…………..เอาล่ะครับก็พอสมควร อนุโมทนาด้วย…………..
ในสมาธิ นอกสมาธิ เหมือนกัน อย่าแบ่ง อย่าแบ่งเป็นตอนๆ
คำว่า “ไม่แบ่งเป็นตอนๆ” หมายถึง จิตใจที่เป็นอุเบกขา จะลืมตาหลับตาก็เหมือนกัน
เดี๋ยวจะไปเข้าใจผิด ไปตีความส่วนอื่น อย่างเช่นคำว่า “เป็นตอนๆ”
อาจจะเห็นการเกิดขึ้นดับไป เป็นตอนๆ เป็นขณะๆ อันนั้นก็อีกส่วนหนึ่ง อันนั้นไม่มีปัญหาอะไร
ก็ค่อยๆ ดู ให้คุ้นกับความสงบก่อน วันแรกๆ ใจมันก็ยังดิ้น กายสงบ ใจก็ตามมา
บางทีก็เอาใจไปก่อน เดี๋ยวกายก็ตามมา
วันนี้ทุกคนอาจจะมีความรู้สึกว่า “การปฏิบัติธรรมนี่...ก็ดีนะ
เห็นคนปฏิบัติธรรม...ก็ดี...ดี เราเองไม่ปฏิบัติก็ได้...นะ แต่มีคนปฏิบัติธรรม...ก็ดี...ดี
เราก็เป็นคนดีของเราอยู่แล้ว ก็ไม่เคยคดโกงใคร ดูแลพ่อแม่
หรือก็เป็นคนดีในสังคมคนนึง ช่วยเหลือเท่าที่ช่วยเหลือได้ เราก็...ก็โอเค...เราก็โอเค”
ผมอยากจะบอกทุกคนว่า เราเข้าใจผิดแล้วล่ะ
ที่เรานึกว่า “การปฏิบัติธรรมนี่ มันเป็นแค่ Extra เฉยๆ ที่จะมีก็ได้ไม่มีก็ได้...ไม่ใช่ล่ะ”
อยู่ให้ครบ 3 วัน แล้วท่านจะรู้เลยว่า “ฮืม! นี่คน 7 พันล้านเข้าใจผิดหรือนี่”
แล้ววันนึงท่านจะรู้เลยว่า หากไม่มีธรรมะอยู่บนโลกนี้แล้ว มันจะเวียนเกิดเวียนตาย
และสิ่งที่ท่านคิดบอกว่า “ท่านก็มีสุขดีอยู่แล้ว” เนี่ย ผมจะขอโทษ !!!
ที่ในหลักสูตรนี้ ผมจะทำให้เห็นว่า ท่านไม่ได้สุขหรอก
ที่ท่านบอกว่าสุข...ท่านไม่เคยสุขด้วยซ้ำ
รู้มั้ยครับว่าการบรรยายธรรมนี่ยากที่สุดตรงไหน ?
ยากที่สุดตรงที่จะบอกให้คนรู้ว่า สิ่งที่เค้านึกว่าเป็นความสุขน่ะ ที่แท้มันทุกข์ล้วนๆ เลย
ผมเดินทางเผยแผ่ธรรมะจากวันที่ คุณอาพจนาเล่าให้ท่านฟังว่า ….
“...มีภิกษุบวชใหม่อยู่รูปนึง...” จนถึงวันนี้เป็นเวลาประมาณ 6 ปี
ผ่านผู้คนมาประมาณ 2 หมื่นถึง 3 หมื่นคน
ยากที่สุดตรงที่จะบอกเค้าว่า “ คุณกำลังทุกข์ ”
วันนี้เราโชคดีตรงไหนรู้มั้ยครับ
โชคดีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันนั้นที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ
ไม่เห็นอย่างที่เราเห็น ไม่คิดอย่างที่เราคิด !!
เราคิดว่า ‘ความเกิดเป็นธรรมดา ความแก่เป็นธรรมดา ทุกคนก็ต้องแก่ ความเจ็บเป็นธรรมดา
ทุกคนก็ต้องเจ็บป่วย รวมถึงความตายก็เป็นธรรมดา
แต่ถ้าท่านย้อนกลับไป แต่ผมก็เชื่อว่าท่านทุกคนก็คงสัมผัสพุทธประวัติ
พระพุทธเจ้าเพียงแต่ออกไปแล้วก็ชมเมือง แล้วก็เห็น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ท่านรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้มาก ท่านถึงกับย้ำถามนายฉันนะว่า
“ ทำไมทุกคนถึงทนอยู่กับสิ่งนี้ได้อ่ะ ทำไมไม่มีใครคิดจะออกจากมันเลยหรือ ?”
