9/07/2556

ปฏิบัติธรรมทำไม

โครงการปฏิบัติธรรมวันเดียว

ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ย.พ.ส.)


ถอดคำบรรยาย ของ อ.ประเสริฐ   อุทัยเฉลิม [ ปฏิบัติธรรมวันเดียว ] ช่วงเช้า 2
ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น 4 อาคารธรรมนิเวศ ศูนย์ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ฯ
วันเสาร์ ที่ 31 สิงหาคม 2556

( ช่วงเข้า ….ต่อ )

เอ้า … อยู่ในสมาธิ กับออกจากสมาธิ ก็……….เหมือนๆกัน
นักปฏิบัติที่เริ่มเกิดสัมมาทิฎฐิ อย่างผมนั่งไปเนี่ย  ผมจะสังเกตเห็นอย่างนึงคือ
พอบอกว่า พอสมควร หรือ สมควรแก่เวลาแล้ว อะไรอย่างนี้ หรือว่านั่งสมาธิเสร็จ
เสียงจะไม่ต่างกัน ระหว่างนั่งอยู่เมื่อกี้ กับ เสร็จแล้ว
เพราะข้างในมันเท่ากัน  ข้างนอกมันก็เท่ากัน
แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปนี่มันจะ โอยยย คือ มันจะ  เห็นทันทีว่ามันจะต่างกันเลย
มันเหมือนกับแบกหินแล้ววางหินลง มันเฮ้อ…….ขึ้นมาเลย
แต่เค้าไม่ได้แบกหินนะ  ก็เค้านั่งอยู่แล้ว
ลืมตา หลับตา ข้างในก็เกิดเป็นความปรกติ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
มีความปรกติเป็นธรรมดา  มันไม่เห็นจะต้องไปดีใจเสียใจ
เกิดเป็นความทุกข์ในการนั่ง
เกิดเป็นความสุขในการออกจากสมาธิ ก็ไม่มี
เพราะงั้น ทุกอย่างมันก็จะ เรียบ เป็นเนื้อเดียวกันหมด
พอข้างในมันเรียบเป็นเนื้อเดียว ก็ไม่มีอะไรมากนะ

เมื่อสักครู่ที่มีคำถามเกี่ยวกับการเป็นพระโสดาบันกับผู้ที่ยังไม่ได้ละสักกายะทิฏฐิ
ก็มีอีกตัวอย่างนึงที่สามารถจะทำให้เราเข้าใจได้ง่าย

ก็คือตัวอย่างของ นกกับต้นไม้ ถ้าใครเคยมาครั้งที่แล้ว
หรือใครเคยฟังซีดีชุด ทุบเปลือก ทำลายเมล็ด
จะมีตัวอย่างนี้ค่อนข้างเยอะ แต่มันก็จะทำให้เราเข้าใจได้ง่าย

มีนกตัวนึง เกิดขึ้นมาบนต้นไม้
นกตัวนั้นก็ผูกพันกับต้นไม้ต้นนั้น
ทุกครั้งที่ต้นไม้ต้นนั้น ผลิดอกออกผล นกก็จะดีใจ
ทุกครั้งที่ต้นไม้โดนเพลี้ยแมลงกินหรือพายุพัดมา กิ่งหักโค่น  นกก็จะเสียใจ
นกจะ ดีใจ เสียใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับต้นไม้ต้นนั้นของมัน
นกมีความรู้สึกผูกพัน ว่าต้นไม้ เป็นของมันมาตลอด
ต้นไม้ต้นนี้โตได้เพราะว่าฉันไปหาปุ๋ย หาอาหารให้ต้นไม้นี้กิน ต้นไม้ก็จึงโต
วันไหนมีเพลี้ยมากิน มีแมลงมากินต้นไม้ นกก็เสียใจ
จนวันนึงเจ้าของบ้านเห็นสภาพนี้ที่เกิดกับนก
ก็เริ่มเดาออกแล้วว่า นกน่าจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว

เจ้าของบ้านจึงเข้าไปคุยกับนก แล้วก็บอกว่า
“ นกเอ๊ย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว  เจ้ากับต้นไม้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย”
นกก็บอกว่า “ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น  ชั้นโตมากับมัน ชั้นให้อาหารมันมากับมือ ”

เจ้าของบ้านก็บอกว่า ปุ๋ย เค้าก็ให้  น้ำน่ะ ฝนก็ตกลงมาด้วย
ต้นไม้ต้องการอาหาร ต้องการปุ๋ย   ถ้าเค้าได้ปุ๋ยเค้าก็โต
ไม่ใช่ว่า ได้ปุ๋ยจากใคร ……
ถ้าเค้าได้ปุ๋ย เค้าโต
เค้าเป็นธาตุ เค้าต้องการธาตุ ใส่เข้าไป
ไม่ใช่คนใส่ กลายเป็นเจ้าของ

นกไม่เข้าใจที่พูด
นกเป็นสุข เป็นทุกข์กับต้นไม้นั้นมาเสมอ
เจ้าของบ้านพยายามจะอธิบายอยางไร นกก็ไม่มีวันเข้าใจ
เหลืออย่างเดียวก็คือ นกจะต้องเห็นด้วยตัวเอง

เจ้าของบ้านจึงเริ่มคิดวิธีแล้วก็ออกอุบาย บอกว่า
“ ถ้าอย่างนั้น เธอไม่ต้องเชื่อฉันแล้ว แต่เธอต้องสังเกตดูเอง
สังเกตตัวเธอเอง แล้วก็สังเกตต้นไม้ดู สังเกตุไปเรื่อยๆ
แล้วเธอจะเห็นความจริง ว่า ต้นไม้กับเธอไม่เกี่ยวกันเลย ”

นกบอก ได้เดี๋ยวฉันจะสังเกตุดู
จากนั้น นกก็สังเกตต้นไม้มาตลอด สังเกตตัวมันเอง สังเกตต้นไม้มาตลอด
มันก็ชักจะคล้ายๆกับที่เรามาปฏิบัติธรรมนี่แหละ
เค้าก็บอกให้สังเกตดู มีสติสัมปชัญญะไว้
สังเกตุดูกาย เวทนา จิต ธรรม ที่มันเกิดขึ้นดับไป
แล้วเธอจะรู้ความจริงว่า ต้นไม้ กับ เธอ ไม่เกี่ยวกันเลย

เธอไปยึดถือต้นไม้มันขึ้นมาเอง
ทั้งเรา ทั้งนก พอกัน !!~  (หัวเราะหึ หึ )
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบอกเท่าไหร่ เราก็ไม่เห็น
เจ้าของบ้าน บอกนกเท่าไหร่   ก็ยังไม่เห็น
ก็ยังมีความเชื่ออยู่นั่น ว่าต้นไม้ กับมัน เป็นสิ่งเดียวกัน
มันเป็นเรา เป็นของเรา
เหลือทางเดียวต้องสังเกตเองจนกระทั่งรู้แจ้งขึ้นมาเองว่า เราเข้าใจผิดแล้ว

แต่ในกระบวนการที่จะให้รู้แจ้งขึ้นมาไม่ง่ายขนาดนกกับต้นไม้
เนื่องจากนกกับต้นไม้มันคนละส่วนกันอยู่แล้ว ขนาดนั้นยังดูไม่ออกเลย
กายกับใจ เป็นคนละส่วน  ยังดูไม่ออกเลยสำหรับผู้ไม่มีปัญญา

