ถอดคำบรรยายธรรม เรื่อง อริยสัจ 4 ใช่ที่เรารู้จักหรือไม่ ?
โดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
บรรยายธรรม ณ ห้องธรรมะเธียเตอร์ ยุวพุทธกสมาคมแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2553
[คลิปวีดีโอ ธรรมบรรยายเรื่อง อริยสัจ 4 ใช่ที่เรารู้จักหรือไม่]บรรยายธรรม ณ ห้องธรรมะเธียเตอร์ ยุวพุทธกสมาคมแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2553
ก่อนที่เราจะไปต่อ ผมจะมาที่ภาพของการทำให้ท่านได้เห็นอะไรชัดขึ้นซักหน่อยโดยมีตัวอย่าง
ในยุคนี้ถ้าไม่มีตัวอย่างเนี่ย รู้สึกจะเห็นยาก
คลิปวีดีโอ * จากโฆษณา “You're never too young to start recycling.”
ภาพที่เราเห็นก็เป็นภาพ 20-30 วินาทีเท่านั้นเองน่ะ
ก็เขียนโน้ต “I love you. Do you love me?” “Yes หรือ No”
แล้วก็ส่งโน้ตให้ ผู้หญิงตอบว่า “No” ก็จ๋อยๆ ไป นะครับ
แล้วก็เห็นผู้หญิงคนใหม่ก็เริ่มต้นใหม่
เที่ยวนี้ฉลาดหน่อยรู้จักรีไซเคิลนะ ก็ไม่ต้องเขียนใหม่ ก็ลบเอา
นี่เป็นภาพประมาณ 20 วินาทีที่เราได้เห็น แล้วมันเกี่ยวกับอริยสัจยังไงเหรอ?
แล้วก็ส่งโน้ตให้ ผู้หญิงตอบว่า “No” ก็จ๋อยๆ ไป นะครับ
แล้วก็เห็นผู้หญิงคนใหม่ก็เริ่มต้นใหม่
เที่ยวนี้ฉลาดหน่อยรู้จักรีไซเคิลนะ ก็ไม่ต้องเขียนใหม่ ก็ลบเอา
นี่เป็นภาพประมาณ 20 วินาทีที่เราได้เห็น แล้วมันเกี่ยวกับอริยสัจยังไงเหรอ?
ทีนี้เราจะมาสู่ภาคปฏิบัติล่ะนะครับ เราจะเข้าสู่ภาคการปฏิบัติล่ะ
ในเธียเตอร์วันนี้จะมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คลุกเคล้าประสมกันไปเรื่อยๆ นะ
แต่ผมจะไม่บอกล่ะว่าตรงไหนเป็นอะไร ท่านก็ฟังๆเอาน่ะ
มันก็จะคลุกกันไปคลุกกันมาอยู่ตรงนี้แหล่ะ
แต่ก็จะทำให้ท่านเข้าใจได้ แล้วก็กลับไปปฏิบัติได้ กลับไปดูได้
ภาพของเด็กผู้หญิงกระทบตาเด็กผู้ชาย ถูกมั้ยครับ?...ถูกนะครับ
เราเห็นก็รู้ว่าตอนนี้เนี่ย โห...ตาลอยเลย ชอบ...ชอบเค้า อยากได้เค้ามาเป็นเจ้าของ
ผมถามง่ายๆ ตอนนี้ว่า คุณว่าเด็กผู้ชายคนนี้มีสติมั้ยครับ?
ตอบเลยครับ...ไม่มีนะ ส่วนใหญ่จะตอบ “ไม่มี”
หรือท่านที่เห็นมีความเห็นขัดแย้งก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ
เราดูด้วยกันไปก่อน เขาดูเราไปด้วย ดูเขาดูเรา
พอหลังจากที่มองเด็กผู้หญิงแล้วเกิดความชอบ เขียนโน้ตยื่นให้เค้า
ในเธียเตอร์วันนี้จะมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คลุกเคล้าประสมกันไปเรื่อยๆ นะ
แต่ผมจะไม่บอกล่ะว่าตรงไหนเป็นอะไร ท่านก็ฟังๆเอาน่ะ
มันก็จะคลุกกันไปคลุกกันมาอยู่ตรงนี้แหล่ะ
แต่ก็จะทำให้ท่านเข้าใจได้ แล้วก็กลับไปปฏิบัติได้ กลับไปดูได้
ภาพของเด็กผู้หญิงกระทบตาเด็กผู้ชาย ถูกมั้ยครับ?...ถูกนะครับ
เราเห็นก็รู้ว่าตอนนี้เนี่ย โห...ตาลอยเลย ชอบ...ชอบเค้า อยากได้เค้ามาเป็นเจ้าของ
ผมถามง่ายๆ ตอนนี้ว่า คุณว่าเด็กผู้ชายคนนี้มีสติมั้ยครับ?
ตอบเลยครับ...ไม่มีนะ ส่วนใหญ่จะตอบ “ไม่มี”
หรือท่านที่เห็นมีความเห็นขัดแย้งก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ
เราดูด้วยกันไปก่อน เขาดูเราไปด้วย ดูเขาดูเรา
พอหลังจากที่มองเด็กผู้หญิงแล้วเกิดความชอบ เขียนโน้ตยื่นให้เค้า
โน้ตอันนี้ก็มาถึงมือเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงก็...
อ่า... ตอนนี้เด็กผู้หญิงยังไม่ได้ตอบถูกมั้ยครับ?...ถูก
อาการของเด็กผู้ชายคนนี้ ผมถามง่ายๆ ว่า ทุกข์มั้ยครับ?...ทุกข์
มีสติมั้ยครับ?...ไม่มีสติ
อ่า... ตอนนี้เด็กผู้หญิงยังไม่ได้ตอบถูกมั้ยครับ?...ถูก
อาการของเด็กผู้ชายคนนี้ ผมถามง่ายๆ ว่า ทุกข์มั้ยครับ?...ทุกข์
มีสติมั้ยครับ?...ไม่มีสติ
เค้ารู้มั้ยครับว่าเค้าทุกข์ตอนนี้?...ไม่รู้
ท่านตอบเองนะครับ ท่านตอบเองแล้วนะครับว่าเค้าไม่รู้
กิจในอริสัจข้อที่หนึ่ง “ทุกข์ควรรู้” เด็กคนนี้รู้มั้ยครับ?...ไม่รู้
ตอนนี้เห็นคำตอบล่ะ หน้าเริ่มเปลี่ยนสีไปจากเมื่อกี้อีก
ถอนหายใจเฮือกใหญ่เลย ถามว่าตอนนี้เด็กผู้ชายคนนี้เป็นทุกข์มั้ยครับ?...เป็นทุกข์
เพราะไม่ได้สิ่งที่ตนเองปรารถนา เมื่อกี้เราอ่านไปแล้วใช่มั้ยครับ
“ทุกข์คือการไม่ได้สิ่งที่ตนเองปรารถนา” เป็นทุกข์...
ท่านตอบเองนะครับ ท่านตอบเองแล้วนะครับว่าเค้าไม่รู้
กิจในอริสัจข้อที่หนึ่ง “ทุกข์ควรรู้” เด็กคนนี้รู้มั้ยครับ?...ไม่รู้
ตอนนี้เห็นคำตอบล่ะ หน้าเริ่มเปลี่ยนสีไปจากเมื่อกี้อีก
ถอนหายใจเฮือกใหญ่เลย ถามว่าตอนนี้เด็กผู้ชายคนนี้เป็นทุกข์มั้ยครับ?...เป็นทุกข์
เพราะไม่ได้สิ่งที่ตนเองปรารถนา เมื่อกี้เราอ่านไปแล้วใช่มั้ยครับ
“ทุกข์คือการไม่ได้สิ่งที่ตนเองปรารถนา” เป็นทุกข์...
เค้าเห็นทุกข์มั้ยครับ? คือจะเห็นไม่เห็นไม่รู้ล่ะ แต่ตอนนี้เป็นทุกข์แล้ว
ถามว่ามีสติรู้สึกตัวมัยครับ?...ไม่มี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ...ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับจะเห็นทุกข์ตอนนี้ล่ะครับ
จะเห็นทุกข์ตอนนี้ล่ะครับ
ที่เมื่อกี้ผมถามว่าตอนเค้าชะเง้อชะแง้อะไรพวกนี้เนี่ย เค้ารู้ทุกข์มั้ย?...ไม่รู้
ถามว่ามีสติรู้สึกตัวมัยครับ?...ไม่มี
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ...ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับจะเห็นทุกข์ตอนนี้ล่ะครับ
จะเห็นทุกข์ตอนนี้ล่ะครับ
ที่เมื่อกี้ผมถามว่าตอนเค้าชะเง้อชะแง้อะไรพวกนี้เนี่ย เค้ารู้ทุกข์มั้ย?...ไม่รู้
ทำไมเค้าไม่รู้?...เพราะเค้าไม่ได้ฝึก
ตอนนั้น ทุกคนจะไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองกำลังทุกข์อยู่ จนเลยมาถึงจุดๆ นี้เนี่ย
เปรียบเสมือนว่า...ถ้าไฟ...ถ้าเปรียบเสมือนว่าสิ่งนี้เป็นไฟเนี่ย
ตอนนี้ไฟลุกไหม้บ้านแล้ว เพราะว่าตอนที่ไม้ขีดก้านแรก...ฟู่...เนี่ย เค้าไม่เป่า
จะเป่าได้ไงในเมื่อไม่รู้ ตั้งแต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเมื่อกี้ทุกข์มาตลอดยังไม่รู้เลย
นี่แหล่ะครับคือปัจจัยสำคัญล่ะ ที่ทำให้มนุษย์ถึงได้ทุกข์กันไม่เลิก
อ่ะเราดูต่อไปก่อนนะครับ
เพราะว่ากว่าจะรู้สึกตัวเนี่ยมันเลยไปไกล
ว่าแล้วความวัวยังไม่หายความควายเข้ามาแทรกอีกนะฮะ ป้าบบบ..!!
ถามว่าตอนนี้เค้ารู้สึกตัวมั้ยครับ!! ไม่รู้ !!เอาล่ะครับ
ตอนนั้น ทุกคนจะไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองกำลังทุกข์อยู่ จนเลยมาถึงจุดๆ นี้เนี่ย
เปรียบเสมือนว่า...ถ้าไฟ...ถ้าเปรียบเสมือนว่าสิ่งนี้เป็นไฟเนี่ย
ตอนนี้ไฟลุกไหม้บ้านแล้ว เพราะว่าตอนที่ไม้ขีดก้านแรก...ฟู่...เนี่ย เค้าไม่เป่า
จะเป่าได้ไงในเมื่อไม่รู้ ตั้งแต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเมื่อกี้ทุกข์มาตลอดยังไม่รู้เลย
นี่แหล่ะครับคือปัจจัยสำคัญล่ะ ที่ทำให้มนุษย์ถึงได้ทุกข์กันไม่เลิก
อ่ะเราดูต่อไปก่อนนะครับ
เพราะว่ากว่าจะรู้สึกตัวเนี่ยมันเลยไปไกล
ว่าแล้วความวัวยังไม่หายความควายเข้ามาแทรกอีกนะฮะ ป้าบบบ..!!
ถามว่าตอนนี้เค้ารู้สึกตัวมั้ยครับ!! ไม่รู้ !!เอาล่ะครับ
อ่ะ ก่อนที่เราจะไปถึงอีกอันนึง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาทที่เราเห็นเนี่ย คืออริยสัจสี่วงใหญ่
หรือท่านก็ตรัสอีกแนวนึงว่า...อีกนัยหนึ่งว่า อริยสัจสี่ ก็คือปฏิจจสมุปบาทวงเล็ก
“ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม”
“เมื่อใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม”
หรือบอกว่า
“ ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต ”
เพราะฉะนั้นเรามาดูกันนะครับ แล้วในครั้งหน้าพอไปถึงปฏิจจสมุปบาทจริงๆ
เราจะเห็นความเชื่อมโยงระหว่าง ปฏิจจสมุปบาทกับอริยสัจสี่ ซึ่งก็คือตัวเดียวกัน
เพราะว่าจะมีสายเกิดกับสายดับเท่านั้นเอง
ถ้าดูกันอย่างนี้ไม่ค่อยเอาใจ แต่ว่าก่อนที่จะไป
ผมจะให้เห็นตัวหนังสือแล้วก็ให้ทำความเข้าใจกันก่อน
ตัวหลักๆ ที่เราจะใช้กันในวันนี้ คือ “ผัสสะ” ก่อน
“ผัสสะ” ก็คือการกระทบทาง “ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ” นะ
ภาพของเด็กผู้หญิงที่กระทบตามาที่เด็กผู้ชาย
ภาพเด็กผู้หญิงเค้าเรียกว่า “อายตนะภายนอก”
“สฬายตนะ” นี่คือ อายตนะทั้งหก นะครับ
ฟังไว้ก่อนนะครับ เพื่อเราจะได้สื่อสารกันได้ อย่าเพิ่งไปนึกว่ามันยาก
หรือเป็นคำบาลีอะไร เป็นศัพท์ตัวนึงแค่นั้นเอง
ฟังไว้ก่อนนะครับ เพื่อเราจะได้สื่อสารกันได้ อย่าเพิ่งไปนึกว่ามันยาก
หรือเป็นคำบาลีอะไร เป็นศัพท์ตัวนึงแค่นั้นเอง
อายตนะภายนอก คือภาพเด็กผู้หญิง มากระทบตาคืออายตนะภายในของเด็กผู้ชาย
จากนั้นจะมี จักขุวิญญาณขึ้นมาแปรค่า “วิญญาณ” จะแปรค่าที่ “ผัสสะ” ตัวนี้
จากนั้นจะมี จักขุวิญญาณขึ้นมาแปรค่า “วิญญาณ” จะแปรค่าที่ “ผัสสะ” ตัวนี้
“วิญญาณ” จากตัวนี้แหล่ะ ที่วิ่งเข้ามาแล้วก็เป็นจักขุวิญญาณตรง(“ผัสสะ”)นี้
หลังจากนั้นพอเห็นเด็กผู้หญิงตากลมๆ ดำๆ ผมหยิกๆ หน้าตาอย่างเงี้ยะ
เกิดเวทนาคือความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ สุข ทุกข์ เฉยๆ ขึ้นที่ตรง(“เวทนา”)นี้
พอ “ผัสสะ” กระทบ ภาพเด็กผู้หญิงกระทบ...ปั้ง...ชอบ พอชอบ...ไม่มีสติรู้ทันมัน
จึงกลายเกิดการบีบคั้นเป็น “ตัณหา” ขึ้นมา
จากนั้นก็จะไปยึดในสิ่งนั้นว่าเป็นของกูเลย อ่ะเป็น “อุปานทาน”
หลังจากนั้นพอเห็นเด็กผู้หญิงตากลมๆ ดำๆ ผมหยิกๆ หน้าตาอย่างเงี้ยะ
เกิดเวทนาคือความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ สุข ทุกข์ เฉยๆ ขึ้นที่ตรง(“เวทนา”)นี้
พอ “ผัสสะ” กระทบ ภาพเด็กผู้หญิงกระทบ...ปั้ง...ชอบ พอชอบ...ไม่มีสติรู้ทันมัน
จึงกลายเกิดการบีบคั้นเป็น “ตัณหา” ขึ้นมา
จากนั้นก็จะไปยึดในสิ่งนั้นว่าเป็นของกูเลย อ่ะเป็น “อุปานทาน”
แล้วก็จะเคลื่อนเป็น “ภพ” “ชาติ” “ชรา มรณะฯ” เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้น
เรามาดูหลักๆ กันต่อนะครับ ดูหลักๆ กันต่อ แล้วเดี๋ยวจะให้ท่านดูตัวอย่างต่อไป
[คลิปวีดีโอ] *จากภาพยนตร์ เรื่อง Confessions of a Shopaholic
ตอนนี้รีเบคก้าทุกข์มั้ยครับ?...ไม่ทุกข์ จะไปทุกข์อะไร ก็เห็นเดินอยู่เฉยๆ นะ
ก็ต้องย้ำคำเดิมนะครับ ย้ำคำเดิม หลายคนที่มาคราวที่แล้วก็ได้ดูซ้ำอีกที ดูไปเถอะครับ
ตอนนี้รีเบคก้าทุกข์มั้ยครับ?...ไม่ทุกข์ จะไปทุกข์อะไร ก็เห็นเดินอยู่เฉยๆ นะ
ก็ต้องย้ำคำเดิมนะครับ ย้ำคำเดิม หลายคนที่มาคราวที่แล้วก็ได้ดูซ้ำอีกที ดูไปเถอะครับ
เพราะว่ามันจะเข้าใจธรรมะชั้นลึกเข้าไปเรื่อยๆ นะ
แต่ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าวันนี้เราจะมาพูดในธรรมะชั้นธรรมดาๆ
ในธรรมะชั้นลึกเนี่ย การปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ ที่เป็นรีเบคก้าเนี่ย
ทุกข์หมดแล้วนะครับ ทุกข์หมดแล้ว วันนี้เราจะไม่พูดถึงชั้นนั้นล่ะ เราจะลงมาพูดถึงชั้นธรรมดา
[ คลิปวีดีโอ]
แต่ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าวันนี้เราจะมาพูดในธรรมะชั้นธรรมดาๆ
ในธรรมะชั้นลึกเนี่ย การปรากฏขึ้นแห่งขันธ์ ที่เป็นรีเบคก้าเนี่ย
ทุกข์หมดแล้วนะครับ ทุกข์หมดแล้ว วันนี้เราจะไม่พูดถึงชั้นนั้นล่ะ เราจะลงมาพูดถึงชั้นธรรมดา
[ คลิปวีดีโอ]
ที่ร้านเอาป้ายsale มาตั้ง รีเบคก้าตอนนี้เห็นป้าย sale มองไปที่ป้าย sale
ผมถามว่า ตอนที่ตาเห็นป้าย sale นี่...ทุกข์มั้ยครับ?...ก็ไม่ทุกข์อะไร
เราขับรถมายุวพุทธฯ ป้ายข้างถนนก็มีเยอะแยะ แต่บางอันก็ทำให้เราสุขทุกข์เหมือนกันน่ะ
แต่บางอันก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะฉะนั้นผัสสะที่กระทบเข้ามาเนี่ย
มันก็ทำให้เกิดเวทนา 3 ตัว คือ สุข ทุกข์ และก็เฉยๆ
[คลิปวีดีโอ]
แต่พอตาไปกระทบกับผ้าพันคอสีเขียวนี่สิ...นะ
ผมถามว่า ตอนที่ตาเห็นป้าย sale นี่...ทุกข์มั้ยครับ?...ก็ไม่ทุกข์อะไร
เราขับรถมายุวพุทธฯ ป้ายข้างถนนก็มีเยอะแยะ แต่บางอันก็ทำให้เราสุขทุกข์เหมือนกันน่ะ
แต่บางอันก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะฉะนั้นผัสสะที่กระทบเข้ามาเนี่ย
มันก็ทำให้เกิดเวทนา 3 ตัว คือ สุข ทุกข์ และก็เฉยๆ
[คลิปวีดีโอ]
แต่พอตาไปกระทบกับผ้าพันคอสีเขียวนี่สิ...นะ
พอตากระทบผ้าพันคอสีเขียวปั๊บเนี่ย ผัสสะที่กระทบมาเนี่ยมันเกิดความชอบ
พอชอบปุ๊บ ก็บีบคั้นเป็นตัณหา เมื่อกี้ที่ผมโชว์ให้ดู เริ่มอยากได้ละ... จึงเดินเข้าไปในร้านนี่แหล่ะ
พอชอบปุ๊บ ก็บีบคั้นเป็นตัณหา เมื่อกี้ที่ผมโชว์ให้ดู เริ่มอยากได้ละ... จึงเดินเข้าไปในร้านนี่แหล่ะ
[คลิปวีดีโอ]
เสียงในใจ : “รีเบคก้า เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าห์นะ เธอไม่ต้องการใช้ผ้าพันคอหรอก”
เสียงในใจ : “รีเบคก้า เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าห์นะ เธอไม่ต้องการใช้ผ้าพันคอหรอก”
เสียงจากหุ่น:“ อืมม ก็นั่นน่ะสิ ใครจะต้องใช้ผ้าพันคอกันล่ะ เอากางเกงยีนส์เก่าพันรอบคอมันก็อุ่นได้เหมือนกัน เป็นแม่เธอก็ต้องทำอย่างนั้น ”
รีเบคก้า: “เธอพูดถูก แม่ทำแน่”
เสียงจากหุ่น:“ความหมายของของผ้าพันคอผืนนี้ก็คือ มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิยามความเป็นเธอ
จิตวิญญาณเธอ เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย”
จิตวิญญาณเธอ เข้าใจที่ฉันพูดมั้ย”
รีเบคก้า: “ยังยังยัง พูดมาเรื่อยๆ เร็วๆ”
เสียงจากหุ่น: “มันจะทำให้ดวงตาเธอดูโตขึ้นนะสิ ฮึม...ฮืม”
รีเบคก้า: “มันจะทำให้ทรงผมฉันดูดีมีราคาขึ้น”
เสียงจากหุ่น: “เธอใส่มัน เข้าได้กับทุกอย่าง”
รีเบคก้า: “เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า”
เสียงจากหุ่น: “เธอจะเดินเข้าไปสัมภาษณ์ที่... ได้อย่างมั่นใจเลย ดุจนางหงส์”
รีเบคก้า: “อย่างมั่นใจ นางหงส์”
เสียงจากหุ่น: “หญิงสาว...กับผ้าพันคอสีเขียว”
รีเบคก้า: “ผ้าพันคอสีเขียวค่ะ”
แคชเชียร์: “เลือกได้ดี ผืนสุดท้ายแล้วด้วยค่ะ ราคา 120 เหรียญ เธอจะจ่ายแบบไหนอ่ะ”
รีเบคก้า: “นี่ค่ะ เงินสด 150 เหรียญ คุณรูดจากใบนี้ 30 ใบนี้ 10 เหรียญค่ะ ใบนี้ 20 ...”
แคชเชียร์: “ไม่ผ่าน”
รีเบคก้า: “จริงหรอ คุณลอง ลองใหม่ได้มั้ย”
แคชเชียร์: “ไม่ผ่านจริงๆ ค่ะ”
รีเบคก้า: “โอเค เออคุณช่วยเก็บของไว้...”
เราจะเห็นรีเบคก้า... เราลองมาดูใหม่ เราดูในเชิงธรรมะบ้างนะครับ
ความจริงธรรมะอยู่ที่ไหน? นี่ล่ะครับที่ผมต้องการจะชี้
ธรรมะไม่ได้อยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมนะครับ
เพราะฉะนั้นใครที่จะเห็นธรรมที่จะเกิดสัมมาทิฏฐิเนี่ย มันอยู่ต่อหน้าต่อตากันอย่างนี้แหล่ะ
ที่ผมพยายามเอาสื่อธรรมดาธรรมดาที่มันมีกันอยู่แล้ว
หรือว่าเป็นการใช้ชีวิตกันปกติ........เพราะธรรมะอยู่ที่นั่น!!!
ปฏิจจสมุปบาทที่ว่าเป็นธรรมที่ยากที่สุดในบวรพุทธศาสนา
ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎกนะครับ
อยู่ตรงการกระทบทุกๆ วินาทีของพวกเราทุกคน
เพียงแต่ว่าเราไม่มีปัญญาจะไปเห็นเท่านั้นเอง
เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสยืนยันเอาไว้อย่างนึงว่า
ผู้ที่จะเห็นวงจรปฏิจจสมุปบาทต้องเป็นอริยบุคคลเท่านั้นเองถึงจะเห็นวงจรนี้ทำงาน
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? เพราะในวงจรนี้ ทั้งหมดไม่มีคน
วันนี้ที่ผมต้องเอารีเบคก้าตั้งขึ้นมาหนึ่งตัวเนี่ย เพื่อให้สามารถสื่อสารกับท่านได้
ถ้าเอาตัวปฏิจจสมุปบาทมาคุยกันล้วนๆ เลยเนี่ย โดยไม่อิงอาศัยตัวอย่างเลยเนี่ย
มันจะไม่มีตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ในนั้นเลย
ทุกอย่างเป็นการกระทบ กระทบ กระทบ กระทบกันมา
เมื่อสิ่งหนึ่งๆ เป็นปัจจัย สิ่งหนึ่งๆ ก็จะเกิดขึ้น
เมื่อมีเหตุมีปัจจัยอีกสิ่งหนึ่งก็จะเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ
เมื่อเหตุดับผลก็จะดับ มีอยู่แค่นี้เอง
ทีนี้วันนี้เราหลายคนก็ยังเข้าไปไม่ถึงตรงนั้น
ก็จำเป็นต้องอาศัยสื่อเพื่อจะให้เห็นว่า จริงๆ แล้วเนี่ย มันไม่ได้มีรีเบคก้าหรอก
มันเป็นการกระทบกันไปกระทบกันมาของสภาวะธรรม
จากการสั่งสมมาเป็นอาสวะ เป็นอนุสัย ซึ่งนอนเนื่องกันมาจากอดีตที่เค้าเรียกว่าสัญชาตญาณ
ก็จำเป็นต้องอาศัยสื่อเพื่อจะให้เห็นว่า จริงๆ แล้วเนี่ย มันไม่ได้มีรีเบคก้าหรอก
มันเป็นการกระทบกันไปกระทบกันมาของสภาวะธรรม
จากการสั่งสมมาเป็นอาสวะ เป็นอนุสัย ซึ่งนอนเนื่องกันมาจากอดีตที่เค้าเรียกว่าสัญชาตญาณ
หลังจากรีเบคก้าเห็นป้าย sale ปั๊บเนี่ย ผัสสะกระทบปั้ง ป้าย sale เป็นอายตนะภายนอก
กระทบมาที่ตารีเบคก้า มีจักขุวิญญาณมาแปรค่าบอกว่า sale แปลว่าลดราคา
ความรู้สึกของรีเบคก้าตอนนี้อาจจะเฉยๆ กับ ป้าย sale นี้ก็ได้
แต่พอทันทีที่รีเบคก้าเดินต่อไป แล้วตากระทบกับผ้าพันคอสีเขียว
ขณะนั้นผัสสะที่กระทบเปลี่ยนเป็นผ้าพันคอสีเขียวกระทบตารีเบคก้า
จักษุวิญญาณมาแปรค่า ผ้าพันคอสีเขียวแพรไหมคงจะเบาน่าดู...อันนี้ฉันชอบ
ก่อเกิดขันธ์ขึ้นมาเป็นกูชอบทันที นะรีเบคก้าเป็นตัวตนชอบ
พอเป็นปุถุชนผู้ไม่ได้สดับยังไม่เห็นความจริง ความจริงไม่ได้มีตัวตนอยู่
แต่เค้าไปหลงผิดขึ้นมาเอง ไปหลงผิดถือว่าเป็นตัวตน
จากนั้นจะเกิด พอกระทบปั๊บเกิดเวทนาทันที คือความชอบ
พอชอบ เค้าไม่รู้ตัวหรอกว่าอะไรเกิดขึ้น เราไม่เคยรู้ทุกข์มาก่อน
ไม่มีวันรู้ล่ะว่าอะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ มันจึงทวีความรุนแรงจากเวทนามาเป็นตัณหาเลย
บีบคั้นอยากจะได้ ตอนนี้ใจบีบคั้น บีบคั้น บีบคั้น บีบคั้นจนกระทั่งลากรีเบคก้าเข้าไปในร้านค้า
พอชอบ เค้าไม่รู้ตัวหรอกว่าอะไรเกิดขึ้น เราไม่เคยรู้ทุกข์มาก่อน
ไม่มีวันรู้ล่ะว่าอะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ มันจึงทวีความรุนแรงจากเวทนามาเป็นตัณหาเลย
บีบคั้นอยากจะได้ ตอนนี้ใจบีบคั้น บีบคั้น บีบคั้น บีบคั้นจนกระทั่งลากรีเบคก้าเข้าไปในร้านค้า
ผมถามว่ารีเบคก้าเดินเข้าไปนี่เพราะใครครับ?