ฉันนะบอกว่า “จะออกจากมันยังไงหรือ ก็นี้มันเป็นธรรมดาของทุกคนมิใช่หรือ”
เราโชคดีตรงที่พระพุทธเจ้าเห็นสิ่งที่เราเห็นเป็นธรรมดาเนี่ย ท่านเห็นว่ามันเป็นทุกข์
แล้วท่านเห็นถูกซะด้วย คน 7 พันล้านคนเห็นผิด
ถ้าท่านบอกว่าท่านเห็นว่า ‘ความตายเป็นธรรมดา’ …………...
ถ้าตอนนี้มีใครโทรศัพท์เข้ามาจากคนที่ท่านรักแล้วพูดคำนึงว่า
‘นี่เธอ เมื่อกี้ลูกนั่งอยู่หน้าบ้าน รถพุ่งมาชนตายแล้วอ่ะ หัวเละเลยอ่ะ ทับตายเลยอ่ะ’
ผมถามซิว่า ท่านทุกข์มั้ย? ที่ท่านบอกว่ามันเป็นธรรมดาอ่ะ
...ทุกข์! ……….
ถ้าวันนี้ท่านเดินเข้าไป checkup ไปตรวจร่างกายกับหมอ
คุณเป็นคนรวยมาก คุณบอกว่าคุณมีความสุข...
หมอบอกว่า “ขอโทษนะ! คุณเป็นมะเร็ง คุณอยู่ได้อีกไม่เกินสองเดือนน่ะ”
ผมถามจริงๆ ว่ากี่พันล้าน…..มันถึงจะมีค่าตอนนี้
จะไม่มีอะไรเหลือเลยนอกจากทุกข์อย่างเดียว
แล้วถ้าทุกข์จนตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน...เดี๋ยวผมจะบอก
นี่ใช่มั้ยที่เราเห็นว่ามันเป็นธรรมดา !!
มีเงินมีทอง ไปซื้อข้าวซื้อของ ซื้อกระเป๋า ซื้ออะไรก็แล้วแต่
เสร็จแล้วมันหายไปแล้วก็เป็นทุกข์ หรือว่าขณะที่กำลังอยากได้เป็นทุกข์ ก็ไม่เห็น
ผมให้ท่านไปยืนดูคนติดยาบ้าซักคนนึง
เอาคนทั้งหมดไปแอบดูคนติดยาบ้า ท่านจะเห็นคนพอเสพยาบ้า
...ซื้ด...โอ้โห……...
ท่าทางเค้ามีความสุขในขณะที่เสพ หลังจากนั้นก็มีความสุขอีกประมาณซักครึ่งชั่วโมงอ่ะ
แล้วเค้าก็จะเริ่มนั่งคิดถึงการเสพยาบ้าครั้งต่อไป แล้วก็แสวงหายาบ้าด้วยใจเป็นทุกข์
แล้วก็พออีกซัก 3 ชั่วโมงก็เอาเงินไปซื้ออีก แล้วก็นั่งเสพใหม่
ถ้าท่านไปคุยกับเค้า ...เค้าบอกว่า โอ้โห …..เค้ามีความสุขมากเลยที่ได้เสพยา
ยาเสพติดตัวนี้ยอดเยี่ยมเลย
ท่านจะเริ่มรู้สึกในใจแปลกๆ ว่า ‘ไอ้นี่บ้าหรือเปล่าเนี่ย...’
เอาล่ะ! ต่อให้มันมีความสุขด้วย มันสุขแค่ครึ่งชั่วโมงเนี่ยนะ
แต่มันต้องทุกข์ไปอีกทั้งวันเนี่ย แล้วมันก็พยายามดิ้นรนแสวงหาเพื่อจะหาเงินหาทอง
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ไปซื้อยาบ้าอันใหม่เม็ดใหม่มาเสพอีก
แล้วมันก็ได้สุขไปอีกครึ่งชั่วโมง แล้วมันก็ทุกข์ไปอีก 6 ชั่วโมงหรือ 1 วัน
แล้วมันก็มานั่งเสพแล้วมันก็บอกว่ามันสุขอีกครึ่งชั่วโมง
ท่านยืนดูอย่างเนี่ย ท่านจะเริ่มงงๆ ว่าไอ้นี่มันบ้าหรือดีเนี่ย?
