9/21/2556

มรรคองค์ที่ ๘ สัมมาสมาธิ

ถอดคำบรรยายธรรม เรื่อง มรรค องค์ที่ ๘
อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ธรรมบรรยาย เพื่อความรู้แจ้ง แห่งวิถีทางดับทุกข์
ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2556

ในมรรคองค์ที่ 8 ผมจะใช้วิธีอ่านนำเลยนะครับ เพราะว่าเวลาเราจะไม่พอ

                                                               (องค์มรรคที่ ๘)

                                กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ, 
                                        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ความตั้งใจมั่นชอบ เป็นอย่างไรเล่า
                                อิธะภิกขะเว ภิกขุ, 
                                        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ภิกษุในธรรมวินัยนี้, 
                                วิวิจเจวะ กาเมหิ, 
                                        สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย, 
                                วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, 
                                        สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย, 
                                สะวิตักกัง สะวิจารัง, วิเวกะชัง ปิติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ, 
                                        เข้าถึงปฐมฌาน, ประกอบด้วยวิตกวิจาร, มีปีติและสุข อันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่, 
                                วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา,
                                        เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง, 
                                อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส, เอโกทิภาวัง, อะวิตักกัง อะวิจารัง, 
                                สะมาธิชัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ, 
                                        เข้าถึงทุติยฌาน, เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน, ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น, 
                                        ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร, มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิแล้วแลอยู่, 
                                ปิติยา จะ วิราคา,
                                        อนึ่ง, เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ,
                                อุเปกขะโก จะ วิหะระติ, สะโต จะ สัมปะชาโน,
                                        เป็นผู้อยู่อุเบกขา, มีสติและสัมปชัญญะ, 
                                สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ,
                                        และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย, 
                                ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ, อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารี ติ, 
                                        ชนิดที่พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า, เป็นผู้อยู่อุเบกขา 
                                        มีสติ อยู่เป็นปกติสุข ดังนี้, 
                                ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ,
                                        เข้าถึงตติยาฌาน แล้วแลอยู่,
                                        สุขัสสะ จะ ปะหานา, 
                                         เพราะละสุขเสียได้, 
                                ทุกขัสสะ จะ ปะหานา, 
                                        และเพราะละทุกข์เสียได้, 
                                ปุพเพวะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา, 
                                        เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง ในกาลก่อน
                               อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง, จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ, 
                                        เข้าถึงจตุตถฌาน, ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข, มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
                                        แล้วแลอยู่  
                                อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ. 
                                       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, อันนี้เรากล่าวว่า ความตั้งใจมั่นชอบ

