2/18/2557

พังประตูคุก ตอนที่ 5 ขันธ์ ๕ มีความสืบเนื่อง

ถอดคำบรรยาย:
คอร์ส “มัคคานุคาเข้มระดับ 2” เรื่อง พังประตูคุก
ตอนที่ 5 “ขันธ์ ๕ มีความสืบเนื่อง”

บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
สวนธรรมศรีปทุม


สวัสดีครับทุกท่าน

ก็เข้าสู่วันที่ 2 ในการปฏิบัติ  เป็นการบรรยายในช่วงค่ำ

เราก็ฟังกันมา 4 ครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 5 แล้ว

ในนี้มีใครไม่ได้ฟังชุด ทุบเปลือกทำลายเมล็ดบ้าง ช่วยยกมือหน่อยสิครับ

ออ...ประมาณซัก 30-40 %  แต่เดี๋ยววันสุดท้ายท่านก็ได้รับแจกนะครับ

ก็เป็นคอร์สเข้มเหมือนกันนะครับ จัดที่ยุวพุทธ ฯ ศูนย์ 2

เป็นเรื่องของขันธ์ 5 เพื่อให้เห็นความจริง ความจริงตามความเป็นจริง

เรามาปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่เราจะได้ยินเพื่อให้ เห็นถูก

อย่าง กายานุปัสนาสติปัฐฐาน ก็เพื่อให้เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ

มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส  มีสติสัมปชัญญะ มีสติ

ถอนความพอใจและความไม่พอใจ ให้เห็นความจริงว่า

ขันธ์นี้ ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา  กายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา

เราก็ได้ยินอย่างนี้มาตลอด หลายคนก็คง Question mark กันเหมือนกันว่า


ทำไมถึงต้องให้เห็นว่า ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา

ต้องฟัง แล้วก็ให้เห็นตามที่พระพุทธเจ้าบอกเหรอ?  ถึงจะพ้นทุกข์

ความจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว

เนื่องจากว่า ขันธ์ 5 เนี่ย หรือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร  วิญญาณ

ก็ไม่ได้เป็นตัวตนอยู่แล้ว

การที่มาเป็นผู้พิจารณาให้เห็น คือให้เห็นความเป็นจริงเฉยๆ

แต่มันก็น่าแปลก  หากความเป็นจริงอยู่ตรงนี้แล้ว ทำไมเราจึงไม่เห็น

เราก็ยังมีเสียงคัดค้านอยู่ข้างในตลอดเวลา

เอ... แล้วนี่ใครมันนั่งอยู่ล่ะ ? แล้วนี่ใครมันเจ็บ  แล้วนี่ใครเป็นคนทำงานทำการ

แล้วชั้นมีลูก ไม่ใช่ลูกชั้นเหรอ ?  ทุกอย่างมันก็เลยเริ่มสับสนใปหมด

ใจก็อยากจะเชื่อเหมือนกันแหละ  แต่ไอ้ข้างในก็ยังดิ้น ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ผมยกตัวอย่างหลายครั้งนะครับ ที่เกี่ยวกับว่า

เมื่อพันปีก่อน ทุกคนเชื่อว่าโลกใบนี้แบน นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์กันแล้ว ก็ว่าโลกใบนี้แบน

หากมีใครซักคนนึง ซึ่งในยุคนั้นก็มีจริงๆที่เค้าบอกว่ามันไม่แบน .... มันกลม

คนนั้นก็ถูกเอาไปประหาร   จนมาถึงวันนี้  โลกใบนี้กลม ทุกคนรู้หมด

แสดงว่า วันที่ทุกคนเชื่อว่าโลกใบนี้แบน  มันไม่เคยแบนเลย

เพราะว่ามันไม่ได้เปลี่ยนกลับมา กลม

มันเป็นของมันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว  ตามเหตุปัจจัยของมัน

พอห็นวันนี้ก็น่าเสียดายแทนคนที่ถูกเอาตัวไปประหาร  เพราะเค้าเห็นอยู่คนเดียว

ตกลง มนุษย์เชื่อว่าโลกใบนี้แบน  และคนส่วนใหญ่ด้วย  แต่มันไม่เคยแบน

และที่เราเชื่อว่ากายนี้เป็นของเรา กายนี้เป็นของเรา ใจนี้เป็นของเรา

พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ใช่  หรือว่ามีท่านคนเดียว  องค์เดียว

ที่พูดอย่างนี้อีกครั้งหนึ่ง  แต่คนในโลกไม่เชื่อท่าน

เหลือแต่ต้องพิสูจน์ล่ะ แล้วจะพิสูจน์ยังไงล่ะ  เรื่องมันยากตรงนี้

เพราะในเมื่อความรู้สึกของเรามันเป็นอย่างนั้น ที่เหนียวแน่นมาโดยตลอด

และการทำลายความรู้สึกนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วอีกอย่างนึงคือ เราไม่ได้เชื่อด้วย

ปัญหาใหญ่คือ เราไม่ได้เชื่อ เราศรัทธาในพระพุทธเจ้า แต่ในข้อนี้เราไม่เชื่อ

เพราะข้างในมันไม่ได้รู้สึกอย่างนี้เลย

ความยากของการที่จะออกสังสารวัฎนี่้ มันคือ ตรงนี้ล่ะ

แล้วก็เป็นการยาก  นี่จึงเป็นเหตุที่มาว่า ทำไมหลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว

ท่านจึงท้อพระทัยว่า พระองค์จะทรงสอนใคร จึงเป็นเหตุให้พระพรหมลงมาอาราธนา

ก็คือ ความเมตตากรุณาที่ท่านสั่งสมมานะัแหละ  ก็คือพรหม

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตอนเป็นพระโพธิสัตว์ ก็สั่งสมเมตตาบารมีมามากมาย

ก็คงไม่ทิ้งหมู่สัตว์อยู่แล้ว เมื่อตรัสรู้ขึ้นมา

ถ้าโลกใบนี้กลม  แต่คนเชื่อว่ามันแบน วันที่คนบนโลกใบนี้ เห็นความจริงว่ามันกลม

แสดงว่าโลกใบนี้ไม่ได้กลม ตามความเชื่อของใคร หรือตามความเห็นถูกของใคร

หากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสสิ่งที่ถูกต้อง ว่ากายใจนี้ไม่เคยเป็นของเรา

วันนึงที่เราเห็นถูกขึ้นมาว่า กายใจนี้ไม่ได้ไม่ได้เปลี่ยนมาว่าเป็นของเรา

ถ้าเกิดเราไปเข้าใจผิดเฉยๆ แล้วเราไปเข้าใจผิด แล้วเราไปยึดกายใจนี้เฉยๆ

ดังนั้น เมื่อเข้าถึงความจริงแท้ระดับแรกที่เรียกว่า พระโสดาบัน

พระโสดาบันคงเป็นผู้ที่ละความเห็นผิด

คำนี้ อาจจะฟังแล้ว งง  แต่ให้นึกถึงภาพว่า คนปัจจุบันเห็นความจริงว่าโลกใบนี้กลม

โลกไม่ได้เปลี่ยนมา กลมนะ  โลกเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว

กายใจนี้ไม่เคยเป็นของเราแม้แต่วินาทีเีดียว จนกว่าเราจะเข้าใจความจริงว่าใช่

แล้วก็โพล่งขึ้นมา  มันละความเห็นผิด เดินมาตลอดสังสารวัฎ มันถึงเข้าใจความจริง

แล้วเพราะความเห็นผิดนี่แหละ ที่มันซับซ้อนกว่าั้นั้น

มันดันไปก่อเหตุ ให้เกิดเป็นตัณหา จึงพาให้ขันธ์เนี่ย เวียนเกิดเวียนตายไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อเราเข้าใจคำตอบตามความเป็นจริง

ทุกอย่างที่ท่านสงสัย จะหมดข้อสงสัย   วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่้ายเหมือนกัน


คำของท่านสั้นๆ  "กายนี้เป็นกรรมเก่า "

ภิกษุทั้งหลาย  กายนี้ไม่ใ่ช่ของเธอทั้งหลาย ( คำแรกก็โดนเลย )

และทั้งไม่ใช่ของบุคคลเหล่าอื่น ไม่ใช่ของอินทร์ พรหมอะไรทั้งนั้น

ภิกษุทั้งหลาย  กรรมเก่าคือกายนี้

อันเธอทั้งหลายพึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้น

เป็นสิ่งที่ปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น

เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกต่ออารมณ์ได้

แต่มันเข้ามาเป็นเรา เพราะมันมีจิตโง่ที่เข้าไปหลงยึดตัวเอง และมายึดขันธ์นี้เข้าไป

มันจึงเป็นของลมๆแล้งๆ ที่เข้าไปยึดเค้า

แต่ยึดอย่างเดียวมันไม่จบ  ถ้าไปยึดอย่างเดียวเนี่ยะ เค้าก็คงหมดอายุตายไป

แต่การเข้าไปยึดเค้าเี่นี่ยะ ! ดันไปสร้าง ตัณหา ด้วย

เพราะจิตกับวิญญาณ เข้าไปแนบแน่นเหมือนน้ำนมกับน้ำเลย

จนกว่าจะละ ราคะ นันทิ แล้วก็ตัณหา นมกับน้ำถึงจะแยกออกจากกัน

เมื่อไหร่เราละ ราคะ นันทิ แล้วก็ตัณหาในอาหารทั้ง 4

ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชีวิต  เมื่อนั้น ถึงจะหยุดเหตุเกิด

กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย

ผมจะยกตัวอย่างเดิม  ใครที่ฟังซีดีมาแล้ว หรือยังไม่ได้ฟัง เมื่อกลับไปฟัง ก็จะได้เริ่มเข้าใจ

ผมจะเริ่มต้นกับ นกกับต้นไม้

 ถ้าที่บ้านท่านมีต้นไม้  แล้วก็มีนกตัวหนึ่ง ที่แม่มันมาไข่ไว้ที่ต้นไม้แล้วก็โตขึ้นมา

จนกระทั่งออกมาจากไข่   นกตัวนั้นจะคุ้นเคยอยู่กับต้นไม้นั้นมาตลอด


จนนกตัวนั้นคิดเอาเองว่า ต้นไม้นี้ เป็นของมัน แล้วก็เป็นมัน

ทุกครั้งที่ต้นไม้ออกลูก   นกจะดีใจสุดๆ

เวลาที่มีแมลง มีเพลี้ยมากิน นกจะเศร้าใจ

เมื่อเราเห็นนกเป็นอย่างนั้น เราก็เริ่มรู้แล้วว่า นกเข้าใจอะไรผิดแล้ว

ถ้าผมจะใช้ศัพท์เพื่อจะโยงศัพท์กลับมาให้ได้ ก็คือ นกตัวนั้นเกิดมิจฉาทิฏฐิ

นกเกิดมิจฉาทิฏฐิไปยึดต้นไม้มาเป็นของมัน

นกจึงสุขทุกข์ไปกับต้นไม้ตลอดเวลา   ทั้งๆที่มันไม่ควรจะต้องเป็นอย่างนั้นเลย

จากนั้นเราจึงเข้าไปบอกความจริงให้นกฟัง

ว่า นก..ต้นไม้ไม่ใช่ของแกหรอก แล้วก็ไม่ใช่ตัวแกด้วย "

นกมันก็เถียง บอกว่า

" เวลาชั้นบินออกไปหาอาหาร แล้วชั้นจะเอาอาหาร เอาปุ๋ย เอาอะไรมาใส่ที่โคนต้น

แล้วมันก็จะออกดอก ออกลูก  มันจะไม่ใช่ชั้นได้ยังไง ? "

เมื่อนกมันเถียงกลับมา เราก็บอกว่า

" ต้นไม้มันก็อาศัยปุ๋ยอยู่แล้ว ....แกเอาปุ๋ยมาใส่มันก็โต  ฝนตกลงมาจากฟ้ามันก็ได้กินน้ำฝน มันก็โต

มันโตเพราะอาหาร ไม่ใช่โตเพราะแกป้อน "