ดูเท่าไหร่กายกับใจก็ยังเป็นของกูอยู่นั่นแหละ
เป็นมะเร็ง ทุกข์แทบตาย  ขาขาด ก็คงทุกข์แทบตาย ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลย
เอาอาหารใส่เข้าไป มันโตขึ้นมาก็หาว่ามันเป็นของเรา
โดนมดกัด กูเจ็บ ….เศร้าใจ
สิวขึ้นวันพรุ่งนี้เม็ดโตๆ เป้งๆ …ไม่กล้าออกจากบ้านเลย ใจเป็นทุกข์ร้อน

เริ่มจากอุปาทานในขันธ์ จนลามไปสู่สักกายะทิฏฐิ ความเห็นผิดแบบหยาบๆสุดๆ
กายใจนี้เป็นเรา เป็นของเราแบบหยาบๆ เลย
อย่างนี้ทุกข์มหันต์  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ทุกข์มหันต์
เพราะว่ามันเริ่มทุกข์ตั้งแต่ไปยึด
จนกระทั่งปฏิสัมพันธ์ที่ขันธ์นี้ออกไปสื่อกับใคร ไปรู้จักกับใคร
ทุกข์หมด !!!!
พี่กู น้องกู ญาติกู เพราะไม่เห็นความจริง
เมื่อวานผมส่งข้อคิดปัญญาไปในเวปของสวนยินดีธรรม เรื่องนึง
หลายท่านในที่นี้ พอจะได้อ่านกันบ้างแล้ว แต่ผมจะเล่าให้ท่านฟังเรื่องนั้น

ถ้าเกิดวันนี้ ท่านมองตามความเป็นจริง
ถ้ามีคนในครอบครัวของท่าน ออกไปแต่งงานกับใครซักคน
กำลังรักกันดี มีลูก แล้วอยู่ๆ ผู้ชายคนที่มาขอลูกสาวของท่านหรือ พี่สาวของท่านออกไป
เค้าไปบวช แล้วก็ทิ้งลูกสาวของท่านให้อยู่คนเดียว
เอาตรงไปตรงมา อย่าคิดอะไรให้เยอะ ถามว่า ท่านจะโกรธมั๊ย?
โกรธ ทำไมจะไม่โกรธ !!
แล้วท่านคงจะไปด่าเค้าด้วย คงจะไปต่อว่าเค้าด้วยที่ทำอย่างนี้นกับน้องสาว หรือลูกสาวของท่าน
ใช่ ชั้นมีสิทธิ มาทำกับลูกสาวชั้นอย่างนี้ ไม่ไว้หน้ากันเลย  ไม่ให้เกียรติกันบ้าง
พระสุปปะพุทธะ เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัต
แล้วก็พระนางพิมพา พระชายาของเจ้าชายสิตธัตถะ  ก็คือพระพุทธเจ้าในอนาคต เราก็ทราบกันดี
จากนั้นเมื่อท่านเห็นความแก่  ความเจ็บ ความตาย แล้วก็สมณะ
ท่านก็ตัดสินใจออกบวช ในวันที่ราหุล คลอด ออกไปบวชเลย
พระนางพิมพาแน่นอน เศร้าโศกเสียใจเป็นที่สุด
ท่านมีความรู้สึกแบบปุถุชน ท่านสุปปะพุทธะก็เหมือนกัน
ท่านทั้งโกรธ ทั้งแค้นเจ้าชายสิตธัตถะ ซึ่งวันนั้นเป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่ไม่สน ! ใครจะเป็นอะไร ฉันไม่สน !
นี่คือความเป็นตัวตนที่ขึ้นมาครอบงำทุกอย่าง
มองกันตรงไปตรงมา ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน  เราไม่ต่าง  
เราไม่ต่าง เราไม่ได้ดีกว่าสุปปะพุทธะ
พระสุปปพุทธะ จึงได้ชวนอำมาตข์ ญาติสาโลหิต นั่งขวางทางไม่ให้พระพุทธเจ้าออกไปบิณฑบาตร
ด้วยความแค้น แล้วก็โกรธที่ทำกับลูกสาวของเค้าอย่างนี้

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ให้ช่วยหลีกทางด้วย ตถาคตจะออกไปโปรดสัตว์
เค้าก็ไม่ยอม ด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ที่ทำกับลูกสาวเค้า
แถมยังลูกชายยังต้องลงอเวจี โดนธรณีสูบ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้ครุ่นแค้น
วันนั้น พระพุทธเจ้าไม่สามารถออกไปโปรดสัตว์ได้
ทั้งๆที่กล่าวออกไปอย่างนั้นถึง 3 ครั้ง จึงเดินกลับ แล้วก็ไม่ได้ฉัน
พระอานนท์จึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การที่พระสุปปะพุทธะทำแบบนี้ จะได้รับผลอย่างไรบ้าง
พระองค์ก์บอกว่า สุปปะพุทธะจะโดนธรณีสูบ ภายใน 7 วัน ในวันที่ 7หลังจากนี้ไป
เค้าได้ทำกรรมหนัก
ใครก็ตามที่ขวางทางการไปโปรดสัตว์……ได้ทำกรรมหนัก
ขวางผู้ที่จะออกไปโปรดสัตว์
ขวางผู้ที่จะไปปฏิบัติธรรม
ล้วนเป็นกรรมหนักทั้งสิ้น !!!
การโปรดสัตว์ หรือการทำให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงเพื่อจะหลุดพ้นออกจากสังสารวัฎเป็นเรื่งอใหญ่ที่สุดเพราะสัตว์โลกไม่อาจออกจากนี้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม
ไม่มีใครตรัสรู้ขึ้นมาเองถ้าไม่มีพระธรรม ไม่มีอริยมรรคคือองค์ 8
มีผุ้เดียวที่ตรสรู้ขึ้นมาได้คือ อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
นอกนั้นเป็นมรรคานุคา  คือผู้เดินตามมรรคทั้งหมด  
ต้องอาศัยมรรคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นเครื่องนำพาสู่ความพ้นทุกข์
ดังนั้น ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ออกไปเทศนามรรค หรือบอกเส้นทางในการเดินทาง
ไม่มีทางที่สัตว์โลกจะออกจากทุกข์ได้ ออกได้แค่กลบๆเกลื่อนๆไปวันๆ
มันออกไม่ได้ มันแค่บรรเทาเบาคลายไปวันๆ
เพราะฉะนั้น การที่ไปขวางทางพระพุทธเจ้าในวันนั้น จึงเป็นเหตุให้โดนธรณีสูบ
สุปปะพุทธะก็ขึ้นไปอยู่บนปราสาทชั้นที่ 7 ไม่ยอมลงมา
แล้วก็บอกว่า จะทำให้คำของพระพุทธเจ้าไม่เกิด
แล้วก็สั่งทหารทั้งหมดป้องกันไม่ให้ตัวเองลง
แต่สุดท้ายเหตุการณ์ก็ ในที่สุดม้าคู่บารมี ม้าแก้ว ก็ร้องไม่หยุด ในวันที่ 7
ด้วยความเป็นห่วงจนลืม ก็จึงลงมา ทหารยามเองก็คงจำวันไม่ได้เหมือนกัน
เห็นพระพระราชาออกมา ก็เปิดทาง พอเท้าเหยียบถึงพื้นก็โดนธรณีสูบเลย
แสดงว่า ความคิดที่บอกว่า เค้าทำกับลูกชั้น แล้วชั้นมีสิทธิทำกับเค้า
นี่มาจากสักกายะทิฏฐิ คือความเห็นผิด
แล้วพวกเราที่ดำเนินชีวิตกันทุกวันนี้ กันอย่างนี้ เรามีความเห็นอย่างนี้กันตลอด
ใครทำกับลูกชั้น ใครทำกับบ้านชั้น ใครทำกับพ่อแม่ชั้น
แล้วเราก็โกรธแค้น แล้วเราก็เอาคืน
อ้าว แล้วทำไม่ได้เหรอ  ได้ !! แต่นั่นคือการหมุนวนของวัฎสงสาร
กิเลส กรรม วิบาก
กิเลส กรรม วิบาก
ไปเรื่อยๆ…………….
อ้าว แล้วตกลงไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ
ก็ทำด้วยความไม่ต้องอาฆาตพยาบาท  ทำด้วยความเป็นปรกติ
จะชี้แจง จะอะไรก็ทำไปได้ ทำไปด้วยอาการปกติ  ไม่เห็นจะต้องอาฆาตพยาบาท
เพราะท่านไปขุดหลุมแรกเอาไว้ก่อน คืออาฆาตพยาบาท
หลังจากนั้น ทุกอย่างที่ขุดหลุมเปิดประตูไว้ มันก็เทใส่สิ อกุศล!!
อกุศลมันก็ดูดเข้าอยู่แล้ว แล้วยิ่งไปทำกับผู้ที่ ไม่ทำตอบ อย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มันก็เลยยิ่งหนักเลย รับไม่ไหว รับไม่ไหว!
วันนี้สติสัมปชัญญะจึงคอยเตือนตนเอาไว้
เราชอบมองว่า เอ้า เค้าทำกับพระพุทธเจ้า ก็เลยโดนกรรมหนัก
เราทำกับคนธรรมดาไม่หนักหรือไง ?
จะหนักจะเบาก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่โดนทั้งนั้นน่ะ
ตราบใดที่มีความอาฆาตพยาบาท มีอกุศล โทสะ โลภะ โมหะ เข้าไปปน
วันนี้มาปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร ?
เพื่อมีสติมาจัดการกับสิ่งเหล่านี้แหละ
การกระทำ  กระทำด้วยจิตที่ปรกติ
ทำอะไร ก็ทำด้วยจิตปกติ ไม่ใช่ บอกให้นั่งไม่ทำอะไรเลย ไม่ใช่ !!
อุเบกขาแบบนั้นไม่ใช่แล้ว นั่นไม่ใช่การปล่อยวาง นั่นการปล่อยปละละเลย
ทำได้ทุกอย่างล่ะ
เพราะฉะนั้น วันนี้เราถึงต้องมาเข้าใจความจริง เราอย่าคิดเอาเอง
เพราะวันนี้เราคิดเอาเอง  เราอยู่ในความคิด ถึงได้เข้าใจอะไรผิดพลาดไปหมด