ก็จะให้ดูตามไปเลยนะครับ
ความตั้งมั่นชอบเป็นอย่างไรเล่า สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากธรรมอันเป็นอกุศล
ดู 2 ข้อนี้ไว้ให้ดีๆก่อนนะครับ สงัดแล้วจากกาม และธรรมอันเป็นอกุศล
คำว่าธรรมนี่คือ สิ่งทั้งปวงนะครับ อย่านึกว่า ธรรมคือธรรมะ 
เอ๊ะ!ธรรมะทำไมเป็นอกุศล อะไรอย่างนี้ คือ อย่าไปแปลอย่างนั้นนะครับ
ธรรม คือสิ่งทั้งปวง ทุกๆสรรพสิ่งในโลกใบนี้ ยกเว้น นิพพานอย่างเดียว ที่เป็นสิ่งที่ยังเกิดดับ เกิดดับ
ธรรมที่เป็นอกุศล ก็หมายถึงว่า สิ่งทั้งปวงที่เป็นอกุศล คือจิตสงัดแล้วจากสิ่งเหล่านั้น เข้าถึงปฐมฌาน
ก็แปลว่า ปฐมฌานเข้าได้ มาจาก 
1. สงัดจากกาม 
2. สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศล 
จิตจะเริ่มเข้าถึงปฐมฌาน
แต่ยังประกอบด้วยวิตก วิจารณ์ คือมีความตริตรึก ไปถึงข้างหน้า ไปถึงอนาคต ไปถึงอดีตอยู่ นะครับ
หรือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น นั่งแล้วเกิดวิตก วิจารณ์เนี่ย แล้วก็มีปิติสุขกันเกิดจากวิเวก
วิเวกแล้วจากกาม จากธรรมที่เป็นอกุศล เข้าถึงปฐมฌาน 
เมื่อจิตเข้าถึงตรงนี้ เอ้า ผมยกตัวอย่าง สมมุติว่าท่านนั่งสมาธิอยู่ 
จะรู้ลมหายใจ รู้ท้องพองยุบ หรืออะไรก็แล้วแต่
ในขณะนั้นเนี่ย ท่านพรากออกมาจากกาม ท่านพรากออกมาจากกามแน่ๆ
แล้วก็สงัดจากธรรมอันเป็นอกุศล
ในช่วงแรกอาจมีความคิดที่เป็นนิวรณ์เดือดเนื้อร้อนใจ
แต่สักพักมันก็จะเริ่มจางไปๆๆๆ แล้วก็สงัดจากกาม แล้วก็สงัดจากธรรมอันเป็นอกุศล
จิตจะค่อยๆผ่องใสขึ้น แล้วก็ตั้งมั่นขึ้น เข้าถึงปฐมฌาน มีวิตก วิจารณ์ คือยังมีเสียงพากย์ในหัว 
ยังมีเสียงพากย์อยู่ในหัว แต่มีปิติ น้ำหูน้ำตาไหล ขนลุกขนพอง อะไรก็แล้วแต่ นิดๆหน่อยๆก็ได้
หรือจะเกิดขึ้นเยอะๆก็ได้ แล้วแต่บางคน
มีสุขอันเกิดจากวิเวกแล้วแลอยู่ ....แค่เนี้ย ปฐมฌาน นะครับ
หลายท่านก็อาจจะมีความรู้สึกอย่างนี้บ้าง เวลานั่ง
แต่ไม่ต้องเกิดในสมาธินะครับ ไม่เกี่ยวว่าจะต้องอยู่ในท่านั่งนะครับ
อย่างปฐมฌานเนี่ย นั่งดูอะไรแล้วมันเกิดสิ่งนี้
สมมุติว่าดูเรื่องพระคุณแม่ โอวววว เกิดความปิติน้ำตาไหล 
ตอนนั้นก็สงบจากกาม สงัดจากธรรมอันเป็นอกุศลเหมือนกันนะครับ
ดูพระกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน
โอยยยย ท่านเมตตาเราจริงๆ จิตเข้าสู่ปฐมฌานเหมือนกันนะครับ
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจให้ถูกเรื่องของปฐมฌาน นะครับ
ไม่ใช่ว่าจะต้องท่านี้( นั่งสมาธิ ) เพียงอย่างเดียวนะครับ ก็ไม่ใช่แล้วนะครับ
แต่ว่าถ้าเลยจากตรงนี้เนี่ย มันก็ต้องว่ากันไปเรื่อยๆแหละ
ที่นี้ ด้วยความที่วิตก วิจารณ์ทั้งสองระงับลง ก็คือเริ่มเงียบ เสียงพากย์ในหัวเริ่มเงียบ
จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา เข้าสู่ทุติยฌาน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจภายใน
ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจารณ์ คือเงียบล่ะ
มีแต่ปิติและสุข อันเกิดจากสมาธิ ตอนนี้จิตเข้าสู่สมาธิแล้ว จิตเริ่มตั้งมั่นแล้ว แต่ยังมีปิติ กับสุขอยู่ 
อนึ่งเพราะความจางคลายไปแห่งปิติ ในฌานที่ 2 ยังมีปิติและสุขอยู่
ทีนี้ พอปิติเริ่มจาง พอ ปิติมันเกิดขึ้น มันก็จางลงไปเหมือนกัน 
ทีนี้ พอปิติเริ่มจาง จิตเริ่มอยู่เป็นอุเบกขาแล้ว ความสุขที่วูบๆวาบๆก็เริ่มค่อยๆสงบลง
จิตก็เริ่มเข้าสู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ ..นะครับ เสวยความสุขด้วยนามกาย
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลายกล่าวสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นปกติสุข เข้าถึงตติยฌาน 
แล้วทีนี้ 
พอละสุขละทุกข์เสียได้ เพราะความดับไปของโทมนัสและโสมนัสทั้งสองในกาลก่อน
เข้าถึงฌานที่ 4 ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่
ทำไมพระพุทธเจ้าท่านได้พูดถึง สัมมาสมาธิไว้ในรูปฌาน4 ? ต้องดูตรงนี้ไปก่อน นะครับ
แล้วเดี๋ยวผมจะทำให้ท่านเห็นอะไรบางอย่าง
ท่านจะพูดถึงการเดินทางของจิตมาจนกระทั่งถึงจุดนี้ ฌานที่ 4
เมื่อจิตเดินทางมาถึงฌานที่ 4 เนี่ย เราจะเห็นแต่ละคำจะบอกว่า
ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข 
มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติ (เน้น )มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติ
บริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่
ตรงนี้ จิตจะเข้าไปสัมผัสกับอุเบกขาแท้ๆ ถ้าจิตเข้าไปสัมผัสอุเบกขาแท้ๆตรงนี้ได้บ่อยๆมากๆ
มันจะเหมือนกับเด็กคนนึง ...ถ้าวันนี้ เราเองเป็นผู้ใหญ่ 
เรารู้สึกว่านอกบ้านเนี่ย มันร้อน แต่ทำไมเด็กมันชอบวิ่งเล่นนอกบ้าน 
บอกให้มันนั่งเฉยๆซัก 5 นาทีนี่ นั่งไม่ได้ วิ่งปรู๊ด ออกไป
ออกมานั่งซัก 10 นาที..ไม่ได้!! ทำยังไงก็ไม่ได้
เหมือนนั่งสมาธิเนี่ย อยู่ๆใครจับเรามานั่งปุ๊บ นั่งไม่ได้!! ทำยังไง?
เค้าถึงต้องใช้อุบาย "เอ้าหนู ให้ 20 บาท นั่งตรงนี้ครึ่งชั่วโมง"
พอนั่งครึ่งชั่วโมงปุ๊บ แบมือ...เอ้า 20 แล้ววิ่งไป
เดี๋ยวๆมาอีก "เอ้าวันนี้นะ ให้ 50 เลย นั่งชั่วโมงนึง" ให้ชั่วโมงปุ๊บ นั่งอยู่เฉยๆปุ๊บ วิ่งออกไป
ทำอย่างนี้ บ่อยๆเนืองๆ บ่อยๆเนืองๆ จนวันนี้ ถ้านั่งได้ทั้งวัน ให้ 100 นึง 
นั่งทั้งวันอ้ะ! ให้ร้อยนึง
บ่อยๆเข้าเดือนนึงผ่านไป สองเดือนผ่านไป สามเดือนผ่านไป ก็ใช้อุบายเนี้ย ไปเรื่อย