นกก็ทำท่าเคืองๆ  เวลาเพลี้ยมากิน คราวก่อนเห็นรึป่าวใบร่วงหมดเลย

ชั้นใจหายวาบเลย ชั้นคิดว่าชั้นตายแน่

ใช่ ! ข้างบ้านมันก็ถูกกิน  ที่นี่มันก็ถูกกิน เพลี้ยมันกำลังระบาด

จะทุกข์อะไรนักหนา มันไม่ใช่แก!!  นกมันไม่เข้าใจ

จากนั้น เราคิดว่าถ้าพูดกันอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง  นกมันก็ไม่รู้เรื่อง

เพราะว่ามันฝังรากลึกเหลือเกินในความเห็นผิดอันนี้

เอาอย่างนี้ นก ! ถ้าแกไม่เชื่อชั้น จากนี้ต่อไป ให้แกสังเกตดูตัวแกกับต้นไม้นี้เอาไว้

ชั้นเชื่อว่าแกต้องพบความจริง นกบอกได้ ชั้นจะลองเฝ้าดู

จากนั้นมันก็เฝ้าดูตัวมันเอง แล้วก็ดูต้นไม้

มันก็เห็น เดี๋ยวต้นไม้ก็โต เดี๋ยวใบก็ร่วง เดี๋ยวเพลี้ยก็กิน เดี๋ยวหนอนก็กิน

แล้วมันก็สุขทุกข์ อยู่กับต้นไม่้เหมือนเดิม

หลังจากนั้น เรากลับไปเจอนก ก็เลยถามว่า " แกรู้ความจริงหรือยัง ? "

นกก็ยิ่งเคืองใหญ่เลย .. " นี่ยังไม่เลิกเพ้อเจ้ออีกเหรอ ? "

" คราวก่อนก็พูดอย่างนี้ทีนึงแล้ว นี่ยังไม่หายบ้าอีกเหรอ ? "

เราก็เลยชักเอะใจ  ว่ามันดูยังไงหนอ มันถึงไม่เห็นความจริง

เราจึงเฝ้าสังเกตดูมันแทน ว่ามันดูยังไง

เราจึงพบความจริงอย่างนึงว่า นกสังเกตตัวเองกับต้นไม้เนี่ยะ เหมือนแม่ดูลูกเลย

การที่แม่ดูลูกเนี่ย แล้วมันต่างกันยังไง  รึมันเป็นยังไง

ทำไมนกมันถึงไม่เห็นความจริง ?

ถ้ามีใครบอกว่า ลูกของท่านนิสัยไม่ดี ปากเสีย  แกล้งเพื่อน ไม่มีสัมมาคารวะ ท่านจะโกรธมาก

เค้าบอกว่าไม่ต้องโกรธ   ไปลองสังเกตดู เธอจะเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พอทุกครั้งที่เราเห็นลูกพูดว่าคนอื่น เราก็จะรู้สึกว่า

แหม...เด็กมันก็อย่างนี้แหละ  จะอะไรนักหนานะ

พอผู้ใหญ่ให้ของ  มันไม่มีขอบคุณเลย มันวิ่งจู๊ดไปเลย ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่เคยขอบคุณใคร

ฮื้อ  เด็กๆน่ะ จะเอาอะไรกับมัน เรียบร้อยมากเดี๋ยวก็เป็นตุ๊ดพอดี

แต่ถ้าลูกข้างบ้านมาฝากท่านไว้ แล้วก็ทำแบบที่ลูกท่านทำ

ด่าลูกท่านไม่หยุด ลูกท่านก็ด่ากลับไป ก็ด่ากันไปด่ากันมา

ในใจท่านก็รู้สึกเลย โอ้โห ไอ้นี่ ... แม่มันไม่สั่งสอนจริงๆ ปากเสียจริงๆ

นี่ฉันเป็นยังไง เอาขนมให้มันทุกวัน เลี้ยงแทนแม่มันเนี่ย ไม่ได้ขอบคุณซักคำเลย

ไอ้เด็กนี่ไม่มีสัมมาคารวะ เลย  ลูกคนอื่นเห็นหมด  ลูกตัวเองไม่เห็น

เราจึงรู้เลยว่า ทำไมนก สังเกตดูตัวมันกับต้นไม้  มันจึงไม่เห็นความจริงว่า

ตัวมัน กับต้นไม้มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แล้วมันก็ไม่เกี่ยวกันเลย

ต้นไม้ัมันโตด้วยเหตุปัจจัยของมัน มีอาหารของมัน  อยู่ด้วยสิ่งแวดล้อมของมัน

แต่นกมันไปยึดถือว่า  เพราะมันป้อนข้าว ต้นไม้ถึงโต

เพราะมือเป็นคนป้อนใส่  มันถึงโต  เพราะการที่เอาปุ๋ยมาให้  ต้นไม้จึงเป็นของมัน

แล้วเราล่ะ ?

ทุกวันนี้ .. ตักอาหารเข้าไปในปาก แล้วไอ้นี่ ( ร่างกาย ) ก็เป็นของท่านไปเลยเหรอ ?

พอมันเจ็บป่วยเป็นมะเร็ง จะตายซะให้ได้

เอ้า ก็นี่ของชั้นน่ะ นี่กายชั้นน่ะ   ก็นี่ชั่้นน่ะ  !!

งานนี้มันยากตรงนี้แหละ

การทำความเห็นถูก หรือ การละความเห็นผิด

ทำให้เกิดสัมมาทิฎฐิ    เปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิ ก็คงมีอยู่หนทางเดียว

ก็คือ " การเจริญมรรค "

ไม่งั้นความจริงเหล่านี้ ก็คงไม่สามารถประจักษ์แจ้งขึ้นมาในใจของใครได้

เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ตริตรึก คิดเอา เพราะในขณะที่ท่านคิด  นั่นเป็นการปรุงแต่ง !!

ท่านคิดอยู่บนมิจฏาทิฏฐิที่ท่านปรุงขึ้นมาเอง แล้วมันจะไปรู้ความจริงได้ยังไง ?

ท่านหาความจริงบนความหลอกน่ะ

ความจริงนี้จะเิกิดขึ้นมาได้ ความจริงจะต้องประจักษ์เข้าไปทีจิต

ท่านนั่งฟังท่านก็นั่งคิด แล้วมันจะกระแทกเข้าไปที่จิตได้ยังไง เพราะมันติดอยู่ที่ฟองแชมพู

ดังนั้น วิธีเดียวคือ เจริญมรรคไป

ทำไมการเจริญมรรคถึงช่วยให้เกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมาได้

เพราะมันไปลดกำลังของการเกิดโลภะ  โทสะ  โมหะ

เพราะโลภะ  โทสะ  โมหะ  มันเป็นอาหารของอวิชชาที่ทำให้ท่านหลงผิด

ทำให้ทุกคนในโลกหลงผิด  ทำให้ทั้ง 31 ภพภูมิหลงผิด

จึงต้องเวียยนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้แหล่ะ

วันนี้ คงไม่ต้องมาอ้างเรื่องเวียนว่ายตายเกิดกันอีกแล้ว เพราะว่านี่คือคอร์สเข้มแล้ว

ถ้าท่านผ่านคอร์สพื้นฐาน ท่านต้องรู้แน่ เรื่องพิมพ์วดี หมออาจินต์อะไรแล้ว

พูดกันจนเยอะแยะมากมายไปหมดแล้ว  มีบทวิเคราะห์พิสูจน์กันแล้วจนไม่มีใครเอามาพูดแล้ว

ถ้าจะพูดก็แค่โยงมาเรื่องขันธ์อะไรนิดหน่อยที่ในคอร์สเบื้องต้นไม่สามารถตอบได้

แต่ในคอร์สนี้ตอบแน่ เพราะเราถือว่า ทุกคนเข้าใจเรื่องขันธ์ 5

จะเข้าใจแค่ไหนก็แล้วแต่  ...

เพราะฉะนั้น ในหลักสูตรนี้เราก็จะพูดกันแต่  ความจริงที่ตรงไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์

ในการพูดที่ความจริงในการพ้นทุกข์ตามคำพระศาสดาในส่วนของสัมมาทิฏฐิเนี่ยะ

ท่านต้องเปิดใจให้กว้าง  มีโอกาสที่ท่านจะฟังไม่รู้เรื่อง

เพราะถ้าผมจะพยายามทำให้ทุกคนฟังรู้ืเรื่อง  ผมจะไปไหนไม่ได้เลย

ผมจะอธิบายอะไรไม่ได้เลย  เพราะฉะนั้น การทำให้ตัวเองรู้เรื่องคือ

หนึ่ง ท่านต้องปฏิบัติ  สอง  ลงไปศึกษาในคอร์สที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้น ขันธ์ 5 ในความเป็นจริง อย่างเวลาผมยกตัวอย่างให้คนเห็นน่ะ

เวลาท่านถูกยุงกัด มันก็จะเป็๋นตุ่มแดงขึ้นมา  ท่านก็จะเดือดเนื้อร้อนใจ

โอ้ย !! คันจังเลย  ฉันแพ้ยุงด้วย !  เกาจนเลือดจะออกแล้ว ...

ที่นี่ยุงเยอะจริงๆ รึอะไรก็บ่นไป... เป็นทุกข์แล้ว

ถ้าสมมุติว่า เห็นความจริงตามที่ศาสดาบอก แล้วเห็นความจริง จริงๆ

ถ้าท่านถอดความเห็นผิดออก  แล้วเห็นถูกว่า นี่คือขันธ์ 5

ซึ่งจริงๆมันเป็นอย่างนั้น แล้วก็เป็นรูปนาม

ที่มีสภาพการทำงานโดยอิสระ  เพราะมีเหตุปัจจัย

ทันที่ที่มียุงมากัด ท่านทราบหรือไม่ว่า โมเลกุลหรือการทำงานของรอบๆเนี่ย

จะมีการส่งเม็ดเลือดขาวหรืออะไรเข้าไปเพื่อจะตอบโต้

แล้วก็ต่อต้านพิษจากยุงที่ใส่เข้าไป มันจึงเกิดเป็นผื่นแดงขึ้นมา

แล้วก็อาจจะบวมขึ้นมา  บริเวณนั้นจะร้อนขึ้น

เนื่องจากธรรมชาติของร่างกายของเรา  เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมหรือเชื่อโรคเข้ามา

มันจะ Heat ตัวเองขึ้น ธาตุไฟจะทำงานขึ้น  เพื่อจะเผาเชื้อโรคที่ตรงนั้น

นี่คือกระบวนการทำงานของขันธ์

แต่ทำไมเราถึงนึกว่าเป็นของเรา แล้วเป็นเรา แล้วเราทำล่ะ ?

เราเคยทำอะไรซักเมื่อไหร่ล่ะ

เราทานเข้าไป เราเคยต้องบอกมั๊ยว่า ไอ้นี้ต้องย่อย ไอ้นี่ไม่ย่อย

ถ้้ามันเป็นไปตามสั่งได้จริงๆ พระพุทธเจ้าตรัสเลย ...

มันจะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ  เธอยังดูไม่ออกอีกเหรอ ?

ทำไมผมมันถึงยา่วขึ้น  ทำไมมันถึงหงอกไป

เธอยังดูไม่ออกอีกเหรอ ? ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนี่ย !เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ลองสั่งให้มันหยุดสิ ลองบอกสิ...ม้นอย่าเป็นมะเร็งนะ ! ไม่ชอบ

มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย เรากินปาท่องโก๋ หรือว่า ไก่ทอดหาดใหญ่

ที่เราใส่เข้าไปมันมีแต่สารก่อมะเร็ง  เพราะว่าน้ำมันดำๆ

เราบอกว่า เฮ้ย ! นานๆกินที  ขอกินทีนึงนะ อย่าป่วยเลยนะ

ดูซิว่ามันจะพูดอะไรมั๊ย ? หรือว่ามันจะตอบโต้

มันไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มันไม่หืออือเลย!!

เราใส่เข้าไป ไอ้นี่ก็ป่วย  ไม่ใช่เพราะเราใส่หรอก

เพราะมีอาหารที่เป็นธาตุ เติมเข้าไปแบบนั้นน่ะ

มันก็ถึงเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา ที่มันพยายามจะต่อสู้ต่อต้าน แต่มันสู้ไม่ไหวแล้ว

มันเคยเป็นเราตอนไหนน่ะ ?