มันน่าแปลกตรงที่ …...
ปัญญาที่แท้จริง  เกิดขึ้นตอนที่ไม่ได้คิดปรุงแต่ง

ทำไมเราวันนี้เราถึงได้ต้องเลี่ยงกลับมาอยู่กับลมหายใจให้มากขึ้น
เพราะเป็นทางที่ง่ายที่สุดที่จะหยุดความคิดปรุงแต่ง
ท่านไม่เข้าใจ ท่านไม่ยอมรับความจริง ถ้าท่านเปิดใจยอมรับความจริง…….
ช่วยบอกผมทีว่า คนบ้าเป็นคนยังไง ?
ท่านจะเห็นคนบ้าที่เดินคุ้ยถังขยะอยู่ข้างถนน
ท่านเรียกคนเหล่านั้นว่า คนบ้า

คนบ้า คือคนที่อยู่ในโลกของความคิดของตัวเอง แล้วออกไม่ได้
เดี๋ยวนั่งหัวเราะ เดี๋ยวนั่งร้องไห้อยู่กับเรื่องเก่า เรื่องคิด  เรื่องอดีต เรื่องฝังใจ
ออกไม่ได้ !!  หลงอยู่ในโลกของตัวเอง

คนดี คือคนที่กลับมา แล้วก็อยู่บนโลกของความจริงได้
ยอมรับกับโลกของความจริงได้ ด้วยใจปรกติ  เห็นความจริง
นี่คือคนดี

แล้วมีประเภทบ้าๆ ดีๆ ปนอยู่ด้วย
เดี๋ยวก็หลงอยู่ในโลกความคิด เป็นสุข เป็นทุกข์
เดี๋ยวก็กลับมายอมรับความจริงได้บ้าง
เดี๋ยวก็หลงในโลกของความคิดอีก
เดี๋ยวๆก็กลับเข้ามาสู่โลกของความจริงได้
อย่างนี้ หลวงพ่อเอี้ยนเรียก พวกบ้าเว้นวรรค
หึหึ … ไอ้พวกบ้าเว้นวรรค
คือ บ้าแล้วก็หลงบ้า หัวเราะ นั่งดูหนังดูละคร หลง บ้าหัวเราะ
เสร็จแล้วก็กลับมาอยู่โลกความจริงได้ แป๊บนึง
เดี๋ยวนั่งบ้า นั่งเพ้อ เดี๋ยวก็กลับเข้ามาโลกความจริง
ไอ้พวกนี้บ้าเว้นวรรค มีวรรค
เหมือนภาษาอังกฤษมีวรรค วรรค วรรค
ถ้าตัวหนังสือภาษอังกฤษเป็นบ้า ก็จะมีเว้นวรรค
เว้นวรรคนั่นไม่บ้านะ เพราะถ้าสังเกตดู จะเห็นว่า ตัวหนังสือมีมาก เว้นวรรคมีน้อย
(หัวเราะ ) เว้นวรรคนิดเดียว สเปซบาร์ เคาะทีเดียว นอกนั้นมันตัวหนังสือทั้งนั้น
แล้วก็เคาะสเปซบาร์ทีนึง แล้วก็ตัวหนังสือ นี่บ้าเว้นวรรค

แต่มีอีกประเภทคือบ้าเลย บ้าแล้วบ้าเลย บ้าแล้วออกไม่ได้เลย
หลวงพ่อใช้คำว่า บ้ามาราธอน ไอ้พวกนี้บ้ามาราธอน  คือบ้าเลย บ้าออกมาไม่ได้เลย
ซึม เศร้า ทุกข์ เหงา เปล่าเปลี่ยว สุข ทุกข์ บ้า หัวเราะ ร้องไห้
พวกนี้ บ้ามาราธอน ออกไม่ได้
แสดงว่า คนที่มีแต่เว้นวรรค ไม่มีตัวหนังสือเลย
แสดงว่าเค้ามีแต่ความจริงโดยส่วนเดียว

ในกระดาษไม่มีตัวหนังสือเลย จะบอกว่ามีเว้นวรรคก็ไม่ใช่นะ เพราะไม่มีตัวหนังสือ
อย่างนี้ ว่าง…..เปิดไปกี่หน้า ๆก็ ว่าง ...
จะเรียกว่าเว้นวรรคก็ไม่ใช่ เพราะมันไม่มีของมาคั่น จะเรียกว่าเว้นวรรคได้ยังไง
มันก็เลยว่างหมด  กี่หน้าก็ว่างหมด เอาหนังสือทิ้งไปก็ว่างหมด
อยู่กับความจริง เห็นแต่ความจริงของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ไม่เห็นมีอะไรในโลกนี้

วันนี้เราลองนึกดูว่า เราอยู่ตรงไหนล่ะ?
เราเว้นวรรคมั๊ย รึไม่วรรคเลย คิดทั้งวันเลย นั่งคิดอยู่ได้ทั้งวัน
หลง นั่งยิ้ม นั่งเครียด นั่ง…...ก็ลูกชั้น หลานชั้น ดูซิมันอย่างนั้นอย่างนี้…
ขอโทษ ลูกไปทำงาน หลานไปเรียนหนังสือแล้ว
ยังนั่งลูกชั้น หลานชั้นอยู่ในโลกของความคิดโดนตีกรอบ
เหมือนเอาลังเบียร์ครอบหัวไว้ แล้วก็อยู่ในกรอบของตัวเอง
………...พวกนี้เริ่มบ้าแล้ว !!
นั่งเป็นสุข เป็นทุกข์ นั่งสร้างภพไม่หยุด
แล้วจะมีชาติมั๊ยละ มีภพแล้วเนี่ย
มีแน่ ก็ชาติจะมาต่อจากภพนี่แหละ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
ก็สร้างภพเอาไว้แบบนี้ แล้วชาติจะไปไหน