เอาล่ะ!...มันสุขครึ่งชั่วโมงครึ่งเนี่ย แลกกับความทุกข์ 23 ชั่วโมงครึ่งเนี่ย มันคุ้มกันได้ยังไง?
“ใช่!………….แล้วเราล่ะ!...........แล้วเราล่ะ!”
สิ่งที่เราดิ้นรนแสวงหากันตั้งแต่เกิด ไขว่คว้าหาขวดนม ทุกข์ร้องจ้ากๆ
มันหิว หิวก็เป็นทุกข์ ก็เพราะมันมีท้อง มีกระเพาะ มันเลยหิว
แล้วใครไปสร้างท้องล่ะ ไล่ไปเรื่อยๆ จะเห็นวงจรปฏิจจสมุปบาท
เพราะไปสร้างเหตุเกิดเอาไว้
วันนี้เนี่ย... บางคนมาที่นี่ มาปฏิบัติธรรมก็เพราะมีทุกข์
คือท่านทุกข์ใจ ไม่ว่าจะเรื่อง บ้าน งาน ครอบครัว สุขภาพ ก็จึงเข้าสู่การปฏิบัติธรรม
ดีแน่ล่ะ!ท่านมาถูกทางแล้วล่ะ แต่ทุกข์ทั้งหลายอ่ะ มันแค่จิ๊บๆ
ทุกข์จริงๆ มันเริ่มต้นที่ ชาติ ชรา และมรณะ
เมื่อไหร่มี 3 ตัวนี้ เมื่อนั้นไอ้ทุกข์จิ๊บๆ น่ะ มันตามกันมาเพียบ
แล้วทำไมถึงมี ชาติ ชรา และก็มรณะ ก็เพราะมันเริ่มต้นที่อุปาทานขันธ์ทั้งห้านี่ล่ะ
ที่นี้ถ้าเราพูดวันนี้เนี่ย ท่านจะรู้สึกว่ามันไกลมาก ว่าท่านจะไปทำอะไร
จะไปจัดการอะไรกับอุปาทานในขันธ์ ท่านยังไม่รู้จักเลย ว่านั่นคือต้นตอ !!
ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วไปไม่ถึงต้นตอ มันไม่พ้น
แต่วันนี้ ตอนนี้ผมก็ค่อยๆ ถอยหลังลงมาเรื่อยๆ ละ
……………….จากสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ก็ค่อยๆ ถอยลงมา
กลับมาที่ “นกกับต้นไม้” เดี๋ยววันที่ 3 วันที่ 4 จะแสดงให้ดู
เรื่องนกกับต้นไม้เนี่ย มันเป็นแค่อุปมาอุปมัยแบบยังไม่ถูกต้องมาก
แต่มันทำให้เห็นภาพ มันทำให้เห็นภาพว่า การปฏิบัติธรรม มันมีจุดพลาดตรงไหน
ทำไมเราถึงปฏิบัติเหมือนกับนกดูต้นไม้แล้วมันดูไม่ออก
ทำไมมันถึงดูไม่ออกว่ากายใจนี้ไม่ใช่เรา
เพราะว่าดูด้วยใจไม่ตั้งมั่น ดูด้วยความรู้สึกว่ากูเป็นคนดู
บางคนก็ฟังไม่รู้เรื่อง
บางคนฟังรู้เรื่อง …….แต่พอเอาไปทำก็ไม่รู้ว่ามันแยกกันตรงไหน
แล้วไอ้ที่ดูเนี่ย มันกูหรือว่าไม่กูเนี่ย [หัวเราะ]
แล้วถ้า กูดู แล้วมันยังไงหรอ
ถ้ากูดู ขาก็ของกูเลยสิ
แล้วถ้าดูอย่างนี้ก็จบเห่เลย เป็นแม่ดูลูกเลย
ปฏิบัติยังไงมันก็ไม่พ้น ปฏิบัติยังไงก็ไม่เห็น
เอ้า! แล้วจะให้ทำยังไง!