พอถึงวันนึง 
อ้าว วันนี้ไม่ออกกไปเล่นข้างนอกเหรอ?
(สั่นหัว) ฮึ ไม่ไปอ้ะ
อ้ะ ทำไม
ข้างนอกร้อน ฝุ่นเยอะ เพื่อนแกล้งด้วย
อ้าว ทำไมเมื่อก่อนชอบ?
ก็ม่รู้ว่าตรงนี้มันสบายกว่า
ใช่!! อุบายมีอยู่แค่นี้เอง 
ถ้าจิตได้สัมผัสสิ่งนี้บ่อยขึ้น ๆ จะรู้เลยว่า ที่ไหนที่สมควรอยู่ !!
วันนี้ ไม่มีทางเลือก เด็กคนนี้ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน
ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ตรงนี้สบายกว่า เคยมีแต่คนบอกแต่ไม่เชื่อ
จนกระทั่งต้อง ประจักษ์แจ้ง ด้วยประสบการณ์ของเด็กคนนี้เอง
ถ้าอุปมาเด็กนี้ฉันใด อุปมัยว่าจิตเป็นฉันนั้น จะเหมือนกันเลย
เฮ้ย ทำไมมันถึงวิ่งกระสับกระส่าย พอบอลมา ก็เอาแต่นั่งดูบอล
ตอนที่มันจะยิงเข้าไม่เข้า โอ๊ยๆๆ ลุ้นๆๆ หรือว่าดูข่าวหรือดูอะไรก็แล้วแต่ ดูกีฬา
มันจะบีบ จะฆ่ากันอะไร โอยย ชอบดูหนังแอคชั่น หนังผี ทำตาอย่างนี้ก็เอา ( ทำท่าปิดตา )
คือ จะดูทำไมถ้างั้น นะ แต่ พอด้วยความที่.... มันไม่ได้ดูตรงโน้นหรอก มันชอบตรงนี้
จิตมันชอบเสพความทุกข์ มันชอบเสพความตื่นเต้น ที่นี้มันบีบๆๆๆๆ มันไปชอบตรงนี้ (ใจ)
ทีนี้พอไฟดับวูบ!! เฮ้อ ! ค่อยยังชั่วหน่อย
อ้าว แล้วทำไมไม่ปิดซะเองล่ะ
ไม่เอา อยากดู! 
เอ๊อะ ! ยังไง ! ( หัวเราะ ) ฟังแล้วงง งง เพราะว่าไฟดับพรึ่บ หึ ..ดีเหมือนกัน เกือบตายเมื่อกี้นี้
เพราะว่ามันถูกบีบคั้นมาก แล้วมันก็ปล่อย พอมันเข้าสู่อุเบกขา มันก็คือ สบาย
แต่ด้วยความที่มันไม่คุ้น มันจึงกระโดดเข้าไปงับฝั่งโน้น
แต่คนที่ฝึกมาซักพักนึง ทุกคนที่มาบอกผม เดี๋ยวนี้พอดูอะไรที่มันโหดๆ ปิดดีกว่า ( หัวเราะ )
คือมันทนไม่ไหว ปิดเอง ไม่ต้องรอไฟดับ ไม่รู้จะต้องดูไปทำไม
ผมก็บอก ก็ดีแล้ว ก็จะดูไปทำไม ดูแล้วมันเกิดอกุศล ดูแล้วมันบีบคั้น
มันก็ไม่ใช่ว่าจะต้องดูอะไรกันนักหนาหรอก
ปิดตาซะบ้าง ปิดหูซะบ้างแต่ถ้าอะไรจำเป็นต้องดู ก็ดูไป 
แล้วก็หาทางปล่อยวางพวกนี้บ้าง ถ้ามันจำเป็นต้องดู
แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องดูหนังที่มันกรี๊ดๆๆ แล้วก็แกล้งไปตบกันเนี่ย อย่าไปดูให้เสียเวลาเลย
อย่าไปซ้อมลงนรกกับพวกเค้า เค้าน่ะอาจจะไม่ได้ลงหรอก เค้าเล่นด้วยใจเป็นกลาง
ไอ้เราน่ะ นั่งดูไม่ค่อยใจเป็นกลางเท่าไหร่ วูบวาบๆๆ (หัวเราะ )

1 ความคิดเห็น:

  1. สาธุครับ อาจารย์ประเสริฐสามารถนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอธิบายได้เข้าใจง่ายๆ ขออนุโมทนาด้วยครับ ถ้าไม่มีอาจาย์
    ประเสริฐ ในวันนี้ผมและอีกหลายๆคน ความทุกข์ก็คงไม่เบาบางลงครับ ขอกราบเคารวะความมีเมตตาของอาจารย์ด้วยหัวใจครับ

    ตอบลบ