เพราะอำนาจของโลภะหรือตัณหานั่นเอง...ถูกต้องครับ
เพราะอำนาจของโลภะหรือตัณหานั่นเอง...ถูกต้องครับ
จากนั้นรีเบคก้าก็เริ่มเห็นผ้าพันคอ
[คลิปวีดีโอ] “รีเบคก้า เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าห์นะ เธอไม่ต้องการใช้ผ้าพันคอหรอก”
ตอนนี้สติมาแล้ว สติที่มีอยู่น้อยนิดของรีเบคก้าเนี่ย เพราะไม่เคยฝึกเนี่ย
ก็เริ่มโผล่ขึ้นมายับยั้งชั่งใจ เกิดความยับยั้งชั่งใจขึ้นมาบ้าง
ก็หมุนตัวกลับเลย เห็นมั้ยครับ อ่ะ สติทำงานใช้ได้เหมือนกัน
[คลิปวีดีโอ] “รีเบคก้า เธอเพิ่งเป็นหนี้บัตรเครดิตตั้ง 900 ดอลล่าห์นะ เธอไม่ต้องการใช้ผ้าพันคอหรอก”
ตอนนี้สติมาแล้ว สติที่มีอยู่น้อยนิดของรีเบคก้าเนี่ย เพราะไม่เคยฝึกเนี่ย
ก็เริ่มโผล่ขึ้นมายับยั้งชั่งใจ เกิดความยับยั้งชั่งใจขึ้นมาบ้าง
ก็หมุนตัวกลับเลย เห็นมั้ยครับ อ่ะ สติทำงานใช้ได้เหมือนกัน
[คลิปวีดีโอ] “อืมก็นั่นนะสิ ใครจะต้องใช้ผ้าพันคอกันล่ะ”
ทีนี้เมื่อโลภะทำงานไม่สำเร็จ โมหะก็ทำงานเองนะ
พี่ใหญ่ โมหะคือใครนี่เลย (อวิชชา) พี่ลงมาเองเลยทีนี้ นะครับ
โมหะลงมาจัดการเองเลย แล้วโมหะ...วิธีทำให้เราเนี่ยคล้อยตามโมหะ คือเค้าต้องทำให้หลง
[คลิปวีดีโอ] “เอากางเกงยีนส์เก่าพันรอบคอมันก็อุ่นได้เหมือนกัน”
เห็นมั้ยครับ ไม่พูดชวนกันดีๆ ล่ะ พูดกระแทกแดกดันไปเลย
แล้วท่านจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้ในชีวิต ไปนั่งฟังได้เลย
ข้างในของท่านไม่ได้ต่างอะไรจากรีเบคก้านะครับ
[คลิปวีดีโอ] “เป็นแม่เธอก็ต้องทำอย่างนั้น” “เธอพูดถูก แม่ทำแน่”
เธอพูดถูกล่ะ.....เห็นมั้ย เริ่มเป็นพวกเดียวกับเค้าไปละ
นี่คือเป็นสิ่งเป็นปกติที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ถ้าเราเดินไปห้างสรรพสินค้า
ไม่เชื่อกลับไปจากยุวพุทธิฯ นี่ ลองดูได้เลย เลี้ยวเข้าเดอะมอลล์บางแคไปเลย
แล้วไปคอยสังเกตตัวท่านได้เลย มากันเป็นตับล่ะทีเนี้ยะ
ทีนี้เมื่อโลภะทำงานไม่สำเร็จ โมหะก็ทำงานเองนะ
พี่ใหญ่ โมหะคือใครนี่เลย (อวิชชา) พี่ลงมาเองเลยทีนี้ นะครับ
โมหะลงมาจัดการเองเลย แล้วโมหะ...วิธีทำให้เราเนี่ยคล้อยตามโมหะ คือเค้าต้องทำให้หลง
[คลิปวีดีโอ] “เอากางเกงยีนส์เก่าพันรอบคอมันก็อุ่นได้เหมือนกัน”
เห็นมั้ยครับ ไม่พูดชวนกันดีๆ ล่ะ พูดกระแทกแดกดันไปเลย
แล้วท่านจะเจอเหตุการณ์อย่างนี้ในชีวิต ไปนั่งฟังได้เลย
ข้างในของท่านไม่ได้ต่างอะไรจากรีเบคก้านะครับ
[คลิปวีดีโอ] “เป็นแม่เธอก็ต้องทำอย่างนั้น” “เธอพูดถูก แม่ทำแน่”
เธอพูดถูกล่ะ.....เห็นมั้ย เริ่มเป็นพวกเดียวกับเค้าไปละ
นี่คือเป็นสิ่งเป็นปกติที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ถ้าเราเดินไปห้างสรรพสินค้า
ไม่เชื่อกลับไปจากยุวพุทธิฯ นี่ ลองดูได้เลย เลี้ยวเข้าเดอะมอลล์บางแคไปเลย
แล้วไปคอยสังเกตตัวท่านได้เลย มากันเป็นตับล่ะทีเนี้ยะ
เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ใช่วันที่เราจะมาพูดปฏิจจสมุปบาทกันมากนัก
แต่ผมจะปูให้ท่านเห็นอย่างหนึ่งก็คือว่า เราแทบจะบอกได้เลยว่า
ตั้งแต่ รีเบคก้าเห็นป้าย sale เดินเข้ามาในร้าน จนกระทั่งเข้ามาถึงผ้าพันคอเนี่ย
ผมถามอย่างนึงคือ รีเบคก้ารู้สึกตัวมั้ยครับ?...ไม่รู้สึกตัว
ขณะที่รีเบคก้ากำลังมองผ้าพันคอผืนนี้เนี่ยด้วยความชื่นชมเนี่ย
ผมถามว่า รีเบคก้าทุกข์มั้ยครับ? ทุกข์มั้ยครับ?...ทุกข์
รีเบคก้ารู้มั้ยครับว่าตัวเองทุกข์ตอนนั้น?...ไม่รู้เลย
เพราะความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นเนี่ย ความจริงเรายืนดูอยู่เนี่ย เรานั่งดูรีเบคก้าเนี่ย
เราดูแล้วเราน่าจะรู้สึกว่า รีเบคก้าน่าจะรู้ตัวนะเนี่ย ว่าตัวเองทุกข์แล้ว
แต่คนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ เนี่ย ไม่รู้หรอกครับ ท่านเองก็ไม่รู้
ถ้าเปลี่ยนจากท่านเป็นรีเบคก้า รีเบคก้าเป็นท่านเนี่ย ท่านก็ไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นเหมือนกัน
เวลาเรามองคนอื่นเนี่ย ทุกอย่างง่ายไปหมด
แต่เมื่อไหร่เป็นที่ตัวท่านเนี่ย ตัวกูขึ้นมาเนี่ย ท่านจะมองอะไรไม่เห็นเลย
จนกว่าวันนึงท่านจะเข้าใจความเป็นจริง สามารถละที่เค้าเรียกว่าสักกายทิฏฐิลงได้นะครับ
เมื่อไหร่ท่านละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนเนี่ย
ตัวตนท่านจะลดลงไปมากกว่า 80-90% ที่เหลือจะเป็นอุปทานที่ไปยึดเท่านั้นเอง
ก็ไปจัดการกันตั้งแต่ระดับพระโสดาบัน จนถอดถอนทั้งหมดที่พระอรหันต์นะครับ
แต่ผมจะปูให้ท่านเห็นอย่างหนึ่งก็คือว่า เราแทบจะบอกได้เลยว่า
ตั้งแต่ รีเบคก้าเห็นป้าย sale เดินเข้ามาในร้าน จนกระทั่งเข้ามาถึงผ้าพันคอเนี่ย
ผมถามอย่างนึงคือ รีเบคก้ารู้สึกตัวมั้ยครับ?...ไม่รู้สึกตัว
ขณะที่รีเบคก้ากำลังมองผ้าพันคอผืนนี้เนี่ยด้วยความชื่นชมเนี่ย
ผมถามว่า รีเบคก้าทุกข์มั้ยครับ? ทุกข์มั้ยครับ?...ทุกข์
รีเบคก้ารู้มั้ยครับว่าตัวเองทุกข์ตอนนั้น?...ไม่รู้เลย
เพราะความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นเนี่ย ความจริงเรายืนดูอยู่เนี่ย เรานั่งดูรีเบคก้าเนี่ย
เราดูแล้วเราน่าจะรู้สึกว่า รีเบคก้าน่าจะรู้ตัวนะเนี่ย ว่าตัวเองทุกข์แล้ว
แต่คนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ เนี่ย ไม่รู้หรอกครับ ท่านเองก็ไม่รู้
ถ้าเปลี่ยนจากท่านเป็นรีเบคก้า รีเบคก้าเป็นท่านเนี่ย ท่านก็ไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นเหมือนกัน
เวลาเรามองคนอื่นเนี่ย ทุกอย่างง่ายไปหมด
แต่เมื่อไหร่เป็นที่ตัวท่านเนี่ย ตัวกูขึ้นมาเนี่ย ท่านจะมองอะไรไม่เห็นเลย
จนกว่าวันนึงท่านจะเข้าใจความเป็นจริง สามารถละที่เค้าเรียกว่าสักกายทิฏฐิลงได้นะครับ
เมื่อไหร่ท่านละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนเนี่ย
ตัวตนท่านจะลดลงไปมากกว่า 80-90% ที่เหลือจะเป็นอุปทานที่ไปยึดเท่านั้นเอง
ก็ไปจัดการกันตั้งแต่ระดับพระโสดาบัน จนถอดถอนทั้งหมดที่พระอรหันต์นะครับ
เอาล่ะ ทีนี้เราก็มาดูกันแค่คร่าวๆ ตรงนี้ก่อนนะครับ
ให้เราทำความเข้าใจกันไปเล็กน้อยก่อน เราจะได้รู้ว่าที่เราบอกว่า เอ๊...รู้ทุกข์กับเป็นทุกข์มันต่างกันยังไงนะ?
ทีนี้เราเห็นละอย่างนึงคือ ...
ตอนที่เด็กรีไซเคิลคนนั้นกำลังชอบ กำลังชะเง้อชะแง้ กำลังดูจะอันนั้นอยู่เนี่ย
ถามว่าเค้ารู้สึกตัวว่าเค้าเป็นทุกข์มั้ย?...เค้าไม่รู้สึกเลย เพราะเค้าไม่รู้ทุกข์
ขณะที่รีเบคก้ากำลังเดินเข้าไปในร้านจนอยากได้ผ้าพันคอเนี่ย
ถามว่ารีเบคก้ารู้ทุกข์มั้ย?...ไม่รู้ รีเบคก้ารู้อย่างเดียวว่าถ้าได้ผ้าพันคอจะมีความสุข
ถ้าไม่ได้ผ้าพันคอฉันจะมีความทุกข์...ถูกมั้ยครับ? นี่คือปุถุชนผู้มิได้สดับ
คนหกพันล้านคนทั้งโลกมีความรู้สึกอย่างเดียวกันหมดคือ
ถ้าฉันได้สมปรารถนาฉันจะมีความสุข
ถ้าฉันไม่ได้ฉันจะมีความทุกข์ เห็นเหมือนกันหมดเลย
เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่รีเบคก้าเดินเข้าไปในร้านเนี่ย
เค้ารู้อย่างเดียวว่า เป็นตายยังไงฉันต้องได้ผ้าพันคอผืนนี้มาเป็นเจ้าของ
จะต้องหมดเนื้อหมดตัวเท่าไหร่ก็ได้!
เพื่อให้ได้ผ้าพันคอนี้มาเป็นเจ้าของ แล้วฉันจะมีความสุข
แต่ไม่เคยมีใครเห็นหรอกว่า ตลอดเวลาที่ตัณหาเริ่มบีบคั้นลากเข้าไปอยู่ในร้านเนี่ย!!
.........มันเป็นทุกข์ตลอดเวลา
ให้เราทำความเข้าใจกันไปเล็กน้อยก่อน เราจะได้รู้ว่าที่เราบอกว่า เอ๊...รู้ทุกข์กับเป็นทุกข์มันต่างกันยังไงนะ?
ทีนี้เราเห็นละอย่างนึงคือ ...
ตอนที่เด็กรีไซเคิลคนนั้นกำลังชอบ กำลังชะเง้อชะแง้ กำลังดูจะอันนั้นอยู่เนี่ย
ถามว่าเค้ารู้สึกตัวว่าเค้าเป็นทุกข์มั้ย?...เค้าไม่รู้สึกเลย เพราะเค้าไม่รู้ทุกข์
ขณะที่รีเบคก้ากำลังเดินเข้าไปในร้านจนอยากได้ผ้าพันคอเนี่ย
ถามว่ารีเบคก้ารู้ทุกข์มั้ย?...ไม่รู้ รีเบคก้ารู้อย่างเดียวว่าถ้าได้ผ้าพันคอจะมีความสุข
ถ้าไม่ได้ผ้าพันคอฉันจะมีความทุกข์...ถูกมั้ยครับ? นี่คือปุถุชนผู้มิได้สดับ
คนหกพันล้านคนทั้งโลกมีความรู้สึกอย่างเดียวกันหมดคือ
ถ้าฉันได้สมปรารถนาฉันจะมีความสุข
ถ้าฉันไม่ได้ฉันจะมีความทุกข์ เห็นเหมือนกันหมดเลย
เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่รีเบคก้าเดินเข้าไปในร้านเนี่ย
เค้ารู้อย่างเดียวว่า เป็นตายยังไงฉันต้องได้ผ้าพันคอผืนนี้มาเป็นเจ้าของ
จะต้องหมดเนื้อหมดตัวเท่าไหร่ก็ได้!
เพื่อให้ได้ผ้าพันคอนี้มาเป็นเจ้าของ แล้วฉันจะมีความสุข
แต่ไม่เคยมีใครเห็นหรอกว่า ตลอดเวลาที่ตัณหาเริ่มบีบคั้นลากเข้าไปอยู่ในร้านเนี่ย!!
.........มันเป็นทุกข์ตลอดเวลา
ผมยกตัวอย่างอะไรให้เห็นแล้วท่านจะเห็นชัดขึ้น
ถ้าเราเห็นคนที่ติดยา ติดเฮโรอีนก็แล้วกัน คนที่ติดเฮโรอีนทุกครั้งที่เค้าสูบ...ซืด...เข้าไป
แล้วเค้าบอกว่า โอ้โห...มันมีความสุขที่สุดเลยนะ พอเค้าสูบเสร็จ สมมติว่าสูบเสร็จละ
ในเวลาที่ผ่านมาตลอด เค้าจะทุกข์ตลอด พยายามแสวงหายาครั้งใหม่ต่อไป
จนกระทั่งได้สูบยาอีก...ซี้ด...แล้วก็จะมีความสุข แล้วเค้าบอกว่าการสูบเฮโรอีนนี่สุขจริงๆ
แต่น่าแปลกคนที่ยืนดูคนที่ติดยาเสพติดอยู่เนี่ย กลับรู้สึกว่า เฮ้...มันโง่หรือเปล่าเนี่ย
มันสูบสองนาที แล้วมันก็ทุกข์...ทุกข์ไปอีกสมมติว่าห้าชั่วโมง แล้วมันก็ได้สูบ
แล้วก็เป็นสุขอีกสองนาที แล้วก็บอกว่าทุกข์...ทุกข์ไปอีกห้าชั่วโมง แล้วก็ได้สูบอีกสองนาที
น่าสงสัยนะครับว่าทำไมมันไม่ดูตรงทุกข์ ซึ่งมีอยู่ตั้งนาน แต่มันกลับไปรู้สึกแค่สุขเล็กๆ นั่นเอง
พูดอย่างนี้กับคนติดยาเมื่อไหร่ ต้องย้อนกลับมาดูตัวเองเหมือนกัน
ยี่สิบเก้าวันในหนึ่งเดือนที่ท่านทุกข์...
ทำงาน โอ้ยออกจากบ้านแต่เช้าทำไมรถมันติดอย่างนี้ โอ้โหยจะไปไม่ทันอยู่แล้ว
โอ้โหยทำไมลูกค้ามันยุ่ง โอ้โหยเจ้านายก็ด่าไม่เลิก อะไร...
จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายได้เงินมา...ฮ่า...ไปห้างฯ
ซื้อ ซื้อ spend spend ตกกลางคือก็ ดื่ม ดื่ม ดื่ม ซื้อ ซื้อ
แล้วก็...ฮ่า...โอ้โหได้ไปเที่ยวพัทยา ได้ไปเที่ยวหัวหิน ได้ไป...
แล้วก็อีกยี่สิบเก้าวันก็...ทุกข์...ทุกข์... แล้วก็ทำเหมือนเดิม
ตกลงเฮโรอีนกับคนทำงานนี่มันต่างกันตรงไหนเนี่ย?
ถ้าเราเห็นคนที่ติดยา ติดเฮโรอีนก็แล้วกัน คนที่ติดเฮโรอีนทุกครั้งที่เค้าสูบ...ซืด...เข้าไป
แล้วเค้าบอกว่า โอ้โห...มันมีความสุขที่สุดเลยนะ พอเค้าสูบเสร็จ สมมติว่าสูบเสร็จละ
ในเวลาที่ผ่านมาตลอด เค้าจะทุกข์ตลอด พยายามแสวงหายาครั้งใหม่ต่อไป
จนกระทั่งได้สูบยาอีก...ซี้ด...แล้วก็จะมีความสุข แล้วเค้าบอกว่าการสูบเฮโรอีนนี่สุขจริงๆ
แต่น่าแปลกคนที่ยืนดูคนที่ติดยาเสพติดอยู่เนี่ย กลับรู้สึกว่า เฮ้...มันโง่หรือเปล่าเนี่ย
มันสูบสองนาที แล้วมันก็ทุกข์...ทุกข์ไปอีกสมมติว่าห้าชั่วโมง แล้วมันก็ได้สูบ
แล้วก็เป็นสุขอีกสองนาที แล้วก็บอกว่าทุกข์...ทุกข์ไปอีกห้าชั่วโมง แล้วก็ได้สูบอีกสองนาที
น่าสงสัยนะครับว่าทำไมมันไม่ดูตรงทุกข์ ซึ่งมีอยู่ตั้งนาน แต่มันกลับไปรู้สึกแค่สุขเล็กๆ นั่นเอง
พูดอย่างนี้กับคนติดยาเมื่อไหร่ ต้องย้อนกลับมาดูตัวเองเหมือนกัน
ยี่สิบเก้าวันในหนึ่งเดือนที่ท่านทุกข์...
ทำงาน โอ้ยออกจากบ้านแต่เช้าทำไมรถมันติดอย่างนี้ โอ้โหยจะไปไม่ทันอยู่แล้ว
โอ้โหยทำไมลูกค้ามันยุ่ง โอ้โหยเจ้านายก็ด่าไม่เลิก อะไร...
จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายได้เงินมา...ฮ่า...ไปห้างฯ
ซื้อ ซื้อ spend spend ตกกลางคือก็ ดื่ม ดื่ม ดื่ม ซื้อ ซื้อ
แล้วก็...ฮ่า...โอ้โหได้ไปเที่ยวพัทยา ได้ไปเที่ยวหัวหิน ได้ไป...
แล้วก็อีกยี่สิบเก้าวันก็...ทุกข์...ทุกข์... แล้วก็ทำเหมือนเดิม
ตกลงเฮโรอีนกับคนทำงานนี่มันต่างกันตรงไหนเนี่ย?
เปลี่ยนไปดูเดรัจฉานมั่ง มดตัวนึง เอ้าออกจากรัง เดิน...กันไปเป็นแถว
ไปได้แมลงปอมา โอ้ย...ดีใจดีใจ ดีใจ ยกแมลงปอกลับมารัง...นะ
หลังจากนั้นก็เสพแมลงปอกันอยู่ทั้งรัง แล้วก็ออก หมดก็ออกไปใหม่
เช้าเดินๆ เดินๆ นะ วันนี้ไม่ได้อะไรก็ทุกข์...กลับมา...นะ เดินกลับไปหาได้มดตายมาอีก...แล้วก็ดีใจ
แล้วก็...ตายไปชาตินึง มดก็ตายไปชาตินึง คนที่ออกไปเหมือนมด...ก็ตายไปอีกชาตินึง
วิ่งหา...ยี่สิบเก้าวัน หาวันนึง
ยี่สิบเก้าวัน หาสุขวันนึง
ยี่สิบเก้าวัน หาสุขวันนึง
เอ!...ทำไมไม่เห็นแฮะ?
ทำไมเห็นรีเบคก้า? ทำไมรีเบคก้าโง่อย่างงี้เงี่ย? หึหึ....ชักไม่ค่อยกล้าพูด
พูดไปพูดมาชักไม่ค่อยเต็มปากแฮะ (หัวเราะ ..)
ถ้าเปลี่ยนชื่อรีเบคก้าเนี่ย เอาชื่อของใครซักคนมาแปะดิ๊ มันเหมือนกันเลยแฮะ
พฤติกรรมก็เดียวกัน จะเปลี่ยนเป็นห้างฯ ไหนก็ได้ จะเดอะมอลล์ เซ็นทรัล โลตัส บิ๊กซี
หรือไปที่เมืองนอก Fifih Avenue อะไรก็ได้
ทุกอย่างจะดำเนินตามกระบวนการเดียวกันหมดคือ...ปฏิจจสมุปบาท
ไปได้แมลงปอมา โอ้ย...ดีใจดีใจ ดีใจ ยกแมลงปอกลับมารัง...นะ
หลังจากนั้นก็เสพแมลงปอกันอยู่ทั้งรัง แล้วก็ออก หมดก็ออกไปใหม่
เช้าเดินๆ เดินๆ นะ วันนี้ไม่ได้อะไรก็ทุกข์...กลับมา...นะ เดินกลับไปหาได้มดตายมาอีก...แล้วก็ดีใจ
แล้วก็...ตายไปชาตินึง มดก็ตายไปชาตินึง คนที่ออกไปเหมือนมด...ก็ตายไปอีกชาตินึง
วิ่งหา...ยี่สิบเก้าวัน หาวันนึง
ยี่สิบเก้าวัน หาสุขวันนึง
ยี่สิบเก้าวัน หาสุขวันนึง
เอ!...ทำไมไม่เห็นแฮะ?
ทำไมเห็นรีเบคก้า? ทำไมรีเบคก้าโง่อย่างงี้เงี่ย? หึหึ....ชักไม่ค่อยกล้าพูด
พูดไปพูดมาชักไม่ค่อยเต็มปากแฮะ (หัวเราะ ..)
ถ้าเปลี่ยนชื่อรีเบคก้าเนี่ย เอาชื่อของใครซักคนมาแปะดิ๊ มันเหมือนกันเลยแฮะ
พฤติกรรมก็เดียวกัน จะเปลี่ยนเป็นห้างฯ ไหนก็ได้ จะเดอะมอลล์ เซ็นทรัล โลตัส บิ๊กซี
หรือไปที่เมืองนอก Fifih Avenue อะไรก็ได้
ทุกอย่างจะดำเนินตามกระบวนการเดียวกันหมดคือ...ปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทเกิดเฉพาะคนไทยที่เป็นชาวพุทธหรือเปล่า?
“โอ้ย...อย่างนี้ไปเปลี่ยนศาสนาอื่นดีกว่า ฮึ...จะได้ไม่ต้องมี...ตัณหงตัณหาอะไร ฝรั่งไม่เห็นพูดถึง...”
ยิ่งไม่พูดถึงยิ่งโง่จัดเลย เพราะว่ามันจะหาทางออกจากทุกข์ไม่เจอเลยทีนี้...
นะ พวกเราโชคดีแล้วนะครับ โชคดีแล้ว หลายคนฟังแล้วก็ เคยฟังแล้วก็แปลกๆ
“ไม่เอาแล้วศาสนาพุทธ มีแต่พูดเรื่องทุกข์ ไปอยู่ศาสนาอื่นดีกว่า...นะ
จะได้ไม่ทุกข์ไม่ตกนรกด้วย ศาสนาอื่นไม่เห็นมีนรกเลย”
โหย...ยิ่งตกนรกหนักเลยล่ะ ยิ่งไม่รู้นี่ ยิ่งตกแรงเลย
“โอ้ย...อย่างนี้ไปเปลี่ยนศาสนาอื่นดีกว่า ฮึ...จะได้ไม่ต้องมี...ตัณหงตัณหาอะไร ฝรั่งไม่เห็นพูดถึง...”
ยิ่งไม่พูดถึงยิ่งโง่จัดเลย เพราะว่ามันจะหาทางออกจากทุกข์ไม่เจอเลยทีนี้...
นะ พวกเราโชคดีแล้วนะครับ โชคดีแล้ว หลายคนฟังแล้วก็ เคยฟังแล้วก็แปลกๆ
“ไม่เอาแล้วศาสนาพุทธ มีแต่พูดเรื่องทุกข์ ไปอยู่ศาสนาอื่นดีกว่า...นะ
จะได้ไม่ทุกข์ไม่ตกนรกด้วย ศาสนาอื่นไม่เห็นมีนรกเลย”
โหย...ยิ่งตกนรกหนักเลยล่ะ ยิ่งไม่รู้นี่ ยิ่งตกแรงเลย
เอาล่ะ เราก็พอจะได้เห็นภาพเค้าลางอะไรบางอย่างว่า
ที่เราเคยบอกว่า “โอ้ย...ทุกข์ฉันรู้” มันทำท่าว่าจะพูดไม่ค่อยเต็มปากล่ะ
ทีนี้พอทุกข์ไม่รู้ สมุทัยจะรู้ได้ยังไงอ่ะ? เพราะว่าไม่รู้มันเริ่มตรงไหน
เหตุให้ทุกข์จริงๆ มันอยู่ตรงไหนเนี่ย?
เมื่อกี้เริ่มตั่งแต่เด็กรีไซเคิลเนีย มันเห็นเด็กผู้หญิงกระทบเข้ามาปั๊บ
ภาพเด็กผู้หญิงกระทบตาปั๊บ...ชอบ เขียนโน้ต มันรู้แต่ว่ามันเขียนโน้ต
เด็กเนี่ยมันรู้อย่างเดียวว่า ...
ถ้าได้เด็กผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเจ้าของ โอ้โห มันคงมีความสุขน่าดูเลย พอไม่ได้ก็เป็นทุกข์
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับเห็นแค่นี้ครับ เห็นแค่นี้เลย
รู้ว่าถ้าไม่ได้เป็นทุกข์
ถ้าได้ดั่งใจเป็นสุข
เพราะฉะนั้นจะทำทุกอย่างไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล เพื่อให้ฉันมีความสุข
ดังนั้นในกระบวนการที่ท่านบอกว่า ถ้าได้จะมีความสุข จึงได้เกิดทั้งตัณหา
จึงได้เกิดกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ขึ้นมาเต็มไปหมด ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ได้มา
เพราะว่ามันจะเป็นสิ่งที่ตอบสนองเราให้มีความสุข
เอาล่ะพอถึงตรงนี้ล่ะ เริ่มๆ โลกนี้เริ่มยุ่งละ โลกนี้มันเริ่มยุ่งตรงนี้ล่ะ นะครับ
เพราะทุกคนจะแสวงหาอะไรซักอย่างนึงเพื่อให้ตัวเองได้สมปรารถนากันหมด
จึงไม่มีใครเห็นคนอื่นเลย ทุกคนกำลังทำเพื่อเอาเข้า
มดทุกตัวออกไปล่าสมบัติเพื่อจะเอากลับเข้ารังอย่างเดียว
ไม่เคยมีมดตัวไหนที่ได้แมลงปอตัวใหญ่มาแล้วแบ่งให้รังข้างๆ หึหึ..ไม่มี
ผมไม่เคยเห็น มันลากเข้ารัง ตัวมันใหญ่กว่ารัง...มันขุดรังใหม่
มันได้แมลงปอตัวใหญ่กว่ารังมัน มันสร้างรังใหม่เพื่อเอาแมลงปอเข้าไปให้ได้
มันไม่เคยคิดว่าจะแบ่งปีกให้รังนู้น แบ่งหัวให้อีกรังนึง...ไม่เคยคิด
แต่มนุษย์ยังมี นะครับ ไม่งั้นสมาคมนี้ไม่เกิด
สมาคมนี้เกิดเพราะว่าพวกเราไม่ใช่มด พวกเราจึงคิดที่จะแบ่งปันออกไป
สร้างที่ที่พวกเรามารวมกัน แล้วก็แบ่งปันออกไป
อะไรที่ได้เกินมา หัวแมลงปอ ปีกแมลงปอ ขาแมลงปอ เราแบ่งออกไป
แต่ที่แน่ๆ เราไม่ใช่มด..(หัวเราะ ) เราไม่ใช่มด และเราก็ไม่คิดว่าจะไปเป็นมดด้วย
แล้วเราก็ไม่ใช่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เรากำลังจะเป็นอริยชนผู้สดับ นะครับ
เรากำลังจะเป็นอริยชนผู้สดับ
ที่เราเคยบอกว่า “โอ้ย...ทุกข์ฉันรู้” มันทำท่าว่าจะพูดไม่ค่อยเต็มปากล่ะ
ทีนี้พอทุกข์ไม่รู้ สมุทัยจะรู้ได้ยังไงอ่ะ? เพราะว่าไม่รู้มันเริ่มตรงไหน
เหตุให้ทุกข์จริงๆ มันอยู่ตรงไหนเนี่ย?