แล้วถ้าสร้างภพที่เป็นอกุศลล่ะ หงุดหงิดรำคาญ ไอ้คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี
ชั้นกังวลไปหมด เอาล่ะ ภพนี้ไม่ดีแน่

ก็ในเมื่อภพเป็นอกุศล ชาติจะไม่เป็นอุกศลยังไงไหว
ภพเป็นทุกข์  ชาติจะไม่เป็นทุกคติภูมิหรือ

ผลมาจากเหตุนะ ผลไม่ได้มาจากคิด
โอ้ยย ชั้นมาทำบุญนะเนี่ย ชั้นมาทำบุญ ชั้นมาทำบุญเยอะ
ออกจากบ้านเนี่ย อย่างวันนี้ ชั้นออกมาทำบุญนะ

เดี๋ยว …… !!!
มาดูกันใหม่  เดินออกจากบ้าน นั่งรถ
ตอนที่นั่งรถ รถติด ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง
ก็..หงุดหงิดเหมือนกันน่ะ รถติดเยอะเหลือเกิน
โอ้โห ยิ่งมาเพชรเกษมนะ ทำถนน เมื่อไหร่มันจะเสร็จซักที
…..ตลอด…... ทุกข์ตลอด ไหน ไหนบุญ
ที่บอกว่า ทำบุญ อยู่ไหน ยังไม่เจอนะ
ตั้งแต่เริ่มต้น ผ่านไปแล้วชั่วโมงครึ่ง รถติดอยู่เนี่ยะ!
……….
มาถึงยุวพุทธ เอาล่ะ จิตใจเริ่มสงบเย็น……. เอาล่ะ ตรงนั้นเป็นบุญ
ทำบุญ ทำทาน ทำกุศลภาวนา ประมาณซักกี่ชั่วโมงไม่รู้
ออกไปปั๊บ !! โอ้โห ทำไมรถแน่นอย่างนี้ แล้วนี่รถใครมาจอดขวางอยู่เนี่ย
เดี๋ยว เดี๋ยวเจอแน่ะ หึๆ จอดแล้วดันเข้าเกียร์อีก
 ……. ไม่ได้เข้าเกียร์ …….มันตัว P  ( หัวเราะหึ หึ )
ถอย ก็โห แต่ต้องรออีกแล้ว ก็หงุดหงิด ๆ ๆ ๆ จนกระทั่งนั่งรถ รถก็ติด หงุดหงิด ๆ ๆ ไปตลอด
สมมุติแวะห้างกินข้าวเย็น โอ้โห คนทำไมมันแยะอย่างี้
ก็แวะทำไมเล่า ? ( หัวเราะ )....... เค้าก็แวะเหมือนกับเรานี่แหละ
มันเต็มไปด้วยอกุศล

วันนึงที่บอกว่า วันนี้ชั้นโชคดีจริงๆที่ได้มาทำบุญ มีอยู่แค่ แปํบเดียว
นอกนั้นบนถนน อะไร ไม่ใช่เลย เป็นอกุศลหมด
เรา  คิด  เอา  เอง  

พอเดี๋ยวช่วงไปทอดกฐิน เออพรุ่งนี้ไป ไปทอดกฐิน
มีแต่ช่วงนั่งรถ กับเดินไปวัด มีช่วงเวลาในการทอดกฐิน
ซึ่งช่วงเวลาตรงนั้น ท่านก็ยังนั่งรำคาญเมื่อไหร่พระจะสวดเสร็จซักที ร้อนจะตายแล้ว
ก็ยังไม่เป็นทอดกฐินอีก ก็ยังเป็นอกุศลต่ออีก
จนกระทั่งกลับมาบ้าน เฮ้อ ….. ค่อยยังชั่วหน่อย โอ้โห  ร้อนจริงๆ
ผมยังไม่เห็นบุญเลย !!  ที่ปากบอกไปทอดกฐิน

อย่างนี้ !!!
เราอยู่แต่ความคิดปรุงแต่ง แล้วเราไม่เคยเห็นความจริงของกุศล อกุศลเลย
นี่คือทำให้พระสุปปะพุทธะ ไม่เคยเห็นสักกายะทิฏฐิเลย  
เป็นตัวตน เป็นลูกสาวกู เป็นคนนั้น เป็นคนนี้
กูมีสิทธิ ชั้นมีสิทธิ คือ เป็นกู เป็นของกูไปหมดเลย
แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ ตัวเองลงอเวจี
แต่พระนางพิมพาลูกสาวตัวเอง สุดท้ายบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
จากการที่พระพุทธเจ้าเสด็จออก  แล้วก็ได้พบสัจธรรมความจริง
แล้วก็นำมาบอกสอนทั้งหมด ไม่ว่าจะเสด็จพ่อท่าน พระนางพิมพา ราหุล ผู้คนมากมาย
จนมาถึง 2600 ปีนี้  จากปัญญาการตรัสรู้ของท่าน
ก็ยังไม่เคยเสื่อมหายไปไหนเลย

ไปมองจุดๆแบบนี้
แล้วก็ไปสร้างความคิดของตัวเองขึ้นมาปรุงแต่งทั้งหมด
แล้วก็สร้างกรรม
อยู่ดีไม่ว่าดีจริงๆ

แทนที่เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นญาติของพระพุทธเจ้า จะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น
แต่กลับกลายเป็นผลักดันให้ตัวเองลงอเวจีไปเลย

ในครั้งนี้ หรือว่าในชาตินี้ …….
เราเกิดมาได้พบพระพุทธเจ้า ได้พบคำสอนของพระองค์ท่าน
คืออริยมรรคมีองค์ 8 ท่านมักจะยกอริยมรรคมีองค์ 8 ก็เหมือนกัลยาณมิตรที่ได้พบกับท่าน
ผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8
ผู้นั้นก็คือ ผู้ที่จะเข้าถึงสัมมาทิฏฐิ เป็นลูกของพระตถาคต

วันนี้เรามีโอกาสแล้วนะครับ เราต้องเข้าใจความจริงให้ได้
แล้วถ้าชาติหน้า ไม่มีโอกาสจะได้อัตภาพนี้ จะทำอย่างไร
ความเกื้อกูลของพระพุทธศาสนาหรือการปฏิบัติ ก็จะค่อยๆหายไปเรื่อยๆ ๆ

ถึงแม้จะเป็นแค่ 1 วัน
แต่ความที่มรรคมีองค์ 8 มีอานุภาพค่อนข้างรุนแรงมาก
ไม่อย่างนั้นเปลี่ยนองคุลีมารไม่ได้หรอก
องคุลีมารเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ได้
ถึงแม้จะเคยพลาด ทำผิดทำพลาดมาตั้งเยอะแยะมากมาย
พวกเราเองก็คงไม่ได้ทำพลาดขนาดนั้น
แต่คงมีโมหะมากกว่าท่าน ก็ต้องชำระกันไป

ที่นี้ ถ้าเราเห็นเรื่องบ้าเรื่องดีแล้ว
การที่จะกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง
การที่ท่านอยู่กับลมหายใจ มันจะหยุดการปรุงแต่งลงไปชั่วคราว



