นไม้เป็นของแก
นกบอก พูดอะไร ? เมื่อหลายปีก่อน ก็บ้าพูดอย่างนี้ทีนึงแล้ว
นี่มาถึง ยังมาพูดอย่างนี้อีกแล้ว ชั้นก็สังเกตมาตลอดนี่แหละ
แต่ชั้นก็…... ทำไมเหรอ ? ก็ต้นไม้ก็เป็นของชั้นอยู่ดี
งานนี้ เจ้าของบ้านเอะใจ นกมันดูยังไงเนี่ย
ทำไมมันถึงไม่เห็นอ้ะ ว่าต้นไม้กับมันไม่ใช่สิ่งเดียวกันน่ะ
มันไปยึดต้นไม้ขึ้นมาเฉยๆ….. ทำไมมันถึงไม่เห็นอ้ะ…..???
ท่านเริ่มรู้สึกว่าเรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยากซะแล้วแฮะ !
(◔‸◔ )
หลังจากนั้น เจ้าของบ้านเริ่มแอบดูนกของตัวเอง ว่ามันดูต้นไม้ยังไง มันถึงไม่รู้
ไม่ต้องมากเลย เฝ้าดูแค่วันเดียว อ๋อเลย
ไอ้นกเอ๊ย มันดันดูต้นไม้แบบแม่ดูลูกนี่หว่า แล้วมันจะไปรู้ความจริงได้ยังไง
ทำไมเหรอ แม่ดูลูกเป็นยังไงเหรอ ???
ถ้ามีคนมาบอกคุณ บอกว่า
นี่!! ลูกคุณน่ะนะ ปากเสีย เกเร แกล้งเพื่อน ไม่มีสัมมาคารวะ มูมมาม
ความจริงท่านปรี๊ดดด ขึ้นตั้งแต่คำแรกแล้ว( ฮา ) ไม่รอถึงคำที่ 4 หรอก!! ดีไม่ดีท่านตุ้บกลับไปแล้ว
ท่านโกรธตั้งแต่เค้าพูดคำแรกแล้ว หลังจากนั้น…..ด้วยความขุ่นเคือง ….
แต่เอาละ ไหนลองดูซิ มันจริงอย่างที่เค้าว่ารึปล่าว ลูกเรา ….
ลูกท่านก็ด่าเพื่อนที่เล่นด้วย………...อืมม เด็กมันก็อย่างนี้แหละ
กินอาหารมูมมาม …………………….. เอ้า ก็มันหิวอ้ะ
ไม่มีสัมมาคารวะ ……………………... ก็เด็กรุ่นใหม่มันก็อย่างนี้ทุกคนแหละ
มันเป็นอะไรอ้ะ ไอ้นั่นก็ใส่ร้ายลูกจนเกินเหตุ
อีกสองวันผ่านมา เพื่อนข้างบ้านเอาลูกมาฝาก
เพราะเค้าจะไปเข้าคอร์สปฏิบัติ 7 วัน เลยเอาลูกไปฝากข้างบ้าน
ทะเลาะกัน !! เด็กสองคนทะเลาะกัน ไอ้นั่นก็ด่าไอ้นี่ --ไอ้นี่ก็ด่าไอ้นั่น
ตอนกินข้าวก็หกทั้งคู่เลย [ ไม่มีสัมมาคารวะ เจอเราเลี้ยงแทนก็ยังไม่เคยเคารพ ไม่เคยยกมือไหว้ ]
ท่านบอก โหย….. แม่มันสอนมายังไงวะเนี่ย ทำไมเกเรอย่างนี้ ด่าเป็นไฟเลย
กินอาหารมูมมามชิบเป๋งเลย บ้านสงสัยอยู่กันต่ำมาก
เนี่ยะ !! ลูกคนอื่นเห็นหมด ลูกตัวเองมองไม่เห็นเลย เพราะมันมีความเอนเอียงในการดู
วันนี้ ท่านปฏิบัติมากี่ปีแล้ว ผมไม่ได้ว่าอะไรนะ
( ถ้าไม่ได้ว่า จะรู้จะพูดถามทำไม … หัวเราะ )
เฝ้าตามดู ตามรู้ มานานแค่ไหนแล้ว ?
ทำไมมันถึงไม่โพล่งขึ้นมาซักทีว่า นี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา !!!
เพราะท่านดูกายกับใจเนี่ย ด้วยความเอนเอียง ท่านไม่มีความตรงไปตรงมาในการดู
ท่านไม่ดูลูกเหมือนกับให้กรรมการข้างนอกมาดูนี่
ถ้าท่านเอากรรมการข้างนอก … ไปจ้างคนนอกมาดูสิ!