เมื่อกี้เริ่มตั่งแต่เด็กรีไซเคิลเนีย มันเห็นเด็กผู้หญิงกระทบเข้ามาปั๊บ
ภาพเด็กผู้หญิงกระทบตาปั๊บ...ชอบ เขียนโน้ต มันรู้แต่ว่ามันเขียนโน้ต
เด็กเนี่ยมันรู้อย่างเดียวว่า ...
ถ้าได้เด็กผู้หญิงคนนั้นมาเป็นเจ้าของ โอ้โห มันคงมีความสุขน่าดูเลย พอไม่ได้ก็เป็นทุกข์
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับเห็นแค่นี้ครับ เห็นแค่นี้เลย
รู้ว่าถ้าไม่ได้เป็นทุกข์
ถ้าได้ดั่งใจเป็นสุข
เพราะฉะนั้นจะทำทุกอย่างไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล เพื่อให้ฉันมีความสุข
ดังนั้นในกระบวนการที่ท่านบอกว่า ถ้าได้จะมีความสุข จึงได้เกิดทั้งตัณหา
จึงได้เกิดกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ขึ้นมาเต็มไปหมด ทำยังไงก็ได้เพื่อให้ได้มา
เพราะว่ามันจะเป็นสิ่งที่ตอบสนองเราให้มีความสุข
เอาล่ะพอถึงตรงนี้ล่ะ เริ่มๆ โลกนี้เริ่มยุ่งละ โลกนี้มันเริ่มยุ่งตรงนี้ล่ะ นะครับ
เพราะทุกคนจะแสวงหาอะไรซักอย่างนึงเพื่อให้ตัวเองได้สมปรารถนากันหมด
จึงไม่มีใครเห็นคนอื่นเลย ทุกคนกำลังทำเพื่อเอาเข้า
มดทุกตัวออกไปล่าสมบัติเพื่อจะเอากลับเข้ารังอย่างเดียว
ไม่เคยมีมดตัวไหนที่ได้แมลงปอตัวใหญ่มาแล้วแบ่งให้รังข้างๆ หึหึ..ไม่มี
ผมไม่เคยเห็น มันลากเข้ารัง ตัวมันใหญ่กว่ารัง...มันขุดรังใหม่
มันได้แมลงปอตัวใหญ่กว่ารังมัน มันสร้างรังใหม่เพื่อเอาแมลงปอเข้าไปให้ได้
มันไม่เคยคิดว่าจะแบ่งปีกให้รังนู้น แบ่งหัวให้อีกรังนึง...ไม่เคยคิด
แต่มนุษย์ยังมี นะครับ ไม่งั้นสมาคมนี้ไม่เกิด
สมาคมนี้เกิดเพราะว่าพวกเราไม่ใช่มด พวกเราจึงคิดที่จะแบ่งปันออกไป
สร้างที่ที่พวกเรามารวมกัน แล้วก็แบ่งปันออกไป
อะไรที่ได้เกินมา หัวแมลงปอ ปีกแมลงปอ ขาแมลงปอ เราแบ่งออกไป
แต่ที่แน่ๆ เราไม่ใช่มด..(หัวเราะ ) เราไม่ใช่มด และเราก็ไม่คิดว่าจะไปเป็นมดด้วย
แล้วเราก็ไม่ใช่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ เรากำลังจะเป็นอริยชนผู้สดับ นะครับ
เรากำลังจะเป็นอริยชนผู้สดับ
เอาล่ะ เราค่อยๆ เห็นตามกันไปเรื่อยๆ เห็นตามกันไปเรื่อยๆ นะครับ
จากอริยสัจข้อที่หนึ่ง ทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ พอถึงทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ
แล้วเราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า สมุทัยเป็นอย่างนี้ๆ อ๋อ...ทุกข์เป็นอย่างนี้
ทุกข์ควรรู้ แต่เรายอมรับว่า เรายังไม่รู้
มันก็จะมาถึงกระบวนการทั้งหลายว่า
เห็นแล้วว่าเด็กรีไซเคิล ทำไมถึงทำอะไรลงไปเยอะแยะมากมาย
คนที่หนึ่งไม่ได้ อ่ะคนที่สอง คนที่สองไม่ได้ คนที่สาม...
พอคนที่หนึ่งเกิดเค้าหันมาปิ๊ง อ่ะคนที่สองก็จีบติดพอดี
เอาล่ะทีนี้เป็นทุกข์ละ ได้มาสองคนเลย น่ะ...
อะไรต่ออะไรที่เราเกิดขึ้นบนโลก เยอะแยะไปหมดเลย
สิ่งนี้เอาสิ่งนั้นมาแก้สิ่งนี้ สิ่งนี้ไปแก้สิ่งนั้นเนี่ย
มันก็เลยกลายเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น ทุกข์เพิ่มขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด
จากอริยสัจข้อที่หนึ่ง ทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ พอถึงทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ
แล้วเราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า สมุทัยเป็นอย่างนี้ๆ อ๋อ...ทุกข์เป็นอย่างนี้
ทุกข์ควรรู้ แต่เรายอมรับว่า เรายังไม่รู้
มันก็จะมาถึงกระบวนการทั้งหลายว่า
เห็นแล้วว่าเด็กรีไซเคิล ทำไมถึงทำอะไรลงไปเยอะแยะมากมาย
คนที่หนึ่งไม่ได้ อ่ะคนที่สอง คนที่สองไม่ได้ คนที่สาม...
พอคนที่หนึ่งเกิดเค้าหันมาปิ๊ง อ่ะคนที่สองก็จีบติดพอดี
เอาล่ะทีนี้เป็นทุกข์ละ ได้มาสองคนเลย น่ะ...
อะไรต่ออะไรที่เราเกิดขึ้นบนโลก เยอะแยะไปหมดเลย
สิ่งนี้เอาสิ่งนั้นมาแก้สิ่งนี้ สิ่งนี้ไปแก้สิ่งนั้นเนี่ย
มันก็เลยกลายเป็นทุกข์เพิ่มขึ้น ทุกข์เพิ่มขึ้นไปไม่มีที่สิ้นสุด
ยังไม่ทันจบ อาจารย์หยุดคลิปวีดีโอลงกลางคันตอนท้ายๆ เรื่อง แล้วถามว่า
มีใครรู้ว่าตัวเรากำลังทุกข์มั้ยครับ?...ไม่มีนะครับ
ถ้าเราไม่หยุด ถ้าผมบอกว่า เมื่อกี้ทุกคนกำลังเพลิน
ทุกคนมีจิตที่บีบคั้น กำลังลุ้นทุกอย่าง
เข้าใจแล้วยังครับว่า เราไม่รู้ทุกข์ เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน
แล้วตอนที่ท่านกำลังพุ่งทุกอย่างเข้าไป เชื่อมั้ยครับว่า
สิ่งที่ท่านคิดว่ามันยากเย็นในคำว่า ฌาน ที่ท่านนั่งตาแป๋วแล้วก็ดู
ท่านกำลังเข้าสู่ปฐมฌาน ยกเว้นอย่างเดียวอีกนิดเดียวคือ ต้องไม่มีตัณหา
ตอนนี้เวทนาคือความสุขเกิด ก็ไม่มีใครเห็นความยินดีพอใจ
ถ้าเราไม่หยุด ถ้าผมบอกว่า เมื่อกี้ทุกคนกำลังเพลิน
ทุกคนมีจิตที่บีบคั้น กำลังลุ้นทุกอย่าง
เข้าใจแล้วยังครับว่า เราไม่รู้ทุกข์ เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน
แล้วตอนที่ท่านกำลังพุ่งทุกอย่างเข้าไป เชื่อมั้ยครับว่า
สิ่งที่ท่านคิดว่ามันยากเย็นในคำว่า ฌาน ที่ท่านนั่งตาแป๋วแล้วก็ดู
ท่านกำลังเข้าสู่ปฐมฌาน ยกเว้นอย่างเดียวอีกนิดเดียวคือ ต้องไม่มีตัณหา
ตอนนี้เวทนาคือความสุขเกิด ก็ไม่มีใครเห็นความยินดีพอใจ
สองวงจรนี้อยู่ซ้อนกันในชีวิตของเรา
เนื่องจากความที่จิตไม่ตั้งมั่นพอ มันจึงไม่เคยเห็นกระบวนการของชั้นที่เป็นน้ำมัน
เราจึงกระโดดลงไปชั้นของเนื้อเรื่องตลอดเวลา
เนื่องจากความที่จิตไม่ตั้งมั่นพอ มันจึงไม่เคยเห็นกระบวนการของชั้นที่เป็นน้ำมัน
เราจึงกระโดดลงไปชั้นของเนื้อเรื่องตลอดเวลา
ผมจะชี้อะไรให้ท่านเห็นนิดนึงนะครับ นอกเรื่อง แล้วเดี๋ยวจะพาเข้าเรื่อง...
“เป็นเป็ดแล้วจะบิน”
ประโยคแรกๆ ตอนเริ่มคลิปอันนี้ “เป็นคนหูหนวกแล้วจะเล่นไวโอลิน”
แปลว่าผู้หญิงคนนี้หูหนวกนะครับ ผู้หญิงคนนี้หูหนวก แต่ก็เล่น...
เล่นด้วยความรู้สึก จริงเหรอ? เล่นได้อย่างนี้จริงหรือเปล่า?
ถ้าสมมติว่าไม่ใช่หนังโฆษณา ถ้าเป็นเรื่องจริง คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้มั้ย?
อืม...สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้มั้ย? ถ้ามีคนหูหนวกแล้วเล่นไวโอลินได้อย่างนี้
ทำไมไอสไตน์ถึงสามารถคิดค้นทฤษฎีที่ไม่สามารถมีการทดลองบนโลกได้?
ทำไมคนนี้...[เพลงของบีโทเฟน]...เพลงนี้แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก
ซิมโฟนี่นัมเบอร์ 5 แต่งโดย บีโทเฟน ใครจะรู้ว่าเค้าหูหนวก...
จนกระทั่งเพลงที่ดังที่สุด หูหนวกรุนแรงจนไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
มีอะไรในโลกนี้ที่เราไม่รู้จักหรือเปล่า? แล้วทำไม... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ อันนี้ยังไม่ใช่อะไร
ผมจะชี้แล้วผมจะให้ท่านเห็นอะไรบางอย่าง
ความสามารถของมนุษย์ที่วิ่งเข้าไปถึงขีดสุดได้เนี่ย เพราะสภาพของการหมดตัวตน
แต่สิ่งที่ท่านกำลังได้เห็น ไปกันละคนละประตูเท่านั้นเอง
“เป็นเป็ดแล้วจะบิน”
ประโยคแรกๆ ตอนเริ่มคลิปอันนี้ “เป็นคนหูหนวกแล้วจะเล่นไวโอลิน”
แปลว่าผู้หญิงคนนี้หูหนวกนะครับ ผู้หญิงคนนี้หูหนวก แต่ก็เล่น...
เล่นด้วยความรู้สึก จริงเหรอ? เล่นได้อย่างนี้จริงหรือเปล่า?
ถ้าสมมติว่าไม่ใช่หนังโฆษณา ถ้าเป็นเรื่องจริง คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้มั้ย?
อืม...สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้มั้ย? ถ้ามีคนหูหนวกแล้วเล่นไวโอลินได้อย่างนี้
ทำไมไอสไตน์ถึงสามารถคิดค้นทฤษฎีที่ไม่สามารถมีการทดลองบนโลกได้?
ทำไมคนนี้...[เพลงของบีโทเฟน]...เพลงนี้แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก
ซิมโฟนี่นัมเบอร์ 5 แต่งโดย บีโทเฟน ใครจะรู้ว่าเค้าหูหนวก...
จนกระทั่งเพลงที่ดังที่สุด หูหนวกรุนแรงจนไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
มีอะไรในโลกนี้ที่เราไม่รู้จักหรือเปล่า? แล้วทำไม... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ อันนี้ยังไม่ใช่อะไร
ผมจะชี้แล้วผมจะให้ท่านเห็นอะไรบางอย่าง
ความสามารถของมนุษย์ที่วิ่งเข้าไปถึงขีดสุดได้เนี่ย เพราะสภาพของการหมดตัวตน
แต่สิ่งที่ท่านกำลังได้เห็น ไปกันละคนละประตูเท่านั้นเอง
[คลิปวีดีโอ]
อันนี้ภาพนี้ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีการตัดแต่งนะครับ เป็นภาพจริงของบรูซลี
อันนี้ภาพนี้ไม่มีการตัดต่อ ไม่มีการตัดแต่งนะครับ เป็นภาพจริงของบรูซลี
นี่คือกระบองสองท่อนนะครับ บรูซลีใช้กระบองสองท่อนตีกับนักปิงปองระดับโลก
แล้วไม่ใช่ตียากจนแพ้นะครับ ตีชนะด้วย
เราแค่ควงกระบองไม่ให้โดนหัวตัวเองก็ยากแล้วนะ
คนเดียวรุมเอาไม่อยู่ต้องเอาสองคนรุม แล้วยังไม่พลาดซักลูกเลย มีตบด้วย
แล้วไม่ใช่ตียากจนแพ้นะครับ ตีชนะด้วย
เราแค่ควงกระบองไม่ให้โดนหัวตัวเองก็ยากแล้วนะ
คนเดียวรุมเอาไม่อยู่ต้องเอาสองคนรุม แล้วยังไม่พลาดซักลูกเลย มีตบด้วย
มันเกิดอะไรขึ้น ผมถามง่ายๆ ว่า ขณะที่กำลังตีเนี่ย บรูซลีมีสติมั้ยครับ?
เปลี่ยนคำถามใหม่ ถามว่า บรูซลีมีความรู้สึกตัวมั้ยครับ?
บรูซลีใช้ความรู้สึกอย่างเดียว
ถ้าเค้ามีสติเค้าตีลูกไม่ได้เลย ถ้ามีสติจะเล่นไม่ได้อย่างนี้
บรูซลีใช้ความรู้สึกอย่างเดียว
ถ้าเค้ามีสติเค้าตีลูกไม่ได้เลย ถ้ามีสติจะเล่นไม่ได้อย่างนี้
เอาล่ะผมกำลังทำให้ท่านงงไปเรื่อยๆ ก่อน
วันนี้หลังจากนี้เราจะเริ่มพูดเรื่องที่เราไม่รู้เรื่อง สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้
ท่านไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจ ให้มันไม่รู้เรื่องไปอย่างนั้นแหล่ะ
แล้วอย่าคิดตาม อย่าจินตนาการ อันนี้ผมไม่ได้ใช้วาทะหรือใช้โวหารนะครับ
นี้จะเป็นความจริงที่เราจะเดินทางกันต่อไป
เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะพูดทั้งหมด เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการของผู้คน
จะเป็นสิ่งที่ท่านไม่มีวันที่จะเข้าใจได้
เหมือนกับว่าผมได้สิ่งๆ นึงมาจากกาแลคซีที่ไกลโพ้น แล้วมีคำเอามาให้ผมชิม
แล้วผมไม่สามารถบอกได้ว่า หวานก็ไม่ใช่ เปรี้ยวก็ไม่ใช่ เย็นก็ไม่ใช่ ร้อนก็ไม่ใช่ เค็มก็ไม่ใช่ จืดก็ไม่ใช่
แต่มันอร่อยที่สุด
ท่านจะนึกอะไรไม่ออกเลย บอกว่า...พูดให้มันชัดๆ ได้มั้ย...เนี่ยชัดสุดแล้ว
แล้วคนที่จะพูดสิ่งที่ได้ชัดที่สุดต้องไม่ใช่ผมด้วย ถ้าผมพูดจะไม่ชัดเลย ไม่ใช่ลิ้นไก่
แต่...เพราะฉะนั้นจากนี้ไปอย่าคิดตาม
ถ้าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านสามารถคิดได้ ไม่ต้องมีมหาบุรุษผู้สั่งสมบารมีมามากขนาดนั้น
เพราะผมจะชี้ให้ท่านเห็นก่อนที่จะไปหน่อยก็ได้
วันนี้หลังจากนี้เราจะเริ่มพูดเรื่องที่เราไม่รู้เรื่อง สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้
ท่านไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจ ให้มันไม่รู้เรื่องไปอย่างนั้นแหล่ะ
แล้วอย่าคิดตาม อย่าจินตนาการ อันนี้ผมไม่ได้ใช้วาทะหรือใช้โวหารนะครับ
นี้จะเป็นความจริงที่เราจะเดินทางกันต่อไป
เพราะสิ่งที่ผมกำลังจะพูดทั้งหมด เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการของผู้คน
จะเป็นสิ่งที่ท่านไม่มีวันที่จะเข้าใจได้
เหมือนกับว่าผมได้สิ่งๆ นึงมาจากกาแลคซีที่ไกลโพ้น แล้วมีคำเอามาให้ผมชิม
แล้วผมไม่สามารถบอกได้ว่า หวานก็ไม่ใช่ เปรี้ยวก็ไม่ใช่ เย็นก็ไม่ใช่ ร้อนก็ไม่ใช่ เค็มก็ไม่ใช่ จืดก็ไม่ใช่
แต่มันอร่อยที่สุด
ท่านจะนึกอะไรไม่ออกเลย บอกว่า...พูดให้มันชัดๆ ได้มั้ย...เนี่ยชัดสุดแล้ว
แล้วคนที่จะพูดสิ่งที่ได้ชัดที่สุดต้องไม่ใช่ผมด้วย ถ้าผมพูดจะไม่ชัดเลย ไม่ใช่ลิ้นไก่
แต่...เพราะฉะนั้นจากนี้ไปอย่าคิดตาม
ถ้าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านสามารถคิดได้ ไม่ต้องมีมหาบุรุษผู้สั่งสมบารมีมามากขนาดนั้น
เพราะผมจะชี้ให้ท่านเห็นก่อนที่จะไปหน่อยก็ได้
ในวันนึงขณะที่ผมกำลังปฏิบัติเมื่อซัก 8-9 ปีที่แล้ว
ผมเคยสงสัยว่าอริยสัจสี่เนี่ย ทำไมทุกข์ถึงขึ้นก่อน แล้วจึงเป็นสมุทัย
เพราะเอามามองกัน common sense เลย
ผมเคยรู้สึกว่าทำไมถึงไม่ขึ้นสมุทัยก่อนนะ เพราะว่าเหตุต้องมาก่อนสิแล้วถึงจะทุกข์ หลังจากนั้นก็ต้องมีมรรคแล้วถึงจะนิโรธ ปัญญาด้อยๆ อย่างผมเนี่ยคิดได้แค่นั้นเอง
ผมเคยสงสัยว่าอริยสัจสี่เนี่ย ทำไมทุกข์ถึงขึ้นก่อน แล้วจึงเป็นสมุทัย
เพราะเอามามองกัน common sense เลย
ผมเคยรู้สึกว่าทำไมถึงไม่ขึ้นสมุทัยก่อนนะ เพราะว่าเหตุต้องมาก่อนสิแล้วถึงจะทุกข์ หลังจากนั้นก็ต้องมีมรรคแล้วถึงจะนิโรธ ปัญญาด้อยๆ อย่างผมเนี่ยคิดได้แค่นั้นเอง
พอผมมาเริ่มอ่านอริยสัจจากพระโอษฐ์
ท่านบอกว่าการลำดับอริยสัจ ลำดับเอาไว้ถูกต้องหมดแล้ว
แม้ท่าน...ในบทที่ท่านพูดเอาไว้ที่ตรัสเอาไว้เนีย
แน่ะภิกษุ! เธออย่าเปลี่ยนนะ มีภิกษุพยายามจะคิดโง่ๆ แบบผมเหมือนกัน
ผมโง่นะไม่ใช่ภิกษุโง่ ผมเนี่ยอ่ะโง่ คิดแบบที่ผมคิด
เอ...ทำไมสมุทัยไม่ขึ้นก่อนน่ะ แล้วทุกข์ถึงมาตามต่อมา
เพราะพอมีเหตุก็ต้องมีทุกข์สิ พอมีเหตุก็มีทุกข์
จะจัดการกับทุกข์ก็ต้องใช้มรรค พอมรรคแล้วก็นิโรธ....ก็นิพพาน
นิพพานก็อยู่ตอนจบก็ถูกแล้ว
ทำไมถึงกลายเป็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างเนี่ยอ่ะ
..........
ท่านบอกว่าการลำดับอริยสัจ ลำดับเอาไว้ถูกต้องหมดแล้ว
แม้ท่าน...ในบทที่ท่านพูดเอาไว้ที่ตรัสเอาไว้เนีย
แน่ะภิกษุ! เธออย่าเปลี่ยนนะ มีภิกษุพยายามจะคิดโง่ๆ แบบผมเหมือนกัน
ผมโง่นะไม่ใช่ภิกษุโง่ ผมเนี่ยอ่ะโง่ คิดแบบที่ผมคิด
เอ...ทำไมสมุทัยไม่ขึ้นก่อนน่ะ แล้วทุกข์ถึงมาตามต่อมา
เพราะพอมีเหตุก็ต้องมีทุกข์สิ พอมีเหตุก็มีทุกข์
จะจัดการกับทุกข์ก็ต้องใช้มรรค พอมรรคแล้วก็นิโรธ....ก็นิพพาน
นิพพานก็อยู่ตอนจบก็ถูกแล้ว
ทำไมถึงกลายเป็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อย่างเนี่ยอ่ะ
..........
จนกระทั่งวันนึงขณะที่ผมทานข้าวอยู่ที่บ้าน เค้าก็เอาผลไม้มาเสิร์ฟให้ผม
ผมก็ทาน ทาน มีองุ่นอะไรนิดๆ หน่อยจานเล็กๆ แต่ผมทานไม่หมด
ผมก็เลยไปแช่ตู้เย็น แช่ไว้ได้สามวัน
ผมก็นึกขึ้นได้ว่าวันนั้น เอ่อมีผลไม้แช่ไว้ตั้งสามวันแล้ว
ผมก็เอาผลไม้มาตั้งด้วย ทานข้าวเสร็จจะได้ทานให้หมดๆ
ผมทานข้าวอิ่ม ผมก็...ผลไม้...ก็มีปัญหาอีกแล้ว
ผมทุกข์มากเลย ทุกข์มากกับไอ้ผลไม้จานนี้มันไม่หมดซะทีสามวันเนี่ย
ขณะที่ผมกำลังนั่งกินผลไม้ กินผลไม้ กินๆ อยู่ มันพรวด
มันแจ้งพรวดขึ้นมาเลย แล้วผมก็โพล่งขึ้นมาในใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรเนี่ย
ผมถึงเข้าใจเลยว่า ทำไมอริยสัจสี่ถึงเรียงแบบนี้อ่ะ เรียงเปลียนไปจากนี้ไม่ได้
ผมก็ทาน ทาน มีองุ่นอะไรนิดๆ หน่อยจานเล็กๆ แต่ผมทานไม่หมด
ผมก็เลยไปแช่ตู้เย็น แช่ไว้ได้สามวัน
ผมก็นึกขึ้นได้ว่าวันนั้น เอ่อมีผลไม้แช่ไว้ตั้งสามวันแล้ว
ผมก็เอาผลไม้มาตั้งด้วย ทานข้าวเสร็จจะได้ทานให้หมดๆ
ผมทานข้าวอิ่ม ผมก็...ผลไม้...ก็มีปัญหาอีกแล้ว
ผมทุกข์มากเลย ทุกข์มากกับไอ้ผลไม้จานนี้มันไม่หมดซะทีสามวันเนี่ย
ขณะที่ผมกำลังนั่งกินผลไม้ กินผลไม้ กินๆ อยู่ มันพรวด
มันแจ้งพรวดขึ้นมาเลย แล้วผมก็โพล่งขึ้นมาในใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรเนี่ย
ผมถึงเข้าใจเลยว่า ทำไมอริยสัจสี่ถึงเรียงแบบนี้อ่ะ เรียงเปลียนไปจากนี้ไม่ได้
เนื่องจากว่าในครั้งแรกเลย ทุกๆ คน จะต้องเห็นทุกข์ก่อน
ไม่มีใครเห็นสมุทัยก่อนหรอก จะเห็นทุกข์ก่อน
รีเบคก้าหรือว่าเด็กรีไซเคิลทุกคน ถ้าวันนี้ยังไม่รู้ทุกข์อย่ามาพูดเรื่องสมุทัย
ท่านจะเห็นทุกข์ก่อน พอเห็นทุกข์ก่อนแล้วเมื่อสติ ความว่องไว หรือว่าปัญญาที่เกิดขึ้น
มันจะไล่ไปจนทัน ไล่ไปจนทัน ทันว่าอะไรคือสมุทัย
พอมันเข้าใจสมุทัยมันจะทิ้งเลย ด้วยความที่จิตทำงานด้วยไม่มีตัวตนอยู่แล้ว เนี่ยครับ
เค้าทำงานตามเหตุตามปัจจัย เค้าจะทิ้งเค้าจะพ้นนิโรธตรงนั้นเลย
ต่อจากสมุทัยจะเป็นนิโรธเลย
หลังจากนั้นแล้วทำไมมรรคที่เป็นหนทางที่จะทำให้สัตว์โลกพบกับนิโรธทั้งหมดจึงมาอยู่ตัวสุดท้ายล่ะ?