วันนี้การเจริญภาวนาเนี่ย ข้อที่ 1  สมาธิ ทำให้จิตตั้งมั่นขึ้น

เมื่อจิตตั้งมั่นขึ้น จะเห็นความจริง  ....ทำไงท่านถึงจะเห็นความจริงตามที่ผมบอกรู้มั๊ย ?

ท่านต้องถอนจิตตัวเองออกไปเป็นกรรมการ

ถ้้าผมจะให้ทีมแมนยู  ดูความจริงของทีมแมนยู

ผมไม่สามารถให้คนในทีมแมนยู ออกมาเป็นคนประเมินผลได้นะ

เพราะมันจะเข้าข้างทีมตัวเอง แล้วผมก็ไม่สามารถให้ลิเวอร์พูลเป็นคนประเมินผลด้วย

เพราะมันจะมีปฏิฆะของทีมคู่ต่อสู้

มีทางเดียว  มันจะต้องไปหาคนเป็นกรรมการและเป็นกลางจริงๆ แล้วมองกลับเข้ามา

เมื่อมองกลับเข้ามามันจะบอกเลย   ไอ้โง่เอ๊ย ! มันหลงอยู่ได้ยังไงเนี่ย ?

มันเคยเป็นเราซะเมื่อไหร่เนี่ย    ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา

ไม่ว่าจะดูทางไหน ทางกาย เวทนา จิต หรือ ธรรม  ไม่มีอะไรเลยเป็นเราเลยแม้แต่อย่างเดียว

ไปกลับดูในมุมรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราเลย แม้แต่อย่างเดียว

จะมองมุมไหน ก็ไม่มีเลย !!

เซนต์ใบประเมินผลได้เลยว่า "ไม่มีเรา"   มิจฉาทิฏฐิ

เรา ...เกิดจากการสร้าง เหมือนลิงจูบ ขึ้นมาเอง!!

เป็นความรู้สึกลอยๆขึ้นมาเอง ...

นี้จึงเป็นความรู้สึกที่ทำให้มนุษย์ทุกข์ไม่มีอะไรเหมือนเลย

ตลอดการเดินทางมาทั้งสารวัฏ  ไม่ใ่ช่มนุษย์ด้วย ทุกภพภูมิเลย

เพราะความยึดถือขันธ์ 5 เป็นของเราเนี่ย สวดกันมาเนี่ย...อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์

ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือรูป   ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ เวทนา

เนี่ย สวดกันมาตลอด  แล้วก็ รูปังอนิจจัง   รูปังอนิจจาเนี่ย   สวดกันมาตลอดเลย

แต่มันไม่เห็น !!   

ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ผิด จะไม่มีพระอรหันต์เลยนะ

แสดงว่ามันเกิดความผิดพลาดที่ตัวเราแล้วล่ะ  มันเกิดมีความเป็นมิจฉาทิฎฐิที่ตัวเรานี่แหล่ะ

ที่เราไปเข้าใจผิด เพราะเราหลง แล้วก็เอนมาทางตัวเรา  ตัวกูของกูนี่แหละ

ครูบาอาจารย์ก็พูดกันมาไม่รู้เท่าไหร่ ท่านพุทธทาสก็พูดแล้วพูดอีก

แต่มันไม่มีคนเห็น ก็ไม่รู้จะว่าไง

พระพุทธเจ้าก็ตรัสแล้วตรัสอีก นี่คำของท่านไม่กี่บรรทัดเอง ชัดเจนที่สุดเลย

เอาล่ะ ทีนี้ทำยังไงเราถึงจะเดินไปให้ถึงจุดที่ท่านเห็นได้

ท่านจึงบอกเลย " เห็นมั๊ยว่า ต่อให้พยายามพูดเท่าไหร่มันก็ไม่โพล่ง ! "

มันก็ไม่โพล่ง  มันก็ไม่เก็ท  พระุพุทธเจ้าถึงบอกเหลือทางเดียว

" เธอเจริญมรรคมีองค์ 8 "  ไม่มีทางจะพูดให้เข้าใจได้

เหลืออย่างเดียว เธอต้องกลับไปเจริญมรรคมีองค์ 8 แล้ววันนึง เธอจะเข้าใจในสิ่งที่ตถาคตพูดเอง

แสดงว่าเราไม่ได้ฟังพระพุทธเจ้า เพื่อให้คิดให้เหมือนท่าน

แต่หากเรานำมรรคมีองค์ 8 มาเจริญ เราจะตรัสรู้สิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

เราจะเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ หรือ เสมอกันด้วยวิมุตติ ด้วยการเจริญมรรคมีองค์ 8

นี่คือสิ่งที่พวกเรากำลังเดินทางอยู่

ผมถึงบอก ผมเปิดลิงจูบให้ท่านดู แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ

ทุกอย่าง ท่านก็ไม่สามารถจัดการกับมันได้ เพราะมันฝังรากลึก

มันมีเรื่องของอนุสัยที่ฝังรากลึก  อนุสัยก็เหมือนเชื้อไวรัส

เอ้า ! เอาตัวเดียวให้พอเข้าใจ    ปฏิฆานุสัย

คำว่าอนุสัยเนี่ย เหมือนสันดานที่ฝังรากลึกลงไปในจิตใต้สำนึก

เป็นการฝังรากลึกของปฏิฆะ คือ ความไม่พอใจ

ขณะนี้ ท่านไม่ได้มีความไม่พอใจอะไรเลย สบายๆ

มีธรรม  ฟังธรรม ใจโปร่งโล่งเบา เดินจงกรม นั่งสมาธิกันมา

แต่หากมีใครสักคนทำให้ท่านไม่พอใจตอนนี้

สมมุติว่าลืมปิดโทรศัพท์ก็แล้วกัน เอาเรื่องนี้ .. ง่ายๆ

เวลาที่มันกริ๊งง กริ๊งง ขึ้นมาซัก 2-3 กริ๊งง มันขุ่นปึ้ง !! ขึ้นมาเลย

เมื่อกี้ไม่มีนะ   อยู่ๆมีขึ้นมา ถ้าอนุสัยเป็นเชื้อไวรัส   อารมณ์โกรธเป็นเชื้อหวัด

เชื้อมีอยู่ พลั๊วะ ! ขึ้นเลย เป็นหวัดเลย  พอซักพัก หวัดหาย ไวรัสยังอยู่

เดี๋ยวๆ มีคนมองหน้า  ขึ้นมาอีก ไวรัสยังอยู่ เชื้อหวัดเติบโตขึ้นมา เพราะร่างกายอ่อนแอ

สติปัญญาอ่อนแอ  พรวดขึ้นมาอีก เดี๋ยวๆค่อยๆหายไป ขยับร่างกายพรึ่บ! ขึ้นมาอีก

เชื้อไวรัส หายไปได้ด้วย การเจริญมรรค หายไปได้ด้วยอนาคามิมรรค

ไปหายตอนที่ไปเป็นพระอนาคามี ชำระปฏิฆานุสัย

เบ็ดเสร็จเด็ดขาด  ใครจะกระแทกแดกดัน ใครจะเปิดโทรศัพท์ ใครจะอะไร ไม่มีแล้ว

แต่ไม่มีไม่ใช่ว่านั่งบื้อ จะหันไปด่าให้ แต่ไม่ได้โกรธ

หันไปว่าเพราะว่า ทำตัวใช้ไม่ได้ ไม่มีมารยาทเลย อย่างเนี้ยะ

ไม่ใช่  ไม่โกรธแล้วก็ ลอยลม สบายใจ นั่งเมฆ ( หึ หึ ) ตีขิม.... ไม่ใช่แล้ว !!

ครูบาอาจารย์ด่าเปิงหมด ขี้เกียจนี่ !  ไม่ได้ด่าเพราะโกรธ

 แล้วก็ไม่ได้สนใจตัวเองด้วย  สนใจแต่เนี่ยะ ....

เพราะฉะนั้น วันนี้เรามาเจริญมรรค เราไม่จัดการกับอารมณ์พวกเนี้ยะ ไม่ได้กินหรอก

มันต้องถอนรากถอนโคนด้วย ...ถอนรากถอนโคน

ดังนั้น  ความจริง หากจะต้องบรรยายต่อจากนี้ไป คงต้องพูดเรื่องมรรคแล้ว

เพราะเราเห็นแล้วว่า เราไปแก้ที่ปลายทางไม่ได้เลย

เรารู้จักแสงไฟ คือ อาการของจิตที่โผล่ออกมาตั้งแต่ หลังผัสสะ คือเวทนา

เราเล่นกับอาการของจิตอยู่อย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันไม่ยอมดับ

เหลืออย่างเดียวต้องปิดสวิตซ์มัน  ซึ่งตัวสวิตซ์ ต้องไปดูที่ปฏิจจสมุปบาท

 ว่ามันโยงกันลงมายังไง

เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้ วันพรุ่งนี้ ก็คงจะเข้าเรื่องที่มันพัวพันกันไปทั้งหมด

เริ่มตั้งแต่อริยมรรคมีองค์ 8 - อริยสัจจ์ - ปฏิจจสมุปบาท  3 เรื่องก็จะวนเวียน เวียนวน

หลังจากนั้น ในเนื้อเรื่องเหล่านั้น  ก็จะมีเรื่องตัวเอ้ๆ

อย่างเช่น วิญญาณ สังขาร ขันธ์ 5 ซึ่งปนอยู่ในนั้นกันหมด

เราก็จะได้เริ่มเข้าใจความจริง  เข้าใจระดับสมองจริงๆอยู่ดี

ที่เหลือก็มีแต่ภาวนาจนกระทั่งเห็นแจ้งขึ้นมาด้วยตัวเอง

แต่ว่าท่านไม่ต้องห่วง  หากท่านเข้ามาเจริญมรรค แล้วท่านเข้าใจขันธ์ 5

ท่านไม่ต้องห่วงเลย   ปลายทางยังไงก็ต้องถึง โอ๊ย เดี๋ยวชั้นตายก่อน !!

ไม่ต้องห่วงเรื่องท่านตายก่อน   เพราะท่าน ...

จะบอกยังไงดี เพราะบอกไม่มีเดี๋ยวยิ่งงงใหญ่

เพราะขันธ์ 5 ของท่านก็แล้วกัน  ขันธ์ 5 ที่ท่านไปยึดถืออยู่น่ะ มันยังเกิดตายอีกนาน

ในเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องเอาเรื่องนี้ก่อน........

(เปลี่ยนที่นั่ง ) นั่งตรงนี้ได้มั๊ย ตากล้อง  ( หัวเราะ )  เอ้า ขยับกล้องหน่อย

ถ้าใครจำเรื่องของหมออาจินต์ได้  เอาตัวเรานี่แหละ ไม่ต้องหมออาจินต์หรอก

เพราะเดี๋ยวใครได้ CD ชุดนี้ หรือDVD หรือใครไปอัพขึ้น YouTube

คนฟังก็ไม่รู้ว่า โยงตรงนั้นได้ยังไง  เดี๋ยวต้องไปดูอีก

ไม่ต้องหมอแล้ว เอาในนี้แหละ  เอาคนในนี้แหละ

ถ้าผมสมมุติให้ท่านเกิด  ทุกคนเกิดวันที่ 1 มกรา กันหมดเลย

ตอนนี้ใครจะอายุเท่าำไหร่ก็แล้วแต่ ก็ ... 35 , 45 , 75 กี่ปี เท่าไหร่ก็แล้วแต่

แต่เราจะเกิดวันที่ 1 มกราด้วยกัน ตอนเที่ยงคืนเป๊ะ ! เราเกิด

สมมุติว่าเรา อายุ 40 ปี ผมก็ถามว่า ทำไมถึงบอก 40 ปีล่ะ นับตั้งแต่วันไหน ?

เค้าบอกนับตัังแต่ 1 มกราไง ถูกมั๊ย ก็เราเกิด 1 มกรา เราก็ต้องนับ 40 ปี ก็เิกิด 1 มกรา

ผมถามว่า แล้วก่อนวันที่ 1 มกราล่ะ ไม่นับเหรอ ?