ท่านจะเห็นเลย….คนนอกจะบอกเลยว่า เด็กสองคนน่ะ แย่พอกัน
แต่นี่ท่านบอกว่า ลูกท่านโอเค แต่ลูกคนอื่นใช้ไม่ได้
เพราะท่านดูด้วยความเป็นเรา เป็นของเรา
ดูยังไงมันก็ไม่ขาด ดูยังไงมันก็ไม่แจ้ง ดูให้ตายเถอะ เพราะว่าอะไร
พูดน่ะ เสียงดังไปอย่างนั้นเองนะ ( หัวเราะ )
แต่ไม่ได้โกรธนะ เดี๋ยวจะว่าอะไรทำไมต้องดุด้วยนะ (หัวเราะ )
นี่ดูนี้ตรงนะ เวลาเดินจรงกรมเดินอย่างนี้ใช่มั๊ย
( เดิน…….. ) เห็นอาการเคลื่อนนะ เห็นอาการเคลื่อนนะ
ไม่ใช่เห็นเท้าขวา เท้าซ้ายนะ ไม่ใช่เห็นเท้าเดินนะ
เมื่อจิตตั้งมั่น สิ่งที่จะเห็น มีแค่ สองอย่างเท่านั้นนะ
มีผู้รู้ กับ โทษนะ... ผู้ถูกรู้ จะเป็นรูป หรือจะเป็นอาการ
หรือจะเป็นพฤติกรรม หรือเป็นพลังงานที่ออกมาก็ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าเดินจงกรมถูกจริงๆ เนี่ย ไม่นานต้องโพล่งขึ้นมาแน่ๆ ว่านี่เป็นธาตุ ไม่ใช่เรา !!!!
เพราะมันจะเหลือแค่รู้ กับผู้ถูกรู้
ไม่มีเรา เพราะตำแหน่งมีอยู่แค่นี้
กำลังฟังผมอยู่เนี่ย ทำความรู้สึกที่ก้นครับ !!
อาสนะเป็นยังไงครับ นิ่ม อุ่น …….ถูกมั๊ยครับ
ก่อนผมพูด อาสนะมีมั๊ยครับ ?
ก่อนผมพูด มีก้นมั๊ยครับ ?
ก้นมีตอนผมพูดขึ้น มันจึงดำริตริตึกก้นขึ้นมา
มันจึงฉายก้นขึ้นมา ตอนฉายก้นขึ้นมา เอ้า สังเกตที่ก้นครับ….รู้ลมมั๊ยครับ
ไม่รู้!!! เห็นรึยัง วิญญาณ ปุ๊บปั๊บ ปุ๊บปั๊บ มันดับอย่างงี้
…...ไฟฉาย…. ( กระพริบได้ )
เวลาเดิน เดินอย่างนี้ ไม่ใช่เดินแบบนี้ ให้เห็นว่า มีแค่นี้ก่อน
เห็นธรรมคู่ก่อน มีผู้รู้ กับผู้ถูกรู้ มีแค่นี้
แล้วเดี๋ยวไม่นานหรอก ภาวนาไปคล้ายๆทำเล่นๆ อย่าจงใจให้มาก
อย่าบีบคั้น อย่าข่มขืนใจ - อย่าข่มขืนใจเพราะว่าใจจะไม่เกิดกัมมนีโย
คืออาการแคล่วคล่องว่องไวของจิตมันจะเกิดไม่ได้ เพราะท่านทำ…
แบบ ทำให้เหมือนท่านทำกับกัลยาณมิตรน่ะ ทำเหมือนโคนันทวิศาล
เด็กรุ่นใหม่เรียนมั๊ยนี่ ไม่ได้เรียนเนอะ รู้มั๊ย หรือว่าผมเรียนอยู่แค่โรงเรียนเดียว ( ฮา…… )
เป็นวัวที่ เจ้านายด่าเอา พูดเอาจิกเอา ตีเอา วัวไม่ยอมเดิน
ทำไงก็ไม่เดิน จนกระทั่งมีคนบอกให้ไปพูดกับวัวดีๆสิ
วัว…..พ่อเจ้าประคุณ ช่วยเดินเถอะ วัวก็เลยเดินนะ พูดกันดีๆก็ได้
จิตมีธาตุรู้ นะตรัสรู้ได้ทีเดียว อย่าทำเหมือนเค้าเป็นเด็กๆ ( หัวเราะหึ หึ )
อย่าทำเหมือนเค้าเป็นควาย ( จริงๆน่ะ เค้าไม่ได้เป็นหรอก หัวเราะ ...ฮา )
ค่อยๆตะล่อมเข้ามา เนื่องจากมันเป็นธรรมชาติที่เรียนรู้ได้ ฝึกได้
แต่เพราะความไม่รู้ เค้าจึงไปยึดถือ ...เค้าจึงไปยึดถือขันธ์
เค้าจึงไปยึดถือตัวเอง เมื่อไปยึดถือขันธ์
จึงก่อให้เกิดเหตุเกิดของขันธ์