เพราะว่าทฤษฎีนี้เนี่ย ถ้าเอาเข้าไปแทนค่า ไม่ว่าจะในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือสมการใดๆ
ท่านจะเห็นเลยว่า สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเพื่อจะเข้าถึงนิพพาน กับกลายเป็นอยู่ตัวสุดท้าย
เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้พบจากความว่างที่ท่านเกิดมหาสุญญตา
ท่านจึงรู้ว่าอะไรคือหนทางดำเนินเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
ทฤษฎีนี้จะแก้ไม่ได้ด้วยปุถุชนคนธรรมดา
คนที่จะรู้ตัวสุดท้ายแล้วเอามาใช้ตัวแรกได้เนี่ย คนๆ นั้นจึงยิ่งใหญ่มาก
ท่านจะเห็นเลยว่า สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเพื่อจะเข้าถึงนิพพาน กับกลายเป็นอยู่ตัวสุดท้าย
เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้พบจากความว่างที่ท่านเกิดมหาสุญญตา
ท่านจึงรู้ว่าอะไรคือหนทางดำเนินเพื่อให้ถึงความดับทุกข์
ทฤษฎีนี้จะแก้ไม่ได้ด้วยปุถุชนคนธรรมดา
คนที่จะรู้ตัวสุดท้ายแล้วเอามาใช้ตัวแรกได้เนี่ย คนๆ นั้นจึงยิ่งใหญ่มาก
แล้วเมื่อเวลานี้หมดลงไป อริยสัจหมดลงไปซึ่งก็เป็นไปตามกาลเวลา ก็จะไม่มีใครรู้อริยสัจนี้อีก
จนกว่าจะมีอย่างที่เราทราบคือพระศรีอริยเมตไตร แล้วก็จะตรัสรู้เรื่องเดียวกัน
อีกนานแค่ไหนเหรอถึงจะมีพระศรีอริยเมตไตรย
ตอนนี้อายุมนุษย์อยู่ที่ประมาณเฉลี่ย 80 ปี
อายุของมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 10 ปี แต่งงานเมื่อ 5 ปี
หลังจากนั้นจะเกิดโลกาวินาศ มนุษย์จะค่อยๆ หลบซ่อนอยู่ในบางส่วน
แต่ส่วนคนทั่วไปก็จะตาย ล้มตายกันไปหมดเพราะฆ่ากันเอง
อายุมนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้น จาก 100 ปี ขึ้นไปจนถึงหกหมื่นปี หกหมื่นหรือแปดหมื่นปีอีกครั้งนึง
ถึงตอนนั้นถึงจะมีพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้
ไม่ต้องถามว่าอีกนานแค่ไหน............
ถ้าชาตินี้ไม่จบ แล้วก็ไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์...ก็ยาวล่ะ หึหึ...ยาวล่ะ
ซึ่งผมก็มักจะบอกใครๆ ว่า นี่คงไม่ใช่รถด่วนขบวนสุดท้ายนะ
แต่ตอนนี้โบกี้สุดท้ายมันได้เคลื่อนออกไปแล้ว
เรากำลังจะกระโดดขึ้นโบกี้สุดท้ายที่เคลื่อนตัวออกไปแล้ว
เพราะฉะนั้น วันนี้ที่บอกว่า เป็นยุคเฟื่องฟูของพระศาสนาเนี่ย
ถ้าตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ล่วงหน้าแล้วเนี่ย ผมบอกได้อย่างเดียวว่า
คำว่าเฟื่องฟูที่สุดได้ผ่านไปแล้วครับ ตอนนี้กำลังอยู่ในขาลงแล้วละ
หลังจากนี้องค์กรต่างๆ หรือว่าครูบาอาจารย์ต่างๆ ผู้ที่เข้ามาศึกษาต่างๆ ก็จะเริ่มตีกัน
ผู้นำชาวพุทธทั้งหลายจะเริ่มค่อยๆ เกิด conflict มากขึ้นๆ จนกระทั่งไม่มีใครเชื่อใครอีกต่อไป
นั่นเป็นความโง่ของผู้เดินทางเอง ซึ่งเค้าลืมไปว่า
ผู้ที่จะเห็นอริยสัจอย่างแจ่มแจ้ง มีอยู่ผู้เดียวคือพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่รู้ว่ามรรคมีองค์แปด ถึงได้เอามรรคมีองค์แปดออกมา
แต่ว่าในวันนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีพระอรหันต์ พระอรหันต์มีอยู่พอสมควรเลย
จนกว่าจะมีอย่างที่เราทราบคือพระศรีอริยเมตไตร แล้วก็จะตรัสรู้เรื่องเดียวกัน
อีกนานแค่ไหนเหรอถึงจะมีพระศรีอริยเมตไตรย
ตอนนี้อายุมนุษย์อยู่ที่ประมาณเฉลี่ย 80 ปี
อายุของมนุษย์จะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 10 ปี แต่งงานเมื่อ 5 ปี
หลังจากนั้นจะเกิดโลกาวินาศ มนุษย์จะค่อยๆ หลบซ่อนอยู่ในบางส่วน
แต่ส่วนคนทั่วไปก็จะตาย ล้มตายกันไปหมดเพราะฆ่ากันเอง
อายุมนุษย์ก็จะเพิ่มขึ้น จาก 100 ปี ขึ้นไปจนถึงหกหมื่นปี หกหมื่นหรือแปดหมื่นปีอีกครั้งนึง
ถึงตอนนั้นถึงจะมีพระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้
ไม่ต้องถามว่าอีกนานแค่ไหน............
ถ้าชาตินี้ไม่จบ แล้วก็ไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์...ก็ยาวล่ะ หึหึ...ยาวล่ะ
ซึ่งผมก็มักจะบอกใครๆ ว่า นี่คงไม่ใช่รถด่วนขบวนสุดท้ายนะ
แต่ตอนนี้โบกี้สุดท้ายมันได้เคลื่อนออกไปแล้ว
เรากำลังจะกระโดดขึ้นโบกี้สุดท้ายที่เคลื่อนตัวออกไปแล้ว
เพราะฉะนั้น วันนี้ที่บอกว่า เป็นยุคเฟื่องฟูของพระศาสนาเนี่ย
ถ้าตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ล่วงหน้าแล้วเนี่ย ผมบอกได้อย่างเดียวว่า
คำว่าเฟื่องฟูที่สุดได้ผ่านไปแล้วครับ ตอนนี้กำลังอยู่ในขาลงแล้วละ
หลังจากนี้องค์กรต่างๆ หรือว่าครูบาอาจารย์ต่างๆ ผู้ที่เข้ามาศึกษาต่างๆ ก็จะเริ่มตีกัน
ผู้นำชาวพุทธทั้งหลายจะเริ่มค่อยๆ เกิด conflict มากขึ้นๆ จนกระทั่งไม่มีใครเชื่อใครอีกต่อไป
นั่นเป็นความโง่ของผู้เดินทางเอง ซึ่งเค้าลืมไปว่า
ผู้ที่จะเห็นอริยสัจอย่างแจ่มแจ้ง มีอยู่ผู้เดียวคือพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่รู้ว่ามรรคมีองค์แปด ถึงได้เอามรรคมีองค์แปดออกมา
แต่ว่าในวันนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีพระอรหันต์ พระอรหันต์มีอยู่พอสมควรเลย
ผมยกตัวอย่างนึงให้ท่านเข้าใจง่ายๆ ว่า
มีอยู่ครั้งนึงในพระไตรปิฎกบอกว่า พระสารีบุตรได้โปรดลูกศิษย์ของท่านคนนึง
แต่โปรดไม่สำเร็จ โปรดไม่สำเร็จ ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ
พระสารีบุตรเนี่ยเป็นผู้ที่ปฏิบัติมาทางด้านของทิฏฐิปัตตะ คือเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ
ปรับทิฏฐิปุ๊บแล้วเดินเข้าสู่การสิ้นอาสวะ บางส่วนก็โดย...บางส่วนก็มาโดยศรัทธา นะครับ
ศรัทธาวิมุติบ้าง บางส่วนก็เป็นกายสักขีบ้าง เข้าทางสมาธิ
แต่ส่วนพระสารีบุตรเนี่ย มาทางทิฏฐิปัตต์
ทิฏฐิปัตต์ เนี่ยจะสอนคนแบบตรงเป๊ะเลย ปรับทิฏฐิอย่างเดียว
ไม่สนเรื่องศรัทธา ไม่สนเรื่องอะไรมากนัก ปรับทิฏฐิแล้วเข้าสู่การบรรลุธรรม
ครั้งนั้นโปรดไม่ได้ พาไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านก็บอกให้ออกอุบายให้คนเนี้ยไปลูบดอกบัว เค้าก็ไปลูบดอกบัว
เพราะท่านเห็นอดีตบุพกรรมในอดีต ก็เลยให้ไปลูบดอกบัว ลูบไปๆ ลูบไปๆ
จนกระทั่งตัวดอกบัวเองก็เหี่ยวเฉา ตัวจิตใจเองที่รักชอบดอกบัวก็เปลี่ยนแปลงไป
หลังจากนั้นจิตใจก็เริ่มฝ่อเหี่ยว ห่อเหี่ยวจากความยึดมั่นในดอกบัว
ก็เริ่มเกิดวิราคะ เห็นความไม่เที่ยงของดอกบัว
ทั้งข้างนอกและจิตใจข้างใน จึงเกิดวิราคะคือความเบื่อหน่ายคลายจาง
จากนั้นเมื่อเบื่อหน่ายคลายจาง จิตก็เริ่มเข้าสู่นิโรธคือการดับว่าง
แล้วก็สลัดคืนเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์
มีอยู่ครั้งนึงในพระไตรปิฎกบอกว่า พระสารีบุตรได้โปรดลูกศิษย์ของท่านคนนึง
แต่โปรดไม่สำเร็จ โปรดไม่สำเร็จ ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ
พระสารีบุตรเนี่ยเป็นผู้ที่ปฏิบัติมาทางด้านของทิฏฐิปัตตะ คือเป็นผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ
ปรับทิฏฐิปุ๊บแล้วเดินเข้าสู่การสิ้นอาสวะ บางส่วนก็โดย...บางส่วนก็มาโดยศรัทธา นะครับ
ศรัทธาวิมุติบ้าง บางส่วนก็เป็นกายสักขีบ้าง เข้าทางสมาธิ
แต่ส่วนพระสารีบุตรเนี่ย มาทางทิฏฐิปัตต์
ทิฏฐิปัตต์ เนี่ยจะสอนคนแบบตรงเป๊ะเลย ปรับทิฏฐิอย่างเดียว
ไม่สนเรื่องศรัทธา ไม่สนเรื่องอะไรมากนัก ปรับทิฏฐิแล้วเข้าสู่การบรรลุธรรม
ครั้งนั้นโปรดไม่ได้ พาไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านก็บอกให้ออกอุบายให้คนเนี้ยไปลูบดอกบัว เค้าก็ไปลูบดอกบัว
เพราะท่านเห็นอดีตบุพกรรมในอดีต ก็เลยให้ไปลูบดอกบัว ลูบไปๆ ลูบไปๆ
จนกระทั่งตัวดอกบัวเองก็เหี่ยวเฉา ตัวจิตใจเองที่รักชอบดอกบัวก็เปลี่ยนแปลงไป
หลังจากนั้นจิตใจก็เริ่มฝ่อเหี่ยว ห่อเหี่ยวจากความยึดมั่นในดอกบัว
ก็เริ่มเกิดวิราคะ เห็นความไม่เที่ยงของดอกบัว
ทั้งข้างนอกและจิตใจข้างใน จึงเกิดวิราคะคือความเบื่อหน่ายคลายจาง
จากนั้นเมื่อเบื่อหน่ายคลายจาง จิตก็เริ่มเข้าสู่นิโรธคือการดับว่าง
แล้วก็สลัดคืนเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์
ถ้าผมขออนุญาตเอาตัวอย่างนี้มากถามท่าน ให้ท่านดูเองว่า
พระอรหันต์ที่ลูบดอกบัวจนกระทั่งบรรลุธรรม จะเอาวิธีไหนครับมาสอนลูกศิษย์
ถ้าลูกศิษย์ท่านมีอยู่ 30 คน ท่านก็จะให้ลูกศิษย์นั่งลูบดอกบัว...ถูกมั้ยครับ
อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องสามัญเลย เพราะท่านบรรลุธรรมมาแบบนั้น
ลูกศิษย์ใน 30 คน อาจจะมี 2 คนที่บรรลุธรรมจากการลูบดอกบัว อีก 28 ไปไม่รอด
เพราะว่าไม่ได้สั่งสมแบบเดียวกันมา ผมจะบอกได้มั้ยว่า ถ้ามี 28 คนพอลูบแล้วไม่สำเร็จ
ลูบแล้วไม่สำเร็จ อาจารย์ไม่ใช่พระอรหันต์ มีสิทธิ์ที่จะพูดเลยนะครับ
แล้วคนที่ 28 คนที่อยู่ๆ ไปปรามาสอาจารย์ไม่ใช่พระอรหันต์ เตรียมลงนรก
เพราะไปปรามาสพระอรหันต์เรียบร้อยแล้ว
ใครจะเห็นเท่าพระพุทธเจ้าเล่า !!
เพราะฉะนั้นจึงมีคำสอนเดียวคืออริยมรรคมีองค์แปด ที่ครอบคลุมสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ครอบคลุมจริตของสรรพสัตว์ เดินไปก่อนแล้วเค้าจะรู้ทางไปต่อ
เดินไปก่อนแล้ว จะรู้ว่าไปต่อยังไงเพื่อที่จะลัดสั้นสำหรับตัวเอง
แต่หากไปทำตามคำนั้นคนนี้คนโน้น ผมไม่ได้บอกว่าท่านไม่ถึง
เพราะเท่าที่ดูล่ะ ถึงกันเต็มไปหมดเลย
แต่ว่าที่บอกว่า ทำไมองค์นั้นสอนอย่างนั้น องค์นี้ก็ถึง.... องค์นั้นก็ถึง .....
แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ก็เพราะเป็นอย่างนี้...เพราะว่าเราไม่ได้ฟังไงว่า
จริงๆ มรรคมีองค์แปดสอนว่าอะไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่าอะไรนะครับ พระอรหันต์ทั้งหมดเป็นผู้เดินตามทางนะครับ
ไม่ได้สั่งสมบารมีมาขนาด 30...บารมี 30 ทัศอย่างพระพุทธเจ้านะครับ
เพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงต้องระวังนะครับ
ระวัง ที่กระโดดกันลงไปเล่นข่าว เล่นอะไรกันเนี่ย ผมเห็นน่าสงสารนะฮะ น่าสงสาร
ทำตัวเป็นผู้รู้ทั้งๆ ที่มีสักกายทิฏฐิมีตัวตนอยู่เต็มไปหมด
อันนี้กล่าวเตือนในฐานะพวกเรานั่งอยู่ตรงนี้เนี่ย
อะไรที่ไม่เกี่ยวก็อย่าเกี่ยวมากก็ได้นะ เราปฏิบัติของเราไปเถอะนะ
เราไม่รู้การปรามาสเนี่ยมันมีผลขนาดไหน เอาไว้ก็ยังไม่ไปเล่าเรื่องพวกนั้นมากล่ะ แต่ว่าฝากฝากไว้
ทีนี้เราจะกลับมาเรื่องที่... เราก็มาดูกันว่า เด็กหูหนวกทำไมเล่นไวโอลินได้?
ทำไมบรูซลีถึงตีปิงปองแบบนี้ได้?
ทำไมบีโทเฟนถึงได้แต่งเพลงได้ทั้งๆ ที่หูหนวก?
มันมีอะไรที่เราไม่เข้าใจหรือเปล่าเนี่ย?
แล้วคนเหล่านี้ผมไม่ได้บอกว่าเขาบรรลุธรรมนะครับ
แต่ผมกำลังจะเทียบอะไรให้ท่านเห็นบางอย่าง เพื่อจะจูงให้ท่านมาเห็น...
ผมจะวกเข้าไปที่มรรคมีองค์แปดก่อนที่เราจะไปกันต่อ
จะให้ท่านเห็นว่า ตกลงพระพุทธเจ้าตรัสเรื่องมรรคมีองค์แปดเอาไว้ว่ายังไง
วันนี้เราให้ความสำคัญเรื่องนี้กันน้อยเหลือเกิน ทุกคนพูดกันแต่สติปัฏฐาน
แต่กลับไม่มีใครไปดูเลยว่า สติปัฏฐานอยู่ที่ไหนเหรอในมรรคมีองค์แปดเนี่ย
เราจึงเดินกันกระท่อนกระแท่นเต็มทีนะ
ทำไมปฏิบัติกันมามากมายแต่กลับไม่เห็นผลอะไรเลย?
มีขั้นตอนไหนที่มันผิดพลาดไปหรือเปล่า?
ทำไมบางคนเค้าดูปุ๊บปั๊บๆ แต่ทำไมเค้าเข้าใจ
แล้วโอ้โหทำไมอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้นนะ เราลองมาดูกันก่อน
ผมจะวกเข้ามาที่มรรคมีองค์แปดก่อนนะครับ แต่อาจจะยังไม่ลง details
เพราะว่าเรื่องนี้อาจจะไปพูดในครั้งหน้าอีกครั้งนึง เรื่องมรรคมีองค์แปด
เพราะฉะนั้นจะให้เห็นแค่ภาพกว้างๆ ว่า มรรคคืออะไร?
เพราะว่าเรื่องนี้อาจจะไปพูดในครั้งหน้าอีกครั้งนึง เรื่องมรรคมีองค์แปด
เพราะฉะนั้นจะให้เห็นแค่ภาพกว้างๆ ว่า มรรคคืออะไร?
เมื่อกี้เราได้เห็นแล้วว่า ทุกข์คืออะไร? นะครับ
ทุกข์เกิดขึ้น โดยที่เด็กคนนั้นไม่รู้เลย จนมาถึงสมุทัย
ก็ในเมื่อเค้าไม่เห็นทุกข์ตรงนั้นเนี่ย แล้วเค้าจะรู้ได้ยังไงอะไรคือเหตุ?
เมื่อยังไม่เห็นเหตุแล้วก็ยังไม่รู้จักมรรค แล้วมันจะดับลงไปได้ยังไง?
จะเกิดนิพพานหรือนิโรธขึ้นมาได้ยังไง?
เรามาดูว่ามหาบุรุษที่ตรัสรู้แล้วก็ได้พบมรรคเป็นคนแรกเนี่ย
ทำไมท่านถึงได้พูดถึงมรรคเป็นเรื่องใหญ่?
ทุกข์เกิดขึ้น โดยที่เด็กคนนั้นไม่รู้เลย จนมาถึงสมุทัย
ก็ในเมื่อเค้าไม่เห็นทุกข์ตรงนั้นเนี่ย แล้วเค้าจะรู้ได้ยังไงอะไรคือเหตุ?
เมื่อยังไม่เห็นเหตุแล้วก็ยังไม่รู้จักมรรค แล้วมันจะดับลงไปได้ยังไง?
จะเกิดนิพพานหรือนิโรธขึ้นมาได้ยังไง?
เรามาดูว่ามหาบุรุษที่ตรัสรู้แล้วก็ได้พบมรรคเป็นคนแรกเนี่ย
ทำไมท่านถึงได้พูดถึงมรรคเป็นเรื่องใหญ่?
สัมมาทิฏฐิ...นะครับ สัมมาทิฏฐิคือการรู้อริยสัจ
(ฟังไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน เพราะผมจะยังไม่เน้นตรงนี้มากในวันนี้ นะครับ)
ความดำริชอบ ดำริในการออกจากกาม ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน นะ
(ฟังไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน เพราะผมจะยังไม่เน้นตรงนี้มากในวันนี้ นะครับ)
ความดำริชอบ ดำริในการออกจากกาม ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน นะ
สัมมาวาจา ก็คร่าวๆ ก็คือเกี่ยวกับศีลข้อที่สี่ของเราเนี่ย
ไม่พูดโกหก ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ
ไม่พูดโกหก ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ
สัมมากัมมันโต การทำการงานชอบ นะครับ
ทำการงานชอบเนี่ยอย่าเพิ่งสับสนว่าการทำงานนะครับ
สัมมากัมมันโตจริงๆ คือศีลข้อที่ 1, 2, 3 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และก็ไม่ประพฤติผิดในกาม
ทำการงานชอบเนี่ยอย่าเพิ่งสับสนว่าการทำงานนะครับ
สัมมากัมมันโตจริงๆ คือศีลข้อที่ 1, 2, 3 ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และก็ไม่ประพฤติผิดในกาม
สัมมาอาชีโว นี้ก็เกี่ยวพันกับอาชีพ นะครับ ไม่เลี้ยงสัตว์เป็นให้เขาเอาไปฆ่า
และก็เรื่องของสุรา เรื่องของยาพิษ นะครับ ไม่ค้ามนุษย์ อะไรอย่างเนี้ยะนะครับ
และก็เรื่องของสุรา เรื่องของยาพิษ นะครับ ไม่ค้ามนุษย์ อะไรอย่างเนี้ยะนะครับ
ทีนี้ผมจะให้ดูในข้อของศีลก่อน
ทำไมถึงศีลจึงเข้ามาอยู่เป็นความสำคัญของนึงของมรรค
ทั้งๆ ที่เรากลับ... เวลาที่เราพูดถึงศีลห้า เรากลับไม่ให้ความสำคัญอะไรเลย
ผมจะไปตามช่องที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นะ
ใครจะปรับไปยังไงก็ไม่มีปัญหาอะไร ให้เราเข้าใจแกนก่อน
ทำไมถึงศีลจึงเข้ามาอยู่เป็นความสำคัญของนึงของมรรค
ทั้งๆ ที่เรากลับ... เวลาที่เราพูดถึงศีลห้า เรากลับไม่ให้ความสำคัญอะไรเลย
ผมจะไปตามช่องที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นะ
ใครจะปรับไปยังไงก็ไม่มีปัญหาอะไร ให้เราเข้าใจแกนก่อน
หากในที่นี้มีผู้ชายคนนึง เป็นคนลักขโมยขี้ขโมยเพิ่งออกจากคุกก็ได้อ่ะ
นั่งอยู่กับพวกเรา เรานั่งๆ อยู่เนี่ย มีโทรศัพท์มือถือเราอาจจะตั้งไว้
คนๆ นั้นเนี่ยเพิ่งจะออกจากคอร์สมานะครับ ก็มาศึกษาเรื่องมรรคมีองค์แปด เรื่องศีล
ก็พยายามตั้งใจว่าเราจะไม่ขโมยอีก
พอเห็นโทรศัพท์มือถือคนข้างๆ มือมันก็จะคว้า มันอยากได้
อยากได้ปุ๊บ พอจะคว้า...อืม...ไม่เอา ต้องฝืนไว้ อดทนไว้ ไม่เอา
เราจะไม่ลักขโมยของใครอีก ขณะนั้นเค้าก็จะเกิดความข่มใจ
เดี๋ยวๆ ก็จะเอาอีก อืม...ไม่เอา เวลาผ่านไปเค้าก็พยายามข่มใจ
จากนิสัยเดิมที่เป็นคนขี้ขโมยเนี่ย ผ่านไปแล้วหนึ่งวันสองวันเจ็ดวันเดือนนึง
จนวันนึงมีคนทำเงินหล่น 500 บาท ผู้ชายขี้ขโมยคนนั้นหยิบเงิน 500
แล้วก็วิ่งตามบอก...คุณครับเงินคุณหล่น แล้วเค้าก็เดินไปเลย
มีเพื่อนเค้าบอก...เฮ้ยทำไมไม่เก็บเลยอ่ะ เก็บทำไมเหรอ?...
เค้าก็เริ่มกลับมาหวนคิด...เอ่อถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงเก็บเลยนะ อืมม!...ช่างมัน
นั่งอยู่กับพวกเรา เรานั่งๆ อยู่เนี่ย มีโทรศัพท์มือถือเราอาจจะตั้งไว้
คนๆ นั้นเนี่ยเพิ่งจะออกจากคอร์สมานะครับ ก็มาศึกษาเรื่องมรรคมีองค์แปด เรื่องศีล
ก็พยายามตั้งใจว่าเราจะไม่ขโมยอีก
พอเห็นโทรศัพท์มือถือคนข้างๆ มือมันก็จะคว้า มันอยากได้
อยากได้ปุ๊บ พอจะคว้า...อืม...ไม่เอา ต้องฝืนไว้ อดทนไว้ ไม่เอา
เราจะไม่ลักขโมยของใครอีก ขณะนั้นเค้าก็จะเกิดความข่มใจ
เดี๋ยวๆ ก็จะเอาอีก อืม...ไม่เอา เวลาผ่านไปเค้าก็พยายามข่มใจ
จากนิสัยเดิมที่เป็นคนขี้ขโมยเนี่ย ผ่านไปแล้วหนึ่งวันสองวันเจ็ดวันเดือนนึง
จนวันนึงมีคนทำเงินหล่น 500 บาท ผู้ชายขี้ขโมยคนนั้นหยิบเงิน 500
แล้วก็วิ่งตามบอก...คุณครับเงินคุณหล่น แล้วเค้าก็เดินไปเลย
มีเพื่อนเค้าบอก...เฮ้ยทำไมไม่เก็บเลยอ่ะ เก็บทำไมเหรอ?...
เค้าก็เริ่มกลับมาหวนคิด...เอ่อถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงเก็บเลยนะ อืมม!...ช่างมัน
เราฟังเรื่องนี้เนี่ยเหมือนไม่มีอะไร เรื่องนี้ล่ะมีอะไรเต็มๆ เลย
เริ่มต้นจากวันแรก พอกำลังจะหยิบเงินเค้า
พอเริ่มดำริชอบไว้แล้วเนี่ย พอกำลังจะหยิบขึ้นมาจริงๆ เนี่ย
ผมถามว่าที่ชะงักมือไว้เนี่ย สติมาแล้วยัง?...มาแล้ว สติมาแล้วนะครับถึงได้หยุด
พอสติมา สัมปชัญญะจะเกิดตรงนั้นเลย
พอสัมปชัญญะเกิดมันจะเกิดอินทรีย์สังวรขึ้นมาตรงนั้น ปั๊บเค้าจะหยุดเลย
หลังจากนั้นเค้าจะเกิดปัญญาเล็กๆ ขึ้น
ในกระบวนการของศีลเนี่ย ในทุกๆ ข้อจะมีขัดเกลาๆ
จะมีการที่ศีลไปชำระปัญญา
ปัญญาไปชำระศีลกันอยู่ตรงนั้นเลย
แล้วจิตใจของเค้าจะค่อยๆ เข้มแข็งๆ เข้มแข็งขึ้นมาเรื่อยๆ
แกล้วกล้าเข้มแข็งขึ้นมาเรื่อยๆ จากการฝืนใจตัวเองเนี่ยแหล่ะ
จนกระทั่งวันนึง ผมถามว่า จากคนที่ไม่มีศีลเลย ผู้ชายคนนั้นไม่มีศีลเลย
จนกระทั่งเริ่มต้นมีเจตนาเป็นเครื่องเว้นนะครับ
ในศีลทุกข้อเนี่ย ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ เนี่ย
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า ทำไม่จึงมีคำว่า “เจตนาเป็นเครื่องเว้น”
เวลาเราสวดเนี่ยเราไม่ให้ความสำคัญกับคำพวกนี้เลย
เวลาเราพูดถึงมรรคหรือศีลเนี่ย เราจะพูดตัวหลัง เรากลับไม่พูดถึงตัวแรก
ผมถึงบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสอะไรที่ไม่มีประโยชน์
ถ้าเราเห็นประโยชน์ของคำว่า “เจตนาเป็นเครื่องเว้น”
เราจะเห็นเลยว่า ผู้ชายที่ขี้ขโมยต้องใช้เจตนาเป็นเครื่องเว้น...ถูกมั้ยครับ?