ทำไมรู้สึก... คนที่ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ เวลานั่งสมาธิแล้วรู้สึกอึดอัดรู้มั๊ยครับ?
ทั้งๆที่มันควรจะเห็นความจริง แล้วก็มีความสุข
ที่หลุดออกมาจากโลกความคิดที่เรียกว่าโลกบ้า
แต่เรากลับไม่เคยคุ้นเลย เพราะความไม่เคยคุ้นนี่แหละ
ที่ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ เด็กขี่จักรยาน  แม่บังคับให้อยู่บ้าน
เด็กไม่ยอม อยู่ได้แป๊บเดียว ก็จะวิ่งออกไปขี่จักรยาน
แม่จ้าง….บอกว่า 100 นึงให้อยู่บ้าน 2 ชั่วโมง เด็กเอา !! ทนอยู่ 2 ชั่วโมงแล้วได้ร้อยนึง
ผมถามว่า ระหว่าง 2 ชั่วโมงที่เด็กทนอยู่บ้านนั่นน่ะ  เด็กจะมีความสุขมั๊ย ?
ไม่มี….ใจเค้าคิดอะไร? คิดว่าเมื่อไหร่มันจะ 2 ชั่วโมงซักที จะ ได้ ได้ ตังค์ !!
ได้ตังค์ปุ๊บ ออกไปเลย เด็กจึงหาความสุขจากความสงบเย็นนี้ไม่ได้เลย
จนกระทั่งแม่ทำอย่างนี้ไม่เลิก  อยู่ครึ่งวันให้ 200 อยู่เต็มวันให้ 500
ให้ทุกอย่าง !! ให้เด็กเข้ามาเคยคุ้นกับบ้านให้ได้
เด็กก็ไม่รู้ตัว ไม่ได้สนใจด้วย สนอย่างเดียวว่า เดี๋ยวชั้นจะออกไปขี่จักรยาน
ดีสิ อดทนหน่อย เดี๋ยวได้ตังค์

วันนี้ หลายคนจึงถูกเอาบุญมาล่อ มาทำอย่างเนี้ย แล้วจะได้บุญ  ได้บุญจริงเหรอ ??
อดทนไว้ เดี๋ยวจะได้บุญ ไม่รู้บุญอยู่ไหนก็ไม่รู้ บางคนมาปฏิบัติธรรมก็
โอ้โห….ไหนใครบอกว่ามาปฏิบัติธรรมจะมีความสุข ได้บุญ  … นรกชัดๆ !
ปวดขาก็ปวด อึดอัดก็อึดอัด  นี่อยากกลับไปดูหนังเต็มทีแล้ว
เนี่ย ! แบบเดียวกัน อยู่บ้านแป๊บเดียว จะเผ่นให้ได้
แต่แม่ก็ใจเด็ด !  จ้างไปเรื่อย เพราะรู้อยู่แล้ว
…………………………..
ผ่านไปแล้ว 1 ปี ถาม อ้าว ! วันนี้ไม่ออกไปขี่จักรยานหรอ

บอกไม่ไหอะ ร้อน ข้างนอก  เพื่อนแกล้งด้วย บางทีหกล้มหัวเข่าเจ็บ เลือดออก
อยู่บ้านสบายกว่าตั้งเยอะ เนี่ย ร่ม เย็น มีขนมกินด้วย

อ้าว ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นพูดงี้เลย
ไม่รู้อ่ะ เมื่อก่อนไม่รู้

ทำไมเค้าเริ่มพบเห็นความสงบในบ้านได้ เริ่มดูหนัง กินขนม
เด็กเริ่มเข้ามาอยู่บ้านได้ เพราะใจมันไม่ดิ้น
เมื่อไหร่ใจมันหยุดดิ้น เมื่อนั้นความสุขเกิด
ขณะที่ใจกำลังดิ้น มันจะเป็นทุกข์เร่าร้อน
ใจที่มันดิ้น ทางธรรมะเรียกว่า ตัณหา เป็นผลจากความอยาก
อยากมี อยากเป็น อยากได้ในกามสุข
ใจจะดิ้นไม่หยุดเลย จะหาความสุขสงบเย็นไม่เจอเลย

ทำอะไร อยู่ที่ไหนก็จะคิดแต่ไปอยู่ข้างหน้า
ไปทำงานก็อยากไปเที่ยว
พอไปเที่ยวก็อยากกลับบ้าน
พอกลับบ้านก็เบื่อ อยู่บ้านนานๆก็อยากไปทำงาน
ไปทำงานก็โอ้โห ทำไมงานมันเยอะอย่างนี้ ก็อยากไปเที่ยว
พอไปเที่ยวจริงๆ ก็โฮ้ยยยย  หงุดหงิด เฮ้อ ไม่รู้ที่บ้านจะเป็นยังไง
ถ้าอยู่บ้านจะสบายกว่านี้ตั้งเยอะ  ก็ดิ้นรนจะกลับบ้าน
พวกหมาขี้เรื้อน
อยู่ตรงไหนก็ไม่มีความสุข
อยู่ตรงไหนก็จะไปแต่ข้างหน้า
นึกว่าความสุขจะมีอยู่ข้างหน้า
ไม่เคยหาความสุขจากปัจจุบันได้เลย
เสียปล่าวกับชีวิตจริงๆเกิดมาชาตินึง
มีวันนี้ ก็โอ้โฮ ถ้าเกิดถึงพรุ่งนี้ ก็คงจะได้ดี
ทำงานที่นี้ ก็นึกถึงบริษัทข้างหน้า ถ้าได้ออกจากที่นี่คงจะมีความสุข
พอออกไปเจออีกบริษัทนึงทุกข์เข้าไปใหญ่
ได้เงินเดือนเยอะกว่า ไม่มีละ !! เค้าใช้อย่างควายเลยทีนี้
โห งานเยอะจริง ๆ ที่เก่าว่าเยอะแล้ว ที่นี่เยอะกว่า  งั้นก็ดิ้นไปจนตายละ ถ้างั้น
มีใครยอมจ่ายเงินเดือนเยอะๆแล้วก็ไม่ให้ทำงานล่ะ
งั้น มันจึงไม่เคยหาความสุขในปัจจุบันได้เลย เพราะใจมันไม่เคยหยุด
แต่ถ้าฝึกที่จะหยุด…... มันจึงต้องมีอุบาย
ท่านเข้ามาอยู่กับลมหายใจ ฝึกที่จะมีสมาธิ อยู่กับปัจจุบัน
ไม่ต้องทำอะไรมากหรอกนะ ผมว่า นักปฏิบัติ แค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว

แต่บางคนที่มาเข้าคอร์สบ่อยๆ มาอยู่ในฝั่งนี้บ่อยๆ เริ่มหาความสุขสงบเย็น
โอ …. ดีจริงๆน๊อ … อยู่ข้างนอกเต็มไปด้วยความเร่าร้อนบีบคั้น
โอ อยู่อย่างนี้มีความสุขหน่อย  แหม่ ไม่อยากให้ถึงตอนเย็นเลย
เออ อย่างนี้ก็เริ่มพบกับความสุขสงบเย็นบ้าง
อย่างนี้ก็เกิดตัณหาอีกสิเนี่ย อยากอยู่แต่ฝั่งนี้
โอย  มันไม่ใช่ตัณหาเร่าร้อนแบบนั้น มันแค่รู้สึกว่า…..
อยากจะมีชีวิตแบบนี้
อยากจะอยู่แบบนี้ให้มันมากขึ้น
มันจะเป็นตัณหาได้ไง ตัณหามันต้องเร่าร้อนสิ
นี่ไม่ใช่เราร้อนอยากจะอยู่แบบนี้ซะเมื่อไหร่
มันจะมีแต่เร่าร้อนอยากจะได้กลับไปอยู่กับกามสุขแบบโน้น อย่างนั้นน่ะ เร่าร้อน