………………………………………………….
เดี๋ยวเราจะไปดูในอานาปานสติ
พวกเราหลายคนก็รู้สึกว่า ตัวเองก็ปฏิบัติรู้ลมมา
หรือบางคนก็มีคำบริกรรมกำกับเข้าไปว่า “พุทโธ”
เดี๋ยวผมจะชี้ให้เห็น คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้
บางทีคำแค่ 2 คำ แต่เราข้ามไป เราจึงพลาด
เราไม่รู้ว่า ธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งอยู่
เวลาท่านรู้ลม... เวลาที่เรารู้ลม เรารู้ลมไปสักพักนึง มันจะไหลเข้าไปเห็นลม
เวลาท่านนั่งสมาธิมันจะเป็นอย่างนี้
ท่านไม่รู้ด้วยว่ามันไหล ……. แล้วทำยังไงถึงจะรู้ล่ะ ?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ให้สังเกตลมหายใจว่า สั้นหรือยาว
ถ้าท่านเริ่มสังเกตลมหายใจว่าสั้นหรือยาว
ผู้รู้ จะถอยออกมาเพื่อสังเกต
แต่ถ้าไม่ใส่เงื่อนไขนี้เข้าไปสำหรับคนที่กำลังฝึก
มันจะลงไปรวมกัน ตอนที่รวมกัน อาการที่เกิดขึ้นคือ มันจะเคลิ้มๆ
ท่านจะรู้สึกว่า มันผิดปกติดี
เพราะมันเคลิ้มๆ มันดูมันสงบดิ่งๆ ดี มันเงียบๆ ไปแล้วนะ!
แต่พอเปลี่ยนกลับมาทำตามพระพุทธเจ้า สังเกตลมหายใจว่ายาวหรือสั้น
มันจะไม่เคลิ้ม บางคนไม่ชอบ
เนี่ย! คือ ความไม่รู้ว่า ‘ไม่รู้’
ก็ไม่รู้ว่าไม่รู้อ่ะ!.........นึกว่า “รู้”
เบื้องต้นนะ ถ้าใครรู้ลมนะ สังเกตว่าลมหายใจยาวหรือสั้น
ซึ่งในอานาปานสติก็พูดเอาไว้ชัดเจน
ขั้นที่หนึ่งเลย เริ่มต้นเลยเนี่ย ให้สังเกตลมหายใจออก ลมหายใจเข้า ว่า “ยาว”
ขั้นที่สอง สังเกตว่า “สั้น” ถ้าสังเกตปั๊บ ยังไงผู้รู้ก็ไม่จมลงไป
ถ้าจมเมื่อไหร่จะไม่รู้เลยว่ายาวหรือสั้น
โอ้โห!...แล้วต้องรู้ไปอย่างนี้อ่ะเหรอ แล้วจะสงบได้ไง
ใจเย็น!...( ◜◡‾ )(‾◡◝ )
มันก็รู้ไปอย่างนี้ จนกระทั่งผู้รู้มันง้างออกจนหลุดออกมา มันจะง้างออก
พอมันจะไหลจะไหลมันจะไม่เห็นลมหายใจยาว/สั้น
ท่านก็กลับมาสังเกตยาว/สั้นใหม่ มันก็จะง้างออก
ธรรมชาติมันจะไหลเข้าไปอยู่เรื่อยแหล่ะ
พอจะไหล……...จะไหลท่านจะรู้สึกตัวเลยว่า อืม!...ไม่รู้แล้วว่ายาวหรือสั้น
ถอยออกมาใหม่ แล้วก็มาดูยาว/สั้น มันจะอยู่อย่างนี้
คือมันเป็นสภาพนามธรรมที่อธิบายไม่ได้ เนี่ย...แต่นี้อธิบายด้วยรูปก็...ก็โอเคแล้วล่ะ
ที่เหลือต้องไปสังเกตเอง อย่ามาถามผมว่า ‘เอ่อ...ตรงนี้ใช้ได้แล้วยัง?’
อันนั้น...ไปสังเกตเองว่ายาวหรือสั้น
พอมันทำถึงจุดจุดหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ผมก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะใช้เวลาเท่าไหร่…
7 วัน 7 เดือน 7 ปี หรือเท่าไหร่ ผมก็ไม่ทราบ บางคนก็แป๊บเดียว แน่ะ!