เพราะสมัยก่อนมันมีเจตนาในการขโมย มันจึงต้องเจตนาเป็นเครื่องเว้น
แต่ผมถามว่า พอผมเค้าทำไปเรื่อยๆ ผ่านไปสองเดือน
เงินของคนอื่นหล่นแล้วเค้าเก็บให้เนี่ย แล้วเค้าไปเลยโดยไม่สนใจเลยเนี่ย
ไม่ได้ดีใจด้วยซ้ำ เราไม่ขี้ขโมยอีกแล้วเนี่ย ไม่เห็นเรื่องนั้นเลยเนีย
ผมถามว่า เค้าเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์แล้วในข้อนั้นถูกมั้ยครับ? เอาข้อนั้นก่อนนะครับ
เพราะเราไม่ได้พูดถึงข้ออื่น เอาเป็นว่าข้อนั้น เค้าเป็นผู้มีมีศีลบริบูรณ์ถูกมั้ยครับ
แล้วเค้าก็ไม่ได้ไปสนใจถึงศีลของเค้าด้วยถูกมั้ยครับ จะพูดได้มั้ยครับว่าเค้าไม่มีศีล
เค้าเลยจากเจตนาเป็นเครื่องเว้นไปแล้วถูกมั้ยครับ เค้าหมดเจตนาถูกมั้ยครับ
เค้าเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ถูกมั้ยครับ หรืออีกนัยหนึ่งคือเค้าเป็นคนไม่มีศีลเลย
ถ้าเค้าทำอย่างนี้ได้ทุกข้อ เจตนาเป็นเครื่องเว้น
ถึงจุดๆ นึงแล้วเนี่ย ผู้ชายคนนั้นจะไม่มีศีลเลยถูกมั้ยครับ แต่ไม่ทำผิดอีกเลยถูกมั้ยครับ
วันนี้ท่านกำลังฝึกสติถูกมั้ยครับ
ทั้งรีเบคก้าทั้งเด็กรีไซเคิลทั้งหมดเป็นคนไม่มีสติเลยถูกมั้ยครับ
ถ้าเอาสองคนมาฝึกเค้าจะค่อยๆ เริ่มต้นฝึกไปเรื่อยๆ
จนวันนึงเค้าจะมีสติสมบูรณ์หรืออีกนัยหนึ่ง เค้าไม่มีสติเลย
แต่เค้าไม่หลงแล้วไม่ทำผิดอีก เต็มไปด้วยความรู้สึกตัวตลอด แต่ไม่มีสติ
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์!
ข้าพระองค์กราบทูลถามแล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมนั้น คือ ปัญญาและสติกับนามรูป
ข้าพระองค์กราบทูลถามแล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกธรรมนั้น คือ ปัญญาและสติกับนามรูป
แก่ข้าพระองค์เถิด; ปัญญาและสติกับนามรูปนั้น จะดับไปที่ไหน?
ดูก่อนอชิตะ! ท่านถามปัญหานั้นข้อใด เราจะแก้ปัญหาข้อนั้นแก่ท่าน: นามและรูปย่อมดับไม่เหลือในที่ใด,
ปัญญาและสติกับนามรูปนั้น ก็ย่อมดับไปในที่นั้น, เพราะความดับไปแห่งวิญญาณ แล.
เอาละนะครับ ผมไม่ได้มาสร้างความสับสนนะครับ
เพราะว่านี่ไม่ใช่คำพูดของผม แต่ผมจะค่อยๆ ร้อยเรียงสิ่งที่ท่านไม่มีวันรู้จัก
ให้กลับมาถึงวันเนี่ยที่ท่านกำลังยืนอยู่ แล้วท่านจะรู้ว่าท่านจะเดินไปที่ไหน
ถ้าวันนี้มีใครซักคนกำลังเล่าถึง ดวงดาวที่ท่านไม่เคยไปเลย
ท่านไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจหรอกว่า ดวงดาวนั้นหน้าตาเป็นยังไง
เพียงแต่เค้าจะเอาสิ่งนึงมาบอกก็คือ เราจะเดินทางไปที่ดวงดาวนั้นได้ยังไง
เมื่อถึงดวงดาวนั้นแล้ว ท่านจะรู้เอง ทีนี้ปัญหาคือ ถ้าเราไม่รู้ว่าดวงดาวที่นี่อยู่ที่ไหน แล้วเป็นยังไง
เรามีสิทธิ์ที่จะเดินผิดทาง ผมบอกแล้วนะตอนนี้อย่าเพิ่งคิด อย่าเพิ่งคิดนะครับ
เพราะถ้าคิดท่านจะผิด ฟังไปเรื่อยๆ ฟังสิ่งที่ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะพูดออกมาได้
แล้วก็ไม่ใช่ผมพูดด้วย หน้าที่ของ ผมมาสาธยาย ช่วยท่านเฉยๆ
ถ้าผมพูดจะพลาดเลย ถ้าสาวกพูดก็พลาด
จะมีคนเดียวที่พูดแล้วก็ไม่พลาดเลยคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่มีทางพลาด
เอาง่ายๆก่อนนะครับ ปัญญาและสตินามรูป ดับไปที่ไหน?
จะดับไปในที่วิญญาณดับ จำไว้ที่นี่นะครับ
หัวใจอยู่ที่ “วิญญาณดับ” แล้วอะไรวิญญาณ
ใจเย็นๆ นะครับไม่ต้องรีบ ฮึ..ผมจะค่อยๆ พาท่านไป
ดูก่อนอชิตะ! ท่านถามปัญหานั้นข้อใด เราจะแก้ปัญหาข้อนั้นแก่ท่าน: นามและรูปย่อมดับไม่เหลือในที่ใด,
ปัญญาและสติกับนามรูปนั้น ก็ย่อมดับไปในที่นั้น, เพราะความดับไปแห่งวิญญาณ แล.
เอาละนะครับ ผมไม่ได้มาสร้างความสับสนนะครับ
เพราะว่านี่ไม่ใช่คำพูดของผม แต่ผมจะค่อยๆ ร้อยเรียงสิ่งที่ท่านไม่มีวันรู้จัก
ให้กลับมาถึงวันเนี่ยที่ท่านกำลังยืนอยู่ แล้วท่านจะรู้ว่าท่านจะเดินไปที่ไหน
ถ้าวันนี้มีใครซักคนกำลังเล่าถึง ดวงดาวที่ท่านไม่เคยไปเลย
ท่านไม่ต้องพยายามทำความเข้าใจหรอกว่า ดวงดาวนั้นหน้าตาเป็นยังไง
เพียงแต่เค้าจะเอาสิ่งนึงมาบอกก็คือ เราจะเดินทางไปที่ดวงดาวนั้นได้ยังไง
เมื่อถึงดวงดาวนั้นแล้ว ท่านจะรู้เอง ทีนี้ปัญหาคือ ถ้าเราไม่รู้ว่าดวงดาวที่นี่อยู่ที่ไหน แล้วเป็นยังไง
เรามีสิทธิ์ที่จะเดินผิดทาง ผมบอกแล้วนะตอนนี้อย่าเพิ่งคิด อย่าเพิ่งคิดนะครับ
เพราะถ้าคิดท่านจะผิด ฟังไปเรื่อยๆ ฟังสิ่งที่ไม่มีทางที่มนุษย์ธรรมดาจะพูดออกมาได้
แล้วก็ไม่ใช่ผมพูดด้วย หน้าที่ของ ผมมาสาธยาย ช่วยท่านเฉยๆ
ถ้าผมพูดจะพลาดเลย ถ้าสาวกพูดก็พลาด
จะมีคนเดียวที่พูดแล้วก็ไม่พลาดเลยคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าไม่มีทางพลาด
เอาง่ายๆก่อนนะครับ ปัญญาและสตินามรูป ดับไปที่ไหน?
จะดับไปในที่วิญญาณดับ จำไว้ที่นี่นะครับ
หัวใจอยู่ที่ “วิญญาณดับ” แล้วอะไรวิญญาณ
ใจเย็นๆ นะครับไม่ต้องรีบ ฮึ..ผมจะค่อยๆ พาท่านไป
ก่อนอื่นเรามารู้จัก “ขันธ์ 5” ก่อน
ธรรมดาถ้าเราภาวนาไปเนี่ย
ที่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นฐานให้สติเข้าไปรู้จักเนี่ย
มันจะเข้าไปเห็นสิ่งๆ นึง เองก็คือขันธ์ห้า ไม่ต้องไปเรียนก็ได้
แต่การเรียนเป็นเพื่อกำกับแล้วก็กระชับ
เพื่อ...เรารู้อยู่แล้วว่าผู้ที่เป็นสัพพัญญูรู้แจ้งทุกอย่างท่านได้บัญญัติเอาไว้
จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน
ธรรมดาถ้าเราภาวนาไปเนี่ย
ที่มี กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นฐานให้สติเข้าไปรู้จักเนี่ย
มันจะเข้าไปเห็นสิ่งๆ นึง เองก็คือขันธ์ห้า ไม่ต้องไปเรียนก็ได้
แต่การเรียนเป็นเพื่อกำกับแล้วก็กระชับ
เพื่อ...เรารู้อยู่แล้วว่าผู้ที่เป็นสัพพัญญูรู้แจ้งทุกอย่างท่านได้บัญญัติเอาไว้
จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน
ถ้าสิ่งนี้ ถ้าผมบอกว่า ผมเปิดเรื่องขันธ์ห้าเนี่ย ท่านอ่านดูก็ไม่ค่อยเข้าใจล่ะ
เอากันง่ายๆ อย่างนี้แหล่ะ อย่างนี้เรียกรูป...นะ
เอากันง่ายๆ อย่างนี้แหล่ะ อย่างนี้เรียกรูป...นะ
เวทนาคืออะไร? เมื่อกี้เห็นในวงจร... เป็นความรู้สึก...นะ ไม่ได้แปลว่าหัวใจหรืออยู่ที่หัวใจนะครับ
ผมใช้สัญลักษณ์ ให้ท่านเข้าใจให้เร็วที่สุดในช่วงเวลาชั่วโมงกว่าๆ
ผมใช้สัญลักษณ์ ให้ท่านเข้าใจให้เร็วที่สุดในช่วงเวลาชั่วโมงกว่าๆ
สัญญา...ความจำได้หมายรู้ ผมก็เลยเอาไว้แถวๆ หัวนี่แหล่ะนะ
เวลาคิดอะไรมักจะอยู่แถวๆ หัวนี่แหล่ะ มันจะได้เข้าใจอะไรให้มันง่ายๆ นิดนึง
เวลาคิดอะไรมักจะอยู่แถวๆ หัวนี่แหล่ะ มันจะได้เข้าใจอะไรให้มันง่ายๆ นิดนึง
สังขารคืออะไร?...ความคิดปรุงแต่ง เอาล่ะสังขาร...ความคิดปรุงแต่ง นะ
วิญญาณล่ะ ตัวสุดท้าย วิญญาณคือการรู้อารมณ์
ทุกครั้งเวลาเค้าสอนขันธ์ห้า เค้าก็จะสอนกันอย่างเนี้ยะ
แต่เที่ยวนี้ผมไม่สอนขันธ์ห้าแบบนั้นล่ะ ผมจะให้รู้เลยว่า ใครเป็นตัวแสบ
.........
ทันทีที่ตื่นเช้ามา ส่องกระจก ตีนกาขึ้น ผมหงอก สิวขึ้น หน้าเหี่ยว ฟันเหลือง
เกิดอารมณ์ขึ้นมา ขณะนั้นวิญญาณเข้าไปตั้งแระ
นั่งดูสื่อรีเบคก้าหรืออะไรขึ้นมา เกิดความยินดีพอใจ วิญญาณเข้าไปตั้งอยู่ในเวทนาละ
ไม่ว่าที่ไหนที่ไหน ขอประทานโทษ วิญญาณ...เข้าไปทุกที่ หึหึ...วิญญาณ...เข้าไปทุกที่
ผมไม่ได้พูดนะครับ...ท่านคิดเอง
นั่งอยู่ดีๆ คิดไปถึงหน้าแฟนเก่าที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำ วิญญาณเข้าไปตั้งอยู่ในสัญญาเลย
นั่งๆ อยู่กายนี้หิว แต่ดันไปคิดถึงก๋วยเตี๋ยว กายหิวแต่คิดถึงก๋วยเตี๋ยว เอ้าแล้วมันผิดยังไง?
กายหิวเพราะต้องการอาหาร ต้องการธาตุเติมเข้าไป แต่ดันไปคิดถึงก๋วยเตี๋ยว
นะ...ฟังแล้วงงหน่อยนะ
ขณะนั้น พอคิดถึงก๋วยเตี๋ยว ก็บอกว่าเดี๋ยวเสร็จจากตรงเนี้ยะจะไปกินก๋วยเตี๋ยวล่ะ
แล้วก็เกิดความยินดีพอใจ วิญญาณก็เข้าไปตั้งอยู่ในสังขารอีก
แล้วความรู้สึกสุขทุกข์เฉยๆ สุขทุกข์เฉยๆ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลาที่วิญญาณเข้าไปตั้งอยู่ในที่นั้น
วิญญาณล่ะ ตัวสุดท้าย วิญญาณคือการรู้อารมณ์
ทุกครั้งเวลาเค้าสอนขันธ์ห้า เค้าก็จะสอนกันอย่างเนี้ยะ
แต่เที่ยวนี้ผมไม่สอนขันธ์ห้าแบบนั้นล่ะ ผมจะให้รู้เลยว่า ใครเป็นตัวแสบ
.........
ทันทีที่ตื่นเช้ามา ส่องกระจก ตีนกาขึ้น ผมหงอก สิวขึ้น หน้าเหี่ยว ฟันเหลือง
เกิดอารมณ์ขึ้นมา ขณะนั้นวิญญาณเข้าไปตั้งแระ
นั่งดูสื่อรีเบคก้าหรืออะไรขึ้นมา เกิดความยินดีพอใจ วิญญาณเข้าไปตั้งอยู่ในเวทนาละ
ไม่ว่าที่ไหนที่ไหน ขอประทานโทษ วิญญาณ...เข้าไปทุกที่ หึหึ...วิญญาณ...เข้าไปทุกที่
ผมไม่ได้พูดนะครับ...ท่านคิดเอง
นั่งอยู่ดีๆ คิดไปถึงหน้าแฟนเก่าที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำ วิญญาณเข้าไปตั้งอยู่ในสัญญาเลย
นั่งๆ อยู่กายนี้หิว แต่ดันไปคิดถึงก๋วยเตี๋ยว กายหิวแต่คิดถึงก๋วยเตี๋ยว เอ้าแล้วมันผิดยังไง?
กายหิวเพราะต้องการอาหาร ต้องการธาตุเติมเข้าไป แต่ดันไปคิดถึงก๋วยเตี๋ยว
นะ...ฟังแล้วงงหน่อยนะ
ขณะนั้น พอคิดถึงก๋วยเตี๋ยว ก็บอกว่าเดี๋ยวเสร็จจากตรงเนี้ยะจะไปกินก๋วยเตี๋ยวล่ะ
แล้วก็เกิดความยินดีพอใจ วิญญาณก็เข้าไปตั้งอยู่ในสังขารอีก
แล้วความรู้สึกสุขทุกข์เฉยๆ สุขทุกข์เฉยๆ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลาที่วิญญาณเข้าไปตั้งอยู่ในที่นั้น
เมื่อกี้จำได้มั้ยครับตอนที่ท่านดูภาพของเด็กที่สีไวโอลิน
กำลังดูอยู่ดีๆ ผมหยุดปึบ...!!
ขณะนั้นวิญญาณตั้งกันหมดแล้ว ผัสสะเนี่ยวิญญาณกันมาหมดแล้ว
ชอบ ไม่ชอบ ยินดีพอใจ สุขทุกข์บีบคั้น ตั้งกันหมดแล้ว พอผมหยุดกึ้ก...แค่นั้นเอง...นะ
ขณะนั้นเนี่ยอาหารของวิญญาณขาดสะบั้น
ความรู้สึกสุขทุกข์ สนุกสนาน หายวับลงไปเลย
ท่านเข้าสู่อุเบกขากลายๆ สมมติว่า เข้าสู่อุเบกขาแล้วกันจะได้พูดง่ายหน่อย
แต่ทำไมเข้าสู่อุเบกขา แต่ทำไมโกรธล่ะ
เพราะจิตโง่ไง มันไปยึดความสุขปลอมๆ เนี่ยเอาไว้
เพราะมันไม่รู้จักว่าอุเบกขาคืออะไร
ทำไมวันนี้ผมจึงบอกว่า ถ้านี่ (ยกหนังสือขึ้น) คือทุกข์
แล้วผมบอกให้ปล่อย พวกคุณไม่มีใครปล่อย
ผมบอกว่าตบมือ คุณจะตบมือได้ไงถือไอ้นี่ (หนังสือ) อยู่ ก็เลยต้องวางหนังสือลง...แล้วก็ตบ
ผมตบเสร็จก็คว้า (หนังสือ) ยกขึ้นใหม่ โอ้ย...เค้าไม่น่าทิ้งฉันเลยนะ...ฉันก็ทำดีขนาดนี้.
..อ่ะตบมือ...เอ้าเหรอ...ตบ...ก็ตบ แต่ฉันก็คิดถึงเค้าอยู่นะยก (หนังสือ) ขึ้นมาใหม่
ทำไงดีอ่ะ...ตบมือ...วาง (หนังสือ) ลงอีก...ตบมือ...ได้ฉุกคิดตอนตบมือเสร็จ
ไม่เห็น (หนังสือ) อยู่ในมือแต่เห็น (หนังสือ) ที่วางอยู่
แล้วผมบอกให้ปล่อย พวกคุณไม่มีใครปล่อย
ผมบอกว่าตบมือ คุณจะตบมือได้ไงถือไอ้นี่ (หนังสือ) อยู่ ก็เลยต้องวางหนังสือลง...แล้วก็ตบ
ผมตบเสร็จก็คว้า (หนังสือ) ยกขึ้นใหม่ โอ้ย...เค้าไม่น่าทิ้งฉันเลยนะ...ฉันก็ทำดีขนาดนี้.
..อ่ะตบมือ...เอ้าเหรอ...ตบ...ก็ตบ แต่ฉันก็คิดถึงเค้าอยู่นะยก (หนังสือ) ขึ้นมาใหม่
ทำไงดีอ่ะ...ตบมือ...วาง (หนังสือ) ลงอีก...ตบมือ...ได้ฉุกคิดตอนตบมือเสร็จ
ไม่เห็น (หนังสือ) อยู่ในมือแต่เห็น (หนังสือ) ที่วางอยู่
นี่แหล่ะครับ ทำไมตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปที่พระพุทธเจ้าบอก จงเจริญสมาธิเถิดแล้วจะเห็นอริยสัจ
คนไม่รู้เรื่องไปบอกว่าสมถะเป็นเรื่องกดข่ม
หยิบ (หนังสือ) ขึ้น...ตอนนี้ถ้าการตบมือ คือการบอกให้ท่านทำอานาปานสติ...
วาง (หนังสือ) ลง พอหยุดทำอานาปานสติก็ไปคว้า (หนังสือ) ยกขึ้นมาใหม่
คนมีปัญญาจะเห็นทันทีเลยว่า ตอนที่อยู่กับสิ่งนี้ลมหายใจ ไม่มีตัณหา ไม่มีทุกข์
คนไม่รู้เรื่องไปบอกว่าสมถะเป็นเรื่องกดข่ม
หยิบ (หนังสือ) ขึ้น...ตอนนี้ถ้าการตบมือ คือการบอกให้ท่านทำอานาปานสติ...
วาง (หนังสือ) ลง พอหยุดทำอานาปานสติก็ไปคว้า (หนังสือ) ยกขึ้นมาใหม่
คนมีปัญญาจะเห็นทันทีเลยว่า ตอนที่อยู่กับสิ่งนี้ลมหายใจ ไม่มีตัณหา ไม่มีทุกข์
คุณพลิกนิดเดียว ถ้าจิตเปลี่ยนมุมมองว่า
อ๋อมิน่าพระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า นี้คือสันฑิฏฐิกนิพพาน ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป
เพราะตรงนั้นท่านบัญญัติไว้เลยว่า เป็นที่ไม่มีตัณหา
ที่ที่ไม่มีตัณหาจะเริ่มสงบเย็นว่างขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ
ท่านตรัสตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ขอโทษ...ใช้ศัพท์ที่อาจจะไม่ค่อยได้คุ้นหูมาก
ก็คือไปถึงอรูปฯ พวกอากาสานัญจายตนฌานะ วิญญาณัญจายตนะ ไปเรื่อยๆ
อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ นู่นเลย
ในทุกๆ ชั้นตั้งแต่ปฐมฌานที่ผมบอกว่าขณะที่ท่านกำลังดู...ดูแล้วหยุดปึกอ่ะ
ท่านรู้มั้ยว่าแค่นั้นเนี่ยที่เค้าเรียกปฐมฌาน
ท่านกลับไปนึกถึงฌานที่จะต้องนิ่ง เพราะปฐมฌานยังมีวิตกวิจารณ์อยู่เลย
ท่านนั่งดูภาพในหลวง พระราชกรณียกิจแล้วท่านรู้สึก...โอ้ยประทับใจจังเลย
น้ำหูน้ำตาซึม แล้วมีความพุ่งเข้าไป จิตใจเกิดความเอิบอิ่ม ปีติเกิดขึ้น ความสุขเกิดขึ้น วิตกวิจารณ์...
โอย.....ท่านเหนื่อยพระวรกายฯ .....วิตกวิจารย์ยังมีอยู่เลย...นั่นล่ะปฐมฌาน
มันอยู่ที่ไหนเหรอ? มันต้องทำแบบไหนเหรอ? เราเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?
ทำไมพระพุทธเจ้า ถึงบอกว่าตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปเข้านิพพานได้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นวันนี้ครูบาอาจารย์ถึงได้ลดลงมาลัดสั้นสุดแล้ว นะ
มาคุยกันที่ปฐมฌานละกัน นะ แล้วเดี๋ยวในปฐมฌานซึ่งมีสุขอยู่เนี่ย
แล้วเดี๋ยวพอสิ่งนึงดับไปเนี่ย พอปีติดับไป ก็จะเหลือสุข
เดี๋ยวพอสุขดับไป มันจะกลับเข้าสู่อุเบกขา
คุณก็จะค่อยๆ เห็นความจริงของ... แค่ปฐมฌานก็เห็นแล้ว
เพียงแต่ฝึกความตั้งมั่นของจิตเอาไว้บ้างเท่านั้นเอง
ที่นี้เรากลับมาถึงเรื่องของวิญญาณกันต่อ
เราจะเห็นได้เลยว่าการรู้แจ้งในอารมณ์ทั้งหลายของวิญญาณที่เข้าไปรับรู้เนี่ย
จะเข้าไปในฐานต่างๆ เหล่านี้ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร) ทั้งหมดห้าขันธ์
ดังนั้นใครที่ยังมีตัวรู้อยู่ สภาพรู้อยู่ พยายามรู้อยู่ รู้ให้ได้ตลอดเวลาเนี่ย
ผมไม่ว่าอะไรถ้าเป็นการฝึก
แต่ถ้ายังรู้อยู่ คุณไม่มีวันเข้าถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดถึงคือที่สุดแห่งทุกข์
ทำไมผมถึงกล้าพูดคำนั้น เมื่อกี้เป็นบทแรกที่ท่านได้ยินไป ท่านฟังต่อไปนะครับ
ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะจะเป็นสิ่งที่ท่านยังไงก็ไม่รู้จัก
ฟังไปก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะขมวดตอนหลังให้
[คลิปเสียง] ผู้ไม่เข้าไปหาย่อมหลุดพ้น
ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น ;ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอารูปตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ ,เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์
มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาเวทนาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์
มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถคงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสัญญาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ ,เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสังขารตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ ,เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
"นันทิ" แปลว่าความเพลิน นะครับ ความเพลินในอารมณ์
ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า "เราจักบัญญัติ ซึ่งหารมา การไป การจุติ การอุบัติ
ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา
และเว้นจากสังขาร " ดังนี้นั้น นี้ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
ตรงนี้จะเห็นว่า พุทธเจ้าตรัสว่า วิญญาณเนี่ย ถ้าไม่มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร
เนี่ยะ ไม่มีที่ตั้ง พูดง่ายๆ เลยนะครับ
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ
เป็นสิ่งที่ภิกษะละได้แล้ว
“ราคะ” คือความยินดีพอใจนะครับ
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอารูปตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ ,เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์
มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาเวทนาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์
มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถคงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสัญญาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ ,เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
ภิกษุทั้งหลาย ! วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสังขารตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้ ,เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์
มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ได้
"นันทิ" แปลว่าความเพลิน นะครับ ความเพลินในอารมณ์
ภิกษุทั้งหลาย ! ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า "เราจักบัญญัติ ซึ่งหารมา การไป การจุติ การอุบัติ
ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา
และเว้นจากสังขาร " ดังนี้นั้น นี้ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
ตรงนี้จะเห็นว่า พุทธเจ้าตรัสว่า วิญญาณเนี่ย ถ้าไม่มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร
เนี่ยะ ไม่มีที่ตั้ง พูดง่ายๆ เลยนะครับ
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ในสังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ
เป็นสิ่งที่ภิกษะละได้แล้ว
“ราคะ” คือความยินดีพอใจนะครับ
ความยินดีพอใจในรูป ในหน้าตา ในดวงตา
ตอนที่ไม่เป็นสิว ตอนเป็นสิว วิญญาณเข้าไปตั้งหมดนะครับ
สังเกตดูนะครับ เพราะฉะนั้นท่านจะไม่มีวันพบที่สุดแห่งทุกข์นะครับ เมื่อไหร่เข้าไปรู้อยู่
ตอนที่ไม่เป็นสิว ตอนเป็นสิว วิญญาณเข้าไปตั้งหมดนะครับ
สังเกตดูนะครับ เพราะฉะนั้นท่านจะไม่มีวันพบที่สุดแห่งทุกข์นะครับ เมื่อไหร่เข้าไปรู้อยู่
เพราะละราคะได้ อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้ง ก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง
เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว
เมื่อไม่หวั่นไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน
ย่อมรู้ชัดว่า "ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอืนที่จะต้องทำ
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก " ดังนี้
เอาล่ะนะครับ ฟังอีกบทนึง แล้วเดี๋ยวผมจะพาท่านไปดูว่า
วิญญาณอันไม่มีที่ตั้ง ก็ไม่งอกงาม หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง
เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว
เมื่อไม่หวั่นไหว ก็ปรินิพพานเฉพาะตน
ย่อมรู้ชัดว่า "ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอืนที่จะต้องทำ
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก " ดังนี้
เอาล่ะนะครับ ฟังอีกบทนึง แล้วเดี๋ยวผมจะพาท่านไปดูว่า
ทำยังไง การปฏิบัติในปัจจุบันนี้แหล่ะ เพื่อจะไม่ต้องมีการไปเปลี่ยนแปลงอีก
แล้วจะเดินเข้าไปที่ที่พระพุทธเจ้ากำลังตรัสอยู่
แล้วจะเดินเข้าไปที่ที่พระพุทธเจ้ากำลังตรัสอยู่
[คลิปเสียง]“ที่” ซึ่งนามรูปดับไม่มีเหลือ
ภิกษุทั้งหลาย! สำหรับปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า
มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้เลย;
อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า:-
“ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? (ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้ในที่ไหน)
ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน?
นามรูปดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้ต่างหาก.
ภิกษุ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้:-“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้เลย;
อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า:-
“ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน? (ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้ในที่ไหน)
ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน?
นามรูปดับสนิทไม่มีเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้ต่างหาก.
ภิกษุ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้:-“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่;
สำคัญตรงนี้แหล่ะครับ
มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ เห็นแล้วยังครับ
มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ ขอให้มีมรรคองค์แปดอย่างเดียว
มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ สารพัดวิธีเลย
เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่า ใครเป็นอย่างนั้นแล้วจะถึง ทำท่าจะไม่ใช่
พระพุทธเจ้ายืนยันเลย มีทางเข้าถึงโดยรอบ
มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ เห็นแล้วยังครับ
มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ ขอให้มีมรรคองค์แปดอย่างเดียว
มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้โดยรอบ สารพัดวิธีเลย
เพราะฉะนั้นใครที่บอกว่า ใครเป็นอย่างนั้นแล้วจะถึง ทำท่าจะไม่ใช่
พระพุทธเจ้ายืนยันเลย มีทางเข้าถึงโดยรอบ
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน นํ้า ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ (ไม่อาจเข้าไปอยู่ได้);
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ; นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้
เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้ แล.
เอาล่ะนะครับเราจะมาดูกันว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสมาตลอด
“วิญญาณดับ” วิญญาณดับ เดี๋ยวท่านก็บอกว่า “ที่สุดแห่งทุกข์คือวิญญาณดับ”
เมื่อกี้ผมบอกว่า คนที่มีศีล จากวันที่ฝึกเพราะเค้าไม่มีศีล จนกระทั่งมีศีล
จนกระทั่งศีลบริบูรณ์ จนดูเหมือนคนนั้นไม่มีศีลอีก......