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ความสุขที่ไม่ควรกลัว  คือ สุขในสมาธิ นะ….
สุขที่ไม่ควรกลัว แต่ก็ต้องมีปัญญาประกอบต่อไป ไม่งั้นก็จะไปติด...ติดในสุขเหล่านั้น
แต่ก็เป็นสุขที่ไม่ควรกลัวอยู่ดี อย่าลืมว่าตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จนถึงฌานที่สี่
หรือใครสามารถขึ้นไปถึงอรูปฌานได้เนี่ย
ในนั้นไม่มีตัณหา   ไม่มีการบีบคั้น
ใจถึงจะมีความสุขสงบเย็นขึ้นมาได้

ดังนั้น เมื่อปราศจากความบีบคั้นเร่าร้อน เราก็จะเริ่มค่อยๆเข้าใจความจริง
นี่จึงเป็นอุบายว่าทำไม๊  เวลาเข้ามาอยู่ในคอร์สปฏิบัติ จึงต้องมีการเดินจรงกรม นั่งสมาธิ
เพื่อให้จิตวางจากการปรุงแต่ง แล้วก็มาอยู่กับลม
อยู่กับลมไว้ ไม่งั้นมันก็จะคิด คิด คิดแล้วก็ เอ้า กลับมาอยู่กับลม
แล้วก็เข้าไปอยู่ในโลกความคิด แล้วก็กลับมาอยู่กับลม
อันนี้คือความจริง  อันนี้ก็หลงไปในโลกความคิด
อันนี้ก็กลับมาที่ความจริง อันนี้ก็หลงเข้าไปในโลกความคิด
เพราะฉะนั้น มันก็อยู่อย่างนี้แหละ เราก็ต้องกลับมาอยู่ที่ความจริงให้มากขึ้น
เห็นความจริงของการเกิดดับ
ผู้รู้ก็เกิดดับ
ผู้ถูกรู้ก็เกิดดับ
เพราะงั้น มันเห็นความจริงเข้าไปมากๆมันก็เริ่มเข้าใจความจริง
เพราะงั้น อยู่ตรงนี้มากๆ แล้ววันข้างหน้า เรื่องของปัญญาจะเกิดได้ง่าย
ถ้ามันมีพื้นฐานที่ดี สมถะ ยังไงก็ต้องเป็นพื้นฐาน
ท่านปีนขึ้นจากทางยอดไม่ได้ ท่านต้องปีนขึ้นจากทางโคน
อยู่ๆจะไปขึ้นยอด…. โอ๊ย ต้องทำวิปัสสนาถึงจะหลุดพ้น
วิปัสนาก็ต้องอาศัยสมถะ  ไม่มีสมถะ จะวิปัสสนายังไง
วิปัสสนาจริงน่ะ อยู่ที่สัมมาทิฏฐิ
สมถะในมรรคมีองค์ 8 อยู่ที่ มรรคองค์ที่ 6 7 8 ซึ่งเป็นเรื่องส่วนสมาธิ
พระพุทธเจ้าถึงได้ย่อ มรรคมีองค์ 8 เหลือ 2
เมื่อย่อเหลือ 2 ก็คือ สมถะ และ วิปัสสนา
สมถะอย่างเดียว    ก็ไม่สำเร็จ
วิปัสนาอย่างเดียว  กำลังก็ไม่มี
ก็ต้องอาศัยทั้ง 2 ส่วนช่วยกัน
ถ้าไม่มีความตั้งมั่นของจิต ท่านจะเห็นความจริงได้ยังไง
นกจะเห็นได้ยังไงว่าต้นไม้ไม่ใช่ของนก  นกจะต้องตั้งมั่น

วันนี้ท่านบอกว่าไม่อยากเป็นเดรัจฉานหรอก ชั้นมาเกิดเป็นมนุษย์
ชั้นก็อธิษฐานน่ะ ขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์  ขอให้ได้พบพระพุทธศาสนา
แต่เอาเข้าจริงๆเนี่ย
ท่านลองไปถามหนอนที่อยู่ในถังส้วมดูซิ ?
ถ้ามันพูดนสื่อสารกับท่านได้จริงๆ ท่านลองชวนมันมาเป็นมนุษย์
ดูซิ ว่าหนอนจะมามั๊ย ท่านจะพบความจริงว่าหนอนไม่มา
มันก็จะบอกว่า ชั้นอยู่ของชั้นสบายมาก
ตื่นเช้ามาก็มีกิน กินเสร็จก็ถ่าย ถ่ายเสร็จก็กินของเพื่อนได้อีก
มันไม่มีอะไรที่มันจะสุขขนาดนี้แล้ว ไม่มีภพภูมิไหนที่ชั้นจะสุขอย่างชั้นแล้ว
ตื่นขึ้นมา ชั้นก็กิน กินแล้วชั้นก็ขี้  เพื่อนก็ขี้ ก็แบ่งกันกิน
ขี้เธอ ขี้ฉัน มันก็เหมือนกัน เค้ามีความสุข  …
หนอนมีความสุข กับการที่ตื่นเช้ามาก็อ้าปากกิน
แถมมันยังย้อนถามเลยว่า เป็นมนุษย์แล้วดียังไง ?
ของพวกคุณดียังไงหรอ เช้าชั้นเห็นตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 5 ทำไมชั้นจะไม่รู้
เพราะเธอกดชักโครกลงมา ชั้นก็อ้าปากกิน
เธอออกไปหากินแทบตาย ชั้นก็แค่นั่งอ้าปาก
เธอออกไปเนี่ย กว่าจะทนรถติด รถก็ติดแล้วติดอีก 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง
ยิ่งฝนตก ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่   ไปถึงที่ทำงานก็โดนเจ้านายด่า ตอกบัตรก็แทบจะไม่ทัน
ไหน ? เป็นมนุษย์มันดีตรงไหน ?
แล้วก็เห็นเครียดๆ อยากจะได้งานดีๆ ก็เรียนกันเยอะๆ
พอเรียนเยอะแล้วก็นึกว่าจะมีความสุข
มีสามีซักคนก็นึกว่าจะมีความสุข ที่ไหนได้ อื้อหือเลย….นะ
พอมีสามีไม่มีความสุข ก็คิดว่า เอาลูกมาเป็นที่พึ่งดีกว่า
มีลูกซักคนคงจะมีความสุข  ไอ้หยาเข้าไปอีก !
พอเลี้ยงลูก โอ้โห เมื่อไหร่จะโตเนี่ย จนไปอีก 7 ปี 10 ปี
พอลูกเริ่มโตก็พอดีเลย   มะเร็งเริ่มก่อตัว
เงินกำลังจะได้เอาไว้ใช้ เอาไว้เที่ยว ก็ต้องเอามารักษามะเร็งอีก
พอเป็นมะเร็งเข้าไปมากๆ ก็เฮ้อ ! ถ้าตายแล้วคงมีความสุข
หาสุขไม่เจอ ! จนตาย ! เสียชาติที่เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ
หนอนเลยถามว่า ” นี่เหรอ มนุษย์ !!~
หนอนก็ไม่ได้อยากเป็นมนุษย์ มนุษย์เองก็ชักไม่อยากเป็นมนุษย์
(หัวเราะ หึ หึ )
เป็นอะไรก็ทุกข์
เลยคิดว่ามาเป็นนักปฏิบัติดีกว่า ……….เข้ามายุวพุทธ สมัครก็ยากจริงๆ
มีคนเค้าบอกผมอย่างนั้นนะ นี่ถ่ายทอดไปข้างล่าง เดี๋ยวตาเหลือกกัน !!
3 เดือนน่ะ !!! หลักสูตรเข้ม ยุวพุทธ ศูนย์ 2
ก็ทุกหลักสูตรนะ ผมว่า ก็ Hot ทุกหลักสูตรนะ
ขังเดี่ยวน่ะ …..เวปแทบล่ม !!! พอเปิดวันแรกพรึ่บ
….อื้อหือ  คนเป็นพันแย่ง 70 ห้องเนี่ย โอ้โห นะ
เข้ามาเป็น นักปฏิบัติ ก็เป็นทุกข์แบบนักปฏิบัติอีก
เข้ามาก็ต้องมีมาดนะ….เค้าบอกว่าพระโสดาบันจะต้องเป็นอย่างนี้ๆ
โอโห  ออกไปงี้... เดินเป็นพระโสดาบัน หึ ๆ
ทุกข์แทบตาย  ใครว่าอะไรก็ไม่โกรธอ้ะ
โกรธไม่ได้ โกรธเดี๋ยวไม่ใช่พระโสดาบัน
เพราะเค้าบอกว่า พระโสดาบัน เป็นผู้ลักสักกายะทิฏฐิ ความเห็นผิดในความเป็นตัวตน
โอ้ ชั้นไม่มีแล้ว ไอ้ที่ชั้นกลัว…...คน…..เป็นห่วง เป็นห่วงสามี ห่วงภรรยา ห่วงคนโน้นคนนี้
ที่ไม่รู้อ้ะ ไปทำบาปทำกรรมขึ้นมา คือรู้สึกว่า ชั้นเนี่ย เดี๋ยวมีใครไม่รู้มาพูดไม่ดี มาทำไม่ดีกับชั้น
บาปกรรม  คือเป็นห่วงพวกเค้านะ ไม่ได้เป็นห่วงตัวเองหรอก
ขอโทษ !!! นั่นน่ะ ความมีตัวตนล่ะ จะบอกให้!!
เมื่อไหร่รู้สึกอย่างนั้น ไม่ใช่พระโสดาบันแน่