อยู่ที่ไหน ? ก่อน 1 มกรา อยู่ในท้องแม่... เอ้า! อยู่ในท้องแม่ไม่นับเหรอ

มันแค่ แค่ ....ผ่านแม่ออกมาแค่นั้นเอง

ก็...ก็ ก็ความจริงก็นับได้เพราะมันยัง .....เป็นคนเดิมน่ะแหละ

ก็ใช่ ! งั้น นับต่อไปจนถึงเก้าเดือน เท่ากับตอนนี้ 40 ปี กับ 9 เดือน

อืมม  ก็ฟังดูมีเหตุผล ก็ไม่แปลกอะไร  แล้วสมมุติว่า ตอนที่อยู่ในท้องแม่ แสดงว่าต้องมีวินาทีแรก

ใช่ มันต้องมีแน่ วินาทีแรก ไม่รู้วินาทีไหนล่ะ

แล้วถ้าผมถามว่า ก่อนวินาทีแรกเนี่ยะ ท่านอยู่ที่ไหน

ถ้าเอาตามหลักการและเหตุผล ก็น่าเชื่อได้ว่า คงเป็นวินาทีสุดท้ายของชาติที่แล้ว

เอาล่ะ ! ก็คงเป็นอย่างนั้น แน่นอน แล้ววินาทีสุดท้ายของชาติที่แล้วท่านเป็นอะไร

โอ อันนี้ไม่รู้แฮะ ! งั้นไม่เป็นไร  ผมให้ท่านเป็นเทวดา

เออ ! งั้นค่อยยังชั่วหน่อย ค่อยพูดกันรู้เรื่องหน่อย  หึหึ

ท่านเป็นเทวดา อายุเทวดาก็ยาวอยู่ดี  ยาวทีเดียว

สมมุติว่า 1 ล้านปี ก็ยาวแล้ว 1 ล้านปี  ....จะกี่ปี จะกี่ล้าน จะพันล้าน

หรือว่า จะหนึ่งแสนหรือว่าจะหนึ่งหมื่น ต้องมีวันแรกเหมือนกัน

แน่นอน ! ใช่ !!  แสดงว่าท่านต้องมีวินาทีแรกของการเป็นเทวดา

จะวันไหนก็แล้วแต่ สมมุติ 1 มกราเหมือนเดิมก็ได้ แต่อ้อ ! ไม่ได้ !!

เพราะภพภูมิเทวดาไม่ได้นับเดือนปีแบบเรา เดี๋ยวงง

วันเดือนปีแบบเรานี่ นับเพราะความเป็นมนุษย์  วันเดือนปีของเราคืออะไร

โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วก็หมุนรอบตัวเอง ภูมิอื่นไม่มีล่ะ

ยกเว้นสัตว์เดรัจฉาน  เหมือนเรา ดังนั้น มันนับกันคนละหน่วยแล้ว

พระพุทธเจ้า ถึงเวลาจะเทียบเนี่ย ถึงเทียบยาก

เพราะไม่รู้ว่าจะเทียบให้คนธรรมดาเข้าใจภพภูมิของเทวดาหรือภพภูมิเปรตได้อย่างไร

เพราะมันนับคนละหน่วย แต่เอาล่ะ ! ทีนี้ พอก่อนหน้าที่จะเป็นเทวดา

สมมุติว่า ก็เป็นชาติก่อน เป็นหมาก็แล้วกัน เป็นหมาบ้าง เป็นหมาซัก 15 ปี

ก็ต้องมีวันแรกของหมา  ก่อนหน้านั้น ก็อยู่ในท้องแม่หมา

เอ้า ! ไล่ต่อไปอีกกี่เดือนไม่รู้ ก็ต้องมีวินาทีในท้องแม่หมา

1 วินาที วินาทีแรกในท้องแม่หมา ก่อนหน้านั้น ก็แสดงว่าก็ต้องมีอีก

เป็นเปรต  เป็นอสุรกาย  เป็นพรหม เป็น...เป็น... เป็น ...

เริ่มถอยออกไปเรื่อยๆแล้ว  ถอยออกไปเรื่อยๆแล้ว มันทำท่าจะหาต้นไม่เจอแล้ว

เพราะว่า ขันธ์เนี่ย เปลี่ยนแปลงสภาพไปเฉยๆนะ

เมื่อท่านเอา Partition ที่ท่านกั้น บอกว่าเป็นวันเกิดออก

ที่กั้นว่า ชั้นเกิดในท้องแม่ออก

กั้นว่า ชั้นเกิดเป็นเทวดาออก

เมื่อท่านเอาสิ่งสมมุติที่ท่าน set  เอาไว้เองออก

ท่านจะเห็นการสืบเนื่องของขันธ์ 5 ที่เปลี่ยนแปลง Life form ของตัวเองมาตลอด

จากการกระทำของตัวเอง

ได้เกิดเป็นพรหม เพราะก่อนหน้านั้น มีเมตตา กรุณา มุทิตา  อุเบกขาแล้วก็สั่งสมไว้

หลังจากขณะที่มีเมตตากรุณาอยู่ดีๆ ก็ Heat ขึ้น ปรี๊ดขึ้น สั่งสมภูมิของสัตว์นรกเอาไว้ต่อ

เคยคดเคยโกง เอ้า ! สั่งสมภพภูมิของเปรต

เราสั่งสมกันมาทุกภูมิล่ะ ในแต่ละวัน สั่งสมกันจำนวนมากๆเข้า มากๆเข้า

ก็เกิดการสั่งสมไว้ที่จิตวิญญาณ  ก็เป็นการสร้างเหตุเกิดไปเรื่อยๆ

ขันธ์ จึงเกิดไม่หยุดเลย งานนี้  ขันธ์ ก็เปลี่ยน Life form ของมันไปเรื่อยๆ

เดี๋ยวก็หน้าตาแบบนี้ก็ไปเรียกมันว่า เดรัจฉาน

ถ้าเป็นตัวใสๆ แบบโอปะปาติกะ ก็ไปเรียกว่า เทวดา เพราะมีความเป็นอยู่ดีหน่อย

แต่ด้วยความที่ไป ทำบาป ทำชั่ว ทำอกุศล ก็เลยต้องไปมีฟอร์มเป็นขันธ์ 5

เป็นตัวใสๆ แบบโอปะปาติกะ แต่ไปอยู่ลำบากแบบสัตว์นรก

เพราะฉะนั้น ฟอร์มของมันจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แต่ก็เป็นขันธ์ 5 อยู่นั่นแหละ

แต่ท่านอาจจะสงสัยว่า เห็นสวด มีขันธ์  4 ขันธ์ มีขันธ์ ขันธ์เดียว คืออะไร

อันนั้น ถ้าเป็นพรหม ที่ฝึกที่จะดับขันธ์ต่างๆใ้ห้มันหายไป นึกว่านั่นจะเข้าไปสู่นิพพานได้

ก็เพ่งจนกระทั่งมันดับเหมือนกัน แต่ก็ดับชั่วคราวแหละ

ยังไงมันก็กลับมาปูดเหมือนเดิม  เหมือนเต่าหดหัวน่ะ

เหมือนเต่าหดหัวน่ะ  เต่าหดหัวบอกว่ามันไม่มีหัวมันก็ไม่เชิงล่ะ แต่ตอนนั้นมันไม่มีหัว

เดี๋ยวๆซักพัก หัวมันยื่นออกมา มันก็กลับเหมือนเดิมอีก

เต่าหดขา เต่าหดหัว เหลืออยู่ขาเดียว  สมมุติว่าเต่ามีอยู่หนึ่งหัว กับ 4 ขาเนี่ยะ

หดไปหัวนึง นะ เอาขันธ์ รู้สึกจะเวทนา .... เอารูปออก

บางทีก็ไป หดนามธรรม  เพ่งซะจนหายหมด  เหลือแต่หัว ก็คือ รูป

ก็กลายเป็นที่เรียกว่า พรหมลูกฟักขึ้นมา นะ  คือนั่งนิ่ง ไม่มีใจเลยทีนี้

เหลือแต่รูปนั่งนิ่ง กลายเป็นลูกฟักซะอย่างนั้น เพ่งจนกระทั่งนึกว่านิพพาน

สงบดี ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข  เพราะเกลียดทุกข์ เกลียดสุข

ดังนั้น ขันธ์  5 ก็จะแปรเปลี่ยนสภาพของมันไปเรื่อยๆจากกรรมที่ทำมา


เอาล่ะ สมมุติว่าชาตินี้เป็นท่าน ชาติก่อนเคย....

นี่ล่ะ ต้องกลับมานายราชมัลอีกทีล่ะ ไม่รู้จะยกตัวอย่างอะไร

ชาติที่เป็นหมออาจินต์ ปวดหัวมาก อย่างที่เราฟังเนื้อเรื่อง

พิมพ์วดีก็บอกว่า เป็นเพราะเคยไปบีบหัวนักโทษเอาไว้ จนตายในชาติที่เป็นราชมัล

ดังนั้น นายราชมัลบีบหัว  หมออาจินต์รับกรรม รับวิบากกรรม

ผมจึงตั้งคำถามทิ้งไว้ในคอร์สพื้นฐานว่า หมออาจินต์ไม่เคยรู้จักนายราชมัล

นายราชมัลเป็นคนบีบหัวนักโทษ  ทำไมหมออาจินต์ต้องรับกรรม

ไม่แฟร์สิ !  หมออาจินต์ไม่ใช่คนบีบ  โน่นน ! นายราชมัล ตอนที่พิมพ์วดีพูดมันในสมัยรัชการที่ 3

แล้วนี่มานั่งรับกรรมที่นายราชมัลทำได้ยังไง

ไม่รู้จักกันเลย  ไม่เกี่ยวกันเลย  นายราชมัลบีบ  นายราชมัลก็รับไปสิ

ทำไมมาโยนให้หมออาจินต์แบบนี้ไม่แฟร์สิ ! หมออาจินต์เป็นหมอน่ะ  ก็ช่วยคนมาตลอด

มันจึงเกิดมิจฉาทิฏฐิตรงนี้แหละ ที่มันตอบคำถามนี้ไม่ได้

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราเกิดมิจฉาทิฏฐิ เราจะตอบคำถามของโลกนี้ไม่ได้

จนกว่าเราเพิกถอนความเห็นผิดนั้นออก  พอเราเห็นจริง มันจึงหมดวิจิกิจฉา

ว่าทำไมโลกถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมทุกคนถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมอะไรถึงเป็นแบบนี้

ทำไมสรรพสิ่งถึงเป็นอย่างนี้  เพราะมันมีเหตุทั้งนั้นเลย

ดังนั้น  ถ้าเราเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสด้วยความเป็นจริงนะ  ไม่ใช่เชื่อตามนะ

ความจริงเป็นอย่างนี้นะ ไม่ใช่คิดให้เหมือนพระพุทธเจ้านะ ..

ตอนนี้เรามิจฉาทิฏฐิ !!   ยอมรับไว้ก่อนเลย

ถ้าเราเห็นจริงตามนี้เนี่ย ผมจะบอกให้ว่า อะไรมันหายไป

ความเป็นหมออาจินต์  ความเป็นนายราชมัล  จะหายไป !!

เพราะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาลมๆแล้งๆ เป็นสิ่งที่ใส่สมมุติบัญญัติขึ้นมาว่า

คนนั้นชื่ออะไร  คนนี้เป็นใครขึ้นมาเฉยๆแต่นั่นคือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียก ขันธ์ 5

Live form ที่มันสืบเนื่องกันมาอย่างนี้แหละ  เพราะขันธ์ได้ก่อกรรมเอาไว้

จากนั้น ก็เกิดเป็นเหตุเกิดที่ตัวเองทำเอาไว้ แล้วก็เปลี่ยนเป็นรหัส DNA

จากรูปเป็นนาม จากนามเป็นรูป พอตายลง ก็ส่งผ่านจิตวิญญาณแล้วก็มาเริ่มต้นใหม่

ผ่านรหัส แล้วก็สร้างขึ้นมาใหม่อีก  สร้างฟอร์ม สร้างขันธ์ 5 ขึ้นมาใหม่

เสร็จแล้ว พอขันธ์ 5 แตกสลายไป  จิตวิญญาณยังอยู่ ก็เริ่มมีการส่งผ่าน

จึงเป็นขันธ์ใหม่ ที่มาจากกรรมเก่า !!