มันจะ...วันที่มันแยกออกมาได้แล้วเนี่ย มันจะผึงออกมาเองแหล่ะ
ท่านจะรู้สึกเลยว่า...’เฮ้ย!!!’
‘แล้วมีมั้ยที่ไม่รู้สึก บางทีฉันอาจเป็นแล้วแต่ฉันอาจไม่รู้สึก เป็นไปได้มั้ย?’
อันนี้ผมก็ไม่ทราบ ( หัวเราะ ) แต่เท่าที่คนมาบอกผมเนี่ย ส่วนใหญ่รู้ ...น่ะ
เพราะฉะนั้นต้องทำให้ถูก
ถ้าทำไม่ถูก ผมก็บอกว่ามันก็ทำอยู่อย่างนี้แหล่ะ
แล้วก็ไม่รู้ว่า ‘ไม่รู้’, ไม่รู้ว่า ‘ถูกหรือว่าไม่ถูก’...ไม่รู้
เพราะฉะนั้น ถ้าจะปฏิบัติให้มันได้ผล ไม่ใช่แค่มาปฏิบัติเพื่อว่า เที่ยวนี้ ปีนี้ ได้มาปฏิบัติแล้ว 2 ครั้ง
อะไรอย่างเนียะ แต่เป็นปฏิบัติเพื่อหวังที่จะเดินทางสู่มรรคผลนิพพานจริงๆ
…………..ก็ต้องฟัง !!! ฟังคำพระพุทธเจ้า ว่าท่านให้ทำยังไง แล้วก็ทำตาม
ผมก็...เดี๋ยวในตลอด 7 วันเนี่ย ก็จะนำคำมา แล้วก็มาสาธยาย
ให้เห็นทุกคำๆ ทุกคำ ทุกพยางค์ ทุกพยัญชนะ
คำทุกคำของท่าน มีความหมายหมดแหล่ะ
ทีนี้ในวันแรกๆ เนี่ย ก็พยายามจะให้ท่านทั้งหลายเนี่ย
เริ่มต้นจากการหยุดคิดก่อน เพราะความคิดเนี่ย มันก็เป็นเรื่องหยาบๆ ที่นำมาซึ่งทุกข์
เวลาเราคิดถึงอะไรแล้วใจเป็นทุกข์ เราก็เลยรู้สึกว่าความคิดนี่แหล่ะที่ทำให้เราทุกข์
มันก็จริงส่วนหนึ่งแหล่ะ...แน่ๆ เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นวันนี้เนี่ย
ก็เอาง่ายๆ เลย สมการแทนค่ากันเลย
ในเมื่อคิดแล้วทุกข์ ก็ทำให้มันคิดน้อยลง ทุกข์มันก็คงน้อยลงแหล่ะ...น่ะ
เริ่มต้นก็ใช้สมถะเบียดเข้าไปเลย ใช้สมถะเบียดเข้าไปเลย
ก็มันคิดอยู่ก็กลับมารู้ลม...แน่ะ พอรู้ลมก็คิดไม่ได้ เพราะมันรู้ได้ทีละอย่างหนิ...ใช้มั้ยครับ
ผมบอกให้ท่านรู้ก้น...ก้นก็มี
พอเผลอปั๊บ ท่านก็ไปคิด ทุกคนก็หายเข้าไปอยู่กับคิด
เดี๋ยวๆ ก็กลับมารู้ลม ความคิดก็ดับ เดี๋ยวมันก็กลับไปคิด
คิดอะไรแล้วใจก็เป็นทุกข์ ทุกข์กลับมารู้ลม เดี๋ยวก็ไปคิด คิดแล้วก็มารู้ว่าทุกข์
ทุกข์กลับมารู้ลม มันก็รู้ไปทีละอย่างนี่แหล่ะ
... ...ก็รู้ลม เนี่ย!...สมถะง่าย แทนค่ากันหนึ่งต่อหนึ่ง
แต่พอใจมันตั้งมั่นขึ้น เดี๋ยวมันก็เห็น
พอวิญญาณดับจากสังขารคือความคิดปรุงแต่ง มาอยู่กับรูป
สังขารก็ดับ ความคิดก็ดับ
รูปก็เกิด ลมก็เกิด
แต่อย่าเผลอๆ ไปคิด ตรงนี้ไม่เห็น...แต่ไปเห็นตรงนี้
ก็มีอยู่แค่เนี่ยอ่ะ ก็นี่เรายังไม่รู้จักขันธ์ห้า เราก็เลยนึกว่า เราคิด เรารู้ลม
มันเลยเสร็จเลย... เรา คิด
ทำไมคิดไม่ยอมหยุด ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด ก็เพราะเอาเราเข้าไปดูไง... เราคิด
แล้วก็เดี๋ยวก็...เอ่อ...เฮ่อ!...ต้องคอยลากมาอยู่เรื่อยๆ
ท่านพูดกับผมเรื่อย เดี๋ยวๆ ก็เผลอไปคิดอีกแล้วอาจารย์
เดี๋ยวก็พยายามลากมันกลับมาอยู่กับลม ลากกันทั้งวันเลยวันนี้