เราดูรีเบคก้า เราดูเด็กรีไซเคิล เราบอกว่าเค้าไม่รู้สึกตัว
เค้าเริ่มมาฝึกความรู้สึกตัว เค้าเริ่มฝึกความรู้สึกตัว
โดยวิ่งมาเจริญในฐานทั้งสี่ตามที่พระพุทธเจ้าบอก กาย เวทนา จิต ธรรม
วิ่งไปเรื่อยๆ ก็คือ รูปกับนาม กายกับใจ นี่แหล่ะ
เค้าสังเกตไปเรื่องสังเกตไปเรื่อย จนกระทั่งเห็นสรรพสิ่งเนี่ยเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา
ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นเลย พอหลังจากเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดาเนี่ย
พระพุทธเจ้าใช้คำว่า เค้าจะเกิด อนิจจานุปัสสี
เค้าจะเห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของสรรพสิ่ง
หลังจากที่เห็นสุขเกิดขึ้น สุขดับไป ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป
โกรธเกิดขึ้น โกรธดับไป อะไรก็แล้วแต่มันเกิดขึ้นแล้วดับไปเนี่ย
หลังจากนั้นจิตจะเริ่มเข้ามาเข้าใจ วิราคานุปัสสี
วิราคานุปัสสีคือการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในสิ่งนั้นๆ
จากที่เคยยึดมั่นถือมั่นเหมือนกับพระที่ลูบดอกบัวเมื่อสักครู่ มันจะเกิดความเบื่อหน่ายมากเลย
พระพุทธเจ้าให้นั่งลูบ ลูบจนกระทั่งเห็นทั้งข้างในข้างนอกเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปตลอดเวลา
สุดท้ายจิตจะเริ่มถอดถอนเข้าสู่นิโรธานุปัสสี เข้าสู่ความดับ ดับดับดับดับ
หลังจากดับไปเรื่อย ดับไปเรื่อย จิตจะเข้าสู่ความสงบเย็น
หลังจากดับเนี่ย เค้าจะเริ่มเห็นความว่าง ทำอะไรก็ว่าง ทำอะไรก็ว่าง
ไม่เคยมีอะไรอยู่ข้างใน ไม่มีอะไร การพูดถึงทุกอย่างจะว่างหมด ว่างหมด ว่างหมด
ถ้าจะบอกว่าเป็นภาษาเราก็คือ สภาพอารมณ์ทุกอย่างเนี่ยเท่ากับ 0
การกระทบทุกอย่าง ไม่มีความยินดีพอใจ ทุกอย่างกระทบมาเท่ากับ 0
จนกระทั่ง จิตเข้าสู่ขั้นสุดท้ายนะครับ พอเข้าไปเย็น พอสงบแล้วก็เย็น เย็น
พบความสุขที่เริ่มเป็นบรมสุขที่มากขึ้นๆ จนถึงที่สุดก็ไม่หยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาอีก
ที่ตรงนี้ไปถึงได้ยังไง? ที่ตรงนี้มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้ยังไง?
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ; นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้
เพราะการดับสนิทของวิญญาณ ดังนี้ แล.
เอาล่ะนะครับเราจะมาดูกันว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสมาตลอด
“วิญญาณดับ” วิญญาณดับ เดี๋ยวท่านก็บอกว่า “ที่สุดแห่งทุกข์คือวิญญาณดับ”
เมื่อกี้ผมบอกว่า คนที่มีศีล จากวันที่ฝึกเพราะเค้าไม่มีศีล จนกระทั่งมีศีล
จนกระทั่งศีลบริบูรณ์ จนดูเหมือนคนนั้นไม่มีศีลอีก......
เราดูรีเบคก้า เราดูเด็กรีไซเคิล เราบอกว่าเค้าไม่รู้สึกตัว
เค้าเริ่มมาฝึกความรู้สึกตัว เค้าเริ่มฝึกความรู้สึกตัว
โดยวิ่งมาเจริญในฐานทั้งสี่ตามที่พระพุทธเจ้าบอก กาย เวทนา จิต ธรรม
วิ่งไปเรื่อยๆ ก็คือ รูปกับนาม กายกับใจ นี่แหล่ะ
เค้าสังเกตไปเรื่องสังเกตไปเรื่อย จนกระทั่งเห็นสรรพสิ่งเนี่ยเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา
ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้นเลย พอหลังจากเห็นสรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดาเนี่ย
พระพุทธเจ้าใช้คำว่า เค้าจะเกิด อนิจจานุปัสสี
เค้าจะเห็นความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของสรรพสิ่ง
หลังจากที่เห็นสุขเกิดขึ้น สุขดับไป ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ดับไป
โกรธเกิดขึ้น โกรธดับไป อะไรก็แล้วแต่มันเกิดขึ้นแล้วดับไปเนี่ย
หลังจากนั้นจิตจะเริ่มเข้ามาเข้าใจ วิราคานุปัสสี
วิราคานุปัสสีคือการเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในสิ่งนั้นๆ
จากที่เคยยึดมั่นถือมั่นเหมือนกับพระที่ลูบดอกบัวเมื่อสักครู่ มันจะเกิดความเบื่อหน่ายมากเลย
พระพุทธเจ้าให้นั่งลูบ ลูบจนกระทั่งเห็นทั้งข้างในข้างนอกเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปตลอดเวลา
สุดท้ายจิตจะเริ่มถอดถอนเข้าสู่นิโรธานุปัสสี เข้าสู่ความดับ ดับดับดับดับ
หลังจากดับไปเรื่อย ดับไปเรื่อย จิตจะเข้าสู่ความสงบเย็น
หลังจากดับเนี่ย เค้าจะเริ่มเห็นความว่าง ทำอะไรก็ว่าง ทำอะไรก็ว่าง
ไม่เคยมีอะไรอยู่ข้างใน ไม่มีอะไร การพูดถึงทุกอย่างจะว่างหมด ว่างหมด ว่างหมด
ถ้าจะบอกว่าเป็นภาษาเราก็คือ สภาพอารมณ์ทุกอย่างเนี่ยเท่ากับ 0
การกระทบทุกอย่าง ไม่มีความยินดีพอใจ ทุกอย่างกระทบมาเท่ากับ 0
จนกระทั่ง จิตเข้าสู่ขั้นสุดท้ายนะครับ พอเข้าไปเย็น พอสงบแล้วก็เย็น เย็น
พบความสุขที่เริ่มเป็นบรมสุขที่มากขึ้นๆ จนถึงที่สุดก็ไม่หยิบฉวยขันธ์ขึ้นมาอีก
ที่ตรงนี้ไปถึงได้ยังไง? ที่ตรงนี้มีทางปฏิบัติเข้าถึงได้ยังไง?
[คลิปเสียง] หมด “อาหาร” ก็นิพพาน
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าว ก็ดี ในอาหารคือผัสสะ ก็ดี
ในอาหารคือมโนสัญเจตนา ก็ดี ในอาหารคือวิญญาณ ก็ดี แล้วไซร้,
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าว ก็ดี ในอาหารคือผัสสะ ก็ดี
ในอาหารคือมโนสัญเจตนา ก็ดี ในอาหารคือวิญญาณ ก็ดี แล้วไซร้,
วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในสิ่งนั้นๆ.
วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มี ในที่นั้น;
การก้าวลงแห่งนามรูป ไม่มีในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มีในที่นั้น;
ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น;
การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติชราและมรณะต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น;
ชาติชราและมรณะต่อไป ไม่มีในที่ใด,
ภิกษุทั้งหลาย! เราเรียก “ที่” นั้น ว่าเป็น “ที่ไม่โศก ไม่มีธุลี และไม่มีความคับแค้น” ดังนี้.
ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ คือความเพลินในอารมณ์ แล้วก็ไม่มีตัณหา ในผัสสะ
ในมโนสัญเจตนา คือเจตนาในการทำอะไรก็ตาม ในวิญญาณ วิญญาณจะไม่มีที่ตั้งอาศัย
จำคีย์ตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ
แล้วเดี๋ยวเราจะกลับไปที่มรรคมีองค์แปด
แล้วท่านจะรู้เลยว่าทำไมมรรคมีองค์แปดจึงทำให้บุคคลธรรมดาเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ผมถึงบอกว่าที่ผมให้ท่านฟังมาทั้งหมด ไม่ต้องการให้ท่านรู้เรื่อง
เพราะผมไม่สามารถทำให้ท่านรู้เรื่องในสิ่งนี้ได้
วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มี ในที่นั้น;
การก้าวลงแห่งนามรูป ไม่มีในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่มีในที่นั้น;
ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ไม่มีในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น;
การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติชราและมรณะต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น;
ชาติชราและมรณะต่อไป ไม่มีในที่ใด,
ภิกษุทั้งหลาย! เราเรียก “ที่” นั้น ว่าเป็น “ที่ไม่โศก ไม่มีธุลี และไม่มีความคับแค้น” ดังนี้.
ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ คือความเพลินในอารมณ์ แล้วก็ไม่มีตัณหา ในผัสสะ
ในมโนสัญเจตนา คือเจตนาในการทำอะไรก็ตาม ในวิญญาณ วิญญาณจะไม่มีที่ตั้งอาศัย
จำคีย์ตรงนี้ไว้ก่อนนะครับ
แล้วเดี๋ยวเราจะกลับไปที่มรรคมีองค์แปด
แล้วท่านจะรู้เลยว่าทำไมมรรคมีองค์แปดจึงทำให้บุคคลธรรมดาเข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
ผมถึงบอกว่าที่ผมให้ท่านฟังมาทั้งหมด ไม่ต้องการให้ท่านรู้เรื่อง
เพราะผมไม่สามารถทำให้ท่านรู้เรื่องในสิ่งนี้ได้
ท่านต้องฟังไปเฉยๆ แล้วเปิดใจโล่งๆ กว้างๆ ไว้
แต่สิ่งที่เราจะรู้เรื่องได้คือ จะปฏิบัติยังไงให้มาถึงตรงนี้
ที่ผมชี้ที่ปลายทางเพราะว่าเราจะ start from the end
แต่สิ่งที่เราจะรู้เรื่องได้คือ จะปฏิบัติยังไงให้มาถึงตรงนี้
ที่ผมชี้ที่ปลายทางเพราะว่าเราจะ start from the end
ทุกวันนี้เราฟังคนบอกว่า....
“ทำอย่างโน้นสิ ทำอย่างนี้สิ ทำอย่างนั้นสิ สำนักนี้อ่ะถูก สำนักนั้นผิด” กันมาเยอะมาก
เพราะฉะนั้นเรากลับมาฟังว่าพระพุทธเจ้าพูดถึงปลายทางว่ายังไงกันแน่
แล้วเราจะกลับมาดูว่าต้นทางมันจะเดินยังไง
เพราะว่ามันไม่มีอะไรเลย นอกจากตรงนี้ (ไม่มีราคะ)
ตรงนี้ (ไม่มีนันทิ)
และก็ตรงนี้ (ไม่มีตัณหา) แล้วก็จบเลย
ถ้าศีลของท่านบริบูรณ์จนเหมือนไม่มีศีลอีก
สติฝึกจนกระทั่งเห็น แล้วก็เตือนได้เร็ว
ทีนี้เราจะละสิ่งนี้ (ราคะ)
สิ่งนี้ (นันทิ)
และสิ่งนี้ (ตัณหา) ได้ยังไง?
“ทำอย่างโน้นสิ ทำอย่างนี้สิ ทำอย่างนั้นสิ สำนักนี้อ่ะถูก สำนักนั้นผิด” กันมาเยอะมาก
เพราะฉะนั้นเรากลับมาฟังว่าพระพุทธเจ้าพูดถึงปลายทางว่ายังไงกันแน่
แล้วเราจะกลับมาดูว่าต้นทางมันจะเดินยังไง
เพราะว่ามันไม่มีอะไรเลย นอกจากตรงนี้ (ไม่มีราคะ)
ตรงนี้ (ไม่มีนันทิ)
และก็ตรงนี้ (ไม่มีตัณหา) แล้วก็จบเลย
ถ้าศีลของท่านบริบูรณ์จนเหมือนไม่มีศีลอีก
สติฝึกจนกระทั่งเห็น แล้วก็เตือนได้เร็ว
ทีนี้เราจะละสิ่งนี้ (ราคะ)
สิ่งนี้ (นันทิ)
และสิ่งนี้ (ตัณหา) ได้ยังไง?
จำได้มั้ยครับ เมื่อกี้ ผมเปิดเด็กที่กำลังสีไวโอลิน แล้วอยู่ๆ ผมหยุด
ความรู้สึกของท่านคืออะไรครับ?
เมื่อกี้ท่านกำลังเพลินอยู่ในอารมณ์ (นันทิ) ผมกระชากพรวดเลย
ถ้าสมมติว่าท่านกำลังดูบอลคู่สุดท้ายที่มันจะยิงจะยิงจะยิงแล้วไฟดับพรึบ...
ท่านจะ...โอ้ยนี่มันคู่สุดท้ายมันชิงแซมป์...ไฟมันมาดับตอนนี้ทำไมไม่ไปดับตอนนู้น
ตอนนั้นท่านจะหงุดหงิดรำคาญมาก
ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีราคะความพอใจที่กำลังดูอยู่
มีความเพลินที่กำลังดูอยู่
มีตัณหาบีบคั้นอยากให้ทีมเรายิงเข้าหรือไม่ทีมที่เราเชียร์ไม่ให้มันถูกยิงเข้า
เรามีทั้งสามอยู่นี้เต็มๆ เหตุให้เกิดทุกข์อยู่เต็มๆ
แต่ผมถามว่ามีใครเห็นบ้าง?...ไม่มี !!
ท่านจึงเป็นทุกข์ตลอดเวลาที่สิ่งในโลกเข้ามากระทบที่ท่าน
ความรู้สึกของท่านคืออะไรครับ?
เมื่อกี้ท่านกำลังเพลินอยู่ในอารมณ์ (นันทิ) ผมกระชากพรวดเลย
ถ้าสมมติว่าท่านกำลังดูบอลคู่สุดท้ายที่มันจะยิงจะยิงจะยิงแล้วไฟดับพรึบ...
ท่านจะ...โอ้ยนี่มันคู่สุดท้ายมันชิงแซมป์...ไฟมันมาดับตอนนี้ทำไมไม่ไปดับตอนนู้น
ตอนนั้นท่านจะหงุดหงิดรำคาญมาก
ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีราคะความพอใจที่กำลังดูอยู่
มีความเพลินที่กำลังดูอยู่
มีตัณหาบีบคั้นอยากให้ทีมเรายิงเข้าหรือไม่ทีมที่เราเชียร์ไม่ให้มันถูกยิงเข้า
เรามีทั้งสามอยู่นี้เต็มๆ เหตุให้เกิดทุกข์อยู่เต็มๆ
แต่ผมถามว่ามีใครเห็นบ้าง?...ไม่มี !!
ท่านจึงเป็นทุกข์ตลอดเวลาที่สิ่งในโลกเข้ามากระทบที่ท่าน
ผัสสะที่กระทบเข้ามาคืออาหารของวิญญาณ
ท่านป้อนอาหารให้เค้าทุกวินาที....แล้วจะให้เขาดับไปได้ยังไง
ทุกวินาทีท่านเลี้ยงเสือไว้ตัวนึง
ท่านป้อนอาหาร ทุกเช้าเที่ยงบ่าย เช้าเที่ยงบ่ายเย็น เช้าเที่ยงบ่ายเย็นก่อนนอน
แล้วท่านก็ออกมาหน้ากรงแล้วก็บ่นให้เพื่อนฟังว่า ได้เสือนี่ไม่ตายซักที
เสือเนี่ย...ฉันอ่ะไม่อยากเลี้ยงมันเลย ฉันเบื่อมันจริงๆ ฉันอยากให้ตาย...
เช้าก็ไปป้อนเช้าสายบ่ายเย็น ป้อนอาหาร ไปซื้ออาหารมาป้อนเช้าสายบ่ายเย็น
เดี๋ยวก็ก๋วยเตี๋ยว ต้องลูกชิ้น ต้องเนื้อสด
ต้องร้านโน้นต้องร้านนี้ต้องร้านนั้น คือป้อนอาหาร ราคะคือ(คำข้าว)
พระพุทธเจ้านี่พูดอะไรง่ายๆ แต่พวกเรานึกว่าจะยาก ผัสสะ...ทั้งนั้น...
ดูบอลโลก ดูทีวี ดูรีเบคก้า ดูเมื่อกี้...หมด
นันทิ...ความเพลิน
ราคะ...มาหมด ตัณหา...อยากดูอีก
พอดับแล้ว...เออเข้าใจๆ ที่พูดน่ะ รีบๆ เปิดเหอะ จะรู้อยากรู้ว่าตอนจบเป็นไง
ฮ่ะนี่...เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว เปิดเหอะ...นะ โอเคเดี๋ยววันหลังฝึกแต่อยากรู้ตรงเนี้ยะ
แต่ตรงเนี้ยะ (ใจเรา) ไม่เห็น แต่จะรอไปฝึกวันหลัง ตอนที่กำลังเกิดอ่ะไม่ดู
อ่ะไม่ดู (ตัณหา) นี่ไง (นันทิ ราคะ) ทั้งนั้นเลย ไม่ได้ยากกว่าที่มันเป็นอยู่หรอก
มันอยู่ตรง (ใจเรา) นี้ จะให้สิ่งที่ท่านบอกว่า
วิญญาณก็ไม่มีที่อาศัยคือ ต้องเอาไอ้นี่ (ราคะ นันทิ ตัณหา) ออก
แล้วเอาไอ้นี่ออกยังไง เอาไอ้นี่ออกยังไงอ่ะ?
ท่านป้อนอาหารให้เค้าทุกวินาที....แล้วจะให้เขาดับไปได้ยังไง
ทุกวินาทีท่านเลี้ยงเสือไว้ตัวนึง
ท่านป้อนอาหาร ทุกเช้าเที่ยงบ่าย เช้าเที่ยงบ่ายเย็น เช้าเที่ยงบ่ายเย็นก่อนนอน
แล้วท่านก็ออกมาหน้ากรงแล้วก็บ่นให้เพื่อนฟังว่า ได้เสือนี่ไม่ตายซักที
เสือเนี่ย...ฉันอ่ะไม่อยากเลี้ยงมันเลย ฉันเบื่อมันจริงๆ ฉันอยากให้ตาย...
เช้าก็ไปป้อนเช้าสายบ่ายเย็น ป้อนอาหาร ไปซื้ออาหารมาป้อนเช้าสายบ่ายเย็น
เดี๋ยวก็ก๋วยเตี๋ยว ต้องลูกชิ้น ต้องเนื้อสด
ต้องร้านโน้นต้องร้านนี้ต้องร้านนั้น คือป้อนอาหาร ราคะคือ(คำข้าว)
พระพุทธเจ้านี่พูดอะไรง่ายๆ แต่พวกเรานึกว่าจะยาก ผัสสะ...ทั้งนั้น...
ดูบอลโลก ดูทีวี ดูรีเบคก้า ดูเมื่อกี้...หมด
นันทิ...ความเพลิน
ราคะ...มาหมด ตัณหา...อยากดูอีก
พอดับแล้ว...เออเข้าใจๆ ที่พูดน่ะ รีบๆ เปิดเหอะ จะรู้อยากรู้ว่าตอนจบเป็นไง
ฮ่ะนี่...เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว เปิดเหอะ...นะ โอเคเดี๋ยววันหลังฝึกแต่อยากรู้ตรงเนี้ยะ
แต่ตรงเนี้ยะ (ใจเรา) ไม่เห็น แต่จะรอไปฝึกวันหลัง ตอนที่กำลังเกิดอ่ะไม่ดู
อ่ะไม่ดู (ตัณหา) นี่ไง (นันทิ ราคะ) ทั้งนั้นเลย ไม่ได้ยากกว่าที่มันเป็นอยู่หรอก
มันอยู่ตรง (ใจเรา) นี้ จะให้สิ่งที่ท่านบอกว่า
วิญญาณก็ไม่มีที่อาศัยคือ ต้องเอาไอ้นี่ (ราคะ นันทิ ตัณหา) ออก
แล้วเอาไอ้นี่ออกยังไง เอาไอ้นี่ออกยังไงอ่ะ?
เดี๋ยวไปดูมรรคองค์ที่ 6, 7, 8 นั่นล่ะทางออกของเจ้าสามตัวนี้แหล่ะ
สามตัวนี้จะถูกเพิกถอนได้ด้วยมรรคองค์ที่ 6, 7, 8
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เลยว่า ในปุถุชนผู้ไม่ได้สดับให้อาศัยอริยมรรคมีองค์แปด
เดินทั้งแปดองค์เลย
พอปฏิบัติจนกระทั่งศีลบริบูรณ์พอสมควร
จิตไม่วิ่งกลับไปเกาะที่ศีลอีก ให้ใช้สติปัฏฐานสี่เป็นตัวเดิน
จนกระทั่งเข้าสู่ความเป็นโสดาบัน
หลังจากนั้นให้ใช้ปฏิจจสมุปบาทเป็นที่นำทาง แล้วจะเข้าไปสู่ความเป็นพระอรหันต์เลย
นี่คือเส้นทางที่ลัดสั้นแล้วก็เร็วที่สุด
ในคนธรรมดาใช้อริยมรรคมีองค์แปดเป็นทางสายกลาง แล้วเดินไปตามนั้นเลย
มรรคมีองค์แปด เดี๋ยวครั้งหน้าเราจะค่อยๆ แจกแจงกันดู
แต่วันนี้ผมจะพูดก่อนจบเอาไว้ว่า
ทำไมในมรรคข้อ 6, 7, 8 ถึงได้ตัดพวกนี้ (ราคะ นันทิ ตัณหา) ออกไปได้
แล้วไม่ต้องไปเปลี่ยนเสื้อกลางทาง
ไม่ต้องไปเปลี่ยนม้ากลางทางอีก
เริ่มต้นวันนี้ แล้วทำไปเรื่อยๆ...
แล้วไปจบที่ ที่ที่ไม่มีความโศก ที่ที่ไม่มีธุลี ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น?
ฟังตรงนี้ต่อก่อนนะครับ
สามตัวนี้จะถูกเพิกถอนได้ด้วยมรรคองค์ที่ 6, 7, 8
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้เลยว่า ในปุถุชนผู้ไม่ได้สดับให้อาศัยอริยมรรคมีองค์แปด
เดินทั้งแปดองค์เลย
พอปฏิบัติจนกระทั่งศีลบริบูรณ์พอสมควร
จิตไม่วิ่งกลับไปเกาะที่ศีลอีก ให้ใช้สติปัฏฐานสี่เป็นตัวเดิน
จนกระทั่งเข้าสู่ความเป็นโสดาบัน
หลังจากนั้นให้ใช้ปฏิจจสมุปบาทเป็นที่นำทาง แล้วจะเข้าไปสู่ความเป็นพระอรหันต์เลย
นี่คือเส้นทางที่ลัดสั้นแล้วก็เร็วที่สุด
ในคนธรรมดาใช้อริยมรรคมีองค์แปดเป็นทางสายกลาง แล้วเดินไปตามนั้นเลย
มรรคมีองค์แปด เดี๋ยวครั้งหน้าเราจะค่อยๆ แจกแจงกันดู
แต่วันนี้ผมจะพูดก่อนจบเอาไว้ว่า
ทำไมในมรรคข้อ 6, 7, 8 ถึงได้ตัดพวกนี้ (ราคะ นันทิ ตัณหา) ออกไปได้
แล้วไม่ต้องไปเปลี่ยนเสื้อกลางทาง
ไม่ต้องไปเปลี่ยนม้ากลางทางอีก
เริ่มต้นวันนี้ แล้วทำไปเรื่อยๆ...
แล้วไปจบที่ ที่ที่ไม่มีความโศก ที่ที่ไม่มีธุลี ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น?
ฟังตรงนี้ต่อก่อนนะครับ
[คลิปเสียง]
ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าบรรทัดสุดท้ายที่ท่านพูดถึงเนี่ยคือ “นิพพาน”
ภิกษุทั้งหลาย!เปรียบเหมือนเรือนยอด
หรือศาลาเรือนยอดที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ หรือใต้ก็ตาม
เป็นเรือนมีหน้าต่างทางทิศตะวันออก. ครั้นดวงอาทิตย์ขึ้นมาแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ส่องเข้าไปทาง
ช่องหน้าต่างแล้ว
จักตั้งอยู่ที่ส่วนไหนแห่งเรือนนั้นเล่า?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์
จักปรากฏที่ฝาเรือนข้างในทิศตะวันตก พระเจ้าข้า”.
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าฝาเรือนทางทิศตะวันตกไม่มีเล่า
แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้นจักปรากฏอยู่ที่ไหน?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น
จักปรากฏที่พื้นดินพระเจ้าข้า”.
ภิกษุทั้งหลาย!ถ้าพื้นดินไม่มีเล่า
แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น จักปรากฏที่ไหน?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ!
แสงสว่างแห่งพระอาทิตย์นั้น จักปรากฏในน้ำพระเจ้าข้า”.
ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าน้ำไม่มีเล่า แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น
จักปรากฏที่ไหนอีก?
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ!
แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏแล้ว พระเจ้าข้า”.
ภิกษุทั้งหลาย! ฉันใดก็ฉันนั้น:
ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา
ในอาหารคือคำข้าว ก็ดี
ในอาหารคือผัสสะ ก็ดี
ในอาหารคือมโนสัญเจตนา ก็ดี
ในอาหารคือวิญญาณ ก็ดี แล้วไซร้,
วิญญาณ
ก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในอาหารคือคำข้าว เป็นต้นนั้นๆ.
วิญญาณ ตั้งอยู่ไม่ได้
เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป
ย่อมไม่มี ในที่นั้น.
การก้าวลงแห่งนามรูป ไม่มีในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย
ย่อมไม่มีในที่นั้น.
ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย
ไม่มีในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มี ในที่นั้น.
การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป
ไม่มีในที่ใด, ชาติชรามรณะต่อไป ย่อมไม่มี ในที่นั้น.
ชาติชรามรณะต่อไปไม่มีในที่ใด, ภิกษุทั้งหลาย! เราเรียก “ที่” นั้นว่าเป็น “ที่ไม่มีโศก
ไม่มีธุลี และไม่มีความคับแค้น” ดังนี้.