เอาล่ะนะครับช่วงนี้ยังไม่ลงไปในรายละเอียดอะไรล่ะ
เพราะว่าพูดมาสองชั่วโมง ท่านอาจจะจับได้ตรงเดินจงกรมนี่แหล่ะ
เอาตรงนี้ไปก่อน พูดทิ้งไว้ วันหลังจะกลับมาเปิดย้อนฟัง หรือไม่ก็เอาไว้พูดอีกครั้งนึงวันสุดท้าย
หรือไม่ก็เอาเป็นบททดสอบตอนหลวงพ่อมา ( หัวเราะ .. ) (หมายถึง หลวงพ่อเอี้ยน )
ถ้าท่านฟังทุกอย่างรู้เรื่องรู้ทุกคำ ตื่น…..โอ้โห เบิกบานเหลือเกิน ^____^
เขาใจสภาพที่หลวงพ่อบรรยายนั่นก็ถือว่าท่านเกิดสัมมาทิษฐิแล้ว
เอาล่ะครับ ไปภาวนากันละก้อ มาเจอกันอีกทีตอน 6 โมงตรงเพื่อมาทำวัตรเย็นกัน
ก็ บริหารเวลาเองนะครับ คอร์สเข้ม ใครเพิ่งมาครั้งแรก
ใครมาบ่อยๆแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครมาครั้งแรก ท่านอยากจะอาบน้ำเลยก็อาบ
หรือจะไปอาบก่อนนอนก็ไปบริหารเวลากันเองหมด
แต่อย่างไรก็ตาม สำรวมอินทรีย์ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีสติระลึกเอาไว้
เมื่อกี้ได้ฟังแล้วผู้อยู่ใกล้นิพพาน ก็คือ ทำอยู่อย่างนี้แหละ เป็นผู้มีศีล
ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาหรอก นะ ตอนนี้จัดการที่ใจ นะ
แล้วก็ โภชนีมัตตัญญุตา …..
อย่าให้เครื่องชงหรือเค้าท์เตอร์เครื่องชงมันดูดนัก
เดินๆ วู้ย เบื่อโว้ย เดินไปแต่ห้องนั้นอ้ะนะ อยู่ห้องนั้นมากกว่าอยู่ห้องตัวเองอีก นะ
เดี๋ยวก็ชง เดี๋ยวก็ชง ก็มันไม่รู้จะทำอะไรนะ วันๆโอ๊ยเบื่อเว้ย ชงอยู่เรื่อย
ระวังเบาหวาน กลับไปเป็นเบาหวานมีทั้ง น้ำแดง ทั้งโอวัลตินอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
( ไม่รู้มีรึปล่าว ผมไม่ได้ไปดู )
เอาแค่บอกตัวเองว่า สี่โมงครึ่ง มื้อเดียว เลิก !!~ นอกนั้น น้ำเปล่า
มันจะมากกว่านั้นนิดหน่อย ก็อย่ามากนะ นิดหน่อย ... เช้าๆอาจจะกาแฟ ถ้าใครติดกาแฟนะ
การนอนการอะไรก็ น้อยๆ นะครับ ปวดหลังอะไรบ้างก็เอนลงไปได้ (หัวเราะ … )
แต่ว่าลุกขึ้นมาเร็วๆ ไอ้เตียงยี่ห้อนี้นี่มันจะเป็นอย่างเนี้ยะ นะ
พอมันลงแล้วมันจะไม่ค่อยให้ขึ้นน่ะ แล้วเราก็จะโทษเตียง
เพราะเราถนัดเรื่องจะโทษโยนความผิดไปให้คนอื่น
ถ้ามาเข้าคอร์สแล้ว จะนั่งสมาธิแล้วไม่สงบ เพราะอาจารย์ไม่ดี ( หัวเราะ )
สถานที่ไม่สัปปายะ อาหารเมื่อเช้าอะไรนี้น่ะ เราจะโทษคนอื่นหมด
เราไม่เคยดูตัวเองเลยว่าเราสร้างเหตุอะไรมา เอาละครับกราบพระแล้วเชิญ…
แค่วันแรกนะ ก็ดุเดือดแล้ว……..
---------------------------------------------------------------------------------------------------
กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ
- ด้วยจิตคารวะ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น