ลากอยู่นี่... ไม่ใช่แล้ว...มันเป็นอย่างนี้ (สาธิตด้วยไฟฉาย )
ทำไมต้องใช้ไฟฉายช่วย เพื่อให้สร้างนิมิตให้มันถูกหน่อย
ตอนนี้...ท่านสร้างอย่างนี้ อย่างนี้ก็ไม่เกิดดับสิ เป็นของกูล่ะ...ความคิดนี่
.อืม...รู้ลมอยู่ อ่ะ...ไปอีกละ อืม...อืม…
ท่านจะเห็นภาพนี้...ถูกมั้ยฮะ อ่ะ…
เห็นภาพนี้ ปั๊บ...ดับ...เกิด ถ้าอย่างนี้ เดี๋ยวก็เห็นเกิดดับ
อย่างนี้พอจิตตั้งมั่นก็ไปเห็นวิปัสสนา ก็เห็นแล้ว เริ่มเห็นการเกิดดับขึ้น
แต่ก็ยังไม่ใช่วิปัสสนาแท้ๆ ล่ะน่ะ นี่ไม่ได้รู้แจ้งขึ้นมา ก็แค่เห็นการเกิดดับไป
….เห็นการเกิดดับ…..ใครก็เห็นได้ !!!
คนที่ไม่ได้เข้ามาฝึกก็ได้เห็นได้เหมือนกัน กายเกิดดับก็เห็นง่าย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “คนนอกศาสนานี่ก็เห็นได้ว่า กายไม่ใช่เรา”
กายนี้เกิดดับ
มันเกิดดับอยู่แล้ว อายุ 80 ปีเต็มที่ มันก็ดับอยู่แล้ว
อันนั้นเห็นแบบหยาบๆ เลย ก็เห็นได้ ท่านบอกก็เห็นได้
“แต่จิตเกิดดับ คนนอกศาสนาเห็นไม่ได้” ไม่มีทางเห็น เพราะต้องอาศัยการเจริญมรรค
แล้วการเจริญมรรค ก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดทีเดียวนะ
อย่างเราได้ยินมาการปฏิบัติธรรมเค้าบอกว่าให้เจริญสตินะ
เจริญสติ เจริญสติบน กาย เวทนา จิต ธรรม
เอาล่ะ... ฟังดูก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร บางทีก็มีโยคะด้วย...นะ
ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับโยคะ นะ เดี๋ยวจะเข้าใจผิด
พอเล่นโยคะก็บอกว่า เป็นการทำ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เล่นโยคะเนี่ย...นะ ถ้าเรากลับไปดูคำว่า “กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” เนี่ย
ในพระไตรปิฎก จะเขียนว่า พิจารณากายในกาย เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
แล้วก็จะเห็นว่า กายนี้ไม่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา
เอาล่ะ...
หลายคนคงได้ยินคำนี้มาบ่อยแล้ว แล้วเกี่ยวอะไรกับโยคะ
ผมถามท่านที่เล่นโยคะ หรือแม้ไม่ได้เล่นก็ตาม ที่ท่านก็พอจะนึกออก
เค้าบอกให้สังเกตอาการเคลื่อน...น่ะ เวลาที่ท่านเล่นโยคะสังเกตอาการเคลื่อน
เค้าก็เรียกว่า ‘นี่คือสติสัมปชัญญะ’ …ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าบอกว่า ‘กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน’ ...มีปัญหา
ผมยังไม่เคยเห็นคนเล่นโยคะคนไหนที่เล่นไปแล้วอยู่ๆ
มันโพล่งว่า นี่ไม่ใช่ของเรา นี่ไม่ใช่เรา นี่ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ผมเห็นคนเล่นโยคะทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์...