ถ้าตรงนี้เกิดเป็นผลสุดท้าย เหตุที่จะทำให้ดับลงมาเรื่อยๆ จนถึงตรงนี้ดับ
ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าว ในผัสสะ มโนสัญเจตนา และในวิญญาณตัวมันเอง
ทุกอย่างจะดับลงไปหมด นั่นแหล่ะคือ “ที่สุดแห่งทุกข์” ล่ะ
ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา ในอาหารคือคำข้าว ในผัสสะ มโนสัญเจตนา และในวิญญาณตัวมันเอง
ทุกอย่างจะดับลงไปหมด นั่นแหล่ะคือ “ที่สุดแห่งทุกข์” ล่ะ
เอาล่ะนะครับ ตอนนี้เราเริ่มงงๆ กันนิดหน่อย แต่คงไม่นิดหน่อยล่ะ...เยอะ
เพราะว่า อวิชชา สังขาร วิญญาณ ทำไมท่านพูดถึงแต่เฉพาะวิญญาณ
ทำไมพอวิญญาณดับ แล้วบอกว่านิพพาน
แล้วอีกสองตัวนี้ล่ะ ตัวพี่เอ้ที่เป็นอวิชชาล่ะ
แล้วตัวพี่เอ้ที่รองลงมาจากอวิชชาคือสังขารการปรุงแต่ง
การสร้างความหมายแห่งความเป็นตัวตนมากมายก่ายกองหายไปไหน
เพราะว่า อวิชชา สังขาร วิญญาณ ทำไมท่านพูดถึงแต่เฉพาะวิญญาณ
ทำไมพอวิญญาณดับ แล้วบอกว่านิพพาน
แล้วอีกสองตัวนี้ล่ะ ตัวพี่เอ้ที่เป็นอวิชชาล่ะ
แล้วตัวพี่เอ้ที่รองลงมาจากอวิชชาคือสังขารการปรุงแต่ง
การสร้างความหมายแห่งความเป็นตัวตนมากมายก่ายกองหายไปไหน
ดูก่อนภิ
“เยธัมมา เหตุปัปภวา” เมื่อสิ่งหนึ่งดับ สิ่งหนึ่งดับ สิ่งหนึ่งก็จะดับ
ถ้าวิญญาณดับ มันแปลว่าสังขารดับไปแล้ว ถ้าสังขารดับไปแล้ว แปลว่าอวิชชาดับไปแล้ว
ตั้งแต่พระสกิทาคามีขึ้นไป จะเริ่มเห็นการดับของวิญญาณ ไปแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ
ที่เป็นพระอนาคามี หลังจากนั้นเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์มันจะดับสนิทไม่มีการหยิบฉวยขึ้นมาอีก
ในระดับพระโสดาบันจะไม่เห็นการดับของวิญญาณ
เพราะว่าพระโสดาบันยังรู้แล้วก็มีวิญญาณท่องเที่ยวอยู่ในฐานทั้งสี่
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
เพราะฉะนั้นการท่องเที่ยวไปของวิญญาณในฐานทั้งสี่ พระโสดาบันจึงไม่รู้จักวิญญาณ
พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ถ้าเราเอาวงจรปฏิจจสมุปบาทมาเปิดตอนนี้เนี่ย
พออายตนะที่เราจะเห็นคำว่า “นามรูป” พระโสดาบันจะรู้เต็มที่คือนามรูป
แต่กลับไม่รู้จักวิญญาณ สังขาร การปรุงแต่ง แล้วก็ไปจนถึงอวิชชา
จากนั้นเนี่ยเมื่ออาศัยปฏิจจสมุปบาทเนี่ย
จิตของพระโสดาบันทั้งหลายจะเริ่มเห็นความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้น
ถ้าหากเรายังอยู่กับสิ่งไหนเราจะไม่รู้จักสิ่งนั้น
เมื่อกี้ผมเปิดเด็กสีไวโอลินให้ท่านดู ขณะที่ท่านกำลังดูอยู่ผมพูดเรื่องนันทิความเพลินในอารมณ์
ผมรับประกันได้ว่าทุกคนบอก...โอเคโอเคเข้าล่ะอ๋อนี่ฉันกำลังเพลิน...ไม่หรอก
จนกว่าผมหยุดมันอ่ะ พอผมหยุดมันปุบ ท่านจะกึกเลย
ท่านถึงจะรู้จักมัน วันนี้ท่านไม่รู้จักมันหรอก ในวันนั้นก็เช่นกันนะครับ
ถ้าวิญญาณดับ มันแปลว่าสังขารดับไปแล้ว ถ้าสังขารดับไปแล้ว แปลว่าอวิชชาดับไปแล้ว
ตั้งแต่พระสกิทาคามีขึ้นไป จะเริ่มเห็นการดับของวิญญาณ ไปแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ
ที่เป็นพระอนาคามี หลังจากนั้นเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์มันจะดับสนิทไม่มีการหยิบฉวยขึ้นมาอีก
ในระดับพระโสดาบันจะไม่เห็นการดับของวิญญาณ
เพราะว่าพระโสดาบันยังรู้แล้วก็มีวิญญาณท่องเที่ยวอยู่ในฐานทั้งสี่
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
เพราะฉะนั้นการท่องเที่ยวไปของวิญญาณในฐานทั้งสี่ พระโสดาบันจึงไม่รู้จักวิญญาณ
พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ถ้าเราเอาวงจรปฏิจจสมุปบาทมาเปิดตอนนี้เนี่ย
พออายตนะที่เราจะเห็นคำว่า “นามรูป” พระโสดาบันจะรู้เต็มที่คือนามรูป
แต่กลับไม่รู้จักวิญญาณ สังขาร การปรุงแต่ง แล้วก็ไปจนถึงอวิชชา
จากนั้นเนี่ยเมื่ออาศัยปฏิจจสมุปบาทเนี่ย
จิตของพระโสดาบันทั้งหลายจะเริ่มเห็นความจริงตามความเป็นจริงมากขึ้น
ถ้าหากเรายังอยู่กับสิ่งไหนเราจะไม่รู้จักสิ่งนั้น
เมื่อกี้ผมเปิดเด็กสีไวโอลินให้ท่านดู ขณะที่ท่านกำลังดูอยู่ผมพูดเรื่องนันทิความเพลินในอารมณ์
ผมรับประกันได้ว่าทุกคนบอก...โอเคโอเคเข้าล่ะอ๋อนี่ฉันกำลังเพลิน...ไม่หรอก
จนกว่าผมหยุดมันอ่ะ พอผมหยุดมันปุบ ท่านจะกึกเลย
ท่านถึงจะรู้จักมัน วันนี้ท่านไม่รู้จักมันหรอก ในวันนั้นก็เช่นกันนะครับ
ทีนี้เพื่อจะเชื่อมโยงไปก่อนที่จะไปให้ถึงมรรคมีองค์แปด ในข้อ 6, 7, 8 ท่านพูดว่าอะไร
เราฝึกเจริญสติจนกระทั่งเรากำลังมีความเข้าใจว่า ถ้าสติความรู้สึกตัวมันมากที่สุด เราคงจะจัดการกับทุกอย่างได้ แปลว่าถ้าสติ...หีม...มาถี่มาเร็วมาถี่มาเร็ว คงจะดีแฮะ ลองฟังประโยคนี้จากพระพุทธเจ้าก่อน แล้วท่านอาจจะต้องคิดใหม่ แค่คิดนะครับแล้วไปทำเอา
เราฝึกเจริญสติจนกระทั่งเรากำลังมีความเข้าใจว่า ถ้าสติความรู้สึกตัวมันมากที่สุด เราคงจะจัดการกับทุกอย่างได้ แปลว่าถ้าสติ...หีม...มาถี่มาเร็วมาถี่มาเร็ว คงจะดีแฮะ ลองฟังประโยคนี้จากพระพุทธเจ้าก่อน แล้วท่านอาจจะต้องคิดใหม่ แค่คิดนะครับแล้วไปทำเอา
[คลิปเสียง] ลักษณะแห่งอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ
อานนท์! อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา) ในอริยวินัย เป็นอย่างไรเล่า?
อ่ะลองฟังนะครับ ระดับที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศนี่แสดงว่า อึมอืม
คนนี้ต้องเจ๋ง แต่ไม่ใช่พระอรหันต์นะครับ
ถ้าพระอรหันต์เนี่ยคือไม่ต้องแบบนี้แล้ว พระอรหันต์นี้สุดไปเลย
แต่นี่แสดงว่ายังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องระดับไหนเหรอ พระพุทธเจ้าถึงจะยกย่อง
อ่ะลองฟังนะครับ ระดับที่พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศนี่แสดงว่า อึมอืม
คนนี้ต้องเจ๋ง แต่ไม่ใช่พระอรหันต์นะครับ
ถ้าพระอรหันต์เนี่ยคือไม่ต้องแบบนี้แล้ว พระอรหันต์นี้สุดไปเลย
แต่นี่แสดงว่ายังไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องระดับไหนเหรอ พระพุทธเจ้าถึงจะยกย่อง
อานนท์! ในกรณีนี้ อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ
–
ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ
เกิดขึ้นแก่
ภิกษุเพราะเห็นรูปด้วยตา. ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า
“อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้ เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขต)
เป็นของหยาบๆ
(โอฬาริก) เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจฺจ สมุปฺปนฺน); แต่มีสิ่งโน้นซึ่งรำงับและประณีต,
กล่าวคือ
อุเบกขา” ดังนี้.
เมื่อรู้ชัดอย่างนี้ อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ
–
ไม่เป็นที่ชอบใจ
– ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่
ภิกษุนั้น ย่อมดับไป, อุเบกขายังคงดำรงอยู่.
อานนท์!อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ
– ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น
ย่อมดับไปเร็วเหมือนการกระพริบตาของคน ส่วนอุเบกขายังคงดำรงอยู่.
อานนท์! นี้แล เราเรียกว่า “อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย”
ในกรณีแห่งรูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ...
ที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อประหยัดเวลา ผมจะแค่ว่าให้ดูว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เนี่ย
“เมื่อไม่มีการมา ไม่มีการไป การจุติขึ้นใหม่ย่อมไม่มี
เมื่อการจุติขึ้นใหม่ไม่มี ก็ไม่มีการปรากฏขึ้นในโลก ไม่มีการปรากฏในโลกอื่น
ไม่มีการปรากฏในระหว่างโลกทั้งสอง นั่งล่ะคือที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ”
“เมื่อไม่มีการมา ไม่มีการไป การจุติขึ้นใหม่ย่อมไม่มี
เมื่อการจุติขึ้นใหม่ไม่มี ก็ไม่มีการปรากฏขึ้นในโลก ไม่มีการปรากฏในโลกอื่น
ไม่มีการปรากฏในระหว่างโลกทั้งสอง นั่งล่ะคือที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ”
[คลิปเสียง]
พาหิยะ! เมื่อใด “เธอ” เห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น, ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง, ได้กลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสทางผิวกาย,
ก็สักว่าดม, ลิ้ม, สัมผัส, ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว; เมื่อนั้น “เธอ” จักไม่มี.
พาหิยะ! เมื่อใด “เธอ” เห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น, ได้ฟังเสียงแล้ว สักว่าฟัง, ได้กลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสทางผิวกาย,
ก็สักว่าดม, ลิ้ม, สัมผัส, ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์ ก็สักว่าได้รู้แจ้งแล้ว; เมื่อนั้น “เธอ” จักไม่มี.
เมื่อใด “เธอ” ไม่มี; เมื่อนั้น “เธอ” ก็ไม่ปรากฏในโลกนี้, ไม่ปรากฏในโลกอื่น, ไม่ปรากฏในระหว่างแห่งโลก
ทั้งสอง: นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ ละ.
ทั้งสอง: นั่นแหละ คือที่สุดแห่งทุกข์ ละ.
เมื่อไหร่วิญญาณดับ นามรูปดับ
พระพุทธเจ้าบอกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากแสงอาทิตย์เข้ามามาทางทิศตะวันออก
ไปกระทบผนังที่ทิศตะวันตก ถ้าเอาผนังออก แสงจะปรากฏอยู่ที่ไหน?...
ภิกษุบอกว่าปรากฏอยู่ที่พื้นพระเจ้าข้า
เอาพื้นออก?...ปรากฏที่น้ำพระเจ้าข้า
เอาน้ำออก?...ไม่ปรากฏพระเจ้าข้า
ถามว่าแสงมีอยู่มั้ยครับ?...(มี) แต่เมื่อไม่มีฉากรับ จะไม่มีที่ปรากฏ
ฉากเหล่านั้นคือที่รับที่ให้เกิดวิญญาณคือขันธ์ทั้งหลาย
ถ้าเราฝึกจนกระทั่งแสงไม่มีที่ฉากรับ นามรูปทั้งหลายไม่ใช่ฉากรับของอารมณ์อีกต่อไป
อารมณ์วิญญาณก็จะดับลงทันที นั่งแหล่ะคือที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ
เมื่อไม่มีการมาไม่มีการไปของจิต จิตไม่มีการขยับ
ถ้าท่านไปคุยกับพระอรหันต์ ท่านจะบอกว่า นิ่งเป็นศิลา แข็งเป็นหิน ไม่มีการขยับ
แค่เค้าพูดกันแค่นี้ เค้าก็รู้แล้วว่าจบกิจละ
ถ้ามีใครซักคนเดินไปส่งอารมณ์กับพระอรหันต์บอกว่า
อาจารย์ครับช่วงนี้ผมว่างไปหมดเลย ผมไม่มีอารมณ์เลย
ทุกอย่างที่กระทบข้างในแข็งเป็นศิลาเลย ไม่มีเรา เนื่องจากจิตไม่เข้าไปรับที่นามรูปอีก
ถามว่านามรูปมีอยู่มั้ย?...มี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกนี้ไม่เป็นฉาก
วิญญาณจะไม่สามารถเข้าไปตั้งอาศัยได้ เพราะถูกฝึกอะไรบางอย่างเอาไว้
จนกระทั่งถึงจุดๆ นี้ เรามาดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้เข้าไปถึงในจุดๆ นี้ได้ คืออะไร
พระพุทธเจ้าบอกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากแสงอาทิตย์เข้ามามาทางทิศตะวันออก
ไปกระทบผนังที่ทิศตะวันตก ถ้าเอาผนังออก แสงจะปรากฏอยู่ที่ไหน?...
ภิกษุบอกว่าปรากฏอยู่ที่พื้นพระเจ้าข้า
เอาพื้นออก?...ปรากฏที่น้ำพระเจ้าข้า
เอาน้ำออก?...ไม่ปรากฏพระเจ้าข้า
ถามว่าแสงมีอยู่มั้ยครับ?...(มี) แต่เมื่อไม่มีฉากรับ จะไม่มีที่ปรากฏ
ฉากเหล่านั้นคือที่รับที่ให้เกิดวิญญาณคือขันธ์ทั้งหลาย
ถ้าเราฝึกจนกระทั่งแสงไม่มีที่ฉากรับ นามรูปทั้งหลายไม่ใช่ฉากรับของอารมณ์อีกต่อไป
อารมณ์วิญญาณก็จะดับลงทันที นั่งแหล่ะคือที่สุดแห่งทุกข์ล่ะ
เมื่อไม่มีการมาไม่มีการไปของจิต จิตไม่มีการขยับ
ถ้าท่านไปคุยกับพระอรหันต์ ท่านจะบอกว่า นิ่งเป็นศิลา แข็งเป็นหิน ไม่มีการขยับ
แค่เค้าพูดกันแค่นี้ เค้าก็รู้แล้วว่าจบกิจละ
ถ้ามีใครซักคนเดินไปส่งอารมณ์กับพระอรหันต์บอกว่า
อาจารย์ครับช่วงนี้ผมว่างไปหมดเลย ผมไม่มีอารมณ์เลย
ทุกอย่างที่กระทบข้างในแข็งเป็นศิลาเลย ไม่มีเรา เนื่องจากจิตไม่เข้าไปรับที่นามรูปอีก
ถามว่านามรูปมีอยู่มั้ย?...มี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกนี้ไม่เป็นฉาก
วิญญาณจะไม่สามารถเข้าไปตั้งอาศัยได้ เพราะถูกฝึกอะไรบางอย่างเอาไว้
จนกระทั่งถึงจุดๆ นี้ เรามาดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้เข้าไปถึงในจุดๆ นี้ได้ คืออะไร
[คลิปเสียง]
ภิกษุทั้งหลาย! ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ เป็นธรรมมีส่วนแห่งวิชชา (วิชชาภาคิย). หกอย่าง อย่างไรเล่า?
หกอย่างคือ อนิจจสัญญา (สัญญาว่าไม่เที่ยง),
อนิจเจทุกขสัญญา (สัญญาว่าทุกข์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง),
ทุกเขอนัตตสัญญา (สัญญาว่ามิใช่ตนในสิ่งที่เป็นทุกข์),
ปหานสัญญา (สัญญาในการละ),
วิราคสัญญา (สัญญาในความคลายกำหนัด),
นิโรธสัญญา (ความสำคัญรู้ในความดับไม่เหลือ).
ภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้แล ธรรม ๖ อย่าง เป็นธรรมมีส่วนแห่งวิชชา.
ภิกษุทั้งหลาย! ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ เป็นธรรมมีส่วนแห่งวิชชา (วิชชาภาคิย). หกอย่าง อย่างไรเล่า?
หกอย่างคือ อนิจจสัญญา (สัญญาว่าไม่เที่ยง),
อนิจเจทุกขสัญญา (สัญญาว่าทุกข์ในสิ่งที่ไม่เที่ยง),
ทุกเขอนัตตสัญญา (สัญญาว่ามิใช่ตนในสิ่งที่เป็นทุกข์),
ปหานสัญญา (สัญญาในการละ),
วิราคสัญญา (สัญญาในความคลายกำหนัด),
นิโรธสัญญา (ความสำคัญรู้ในความดับไม่เหลือ).
ภิกษุทั้งหลาย! เหล่านี้แล ธรรม ๖ อย่าง เป็นธรรมมีส่วนแห่งวิชชา.
สัญญาคือความจำหมายรู้นะครับ...
แสดงว่าอนิจจสัญญาเนี่ย หากใครก็ตามฝึกแล้วเห็นการเกิดดับของสรรพสิ่งไปมากๆ
เห็นการเกิดดับของนามธรรมที่อยู่ข้างใน
เห็นการเกิดดับของรูปธรรมที่อยู่ภายนอกบ่อยๆ บ่อยๆ
จนกระทั่งมันประทับตราตรึงเข้าไปอย่างมั่นคงเนี่ย จนเกิดเป็นสัญญาเนี่ย
พระพุทธเจ้าบอกว่าสัญญาหกอย่างนี้แหล่ะที่จะเป็นสัญญาที่สำคัญที่จะพาไปให้ถึงวิมุติ
เราลองดูตัวเราเองก็ได้ว่าเราฝึกจนกระทั่งสัญญาทั้งหกอย่างนี้
มันประทับเข้าไปจนกระทั่งมันสลัดคืนสู่โลกบอกว่าไม่เอาอีกแล้วหรือยัง
หนึ่ง...สัญญาที่จำได้ว่าสรรพสิ่งเนี่ยไม่เที่ยงเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา
ตั้งแต่พระโสดาบันเห็นตรงนี้ชัดแจ้งแล้ว แล้วก็ยังเห็นต่อไปเรื่อยๆ
พระโสดาบันก็จะเห็นต่อไปนะครับ หรือผู้ที่ฝึกก็จะเห็นต่อไปว่า
ความไม่เที่ยงทั้งหลายเนี่ยเป็นทุกข์ สิ่งไม่เที่ยงทั้งหลายเป็นทุกข์ทั้งหมด นะครับ
เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสถามพระราหุล...
ราหุลก่อนเนี่ย หลังจากนั้นเนี่ย มันจะรู้เลยว่าสิ่งที่เรากำลังยึดถึอ...ไม่มีตัวตน
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเฉยๆ
วันนี้คงไม่มีเวลามาชี้ตรงนี้มาก
ข้อนี้สิครับ (สัญญาในการละ) เรื่องใหญ่ ที่เรากลับไม่รู้เลยมันต้องมีอยู่ ที่ผมใส่สีแดงไว้
ส่วนวิราคะฯ เนี่ยเกิดขึ้นเมื่อเห็น (สัญญาว่าไม่ใช่ตน) คลายกำหนัด
แล้วก็นิโรธะฯ คือความดับ แต่ตรงนี้มาจากเหรอ? “สัญญาในการละ”
แสดงว่าอนิจจสัญญาเนี่ย หากใครก็ตามฝึกแล้วเห็นการเกิดดับของสรรพสิ่งไปมากๆ
เห็นการเกิดดับของนามธรรมที่อยู่ข้างใน
เห็นการเกิดดับของรูปธรรมที่อยู่ภายนอกบ่อยๆ บ่อยๆ
จนกระทั่งมันประทับตราตรึงเข้าไปอย่างมั่นคงเนี่ย จนเกิดเป็นสัญญาเนี่ย
พระพุทธเจ้าบอกว่าสัญญาหกอย่างนี้แหล่ะที่จะเป็นสัญญาที่สำคัญที่จะพาไปให้ถึงวิมุติ
เราลองดูตัวเราเองก็ได้ว่าเราฝึกจนกระทั่งสัญญาทั้งหกอย่างนี้
มันประทับเข้าไปจนกระทั่งมันสลัดคืนสู่โลกบอกว่าไม่เอาอีกแล้วหรือยัง
หนึ่ง...สัญญาที่จำได้ว่าสรรพสิ่งเนี่ยไม่เที่ยงเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา
ตั้งแต่พระโสดาบันเห็นตรงนี้ชัดแจ้งแล้ว แล้วก็ยังเห็นต่อไปเรื่อยๆ
พระโสดาบันก็จะเห็นต่อไปนะครับ หรือผู้ที่ฝึกก็จะเห็นต่อไปว่า
ความไม่เที่ยงทั้งหลายเนี่ยเป็นทุกข์ สิ่งไม่เที่ยงทั้งหลายเป็นทุกข์ทั้งหมด นะครับ
เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสถามพระราหุล...
ราหุลก่อนเนี่ย หลังจากนั้นเนี่ย มันจะรู้เลยว่าสิ่งที่เรากำลังยึดถึอ...ไม่มีตัวตน
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเฉยๆ
วันนี้คงไม่มีเวลามาชี้ตรงนี้มาก
ข้อนี้สิครับ (สัญญาในการละ) เรื่องใหญ่ ที่เรากลับไม่รู้เลยมันต้องมีอยู่ ที่ผมใส่สีแดงไว้
ส่วนวิราคะฯ เนี่ยเกิดขึ้นเมื่อเห็น (สัญญาว่าไม่ใช่ตน) คลายกำหนัด
แล้วก็นิโรธะฯ คือความดับ แต่ตรงนี้มาจากเหรอ? “สัญญาในการละ”
เราจะกลับมาดู “สัมมาวายาโม” ความพากเพียรชอบ
มรรคองค์ที่ 6 เมื่อกี้ผมบอกแล้วนะครับ
ถ้าถือศีลจนกระทั่งมีเจตนาเป็นเครื่องเว้น จนหมดเจตนาเป็นเครื่องเว้น
มันมีความรู้สึกเหมือนกับเราจะไม่มีศีลละ แต่ไม่เคยทำผิดอีกเลย
มีเงินใครหล่นเราไม่สนใจ...คืนเลย อะไรอย่างเนี้ยนะครับ (กลุ่มศีล)..
ข้อนี้บริบูรณ์ แต่ทุกข์ไม่หาย จนกว่า...เรามาดูกันว่า (กลุ่มสมาธิ) 3 ข้อนี้
มีสาระสำคัญอะไรถึงได้ ผมถึงได้จูงไปซะไกลเลย
ทำไมผมจึงเอาที่สุดแห่งทุกข์มาจูงตั้งไกล เพื่อจะกลับมาที่มรรคมีองค์แปด
ผมจะให้เห็นเลยว่ามรรคมีองค์แปดไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถเห็นได้
ผมจะชี้เลยว่าทำไมมหาบุรุษผู้สั่งสมบารมีมาอย่างมากมายถึงเห็นสิ่งนี้
เวลาเราอ่านสิ่งที่กลั่นกรองออกมาเหลือแค่เม็ดเล็กๆ เม็ดนึงเนี่ย เราไม่เห็นค่าเลย
ท่านบอกว่าในสัมมาวายาโมเนี่ย
(ข้อที่หนึ่ง)...ยับยั้งไม่ให้อกุศลเกิด
ข้อที่สอง...อกุศลที่เกิดแล้วให้ละเสีย
ข้อที่สาม...ทำกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด
ข้อที่สี่...ทำกุศลที่เกิดแล้วทำให้ตั้งมั่นไพบูลย์
สี่ข้อนี้เป็นสัมมาวายาโม มีอยู่แค่นี้เอง ดูเหมือนกับ...เฮ้ยฉันทำอยู่แล้ว
รับประกันว่า ถ้าทำอยู่แล้วจริง มันเห็นผลแล้ว
ไอ้ที่บอกทำน่ะทำกันทุกคนน่ะ แต่ทำกันนิดๆ หน่อยๆ แล้วทำไม่จริง
เอาง่ายๆ เลย ถ้าท่านกำลังโกรธ สิ่งที่ท่านมาฝึกกันแล้วเนี่ย แล้วท่านจะทำท่านจะทำยังไง
พอสติระลึกว่าความโกรธเกิดขึ้น ผมจะไม่พูดต่อ
แต่ผมจะให้ท่านตอบตัวเองว่าพอท่านรู้ว่าความโกรธเกิดขึ้น ท่านทำยังไงกะมันยังไงต่อ?
บางคนอาจจะรู้ต่อไป
บางคนอาจจะพยายามจะยกเลิก อาจจะเลิกความโกรธ
แต่ก็พบความจริงว่าเลิกมันไม่ได้
อาจจะกำลังทุกข์ แต่ก็รู้แล้วว่าอยากจะละ อยากจะละอกุศลอ่ะ
ความทุกข์ รู้ล่ะเป็นอกุศล โกรธ รู้ล่ะเป็นอกุศล อยากจะละเนี่ย
พระพุทธเจ้าบอกให้ละเนี่ย อยากจะละ แต่มันละไม่ออก
พอสติระลึกว่าความโกรธเกิดขึ้น ผมจะไม่พูดต่อ
แต่ผมจะให้ท่านตอบตัวเองว่าพอท่านรู้ว่าความโกรธเกิดขึ้น ท่านทำยังไงกะมันยังไงต่อ?
บางคนอาจจะรู้ต่อไป
บางคนอาจจะพยายามจะยกเลิก อาจจะเลิกความโกรธ
แต่ก็พบความจริงว่าเลิกมันไม่ได้
อาจจะกำลังทุกข์ แต่ก็รู้แล้วว่าอยากจะละ อยากจะละอกุศลอ่ะ
ความทุกข์ รู้ล่ะเป็นอกุศล โกรธ รู้ล่ะเป็นอกุศล อยากจะละเนี่ย
พระพุทธเจ้าบอกให้ละเนี่ย อยากจะละ แต่มันละไม่ออก
ผมถึงบอกว่าทำไมเราจึงต้อง...(ยกหนังสือขึ้นมา) ตบมือ
(วางหนังสือลง)...เบื้องต้นคือ...ตบมือ (ยกหนังสือขึ้นมา)...พอตบมือมันปล่อย (วางหนังสือลง) เอง
ทำไมตบมือ?...มันปล่อยเอง ตอนตบมือคืออะไร?...ทำกุศลให้เกิดขึ้น
วันนี้คนเข้าใจอะไรผิดเพราะจะไปเล่นกับจิต
ขณะที่จิตเป็นทุกข์ จะพุ่งเข้าไปเพื่อให้จิตปล่อยทุกข์ ซึ่งไม่มีความจำเป็น
แค่ใช้อุบายนิดเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไว้ กลับมารู้ลมก็ได้
กายคตาสติตัวที่ง่ายที่สุด พอรู้ปั๊บมันจะปล่อย พอปล่อย
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าพอปล่อยไปจนกระทั่งถึงจุดที่เป็นอุเบกขา
ท่านจึงใช้คำว่า “สันทิฏฐิกนิพพาน”
แม้นจะยังไม่ใช่นิพพานที่สูงสุด แต่จิตจะเริ่มเข้าใจที่ที่ดีกว่า
(วางหนังสือลง)...เบื้องต้นคือ...ตบมือ (ยกหนังสือขึ้นมา)...พอตบมือมันปล่อย (วางหนังสือลง) เอง
ทำไมตบมือ?...มันปล่อยเอง ตอนตบมือคืออะไร?...ทำกุศลให้เกิดขึ้น
วันนี้คนเข้าใจอะไรผิดเพราะจะไปเล่นกับจิต
ขณะที่จิตเป็นทุกข์ จะพุ่งเข้าไปเพื่อให้จิตปล่อยทุกข์ ซึ่งไม่มีความจำเป็น
แค่ใช้อุบายนิดเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไว้ กลับมารู้ลมก็ได้
กายคตาสติตัวที่ง่ายที่สุด พอรู้ปั๊บมันจะปล่อย พอปล่อย
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าพอปล่อยไปจนกระทั่งถึงจุดที่เป็นอุเบกขา
ท่านจึงใช้คำว่า “สันทิฏฐิกนิพพาน”
แม้นจะยังไม่ใช่นิพพานที่สูงสุด แต่จิตจะเริ่มเข้าใจที่ที่ดีกว่า
เมื่อกี้ถ้าเราดูอินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ ท่านจะบอกเลยว่า จิตจะเห็นทางเลือกว่าฝั่งนู้นมีอุเบกขา
วันนี้ถ้าเด็กคนนึงเอาแต่วิ่งเล่นอยู่นอกบ้าน เอาแต่วิ่งเล่นอยู่นอกบ้าน
ท่านบอกให้มานั่งเฉยๆ สิ นั่งเฉยๆ นี่สบายกว่าตั้งเยอะ ไม่มีเด็กคนไหนเข้าบ้าน
แต่ถ้าท่านบอกว่าเอาอย่างนี้มานั่งให้ 5 บาท นั่ง 5 นาที ให้นาทีละบาท นั่งได้นานแค่ไหนให้เท่านั้นเลย
เด็กจะพยายามนั่งไปเรื่อย นั่งไปเรื่อย วันนี้อุ้ยนั่งได้วันนึงได้หลายร้อยเลย
จนกระทั่งจนถึงผ่านไปซักเดือนสองเดือนหรือเป็นปี
อ้าว...วันนี้ไม่ออกไปวิ่งเล่นหรอ?...