มันมีนิทานเรื่องนึง  ที่พอจะ………..
ที่เวลาผมฟังนิทานเรื่องนี้ทีไร ผมจะนึกถึงพระโสดาบันเหล่านี้จริงๆ

มันมีผู้ชายคนนึง
คือถ้าอันนี้ก็คงเป็นอย่างที่หลวงพ่อเอี้ยนเรียก บ้ามาราธอน
คือเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า
ผู้ชายคนนี้เค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นหนู
เวลาเค้าเดินไปเจอแมวเค้าจะตกใจมากเลย จะวิ่งจู๊ดดดด เลย
กลัวแมวมันจะเข้ามากัด เพราะว่า กลัวแมวมันเห็นเค้าเป็นหนู เพราะเค้ารู้สึกว่าเค้าเป็นหนู
หมอก็พยายามรักษา รักษา จนกระทั่งวันหนึ่ง
เค้าเริ่มรูสึกดีขึ้น คุยกับหมอปกติ เค้าก็เล่าให้หมอฟังว่า ผมหายแล้วนะ
ผมคิดว่าผมหายแล้ว ผมไม่รู้สึกว่าผมเป็นหนูแล้ว
หมอก็ อื้ออออ งั้นก็เตรียมกลับบ้านได้แล้ว
คนไข้ก็ จริงนะหมอ
หมอก็บอก จริงสิ  ก็คุณหายแล้วนี่.
หมอลองแกล้งร้อง เมี๊ยว ๆ ๆ อ้าวเห็นมั๊ย ผมไม่รู้สึกอะไรเลย
เค้าก็เก็บกระเป๋ากลับบ้าน หมอก็เดินไปส่งที่หน้าประตูโรงพยาบาล
แมวเดินผ่านหน้าพอดี!!
เค้าก็….ฟรึ้บ! ชะงักไปแป๊บ  หมอก็สังเกตเลย
(คนไข้) เอ๊ะ ผมน่ะไม่รู้สึกแล้วนะ ว่าผมเป็นหนู
แต่แมวมันจะรู้มั๊ย ว่าผมไม่เป็นหนูแล้วนะ ( ฮา …. คนหัวเราะ )
หึหึ คือ ผมเป็นห่วงว่าแมวมันจะไม่รู้น่ะซี ว่าผมไม่ใช่หนูแล้ว
ไอ้ผมนะรู้แล้ว ว่าผมไม่ใช่หนู ( หัวเราะ )

เนี่ย เดี๋ยวพระโสดาบันแบบนั้น
คือผมน่ะ รู้แล้วว่า ผมน่ะ ละความเห็นผิดไปแล้ว แต่เป็นห่วงคนอื่นน่ะ
เดี๋ยวเค้ามาพูดไม่ดีกับผมแล้วมันจะบาป ( หัวเราะ หึๆ )
เฮ๊อออ  พระโสดาบัน ^ ^
ปฏิบัติต่อไปเถอะ ….ปฏิบัติตามมรรคดีกว่านะ
อย่าปฏิบัติแบบอยากเป็นพระโสดาบันเลย
ถ้าเดินตามมรรคมันจะไม่เป็นอย่างนี้เลย  นี่ปฏิบัติเพราะอยากเป็นพระโสดาบัน…….

แล้วใครล่ะ เป็นพระโสดาบัน
ทีนี้ ในการ ละความเห็นผิดในความเป็นตัวตน
เราฟังแล้วเหมือนเราจะได้ยินมาเยอะนะ
ละความเห็นผิดในความเป็นตัวตน !!

ที่ผมเคยยกตัวอย่างเกี่ยวกับโลกกลม โลกแบน บ่อยๆ
ตัวอย่างเดิมแล้วกัน
โลกใบเนี้ย มันกลม แต่คนเมื่อกอ่นพันปีก่อนเค้าเชื่อว่าโลกใบนี้แบน
ใครๆก็เชื่อกันว่า โลกใบนี้แบน
มาถึงวันนี้แล้ว ใครๆก็รู้แล้วว่าโลกใบนี้กลม
ตอนที่พันปีก่อน ใครๆเชื่อว่า โลกใบนี้แบน ….. มันเคยแบนมั๊ยครับ ?
ไม่เคย คนเชื่อไปเอง! แล้วน่าแปลกนะ เชื่อกันทั้งหมดเลย
อาจจะมีบ้างแหละ  แต่คงออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรไม่ได้หรอก
เพราะคนส่วนใหญ่เค้าเชื่อกันแบบนั้น  ว่าโลกใบนี้มันแบน
พอถึงวันนี้
อาจเริ่มจากคนแรกว่า กลม แต่คนไม่เชื่อหรอก …. กลมจริงจริ๊งงง  ก็พยายามพิสูจน์
คนที่ 2 เฮ้ย ไม่ได้แบนนี่ กลม
คนที่ 3 เฮ้ย! กลมจริงๆด้วย
คนที่ 4 กลม คนที่ 5 กลม เริ่มค่อยๆมีแนวร่วมมากขึ้น
จนกระทั่ง คนทั้งหมดเลย เห็นแล้วว่า กลม
เกิดความเห็นถูกขึ้นมา
คนเมื่อพันปีก่อนเห็นผิด เห็นผิด ว่า โลกใบนี้แบน มันเห็นผิด
เราเปลี่ยนชื่อเป็นบาลีหน่อยก็ได้ว่า คนเหล่านั้นมิจฉาทิฏฐิ
อย่างยุคปัจจุบันเห็นแล้วว่า โลกใบนี้กลม เป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกแล้ว
ตอนเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิ มาเป็นสัมมาทิฏฐิ เนี่ย
โลกเปลี่ยนจากแบน มากลม มั๊ย ?  ไม่ !!!
มันกลมมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว แต่จะกลมไปอีกแค่ไหนไม่รู้ล่ะ ตามเหตุปัจจัย
วันนึงมันก็อาจจะแตกสลายเบี้ยวไปก็ได้ แต่เอาแค่ช่วงนี้ก่อน เดี๋ยวจะงง
วันที่เราว่ามันแบน มันก็ไม่เคยแบน
วันนี้ วันที่เราบอกว่าเราเห็นถูกแล้ว  มันก็ไม่ได้กลับมากลมด้วย
ที่ท่านว่า ร่างนี้ กายนี้ ใจนี้ เป็นของเรา เป็นเราเนี่ย!
ท่านเห็นผิดแล้ว
วันนึงที่ท่านรู้แจ้งเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจริงๆ
หรือว่าละสักกายะทิฏฐิ  เกิดปัญญาขึ้นมา  เกิดสัมมาทิษฐิ
เห็นแล้วว่า นี่ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ผมถามว่า สรุปแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วันที่ถึงความเป็นพระโสดาบัน
มันเคยเป็นของเราซักวินาทีนึงมั๊ย? ... ไม่ !!
แล้วตอนนี้ทำไมเราจึงรู้สึกว่า มันเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา
เราโง่ แล้วก็ไปขี้ตู่เอง ด้วยรู้สึกลมๆแล้งๆ ที่เกิดขึ้นมาจากความไม่รู้อริยสัจ

วันแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ลองนึกภาพว่า
มีคนๆนึง เห็นแล้วว่าโลกใบนี้กลม  ไม่ได้แบนตามความเชื่อของคนพันล้านคน
คนๆนั้น จะบอกยังไงอะ
ไม่น่าเชื่อ ที่คนๆเดียวคนนั้น ….สู้ไม่หยุด … จนกระทั่งมีคนเห็นตามขึ้นมาได้

อริยมรรคมีองค์ 8 หรือการละสักกายะทิฏฐิ  หรือการทำให้มิจฉาทิษฐิเป็นสัมมาทิษฐิ
ไม่ง่ายขนาดว่าทำให้โลกแบน เห็นเป็น โลกกลม
ยากขึ้นไปกว่านั้นอีกเป็นพัน เป็นล้านเท่าเลย เพราะว่าสิ่งนั้นไม่สามารถอธิบายได้
ต่อให้จะจารนัยแค่ไหนก็ตาม ต่อให้จะสาธยายเก่งแค่ไหนก็ตาม
ไม่มีทาง !!!นอกจากให้คนๆนั้นเห็นขึ้นมาเอง !!
ผู้ปฏิบัติพึงรู้ด้วยตนเอง แล้วถ่ายทอดต่อไม่ได้ # ความยากอยู่ที่ตรงนี้แหละ#
จึงบอกได้เฉพาะเส้นทางเดิน นอกนั้นบอกอะไรไม่ได้เลย…. ที่เหลือต้องทำเอง
ต่อให้เห็นอยู่แล้ว่าเค้าเข้าใจผิด...ก็บอกไม่ได้  ไม่รู้จะบอกยังไง



เหมือนคนไปบอกนก นกมันก็ไม่เชื่อ
เพราะนกมันถูกล็อคเอาไว้ภายใต้ทิฏฐิ  ภายใต้อัตตา  อัตวาทุกปาทาน ทิฏฐุปาทาน ทุกอย่างเลย
การที่ใครจะยบอมเปิดใจเชื่อวใคร มันไม่ใช่แค่เชื่อ
เพราะสิ่งนี้พ้นความเชื่อขึ้นไป  จึงต้องนำมาสู่การปฏิบัติ
ผลที่ออกมาจากความไม่รู้ ที่เราเห็นกันง่ายๆก็คือ
ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ที่เป็นฟองก๊าซไข่เน่า

ถ้าท่านนอนอยู่ที่บ้าน ไฟมันดับตอนตี 2
กำลังเปิดแอร์อยู่หลับๆ  หลังจากนั้น พอมันดับปั๊บ ….ทุกคนก็คิดว่า เดี๋ยวไฟมันก็มา
ครึ่งชม.ผ่านไป อีกสักพักคงมามั๊ง
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป นี่มันยังไม่มาอีกเหรอ ร้อนน่าดูเลย เริ่มสะกิดคนข้างๆ เปิดพัดลมสิ !
ไฟไม่มี !!  หึๆ ไม่มีไฟ  พัดลมมันใช้ ไฟ
ก็ไปเปิดไฟซี่ ...ไฟไม่มี ( หัวเราะ )
งั้นพัดให้หน่อย เออ พัด ….. ไปเอาพัดมา ต่างคนต่างพัด
ยิ่งพัดก็ยิ่งร้อน มันใช้พลังงานนี่
โยกไปโยกมามันก็ร้อนนี่ ร้อนแล้วเหงื่อแตก ยิ่งเหงื่อแตกมันก็ยิ่งพัดดิ  
ไม่รู้ว่าฉลาดหรือโง่ เวลาพัดเนี่ย ( หัวเราะ )
ถ้าอยู่เฉยๆ รับสภาพความเป็นจริง ก็จบ... ใจเป็นสุข  (หึ หึ หึ )
มันก็ร้อนของมัน ร้อนเป็นปกติ ไอ้นี่ ยิ่งไปเป่า ยิ่งไปเผามันเข้าไปอีก
ไม่รู้มันเย็นตรงไหน มันเย็นนิดเดียว ตรงลมมากระทบ
แต่ใจร้อนผ่าวเลย  เฮ๊ย ทำไมมันร้อนอย่างนี้ว๊ะ
เอ้าา นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
ตกลงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ที่ร้อนนี่ มันร้อนจากนี่ ( ใจ ) ไม่ใช่ร้อนจากนี่ ( กาย )
ไอ้นี่มันร้อนธรรมดา หงุดหงิดรำคาญ

บางบ้านมีตังค์หน่อยจะชวนไปนอนโรงแรม
“ ไปเหอะไปนอนโรงแรม อย่างนี้นอนไม่หลับ “ โหยย กว่าจะขับถึงโรงแรมมันก็เช้าพอดี
ทำไมมันคิดอะไรไม่ออกเลยนะคน!!
หงุดหงิด ตาโหลเลย เช้าลุกขึ้นไปทำงาน  พูดไม่หยุดเลย เรื่องไฟดับ
ไปเข้าฟิตเนส ออกกำลังซักพัก เข้าซาวด์น่า อุณหภูมิ 52 ตั้งเอาไว้
โอ้โฮ ...แจ๋วจริงๆ ตู้ซาวน์น่า นี่มันร้อนดีจริงๆ หึหึ
ไอ้นี่ว่าร้อนดี  52 อยู่บ้าน 30 กว่าเอง นอนไม่ได้
ทำไมไม่เข้าซาวน์น่าตั้งแต่เมื่อคืน ตอนที่ไฟดับนะ เข้าซาวน์น่ามันไปซะเลย
โอ้โหยยย  วันนี้จะได้ประหยัดตังค์ ไม่ต้องไปเข้าอีก
ทำไมตอนไฟดับมันทนไม่ไหว
ตอนบ่ายไปเข้าซาวน์น่าบอกโอโหมันดี มันร้อนดีเหลือเกิน
มันไม่เลิก มันปรุงแต่งไม่หยุด แล้วไม่เห็นด้วยว่า ปรุงยังไง……….
เดี๋ยวเรามาต่อกันช่วงบ่าย



ติดตามรับฟังเสียงจากไฟล์ MP3 ได้จากลิงค์ของเวปสวนยินดีธรรม ด้านล่างนี้ค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น