ขันธ์ใหม่ จึงมาจากกรรมเก่า 

พอเราเห็นจริงตามความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้

มันจะหมดความสงสัยทั้งโลก ทั้งจักรวาลนี้

วันนี้ เราไปติดที่บัญญัติ  เราไปติดที่เนื้อเรื่อง เราไปติดที่ตัวตน บุคคล เราเขา

ที่เราสร้างขึ้นมาด้วยความไม่รู้  เราจึงตอบคำถามอะไรไม่ได้ซักอย่างเลย

แต่เมื่อไหร่เราเพิกถอนในสิ่งที่เป็นความเห็นผิด แล้วเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา

ซึ่งสิ่งนี้ อย่างที่ท่านสวด " ผู้ปฏิบัิติพึงรู้ได้ด้วยตนเอง "

คนสองคนยืนมองสิ่งเดียวกัน อีกคนนึงพยายามจะชี้ให้อีกคนเห็น อีกคนก็ฟังไม่เข้าใจ

ต่อให้มันอยู่ตรงนั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นที่ของ ของมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

มันอยู่ที่นี่ ( จิต ) มันอยู่ที่นี่ !! ....

ทีนี้เราจะเข้าถึงความเป็นขันธ์ 5 ได้อย่างไร

เราจะรู้แจ้งในสิ่งที่ท่านตรัสขึ้นมาอย่างนี้ได้อย่างไร

ก็กลับไปที่มรรคมีองค์ 8 อยู่ดี เมื่อเจริญมรรคมีองค์ 8 ก็ต้องอาศัยความตั้งมั่นของจิต

แล้วก็อาศัย กาย เวทนา จิต ธรรม คือ มรรคองค์ที่ 7

มรรคองค์ที่ 7 จะค่อยๆเปิดรหัสให้เราได้เข้าใจ

เพราะเราจะเห็นเลยว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา  ด้วยการสังเกตหนึ่งคือ อาณาปานสติ

สังเกตจากอิริยาบท แล้วก็อีก 4-5 ข้อซึ่งเราจะเอาไว้ไปพูดกันในเรื่อง สัมมาสติ

ส่วนเวทนา ที่ท่านนั่งแล้วท่านปวด ถ้าท่านนั่งแล้วจิตใจท่านพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง

เค้าก็เรียกว่าเวทนา  เกิดเป็นสุข เป็นทุกข์ เฉยๆบ้าง

ก็เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้น ดับไป เห็นไปไตรลักษณ์

ทำไมถึงเป็นไตรลักษณ์   เพราะว่าเวทนาเอง ก็อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์  น่ะแหล่ะ

มันก็ของ เกิดขึ้น ดับไป มันเป็นเหตุปัจจัย ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไตรลักษณ์นะ





















เทียนเป็นตัวอย่างนึงของรูปนาม

คำว่า "รูปนาม"เนี่ย ถ้าหากว่ามีวิญญาณเข้ามาครองสิง  มันจะเกิดออกมาแสดงอาการเป็นเวทนา

ก็คือ มีจิตใจ ก็จะเกิดความรู้สึกออกมาเป็นเวทนา เป็นผลออกมา

ธรรมะของพระพุทธเจ้า ใช้เฉพาะรูปนามที่มีเวทนาเท่านั้น

ไม่ใช้กับรูปนามที่ไม่มีเวทนา เช่น พืช  พืชไม่มีเวทนา

พืชมีชีวิตก็จริง   พืชมีวิญญาณ แต่ไม่มีเวทนา

มนุษย์มีวิญญาณ มีเวทนา

เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้าใช้สอนรูปนามที่มีเวทนาเท่านั้น

แต่ว่า รูป นาม ไม่ว่าจะมีวิญญาณ หรือไม่มีวิญญาน จะมีเวทนาหรือไม่มีเวทนา

จะแสดงผลตัวของมันเอง ออกมา 3 อย่างเสมอเหมือนกัน

หนึ่ง คือแสดงความเป็นอนิจจัง  แสดงความเป็นทุกขัง แล้วก็อนัตตา

ในความเป็นจริง ทั้ง 2 ส่วน ทั้งอนิจจัง แล้วก็ทุกขังเนี่ย มันมาจากความเป็นอนัตตานั่นแหละ

เนื่องจากความเป็นอนัตตาของเที่ยนเนี่ย ถ้าท่านเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้าง

ท่านอาจจะนึกออกว่า  หากเราขยายโมเลกุลของเทียนเนี่ย ออก

เราจะเห็นถึงความเคลื่อนไหวของมัน   ของโมเลกุลทั้งหลาย

เราดูด้วยตาเปล่า เรามองไม่เห็น  เราเห็นมันเป็นแท่งๆอย่างนี้

แต่ถ้าเราขยายไป เราจะเห็นถึงความเคลื่อนไหวของมันตลอดเวลา

ครั้งนึง ผมไปที่ สสวท. ( สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ) 

เค้าให้ผมส่องกล้องจุลทรรศน์ แล้วเค้าหยดสิ่งๆหนึ่งลงไปในกล้องจุลทรรศน์ 

แล้วเค้าก็ให้ผมดู  แล้วเค้าถามผมว่า เห็นอะไร  

ผมบอกว่า ผมเห็นเชื้อโรควิ่งไปวิ่งมา

เค้าบอกว่า นี่ไม่ใช่เชื้อโรค  นี่เป็นสีน้ำที่เด็กระบาย

ผมก็ส่องใหม่ !! เพราะผมเห็นมันวิ่งเหมือนเชื้อโรคเลย..ตลอดเวลาเลย

ผมก็เลยไม่เข้าใจ    ผมบอก สีน้ำทำไมถึงวิ่งได้

ในทางวิทยาศาสตร์ เค้าเรียกว่า สภาพควอนตัม

นั่นก็คือ การปลดปล่อยถ่ายเทพลังงาน ซึ่งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามสิ่งแวดล้อม

ที่เป็นเหตุปัจจัยที่มากระทบ โมเลกุลจึงมีการถ่ายเทพลังงานเข้าออกตลอดเวลา

จึงทำให้โมเลกุลเกิดการเคลื่อนไหว

เพราะฉะนั้น ที่เราสอนเด็กว่า สิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่ได้  สิ่งไม่มีชีวิตเคลื่อนที่ไม่ได้

องค์การวิทยาศาสตร์ถึงบอกว่า เรากำลังจะต้องเปลี่ยนหลักสูตร!!

เพราะเราพบความจริงแล้วว่า สิ่งไม่มีชีวิตก็เคลื่อนที่เองได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าขยายขึ้นมา  ไอ้นี่ก็เคลื่อนที่กันไม่หยุดเลยข้างในนี้  ต่อให้ไม่ต้องถูกไฟด้วย

หินแกรนิตนี่ก็เหมือนกัน  เห็นว่ามันแข็งแรงทนทาน  ใส่ไปอีกซักพันปี รับรองไม่อยู่ในสภาพนี้ ตึกเนี้ยะ !

คันธกุฎี  ของพระพุทธเจ้าเนี่ยะ  ผ่านไป 2,600 ปี ที่อินเดียไม่มีอะไรเหลือเลย

อิฐแดงเก่าๆ ก็ยังไม่รู้ว่าใช่มั๊ย ?  น่าจะเป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น วันนี้ ในเมื่อสรรพสิ่งทั้งหลายเคลื่อนที่กันตลอดเวลา

จึงทำให้เราเห็นสภาพของอนิจจังเกิดตลอดเวลาเช่นกัน

เพราะมันต้องแสดงผลออกมาให้เราเห็น

และด้วยความที่มันต้องดึงเข้า ผลักออกเพื่อจะรักษาตัวเองให้เสถียร

มันจึงเกิดเป็นสภาพทุกข์ ที่เรียกว่า ทุกขัง

ดังนั้น ทุกข์ หรือทุกขังที่เรารู้จัก เรามักจะเทียบกับความรู้สึกทุกข์ที่เป็นเวทนาเฉยๆ

แต่หากเราจะเข้าใจรูปนามทั้งหมด  ส่วนความเป็นอนัตตา  เทียนนี้มาจากไหน

สมมุติว่ามาจากปลาวาฬ  มาจากวาฬ เอาไขมันมาทำ

มันแปรเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ จนเรามาเรียกมันว่า เทียน

แล้วสิ่งเหล่านั้น เมื่อถูกไฟลน แล้วก็สลายไป กลายเป็นปลดปล่อยพลังงาน

ก็กลายเป็น ขึ้นไปบนฟ้าบ้างอะไรบ้าง

ก็หายไปกับพลังงานความร้อน ก็แปรรูปไป ที่เหลือก็อาจจะเป็นน้ำตาเทียน

เป็นธาตุดินไหลกลับไป แล้วก็ไปสู่ดิน แล้วก็เริ่มต้นกันใหม่

นี่ก็ก่อขึ้นมาใหม่  จากเทียน สลายลงไปในดิน แล้วก็มาถูกสร้างด้วยอาหาร

ไปเป็นผักพืช  แล้วก็ใส่เข้าไป แล้วก็กลายเป็นโต โต  กินเทียนเข้าไป

บางคนสั่งขี้มูกไว้ แล้วก็ ฟรืด... แล้วก็หล่นบนพื้น แล้วก็สบายลงไปในดิน

แล้วก็มาปลูกเป็นผักคะน้า  แล้วก็เอามากิน ก็เป็นขี้มูกเดิมน่ะแหละ แล้วก็มาเปลี่ยนแปรเป็นผักคะน้า

เลี้ยงหมา ก็เข้าไปอยู่ในรถ หมาก็ตดปู้ดด ไอ้เราก็หายใจนะ หายใจเอาตดหมา

ตดหมาก็เข้ามาสร้างเลือด สร้างเนื้อ สร้างกระดูก นะ

ไอ้ตดหมาก็เข้ามาอยู่ในนี้ ไอ้ตดเราก็ไป ... หมาก็ดมต่อ ( หัวเราะ )

มันก็วนกันอยู่อย่างเนี้ยะ ดินน้ำไฟลม มันก็วนไปวนมา ตามเหตุและปัจจัย

ก็เริ่มกลายเป็น สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึังเกิดขึ้น ก็เป็นการกระทบกันไปเรื่อยๆ

สรรพสิ่งจึงวนเวียน  เวียนวน ไม่มีทางหาย ไม่มีสสารใดหาย แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

ดินก็สู่ดิน ดินก็เปลี่ยนไป น้ำก็สู่น้ำ  ตกลงไม่ได้มีอะไรเลย

เปลี่ยนกันไป เปลี่ยนกันมา เปลี่ยนกันมา  เปลี่ยนกันไป ตามสภาพพวกนี้

แล้วเมื่อเอาดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกันด้วยเหตุปัจจัย แ้ล้วก็มีวิญญาณเข้ามาครองสิง

ก็ถูกเรียกเป็นเราขึ้นมาอีก  แล้วเราก็ไปสร้างเหตุเกิดกันใหม่

ขันธ์ก็สืบเนื่องกันไม่มีที่จบ

ดังนั้น สภาพของเทียน........ผมชอบเทียน!!