ฮึ
ทำไมอ่ะ?...
ฮึข้างนอกร้อน เพื่อนแกล้งด้วย โหไม่ไหวฝุ่นเยอะ
อ้าวแล้วทำไมเมื่อก่อนไม่นั่ง?...
ก็ไม่รู้ว่ามันดีอย่างงี้นี่
...นี่ไง จนกว่าจิตจะคุ้นเคยกับอุเบกขามากๆ ...แล้วจิตจึงจะปล่อยอีกฝั่งนึง
วิธีการไม่ได้มีอะไรเลย
ความเป็นจริงในอริยมรรคมีองค์แปดเนี่ยต้องการให้จิตเข้าไปสัมผัสอุเบกขาให้มากที่สุด
แล้ววันนึงจิตจะมีทางเลือก
ใครที่เข้าถึงอรูปฌานที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเนี่ย
ตรงนั้นจิตจะมีทางเลือก จะเห็นทางเลือกเลยนะครับ
เข้าไปถึงอรูปฯ เนี่ย ท่านจะรู้จักเลย...โอะโอ๋...คือจิตจะเลือกได้แล้ว
เลือกที่จะอยู่ตรงไหนก็ได้
กำลังมีความทุกข์ ทุกข์ๆ อยู่ปุบเปลี่ยนชั้นเลยไปอยู่ในชั้นของน้ำมันแทน
ไปอยู่ในชั้นของเรื่องราวตัวตน...เรื่องราวดับหมดนะ
พอทำอย่างนี้บ่อยๆ บ่อยๆ บ่อยๆ น่ะ
ผมไม่ได้บอกให้ท่านไปฝึกอรูปฯ นะ เพราะว่าเดี๋ยวมัน...
ก็แค่ปฐมฌานพระพุทธเจ้าก็ยืนยันแล้ว
แค่เห็นการเกิดดับ แล้วเดี๋ยวมันก็เกิดความเข้าใจ
เพียงแต่วันนี้มาให้เห็นมุมมอง
ความเป็นจริงในอริยมรรคมีองค์แปดเนี่ยต้องการให้จิตเข้าไปสัมผัสอุเบกขาให้มากที่สุด
แล้ววันนึงจิตจะมีทางเลือก
ใครที่เข้าถึงอรูปฌานที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะเนี่ย
ตรงนั้นจิตจะมีทางเลือก จะเห็นทางเลือกเลยนะครับ
เข้าไปถึงอรูปฯ เนี่ย ท่านจะรู้จักเลย...โอะโอ๋...คือจิตจะเลือกได้แล้ว
เลือกที่จะอยู่ตรงไหนก็ได้
กำลังมีความทุกข์ ทุกข์ๆ อยู่ปุบเปลี่ยนชั้นเลยไปอยู่ในชั้นของน้ำมันแทน
ไปอยู่ในชั้นของเรื่องราวตัวตน...เรื่องราวดับหมดนะ
พอทำอย่างนี้บ่อยๆ บ่อยๆ บ่อยๆ น่ะ
ผมไม่ได้บอกให้ท่านไปฝึกอรูปฯ นะ เพราะว่าเดี๋ยวมัน...
ก็แค่ปฐมฌานพระพุทธเจ้าก็ยืนยันแล้ว
แค่เห็นการเกิดดับ แล้วเดี๋ยวมันก็เกิดความเข้าใจ
เพียงแต่วันนี้มาให้เห็นมุมมอง
พอเรากลับมาที่สัมมาวายามะ...ข้อ 6 สรุปง่ายๆ เลยก็คือ ละอกุศล เจริญกุศล
ในเมื่ออกุศลละไม่ได้ เจริญกุศลเดี๋ยวมันละเอง
ทำทางเลือกให้จิตก่อน ทำทางเลือกให้เด็กคนนึง
มาถึงสัมมาสติเกิดขึ้นได้ยังไง
อันนี้ผมคิดว่าผู้คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ที่เคยเข้าคอร์สได้ยินสิ่งนี้มาเป็นอย่างมากละ
ผมจะพูดคร่าวๆ ว่ากายเวทนาจิตธรรมทำไมถึงทำให้จิตเข้าใจอะไรได้
เพราะว่าในกายเวทนาจิตธรรมเนี่ยมันอยู่ในขันธ์ห้า ที่วิ่งกันอยู่ในเนี้ยะ
ท่านจะเห็นการเกิดดับของสรรพสิ่ง ในกายเวทนาจิตธรรมทั้งหมด
เมื่อเห็นการเกิดดับจิตจะเห็นอนิจจัง
แล้วจะเข้าใจเรื่องทุกขัง
และเข้าใจอนัตตาด้วยตัวของเค้าเอง ไม่ต้องไปบอกเลย
ถ้าเค้าเห็นอนิจจัง จะเข้าใจเลยว่าอีกสิ่งนึ่งที่เข้าไปยึดติดเป็นทุกขังเลย
ถ้าไปยึดสิ่งเกิดดับจะเป็นความทุกข์ทันที และมันไม่มีอะไรเลย
พอเห็นไปมากๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเป็นกระแสไหลเรื่อยๆ ไหลเรื่อยๆ
พอไปยึดตรงไหนปั๊บก็เป็นทุกข์เลย
พอโง่ยึดหน่อยก็เป็นทุกข์เลย
ทีนี้วิธีฝึกตรงนี้เข้าไปดู
มันก็เข้าไปเห็นการเกิดดับนะครับ
ถึงช่วงนี้ ทำยังไงถึงจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา?...อานาปานสติ
พอจิตตั้งมั่นจะด้วยการรู้ลมก็ดี จะด้วยรู้อะไรก็ดีที่อยู่ในฐานกาย
ทำไมพระพุทธเจ้าถึงให้ยึดฐานกาย
แล้วฐานกายไม่มีนันทิหรอ ไม่มีราคะหรอ ไม่มีตัณหาหรอ
ฐานรูปเนี่ย ในขันธ์ห้าเนี่ย...รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ
รูปมีปัญหาน้อยที่สุด !!
ถ้าพระพุทธเจ้าจะเลือกให้จิตอยู่กับใครซักคนนึงเนี่ย ท่านจะเลือกให้มันอยู่กับรูป
ถ้าจะให้วิญญาณไปตั้งในที่ไหนซักสี่ฐานเนี่ย แล้วมีปัญหาน้อยที่สุด ท่านจะให้ไปตั้งที่รูป
เพราะอีกสามฐานเกิดดับรวดเร็ว สร้างเวทนา สร้างความสุขทุกข์รวดเร็ว แล้วก็เป็นปัญหามาก
เพราะเมื่อตั้งอยู่กับรูป การถอดถอนในเบื้องสุดท้าย อย่างที่ผมบอกว่า
เมื่อมันเจริญจนถึงจุดๆ หนึ่งที่ไม่เจริญอีก
เพราะว่ามันเห็นการเกิดดับ เห็นความไม่มีตัวตน ไม่มีค่าอะไรเนี่ย
จิตจะปล่อยสิ่งนั้นออก พอปล่อยสิ่งนั้นออก
จะเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีที่กระทบ
ที่ผมยกตัวอย่างว่า
ถือศีลจนไม่มีศีล
มีสติจนเหมือนไม่มีสติ
เมื่อถึงสภาพนั้น จิตจะไม่เข้าไปเกาะนามรูปอีก
แต่ไม่ใช่ไม่มี แต่มันไปถอดถอนความหมายแห่งความเป็นตัวตนทั้งหมด
ถ้าจิตถอดถอนความหมายแห่งความเป็นตัวตนออกหมดแล้วเนี่ย
ต่อให้มาเกาะอีกก็เป็นแค่ สักแต่รู้แจ้งเท่านั้นเอง
สักแต่ว่ารู้ไป แต่ไม่ก่อให้เกิดสุขทุกข์ ความพอใจ นันทิ ราคะ ตัณหาอีกต่อไป
จึงเหมือนกับไม่มีในสิ่งนั้น
อันนี้ผมคิดว่าผู้คนที่นั่งอยู่ในที่นี้ที่เคยเข้าคอร์สได้ยินสิ่งนี้มาเป็นอย่างมากละ
ผมจะพูดคร่าวๆ ว่ากายเวทนาจิตธรรมทำไมถึงทำให้จิตเข้าใจอะไรได้
เพราะว่าในกายเวทนาจิตธรรมเนี่ยมันอยู่ในขันธ์ห้า ที่วิ่งกันอยู่ในเนี้ยะ
ท่านจะเห็นการเกิดดับของสรรพสิ่ง ในกายเวทนาจิตธรรมทั้งหมด
เมื่อเห็นการเกิดดับจิตจะเห็นอนิจจัง
แล้วจะเข้าใจเรื่องทุกขัง
และเข้าใจอนัตตาด้วยตัวของเค้าเอง ไม่ต้องไปบอกเลย
ถ้าเค้าเห็นอนิจจัง จะเข้าใจเลยว่าอีกสิ่งนึ่งที่เข้าไปยึดติดเป็นทุกขังเลย
ถ้าไปยึดสิ่งเกิดดับจะเป็นความทุกข์ทันที และมันไม่มีอะไรเลย
พอเห็นไปมากๆ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเป็นกระแสไหลเรื่อยๆ ไหลเรื่อยๆ
พอไปยึดตรงไหนปั๊บก็เป็นทุกข์เลย
พอโง่ยึดหน่อยก็เป็นทุกข์เลย
ทีนี้วิธีฝึกตรงนี้เข้าไปดู
มันก็เข้าไปเห็นการเกิดดับนะครับ
ถึงช่วงนี้ ทำยังไงถึงจิตจะตั้งมั่นขึ้นมา?...อานาปานสติ
พอจิตตั้งมั่นจะด้วยการรู้ลมก็ดี จะด้วยรู้อะไรก็ดีที่อยู่ในฐานกาย
ทำไมพระพุทธเจ้าถึงให้ยึดฐานกาย
แล้วฐานกายไม่มีนันทิหรอ ไม่มีราคะหรอ ไม่มีตัณหาหรอ
ฐานรูปเนี่ย ในขันธ์ห้าเนี่ย...รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ
รูปมีปัญหาน้อยที่สุด !!
ถ้าพระพุทธเจ้าจะเลือกให้จิตอยู่กับใครซักคนนึงเนี่ย ท่านจะเลือกให้มันอยู่กับรูป
ถ้าจะให้วิญญาณไปตั้งในที่ไหนซักสี่ฐานเนี่ย แล้วมีปัญหาน้อยที่สุด ท่านจะให้ไปตั้งที่รูป
เพราะอีกสามฐานเกิดดับรวดเร็ว สร้างเวทนา สร้างความสุขทุกข์รวดเร็ว แล้วก็เป็นปัญหามาก
เพราะเมื่อตั้งอยู่กับรูป การถอดถอนในเบื้องสุดท้าย อย่างที่ผมบอกว่า
เมื่อมันเจริญจนถึงจุดๆ หนึ่งที่ไม่เจริญอีก
เพราะว่ามันเห็นการเกิดดับ เห็นความไม่มีตัวตน ไม่มีค่าอะไรเนี่ย
จิตจะปล่อยสิ่งนั้นออก พอปล่อยสิ่งนั้นออก
จะเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีที่กระทบ
ที่ผมยกตัวอย่างว่า
ถือศีลจนไม่มีศีล
มีสติจนเหมือนไม่มีสติ
เมื่อถึงสภาพนั้น จิตจะไม่เข้าไปเกาะนามรูปอีก
แต่ไม่ใช่ไม่มี แต่มันไปถอดถอนความหมายแห่งความเป็นตัวตนทั้งหมด
ถ้าจิตถอดถอนความหมายแห่งความเป็นตัวตนออกหมดแล้วเนี่ย
ต่อให้มาเกาะอีกก็เป็นแค่ สักแต่รู้แจ้งเท่านั้นเอง
สักแต่ว่ารู้ไป แต่ไม่ก่อให้เกิดสุขทุกข์ ความพอใจ นันทิ ราคะ ตัณหาอีกต่อไป
จึงเหมือนกับไม่มีในสิ่งนั้น
ผมนั่งรถไปกับครูบาอาจารย์ท่านนึง นะครับ
ที่ท่านเห็นคนแก่เดินอยู่ข้างถนน อายุสัก 80 กว่า
เดินกระย่องกระแย่งๆ เดินตามข้างถนน เดินไปช้าๆ รถก็ผ่านไป
ท่านก็หันไปมอง ท่านก็บอกว่า อืม...ความแก่เป็นทุกข์เนาะ แต่ถ้ามันไม่รู้มันแก่ มันไม่ทุกข์หรอก
ความแก่เป็นทุกข์...ใช่ ชาติชรามรณะมีอยู่ จึงต้องมีตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่มาดูประโยคที่ท่านพูดอย่างน่าฟัง ถ้าคนธรรมฟังไม่รู้เรื่อง
“แก่นี่เป็นทุกข์เนอะ แต่ถ้าเค้าไม่รู้สึกตัวไม่รู้ว่าตัวเองแก่ก็ไม่ทุกข์”
แล้วรถก็ผ่านไป ถ้าคนธรรมดาฟังจะรู้สึกว่า
โอ้โห...พระ...เธอยังไม่รู้สึกตัวกันอีกเหรอ...ต้องไปฝึกรู้สึกตัวก่อน
ฮึฮึนะ พอรู้สึกตัวสิมันถึงไม่ทุกข์...มันมีสติ
ขอโทษ !! เมื่อถึงจุดสุดท้ายจริงๆ
สติ ปัญญา นามรูป เป็นธรรมฝ่ายเกิดดับทั้งสิ้น
ถ้ายังมีธรรมนี้อยู่จะไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์เลย
ที่ท่านเห็นคนแก่เดินอยู่ข้างถนน อายุสัก 80 กว่า
เดินกระย่องกระแย่งๆ เดินตามข้างถนน เดินไปช้าๆ รถก็ผ่านไป
ท่านก็หันไปมอง ท่านก็บอกว่า อืม...ความแก่เป็นทุกข์เนาะ แต่ถ้ามันไม่รู้มันแก่ มันไม่ทุกข์หรอก
ความแก่เป็นทุกข์...ใช่ ชาติชรามรณะมีอยู่ จึงต้องมีตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่มาดูประโยคที่ท่านพูดอย่างน่าฟัง ถ้าคนธรรมฟังไม่รู้เรื่อง
“แก่นี่เป็นทุกข์เนอะ แต่ถ้าเค้าไม่รู้สึกตัวไม่รู้ว่าตัวเองแก่ก็ไม่ทุกข์”
แล้วรถก็ผ่านไป ถ้าคนธรรมดาฟังจะรู้สึกว่า
โอ้โห...พระ...เธอยังไม่รู้สึกตัวกันอีกเหรอ...ต้องไปฝึกรู้สึกตัวก่อน
ฮึฮึนะ พอรู้สึกตัวสิมันถึงไม่ทุกข์...มันมีสติ
ขอโทษ !! เมื่อถึงจุดสุดท้ายจริงๆ
สติ ปัญญา นามรูป เป็นธรรมฝ่ายเกิดดับทั้งสิ้น
ถ้ายังมีธรรมนี้อยู่จะไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์เลย
เพราะฉะนั้นวันนี้ผมพูด เพื่อมาคลายความเข้าใจผิดนะครับ
ไม่ใช่มาสร้างความเข้าใจผิด ฟังให้จบให้ดีก่อนออกไปนอกห้องนะครับ ไม่งั้นผมเละแน่ ผมเละแน่
ถ้าอยู่ๆ บอกว่าคนไม่ต้องมีสติเนี่ย...ไม่ใช่นะครับ
ผมพูดตั้งแต่ศีลมาเลยนะครับ ถึงศีลจนกระทั่งดูเหมือนไม่มีศีลนะครับ
แต่ศีลบริบูรณ์นะครับ ฝึกสติจนกระทั่งเต็มที่เลยนะครับ
ตอนที่สติบริบูรณ์ ดูเหมือน กับไม่มีสติเลยนะครับ
เพราะว่ามันไม่เข้าไปเกาะนามรูปอีก
ตอนนั้นวิญญาณจะดับ ไม่มีการจุติ ไม่มีที่มาไม่มีที่ไป
ตรงนั้นล่ะที่เธอไม่มี ที่พระพุทธเจ้าบอก เธอจะไม่มีในที่นั้น
ไม่มีเธอในโลกหน้า ไม่มีเธอในโลกอื่น ในระหว่างโลกทั้งสอง คือมันดับลงไปหมดนะครับ
ไม่มีต้นโพ ไม่มีทั้งกระจกเงา แล้วขี้ฝุ่นจะลงจับที่ตรงไหนล่ะ
ถ้ามัวแต่มีต้นโพ มีกระจกเงา ต้องหมั่นเช็ดถู
หมั่นดูแลต้นโพ หมั่นเช็ดถูกระจกเงา ต้องทำอย่างโน้นต้องทำอย่างนี้
ก็ต้องทำอย่างนั้นล่ะไปชั่วชีวิต ไปตราบเท่ากาลนาน
เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เรารู้ว่า
ในมรรคมีองค์แปดข้อที่ 6, 7, 8 คือที่จะนำพาผู้คน ศีลบริบูรณ์แล้วเนี่ย
พาเข้าไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์
ไม่ใช่มาสร้างความเข้าใจผิด ฟังให้จบให้ดีก่อนออกไปนอกห้องนะครับ ไม่งั้นผมเละแน่ ผมเละแน่
ถ้าอยู่ๆ บอกว่าคนไม่ต้องมีสติเนี่ย...ไม่ใช่นะครับ
ผมพูดตั้งแต่ศีลมาเลยนะครับ ถึงศีลจนกระทั่งดูเหมือนไม่มีศีลนะครับ
แต่ศีลบริบูรณ์นะครับ ฝึกสติจนกระทั่งเต็มที่เลยนะครับ
ตอนที่สติบริบูรณ์ ดูเหมือน กับไม่มีสติเลยนะครับ
เพราะว่ามันไม่เข้าไปเกาะนามรูปอีก
ตอนนั้นวิญญาณจะดับ ไม่มีการจุติ ไม่มีที่มาไม่มีที่ไป
ตรงนั้นล่ะที่เธอไม่มี ที่พระพุทธเจ้าบอก เธอจะไม่มีในที่นั้น
ไม่มีเธอในโลกหน้า ไม่มีเธอในโลกอื่น ในระหว่างโลกทั้งสอง คือมันดับลงไปหมดนะครับ
ไม่มีต้นโพ ไม่มีทั้งกระจกเงา แล้วขี้ฝุ่นจะลงจับที่ตรงไหนล่ะ
ถ้ามัวแต่มีต้นโพ มีกระจกเงา ต้องหมั่นเช็ดถู
หมั่นดูแลต้นโพ หมั่นเช็ดถูกระจกเงา ต้องทำอย่างโน้นต้องทำอย่างนี้
ก็ต้องทำอย่างนั้นล่ะไปชั่วชีวิต ไปตราบเท่ากาลนาน
เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เรารู้ว่า
ในมรรคมีองค์แปดข้อที่ 6, 7, 8 คือที่จะนำพาผู้คน ศีลบริบูรณ์แล้วเนี่ย
พาเข้าไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์
หนึ่ง คือละอารมณ์ได้เร็วดุจกระพริบตา
ทันทีที่ท่านละอารมณ์ใดๆ ก็ตามที่กำลังเกิดขึ้น
สิ่งนึงที่ท่านไม่เห็นจะขาดสลาย ขาดสะบั้นลงไปก็คือ ราคะ...
ความยินดีพอใจในอารมณ์นั้นจะขาดสะบั้น
นันทิ...ความเพลินในอารมณ์นั้นจะขาดสะบั้น
แล้วก็ตัณหาในอารมณ์นั้นจะขาดสะบั้น โดยท่านไม่รู้เลย
แต่ถ้าท่านอย่างนี้บ่อยๆ บ่อยๆ
วัชพืชที่กำลังจะโตแล้วโดนดึงโดนเด็ด โดนดึงโดนเด็ด โดนตัดโดนดึงโดนเด็ด
วัชพืชนั้นจะฝ่อลงในที่สุด แล้วไม่เจริญงอกงามอีกเลย
วัชพืชนั้นที่ผมกำลังพูดถึงคือ วิญญาณ นะครับ
ที่สุดแห่งทุกข์อยู่ที่วิญญาณดับ
วิญญาณดับคืออวิชชาดับแล้ว
แต่ช่วงที่วิญญาณดับแรกๆ อวิชชายังดับไม่สนิท มันยังกระพริบๆ อยู่
จนกระทั่งผู้นั้นเห็นว่า ทุกอย่างเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว
จิตจะสลัดคืนสู่ธรรมชาติ แล้วก็เลิกกันไป นะครับ
ทันทีที่ท่านละอารมณ์ใดๆ ก็ตามที่กำลังเกิดขึ้น
สิ่งนึงที่ท่านไม่เห็นจะขาดสลาย ขาดสะบั้นลงไปก็คือ ราคะ...
ความยินดีพอใจในอารมณ์นั้นจะขาดสะบั้น
นันทิ...ความเพลินในอารมณ์นั้นจะขาดสะบั้น
แล้วก็ตัณหาในอารมณ์นั้นจะขาดสะบั้น โดยท่านไม่รู้เลย
แต่ถ้าท่านอย่างนี้บ่อยๆ บ่อยๆ
วัชพืชที่กำลังจะโตแล้วโดนดึงโดนเด็ด โดนดึงโดนเด็ด โดนตัดโดนดึงโดนเด็ด
วัชพืชนั้นจะฝ่อลงในที่สุด แล้วไม่เจริญงอกงามอีกเลย
วัชพืชนั้นที่ผมกำลังพูดถึงคือ วิญญาณ นะครับ
ที่สุดแห่งทุกข์อยู่ที่วิญญาณดับ
วิญญาณดับคืออวิชชาดับแล้ว
แต่ช่วงที่วิญญาณดับแรกๆ อวิชชายังดับไม่สนิท มันยังกระพริบๆ อยู่
จนกระทั่งผู้นั้นเห็นว่า ทุกอย่างเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว
จิตจะสลัดคืนสู่ธรรมชาติ แล้วก็เลิกกันไป นะครับ
หลังจากนั้นครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ออกมาเผยแพร่ แล้วก็พูดให้เราฟัง
เพียงแต่เราฟังท่านไม่ออกเท่านั้นเอง ว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร
ผมถึงบอกว่าวันนี้หน้าที่ของผม เป็นเพียงผู้เอามาสาธยายสิ่งที่เกิดขึ้น
สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้อย่างดีแล้ว นะครับจนถึงที่สุด
วันนี้เราไม่เคยได้ยินคำว่า “ที่สุดแห่งทุกข์”
เราไม่เคยรู้ว่าที่สุดแห่งทุกข์เป็นยังไง
แน่นอนที่สุดถึงวันนี้จะฟังแล้วก็ไม่รู้มันคืออะไร.... ไม่เป็นไร
จนกว่าใครก็ตามที่เข้าไปสัมผัสผลไม้นี้แล้วจะรู้ได้เอง
ต่อให้ท่าน...เปลี่ยนเป็นท่านมาสัมผัส ท่านก็อธิบายให้คนฟังไม่ได้เหมือนเดิม
จะอีกกี่ร้อยกี่พันพระอรหันต์สัมผัสแล้ว ก็ไม่สามารถอธิบายให้คนฟังได้เหมือนเดิม
เพราะฉะนั้นบอกได้แต่เพียงว่า ให้ท่านเห็นปลายทางแล้ววนกลับมา start from the end
แล้วท่านจะรู้ว่าท่านละอารมณ์ได้เร็วดุจกระพริบตา
เกิดอะไรขึ้นแล้วก็...รู้ก็ดี แต่ละให้ไว
ถ้ารู้ปั๊บ ความโกรธเกิดขึ้นท่านเข้าไปรู้ ผมถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นครับ?
วิญญาณจะเข้าไปตั้งอยู่ในเวทนา
วิญญาณจะเข้าไปตั้งอยู่ในสังขาร ซึ่งพระพุทธเจ้าบอกเลยว่า
ชาติชรามรณะ จะโตต่อ ขณะนั้นจะเกิดราคะขึ้นมาในการเข้าไปรู้นะครับ
เกิดความยินดีพอใจ แล้วพอรู้แล้วไม่ดับ จะเกิดความไม่ยินดีไม่พอใจ ก็จะเกิดเป็นวิภวตัณหา
อะไรต่ออะไรวนๆ วนๆ อยู่ที่นั่น
จนกระทั่งวันนึง พระพุทธเจ้าบอกแล้วเส้นทางเข้ามาโดยรอบ
ถ้าแก้วใบนี้ ถ้าการรู้เป็นน้ำที่หยดลงไป(ในแก้ว)
น้ำจะหยดลงไปจนกระทั่ง (น้ำมากขึ้น) ทุกข์จนถึงที่สุด จิตจะเข้าใจสมุทัย
จนกระทั่งถือทุกข์(แก้วน้ำ)นั้นไม่ไหวอีก
จิตจะปล่อยทันที
จิตจะปล่อยทันที
ผมถึงบอกว่าเส้นทางนี้ เ ข้ า ไ ด้ โ ด ย รอ บ
แต่การทำวิธีแบบนี้ ช้า แล้วก็ ทุกข์
เพราะจิตจะต้องถือสภาพรู้ที่เป็นอัตตาที่กำหนดจัดการโดยวิญญาณ
ซึ่งเป็นผลจากอวิชชาเนี่ย ต่อไปจนกระทั่งมันทนไม่ไหว
ขอให้บรรลุก่อนตายก็แล้วกันถ้าแบบนี้ นะครับ
แต่ถ้าเป็นตามที่ท่านบอกไว้ในสัมมาวายามะ ข้อ 6, 7, 8
ทุกครั้งที่รู้แล้วว่าอารมณ์เกิดขึ้น เค้าจะสาดทิ้งเลย
ถ้าเปรียบเหมือนน้ำเค้าจะสาดทุกครั้งที่น้ำหยดลงมา
จนกระทั่งวันนึงเมื่อจิตเข้าใจ จิตจะสงสัยว่า รู้ทำไม แล้วถือแก้วทำไม
เค้าจะโยนแก้วทิ้งเลย จะเข้าสู่ความว่าง แล้วก็ดับ สงบเย็นเลย นะครับ
ผมก็คงใช้การบรรยายในวันนี้อธิบายเรื่องอริยสัจเอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน นะครับ
ในส่วนรายละเอียดก็คงจะมีการบรรยายอีกครั้งนึงในครั้งหน้า
คงเป็นการรวมมรรคมีองค์แปดกับปฏิจจสมุปบาท เข้าไปไว้ในหลักสูตรเดียวกันg]p
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น