เพราะเทียนแสดงไตรลักษณ์ได้ชัดเจนที่สุดเลย  ตั้งไว้เนี่ย ใครๆก็เห็นอนิจจัง

เพราะเดี๋ยวหมดแน่ ไม่ช้า ก็เร็ว  ก็เห็น เพราะสภาพการกระทบของลม ของดินฟ้าอากาศ

หรือของอะไรที่มากระทบ  ก็จะเห็นความเคลื่อนไหวตลอด

จะมีผลกระทบต่อทั้งเปลวไฟ ทั้งตัวของมัน  ตลอดเวลา

ตัวของมันเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ไม่ได้อยู่คงที่อะไร

เหตุปัจจัยเปลี่ยนมันไปตลอดเวลา  ทำให้สภาพความเป็นทุกข์ของมันเพิ่มขึ้น

แล้วรูปนามทั้งหมด ไม่ว่าจะมีชีวิต หรือไม่มีชีวิต

มีสภาพที่จะรักษาตัวเองให้เสถียรแต่ทำไม่ได้  นี่คือ เรียกว่า ทุกขัง

การไหวไปของการพัดที่แรงขึ้น จะทำให้ไส้เทียนไปเผาน้ำตาเทียนเพิ่มขึ้น

เพื่อมันจะรักษาสมดุลย์นี้เอาไว้ให้ได้

ครั้งนึงผมไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่ง กุฎิอยู่ที่หน้าผา แล้วลมแรงมาก

ตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่ม พอออกจากสมาธิก็มืดเลย ลืมตาขึ้นมาอีกทีมืดตึ๊ดตื๋อเลย

เห็นเทียนวางอยู่ที่ระเบียง  ทีแรกมองดู แล้วก็ลมที่แรง คิดว่าจุดไปก็คงไม่มีประโยชน์ ดับแน่!

แต่มันมองอะไรไม่เห็นเลย ก็เอางี้ จุดแล้ว บังๆ เอาไว้หน่อย

ก็จุดเทียน จุดแล้วก็หลบๆเสาหน่อย  มีเสาระเบียงก็หลบๆ

พอจุดเสร็จถึงแปลกใจ ลมแรงมาก  วู๊ ๆ ๆ ๆ เพราะบนเชิงเขา

เห็นเทียนกำลังจะดับ แล้วมันก็เริ่มเผาตัวมันเอง ไส้มันเริ่มยาวขึ้น หลังจากนั้นมันลุกขึ้นมา

ผมบอก อุ๊ววว !! เทียนนี่เหมือนมีชีวิตเลยแฮะ ! ความรู้สึกตอนนั้นนะ

ว่า มันสู้ลมด้วยนะ    มันไม่ยอมตาย

แต่สุดท้ายมันทนไม่ไหว เพราะลมแรงมาก แล้วมันก็ดับ !  สู้ไม่ไหว...

โอว  รูปนามเป็นอย่างนี้นี่เอง  รูปนามเรามันก็สู้ตายนะ

ดินฟ้าอากาศ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เราใส่อาหารที่แบบโหลยโท่ยเข้าไปมันก็สู้ตาย

เอาสารก่อมะเร็งใส่เข้าไปมันก็พยายามรักษาตัวมันเอง

ไม่บ่นซักคำเลย  ไม่ว่าเราด้วย

วันไหนใส่อาหารดีๆมันก็ไม่ได้ ...เย้ !  ( หัวเราะ )

หรือใส่อาหารแย่ๆ .... โห่ยยย .... ไม่มี !! มันทำงานของมันไปเรื่อยๆ

จนสู้ไม่ไหวก็ตายเอง หึหึ  ตายแล้วก็ยังแสดงผลเป็นอนิจจังต่อนะ  ไม่ใช่ตายแล้วหยุด

ตายแล้วเดี๋ยวก็เน่าต่ออีก ก็แสดงความเป็นอนิจจังต่อไป

แค่มันไม่มีวิญญาณครองสิงเฉยๆ ไอ้ศพก็ค่อยๆขึ้นอืดไป

เปลี่ยนชื่อจากเราเป็นศพแล้ว ที่แท้ก็ไอ้เดิมแหละ ไอ้เดิมน่ะแหละ

ไปใส่ชื่อไว้เฉยๆ  นี้นายประเสริฐ พอตายปุ๊บ! เรียกศพ

ศพไหน? ก็นายประเสริฐ ถ้าจะเรียกนายประเสริฐ จะเรียกอะไรล่ะ ?

สมมุติว่า รูป นาม ขันธ์ 5 สังขาร ก็เรียกต่อไปสิ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ขันธ์ 5 แล้ว

เพราะไม่มีเวทนา สัญญา สังขารแล้ว หมดแล้ว

เหลือแต่กายล้วนๆ เปลี่ยนไปเรียกรูป นาม แล้ว

เพราะว่าพลังงงานมันก็ยังปลดปล่อยกันอยู่นั่นแหละ

เนื้อมันถึงค่อยๆเละ  แล้วก็ค่อยๆเฟะ  ถ้้ามีเหตุปัจจัยมาเพิ่ม มีแดดเข้ามาอีก

ไอ้ศพก็อืดเร็วหน่อย นะ  ไปเพิ่ม มันก็เป็นสภาพทุกขังต่อไปอีก

รักษาตัวเองไม่ได้  ไม่เสถียร เพราะเหตุปัจจัยมันทำให้ร้อน

พอร้อน ก็ยิ่งเฟะเข้าไปใหญ่ มันก็ปลดปล่อยพลังงานของมัน

มันก็ทำอยู่อย่างนี้แหละ เป็นสภาพทุกข์

แล้วมันก็ดินสู่ดิน  น้ำสู่น้ำ  แล้วมันก็แยกกัน แล้วก็เริ่มต้นกันใหม่

เป็นมายังเงี้ยะ  แล้วมันก็จะเป็นต่อไป  จนเหตุปัจจัยของโลกแตกสลายไป

ก็จะเหลือนามธรรม  แล้วเดี๋ยวก็รอใหม่

จากรูปก็เป็นนาม เดี๋ยวนามก็รอจนเหตุปัจจัยถึงพร้อม ก็เป็นรูปอีก

วนไปเวียนมา ไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะยังมีเหตุเกิด มันยังมีจิตวิญญาณ

ที่ไปสั่งสมความเห็นผิด แล้วก็ไปสร้างเหตุเกิดต่อไป

เป็นเืชื้อต่อไป ก็ไปก่อขันธ์ 5 ขึ้นมาอีก

ก่อขึ้นมาแล้วก็ยึดถือ  ยึดถือแล้วก็เข้ามาเป็นเรา

ทำทุกอย่างแล้วก็เป็นภพ  ก็...ไปดูลิงจูบสิ ทำทุกอย่างแล้วก็ไปสร้างสิ่งนี้...ขึ้นมาเป็นเรา

แล้วก็ฝังเอาไว้ที่จิตวิญญาณ

ปรุงแต่งทางทีก็เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร

พอปรุงแต่งทางที่ไม่ดี เป็นโกรธ เป็นโลภ เป็นหลง ก็กลายเป็น  อปุญญาภิสังขาร

ก็ไปเกิดในทุคติภูมิ ก็วนไปเวียนมาอยู่แค่นี้้

วันนึง เดี๋ยวก็คิดดี เดี๋ยวก็คิดไม่ดี  เดี๋ยวก็คิดดี  เดี่๋ยวก็คิดไม่ดี มันก็มีอยู่แค่นี้

ดีมากหน่อยมันก็เกิดดี  ก็มันคิดเอาเองนี่ มันปรุงเอาเอง

มันก็ไปสร้างภพเอง แล้วก็ไปสั่งสมไว้เอง  แล้วก็ไปก่อขันธ์ใหม่ มันก็มีแค่นี้

ถ้าคิดไม่ดี มันก็ไปสั่งสมไว้เอง  มันก็ก่อขึ้นมา ก็ไปลำบาก

เพราะกรรม มันไม่ได้มีแต่เรานี่  กรรมของเราก็ยังไปสืบเนื่องกับคนอื่นอีก

ที่เป็นพลังงาน ดึงกันไปดึงกันมา  ผลักกันไป ผลักกันมา  ส่งผลกันไม่มีที่สิ้นสุด

เพราะฉะนั้น วันนี้ทำยังไง  สุดท้ายมันก็กลับมาที่เดิม

พออธิบายจบมาถอดถอนความเห็นผิดได้ด้วยมรรคมีองค์ 8 อยู่ดี

จะผ่านมรรคองค์ไหน ก็ต้องไปว่่ากันล่ะ

แต่ทั้ง 8 องค์ก็จะทำให้เกิดความเห็นถูก รู้แจ้ง ที่พระองค์ตรัสรู้

ดังนั้น การปฏิบัติธรรมที่เริ่มตั้งแต่ตอนเปิดหลักสูตรว่า

ผู้อยู่ใกล้นิพพานก็เริ่มต้นอย่างนี้

เดินจงกรมนั่งสมาธิเพื่อลดราคะหรือการปรุงแต่งลง

เพราะมัีนจะกลับมาอยู่ที่กาย หรือว่าความจริง

ไม่ใช่ปล่อยให้มันหลงๆไป หลงๆๆนั่งคิด แล้วก็ฟุ้งๆๆๆ แล้วก็เป่าลูกโป่งไปเรื่อย

หลังจากนั้นก็ไปสร้างเหตุเกิดต่อไป คิดดีก็ไปดี  คิดไม่ดีก็ร่วงอีก

เอ้า ! ถ้าอย่างนี้ก็คิดดีเอาไว้สิ ...

ก็เอาสิ ! ก็หลงคิดอยู่นั่นแหละ ก็ไม่เคยกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้

เพราะมันมีแต่เรื่องคิด เดี๋ยวๆก็ไปอีกแล้ว ก็ เป๋.. ก็ทุกข์อีก

ดังนั้น การทำสมาธิ มันจะไปละสิ่งเหล่านี้ลง เพื่อให้กลับมาอยู่กับกายที่แท้จริง

เมื่อตั้งอยู่ที่ฐานกาย ที่เรียกว่า กายคตาสติ

ก็จะทำให้เกิดความเห็นถูกตามความเป็นจริงขึ้นมาโดยลำดับ

สมาธิก็จะไปละ ที่เิปิดให้ดู...สันทิฏฐิกนิพพาน  กามก็ไม่มี  ตัณหาก็ไม่มี

ก็เริ่มเบาบางไป จากนั้นก็เริ่มเคยคุ้นกับความสงบ ค่อยๆละความเห็นผิด

ค่อยๆละความเห็นผิด ละอกุศลออก แรงเงาก็ค่อยๆขยับขึ้นมา

จนกระทั่ง  เป็นคนดี แต่ก็ยังไม่พ้นทุกข์

หลังจากนั้น เจริญกุศล ละอกุศลก็ขยับขึ้นมาอีก

แล้วก็มาเจริญให้เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม

ให้เห็นว่ามีแต่ของเกิดดับ  มีแต่ของเกิดดับ  มีแต่ของที่เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน

จากนั้นก็เริ่มวกกลับเข้าไปที่สัมมาทิฏฐิ เกิดความรู้แจ้งขึ้นโดยลำดับ

สุดท้ายก็ฟันธงว่า ขันธ์  5 นี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา

ปล่อยความเห็นผิดได้โดยลำดับ   สักกายทิฏฐิ ก็หายไป

ความเห็นผิดในความเป็นตัวตนก็หายไป

แต่เข้าใจความเป็นไปในขันธ์ 5 แต่จิตยังไม่ยอมปล่อยความยึดถือในขันธ์ 5

จากนั้น ก็เริ่มต้นต่อไป จากพระโสดาบัน สกิทาคามี ก็จะเห็นความจริงโดยลำดับ

จนกระทั่งไปจบที่ว่า ต่อให้เห็นแล้วว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ของเรา

แต่เพราะความหลงผิดที่จิตไปยึดถือตัวเอง  มันจึง กลับมายึดขันธ์ 5 นี่แหละ

เราก็จึงพยายามปล่อย เราไปปล่อยรูป  ปล่อยเวทนา ปล่อยสัญญา

ปล่อยสังขาร ปล่อยวิญญาณ ปล่อยเท่าไหร่ก็ปล่อยไม่ได้

แต่ในกระบวนการของมรรคก็ตัดเชื้อของกิเลสไปเรื่อยๆ

ตัดอาหารของกิเลสไปเรื่อยๆระหว่างที่ยังภาวนาอยู่

โดยที่อาจจะยังไม่เห็นความจริง

จนกระทั่งสุดท้ายพอเห็นความจริงจากการตัดอาหารของกิเลสจนเบาบางเต็มที

จึงวกกลับไปเห็นจิตตานุสติปัฏฐาน ว่าแม้แต่จิตเองก็ไม่ใช่ตัวตน

เป็นเพราะจิตไม่เข้าใจ เป็นเพราะจิตไปหลงผิด มีอวิชชา

จึุงก่อความเป็นตัวตนขึ้นมาที่ตัวจิตเป็นจุดเริ่มต้น

มันจึงก่อร่างสร้างขันธ์ขึ้นมาแล้วก็ยึด

เมื่อปลดความเห็นผิดที่จิต ขันธ์จึงหลุดพลั๊วะ !!เลย

จากความพยายามทีื่จะปล่อยขันธ์มาตลอด แต่ปล่อยไม่ได้

นึกว่าอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ เพราะเราไปยึดถือขันธ์

แต่ปล่าว.... เพราะความไปยึดถือจิต  จิตถึงไปยึดถือขันธ์

ขันธ์จึงกลายเป็นตัวตนขึ้นมา  ปฏิบัติไปก็เพื่อให้เห็นความจริง

เพราะฉะนั้น ในคืนนี้ก็คงจะแค่ พูดอะไรกว้างๆ คร่าวๆ ให้มันไม่รู้เรื่องไปเรื่อยๆ

แล้วพรุ่งนี้ .... มัน ... รู้เรื่องไม่ได้! ไม่รู้จะทำยังไง

ก็ที่พูดมาเนี่ย ถ้ามีคนรู้เรื่อง แสดงว่าคนๆนั้นสัมมาทิฏฐิจริงๆ

ท่านเช็คตัวเองได้เลย ถ้าฟังรู้เรื่องทั้งหมดโดยไม่ต้องแปลเลย

พูดมายังไงไม่รู้เรื่อง  ก็เห็นชั้นรู้เรื่องหมด นั่นน่ะ ท่านสัมมาทิฏฐิแล้ว

ไม่เห็นมีอะไรยากเลย  ยากตรงไหนเหรอ ?

เออ !  งี้ค่อยยังชั่วหน่อย เดี๋ยวคุยกันหลังไมค์เลยงั้น !

แต่ถ้าไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาไม่ใช่รู้เรื่อง หรือไม่รู้เรื่อง ตรงนี้

เพราะเจริญมรรคเดี๋ยวจะเห็นความจริงขึ้นมาเอง

และหลังจากนี้พอได้เห็นความจริง ที่ถอดถอนตัวตนออกไปแล้วเนี่ยะ

ไม่ต้องห่วงแล้วไม่ต้องกลัวนี่!!

" อาจารย์ แล้วชาตินี้จะทันไม๊เนี่ย ? "

โอว  ไม่ต้องห่วง ขันธ์ยังมีการสืบเนื่องไปเรื่อยๆ  ( หัวเราะ )

งั้นแปลว่าอะไร  ... เพราะฉะนั้น ให้ฝังสัมมาทิฏฐิลงไปให้ขันธ์ดีๆก็แล้วกัน

ก็มีปัจจัยทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น มีสิ่งที่รับรู้ต่ออารมณ์ได้

ก็นี่ไง ! ที่ท่านพูดมาก็นี่ไง แล้วก็มีจิตเข้าไปยึดถือเฉยๆ
...........................
กระจกมีมั๊ย ?  ( ถามทีมงาน ) ไม่เป็นไร ใช้ iPad





















ท่านเห็นเปลวไฟ ถูกมั้ยครับ?

เห็นไฟอยู่ในกระจก ถูกมั้ยครับ?

ก็ ถึงไม่เห็นผมก็เชื่อว่าท่านเดาออก

ถ้านี่(  iPad)เป็นกระจกเงา... ก็คงจะเห็นเปลวเทียนอยู่ในกระจกเงา

( เอ้า ! ให้กล้องเห็นหน่อย กล้องเห็นเปลวเทียนมั๊ย ...ในกระจกเห็นมั๊ยครับ ?  เห็นนะครับ )

ทีนี้่ผมถามว่า เปลวเทียนที่อยู่ในกระจกเงาเนี่ย  ร้อนไม่ครับ ?

ร้อนมั๊ย  ไม่ร้อน!! ... เงาที่อยู่ในจกเงาน่ะ  มันจะไปร้อนได้ไง ถูกมั๊ยครับ  อันนี้เราเข้าใจได้

แต่ถ้าเราเอามือไปอังเทียนตรงๆ  มันก็คงร้อนแน่นอน

แต่เงาในกระจก   ถ้าสมมุติเราเอามือเข้าไปอังได้ มันก็คงไม่ร้อน

( เอ้า ! ได้กระจกแล้ว เดี๋ยวรอกระจกก่อนจะได้เห็นชัดนะ )  คงไม่ได้ไปถอดในห้องน้ำมานะ ( หัวเราะ )





















เอาล่ะ ทีนี้ คำถามเดิมก็คือ  ถ้าเราเอามือไปอังอยู่ในเงาของเทียนอยู่ในกระจก

แน่นอนเรารู้ว่ามันไม่ร้อน

ถ้าหากจิตไม่มีการปรุงแต่ง   มันจะเห็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร  วิญญาณ

เหมือนกับกระจกเห็นเปลวเทียน......ไม่เข้าใจ...

วันนี้ ตอนที่ท่านอยู่นี่ ท่านปวดขา ถูำกมั๊ยครับ ?  ถูก !

ทุกข์มั๊ยครับ ?  ทุกข์ !  ปวดนานๆ ก็ทุกข์

แสดงว่าท่านเห็นเวทนาที่กำลังเกิดขึ้นคือความปวด

หากผมอุปมาว่าไฟเนี่ย คือความปวดที่ขาท่าน

แล้วถ้าท่านเห็นเวทนาที่เกิดขึ้นที่ขาท่านเหมือนกับกระจกเห็นเทียน  ท่านจะทุกข์มั๊ย ?

แสดงว่า วันนี้ท่านไม่ได้เห็นเวทนาตามความเป็นจริงแบบกระจกเห็นเทียน

แต่ท่านปรุงแต่งเวทนาที่กำลังปวดขึ้นมาเป็นตัวเรา

เราจึงทุกข์กับความปวดนั้นโดยไม่รู้ตัว  เพราะมันมีตัวไปแล้ว

แต่หากเราเห็นเวทนา คือความปวด  เหมือนกับกระจกเห็นไฟ

ไฟในกระจกจะไม่ร้อน !!

เวทนาที่เกิดขึ้นที่จิตจะไม่ร้อน !!

แต่ตอนนี้ จิตของเรามีสภาพโง่ คือไปดึงไฟมาเป็นของมัน

ไฟจึงเข้าไปร้อนอยู่ข้างในล่ะทีนี้ มันจึงมีสภาพปรุงแต่งของสังขาร วิญญาณ

จึงเกิดความรู้สึกขึ้นล่ะ เป็นเวทนาขึ้นมา

 ถ้าเห็น สักแต่เห็น  อย่างที่กระจกเห็นเทียน สักแต่เห็นอย่างเนี้ย

หรือท่านเห็นเวทนาในคือความปวดที่เกิดขึ้นที่กาย

สักแต่ว่าความเวทนามันเกิดขึ้นที่กายที่ใจ ที่กายนี่มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว

ความปวดมันก็เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย

แล้วไม่ดึงมันเข้าเป็นเรา เป็นของเรา ท่านจะทุกข์กับมันได้ยังไง

พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ถามสาวก ที่นั่งกันอยู่ ท่านถามว่า ...

เธอเห็นกิ่งไม้ที่เค้าลากไปเผามั๊ย ?  สาวกตอบว่า เห็นพระเจ้าค่ะ

เธอทุกข์ร้อนไปกับกิ่งไม้ที่เค้าลากไปเผามั๊ย ?  สาวกตอบว่า ไม่ทุกข์พระเจ้าค่ะ

ทำไมเธอถึงไม่ทุกข์ร้อนกับกิ่งไม้เวลาเค้าลากไปเผาล่ะ ?

สาวกตอบว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไม่ใช่ตัวตนของเราพระเจ้าค่ะ

ถูกแล้ว วันไหนที่เธอเห็นความเป็นจริงตามนี้

ว่านี่ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรานี่ ... เธอจะทุกข์กับมันมั๊ยล่ะ ?

เธอจะทุกข์กับมันมั๊ย ?   ไม่ !!

เพราะไม่มีผู้เข้าไปยึดถือมันแล้วน่ะ

สิ่งเหล่านี้ คือ จุดหมายปลายทางสุดท้าย ผมจะบอกให้...

ท่านอาจจะอยากไป ไม่อยากไปผมไม่รู้หรอก

เพราะว่าถ้าไปไม่ถึง เหตุเกิดของขันธ์ 5 จะสืบเนื่องต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีดับเหตุเกิดเหลือทางเดียว คือ .... " หมดสภาพของผู้เป็นเจ้าของขันธ์ "  เนี่ย !!

แล้วก็คืนสู่สภาพธรรมชาติไป นั่นแหละ คือความสุขที่แท้จริง

วันนี้ ความเห็นผิดครั้งมโหฬารที่เกิดขึ้นในมวลสัตว์โลกทั้งหมดที่เวียนว่ายตายเกิด

มันเกิดความงงว่า ถ้านี่เป็นขันธ์ 5 ที่เกิดขึ้นมา  แล้วมันก็เกิดสืบเนื่องเป็นเทียนที่ 2 3 4 ไปเรื่อยๆ

แล้วถ้าถึงตรงนี้จริงๆ เราไปอยู่ไหนน่ะ แล้ว เราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วไม่มีตัวตนเลยเหรอ

แ้้ล้วจิตคืออะไร แ้ล้วเรานี่ล่ะ   พระพุทธเจ้าตรัสว่า อวิชชามาทีหลัง

ก่อนหน้านี้ทั้งหมด   ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน

หลังจากนั้น จากความไม่รู้ที่ก่อตัวขึ้นมา มาสร้างขันธ์ 5 ขึ้นมาในครั้งแรก

คือ  พวกเราทั้งหลายไม่สามารถกลับไปที่เดิมอีกเลย

ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยมีอย่างนี้นะ  หากกาลเวลาอันยาวนาน

สมมุติเท่ากับเรามาย่อให้เหลือ 1 ล้านปี

ช่วงเวลาที่เรามีขันธ์ ถึงแม้จะว่ายาวนานแค่ไหนก็ตาม

แต่มันเป็นแค่เศษๆเสี้ยวๆเล็กๆ ที่เพิ่งมาเกิดขึ้นทีหลังนะ

เราไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อน  สภาพจิตเดิมแท้มันไม่เคยมานั่งเกาะขันธ์อยู่แบบนี้มันถึงไม่ทุกข์

แล้ววันนึงที่เรากลับถึงตรงนี้ เราจะกลับไปที่เรียกว่า " จิตเดิมแท้ " อีกครั้งนึง

คืนสู่ธรรมชาติไป

เพราะความไม่รู้ เรามาก่ออันนี้ขึ้นมา แล้วมันจึงก่อไอ้นี้ไม่มีวันจบ

พอก่อไอ้นี่้ขึ้นมานานๆ เราเกิดยึดถือไอ้นี่มาเป็นตัวตน

เราจึงยิ่งงงหนักขึ้นไปใหญ่เลยว่า  ถ้าวันไหนมันไม่มีไอ้นี่แล้วเราจะอยู่ยังไง

เมือ่ก่อนเราไม่เคยมีไอ้นี่นะ  แล้วเราก็ไปสร้างไอ้นี่ขึ้นมา

แล้วเราจะกลับไปที่เดิม  ... ทำเป็นงงไปได้ ! ลืมไปแล้วเหรอว่ามาจากไหน

ชาติที่แล้วยังจำไม่ได้เลย  อย่าว่า..... นะ  ( หัวเราะ )

กลับคืนสู่สุญญตา  ไม่ใช่ว่างเปล่านะ

ฟังเรื่่องที่ไม่รู้เรื่องมันอึดอัดดีพิลึก

เพระมันไม่สามารถที่จะจินตนาการได้ มนุษย์คิดทุกอย่างเป็นรูป

ทุกคนคิดทุกอย่างเป็นรูป  เมื่อเราไม่มี่ข้อมูลที่จะมาสร้างรูป

เราจึงรู้สึกโหวงเหวงอึดอัดมาก

เราเริ่มเจอในสิ่งที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ทั้งๆที่มันคือความจริง

เนื่องจากเราอยู่ในความคิดที่ไม่ได้อยู่ในความจริง

เมื่อไหร่เราทำลายสิ่งปรุงแต่งนี้ออกได้ เราจะเข้าไปสัมผัสความจริงแท้

นั่นคือความรู้แจ้งขึ้นมา ... นะ

เนื่องจากเราสร้างเหตุเกิดกันมาไม่หยุด  ขันธ์นี้ก็เกิดขึ้นมาไม่หยุด

ก็จึงสร้างความเป็นตัวเป็นตนของแต่ละคนขึ้นมาไม่หยุด

พวกเราก็เกิดกันมา เพราะมีเหตุเกิด

เราเกิดมาทำไม   .....??  เกิดมาทำไม   (ถามโยคีผู้เข้าคอร์ส )

ไม่รู้เหมือนกัน ( หัวเราะ ) ถ้าอยู่ วันที่คลอด  หมอถามว่า เกิดมาทำไม จะตอบหมอว่าอะไร ?

ไม่รู้เหมือนกัน ...ยังไม่รู้เลย  โผล่พรวดออกมา นี่มันที่ไหนเนี่ย !

แล้วใครล่ะ แล้วนี่อะไรล่ะ พ่อแม่ก็ยังไม่รู้จักเลย

จะบอกว่า ไม่รู้ จะให้ไปถามแม่ก็ยังไม่ได้เลยเพราะแม่... ก็ยังไม่รู้จัก

ออกมาทำไม ?  หมอถาม ออกมาทำไมเนี่ย ??

ออกมาใช้กรรม !!... " เหรอ ! ทำกรรมอะไรไว้เนี่ย ? "

" โอว คงเยอะน่ะ " ( หัวเราะ )  คือ มันไม่รู้จะตอบหมอยังไงน่ะ

เออนะ ไม่รู้จะตอบยังไง มันเกิดมาแล้วน่ะ

แต่ถ้าวันนี้เราศึกษามาจนถึงขนาดนี้แล้วเนี่ย หมอถามเกิดมาทำไม ?

" ไม่ได้เกิดมาทำไมหรอกหมอ .... คือ มันยังมีเหตุเกิดอยู่ "

มันถึงได้คลอดมานี่ไง  !!  เพราะมันมีเหตุเกิด

แล้วอะไรล่ะเหตุเกิด... หมอถาม

ตัณหาไงหมอ !! ( หัวเราะ )  พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น

เพราะยังมีตัณหาอยู่เนี่ยะ  ถึงได้สร้างเหตุเกิดอยู่ทุกวันนี้

มันจะเกิดอีกนานมั๊ยล่ะ ?  คงนานน่ะ  ( หัวเราะ )

เพราะยังไม่รู้เลยว่า มรรคมีองค์ 8 มีอะไร

รู้แต่สัมมา สัมมา .... นี่เริ่มก็ไม่รู้ว่ามันจะไปทางไหนแล้วน่ะ

แล้วจะไปได้มั๊ยเนี่ย  ไม่รู้จักมรรคมีองค์ฺ 8 จะออกกันได้มั๊ยเนี่ย

เอาแต่ เดินจงกรม นั่งสมาธิ แล้วก็ รู้ รู้ .... อยู่เนี่ยะ !!

ก็ไม่รู้ว่า รู้ไปทำไม  แล้วก็ไม่รู้ว่า รู้อะไร  แล้วรู้แล้วจะหลุดพ้นได้ยังไง

แล้วรู้แล้วจะเห็นความจริงตรงไหน ?

มีหลายคนชอบมาถามผม "  รู้ๆ อย่างนี้น่ะเหรออาจารย์  แล้วจะหลุดพ้นจริงๆหรือ? "

" ไม่ !! "   อ้าว !  .........แล้วให้รู้ทำไม ?

" ใครบอกผมให้รู้ ล่ะ ?  ผมให้เจริญมรรค  พระพุทธเจ้าก็ตรัสมาตลอดว่าให้เจริญมรรค "

เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่แค่นั้น

ในมรรคมีองค์ 8 ไม่ได้มีแต่เฉพาะสติปัฏฐาน 4 มรรคมีองค์ 8 มีตั้งหลายข้อ มี 8 ข้อ

การตัดเหตุเกิด ต้องอาศัยกำลังของมรรคทั้งหมด

ที่เรียกว่า มรรคสมังคี เข้ามารวมกำลังกัน

แต่ในเมื่อเกิดมาแล้วก็แล้วกัน เกิดมาแล้วก็ทำ   ... เพื่อจะตัดเหตุเกิด

วันนี้ก็มีคนเกิดมาจริงๆ ....26 มิ.ย. เชิญคุณ บุญรักษา ถูกมั๊ยครับ เกิดวันนี้มั๊ยครับ

เชิญข้างหน้า เลยครับ อ้อ วันนี่มาเข้าคอร์สด้วยวันเกิด หรือว่า .....

เชิญข้างหน้าเลยครับ   ขออาสนะที่ยังไม่ได้ใช้ซัก 3 อัน

อ้าวไหน ใครเกิดวันนี้อีกครับ?   ............. คุณจิ๋ว เชิญ เกิดแล้วไม่ต้องอายแล้ว  เกิดมาแล้ว ( หัวเราะ )

แล้วก็ไหนๆก็ไหนๆ 29 ก็มีอีกคนใช่้มั๊ย คลอดออกมาจากท้องแม่ เอ้าปุ๊ ทีเดียวเลย เชิญครับ

ในวันนี้เราก็เพื่อนๆที่เป็นวันคล้ายวันเกิดน่ะครับ

แต่ผมก็เชื่อว่า เราก็คงจะไม่อะไรกับวันนี้มากแล้ว

เพราะว่าเริ่มเห็นความจริง  แต่ก็เถอะ ....ไม่ได้มีปัญหาอะไร

พวกเราก็มีวันเกิดกันทุกคน วันที่คลอดออกมาจากท้องแม่ น่ะแหละ ที่เราก็เรียกว่าวันเกิด

แต่็ก็อย่างที่บอกว่า ถ้าเราเอา partition ออกก็ไม่รู้จะนับตรงไหนแล้ว

เพราะขันธ์มันสืบเนื่องไปหมด  เราใส่บัญญัติไปไว้เฉยๆ

เราจะมาฟังเพลงนี้ด้วยกันนะ  จะเป็นการมอบให้กัลยาณมิตรของเราทั้ง 3 ท่านที่เกิดวันนี้




( เนื้อเพลง )  วันเกิดของใครก็ไม่รู้

( อาจารย์ )  จริงๆขันธ์ก็เกิดสืบเนื่องมาเรื่อยๆ ไม่ได้มีใคร เราไปใส่ชื่อใคร

แต่เราก็ใช้สมมุตินี่แหละ เพื่อจะเรียกช่วงเวลานี้ของขันธ์ ว่าชื่อนี้

ว่ามีโคตรอย่างนี้้ อย่างนี้  มีชื่ออย่างนี้ อย่างนี้

จริงๆขันธ์ก็สืบเนื่องไปเรื่่อยๆ วันนี้เราหลงเพราะเราไปล็อคช่วง

เราใส่partition เข้าไป มันจึงหลงเลย

ในช่วงนี้เรียกนายราชมัล  ช่วงนี้เรียกหมออาจินต์ นะ มันเลยงง

แต่ถ้าเอา partition ออก เอาสมมุติบัญญัติออก มันจะเห็นการสืบเนื่องของขันธ์ที่ไม่มีสิ้นสุดเลย

เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็คือ การสืบเนื่องของกรรมที่สร้างมา แล้วก็ส่งผลเป็นวิบาก

วันเกิดของใคร ก็ไม่รู้

( เนื้อเพลง )  แต่ฉันไม่อยากเกิดมาอีกแล้วจู้ฮุกกรู   เกิดก็ต้องตาย ตายก็ต้องเกิด ทางประเสริฐอยู่หนใด

( อาจารย์ )  ทางประเสริฐอยู่หนใด นะครับ ก็คือ อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเองที่พาให้เราพ้นทุกข์ไป

( เนื้อเพลง ) ไม่มีใคร เกิดหรือตาย

( อาจารย์ )  ไม่มี๊ ! ไม่มีใครเกิด ใครตายหรอก   ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ขันธ์เสร็จแน่ครับ

เพราะจะไม่ไปสร้างเหตุเกิดกับมันอีกแล้ว มันจะเหลือแต่สภาพที่สลายตัวไปแล้่วก็ไม่ก่อมันขึ้นมาอีก

( เพลง ) หากเข้าใจในพระธรรม เกิดก็วุ่นวาย ตายก็เสียใจ ไม่มีใครเกิดหรือตาย

เกิดดับเป็น เช่นของมัน  ปรากฏการณ์ ไม่ใช่ของฉัน

( อาจารย์ ) เกิดดับ ก็เป็นอยู่ของมัน อย่างนี้ เกิดๆ ดับๆ  ก็ทำให้ดูแล้ว

รูปนามทั้งหลาย เกิดๆ ดับๆ  พราะความเป็นอนัตตานั่นเอง

ปรากฎการณ์ไม่ใช่ของฉัน  อย่าไปดึงของเกิดๆดับๆ มาเป็นของเราเลย ทุกข์เปล่าๆ

( เพลง )   ปล่อยมันว่างไป ไม่ยึดถือมัน พระนิพพานอยู่ไม่ไกล ปล่อยมันว่างไป ไม่ยึดถือมัน.....

( อาจารย์ )  จริงๆ คำว่าปล่อยมันว่างไป ไม่ยึดถือมันเีนี่ยะ

  ถ้าจะพูดกันจริงๆก็คือ   ไม่ใช่ปล่อยมันหรอก

เพราะเมื่อจิตปล่อยตัวเองเนี่ย มันไม่มีใคร มันไม่มีใคร !!

ไม่มีใครไปปล่อยขันธ์  มันเหมือนสิ่งนี้มีอยู่  แล้วเรารู้สึกว่ามีจิตเข้าไปยึดถืออุปาทานขึ้นมา

เราก็รู้สึกว่า มันต้องปล่อย  เราถึงจะปล่อยกันได้

แต่ถ้ามันไม่มีคนจับ   มันก็ไม่มีการจับ

เมื่อไม่มีคนจับ  ก็ไม่มีการจับ !!

( เนื้อเพลง )  พระนิพพานอยู่ไม่ไกล

( อาจารย์ )  ก็ขอ ....ธรรมใดพระศาสดาตรัสรู้แล้ว  รู้แจ้งแล้ว

ขอพระธรรมนั้น จงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย

โดยเฉพาะ 3 ท่านนี้ แล้วก็ทุกท่านที่่เข้ามาปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8

ขอพระธรรมนั้น จงบังเกิดแก่ท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันชาตินี้ด้วยเทอญ.

อย่าไปก่อขันธ์ใหม่อีกล่ะ  อ้ะ เชิญครับ

ไม่มีเค้กวันเกิดให้ แต่มีเพลงวันเกิดให้

เอ่ยชื่อหน่อยนะครับ เพราะว่า ให้เครดิตคนร้องนิดนึง

แต่ว่า ผมไม่ทราบคนแต่งจริงๆ  คนร้องก็คือ คุณน้ำผึ้ง ณัฐริกา

ก็รู้แต่เป็นดารา ที่เข้ามามาสนใจธรรมะ แล้วก็ร้องเพลงนี้


จบการบรรยายตอนที่ 5
---------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 4 สันทิฏฐิกนิพพาน                            ตอนที่ 6 อริยมรรคมีองค์ 8 (องค์ 1-5 )


กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ

- ด้วยจิตคารวะ -

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบพระคุณมากค่ะ สาธุ

    ตอบลบ
  2. อนุโมทนาเช่นกันค่ะ กราบของคุณธรรมของอาจารย์ประเสริฐ _/\_

    ตอบลบ