“โฮ่ะๆ...หุ่นดีโว้ย ช่วงนี้เล่น ดูกระจก...อืม... เอว เออว ลดลงเยอะเหมือนกัน...น่ะ ร่างกาย fit & firm...”
ผมไม่เห็น ไม่เคยเห็นใครเลย ที่เล่นแล้วถอนความยึดมั่นถือมั่นในกาย
ผมเห็นยิ่งเล่นยิ่งยึดมั่นถือมั่นว่า กายกู หุ่นกูดี
แล้วไหนอ่ะ แล้วเมื่อไหร่จะบรรลุ เมื่อไหร่จะบรรลุ
พูดกันอย่างนี้ สอนกันอย่างนี้ มันถึงเป็นอย่างนี้
( เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับบ้านเลยนะ )
ทีนี้เอาความจริงมาพูดกันดีกว่า
ก็เพราะทำแบบนี้ไง เวลาเดินจงกรม เวลาดูอิริยาบถ มันจึงกลายเป็น กูเข้าไปดูของกูหมดเลย
แล้วมันจะเหลือมั้ยเนี่ยงานนี้ ?
ที่นี้จะทำยังไงล่ะ… ทำยังไงให้จิตกลับมาตั้งมั่นก่อน
แล้วก็ฟังสัมมาทิฐิไปเรื่อยๆ ต้องเปลี่ยนทางแล้ว
เพราะถ้าขืนทำตามๆ ตามๆ กันไปอย่างนี้ตายแน่ ไม่ใช่อะไรหรอก
เมื่อพุทธพจน์บทนี้แล้วเนี่ย อ่ะ!... ผมจะอ่าน
[ ของหายากในโลกที่พระพุทธเจ้าตรัส
“ ภิกษุทั้งหลาย! ถ้าสมมติว่า มหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้ มีน้ำท่วมถึงเป็นอันเดียวกันทั้งหมด, บุรุษคนหนึ่ง ทิ้งแอก (ก็คือไม้ไผ่) ซึ่งมีรูเจาะได้เพียงรูเดียวลงไปในน้ำนั้น, ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันตก, ลมตะวันตกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศเหนือพัดให้ลอยไปทางทิศใต้, ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ, อยู่ดังนี้ ในน้ำนั้น มีเต่าตาบอดตัวหนึ่ง ล่วงไปร้อยปีๆ มันจะผุดขึ้นมาครั้งหนึ่ง” ]
เอาล่ะ!... เราลองมาสังเกตอุปมาที่พระพุทธเจ้าตรัส
ท่านบอกว่า โลกใบนี้มีแต่น้ำอย่างเดียว ไม่มีดินเลย อุปมาสมมุติ
ทำไมท่านต้องพูดอย่างนี้ เพื่อให้เห็นว่าน้ำมันเยอะขนาดไหน เอาดินออกให้หมด
บุรุษคนหนึ่งทิ้งแอกไม้ไผ่ อ่ะ!...ยุคเราเอาให้ง่ายหน่อย
กระบอกข้าวหลาม แล้วเจาะรูรูหนึ่งที่กลางกระบอก แล้วโยนลงไป
พระพุทธเจ้าบอกว่า ลมตะวันออกพัดไปทางทิศตะวันตก ลมอะไรเนี่ย…
เพื่อทำให้เห็นว่า เมื่อลมพัดมา กระบอกไม้ไผ่จะลอยไปโดยอิสระ
เพราะฉะนั้นควบคุมกระบอกไม้ไผ่นี้ไม่ได้เลย มันจะลอยของมันไปเรื่อยๆ
ในน้ำมีเต่าตัวนึง เห็นมั้ยครับว่าท่านเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปอีก
เต่านั้นตาบอดด้วย เพื่อให้มันดูยากขึ้นไปอีก บอดไม่พอ ร้อยปีถึงจะขึ้นมาหายใจ
ไม่ใช่เหมือนเต่าตัวอื่นที่ขึ้นมาบ่อยๆ แต่นี่ร้อยปีขึ้นมาทีเดียว
ดูอุปมาของท่าน ใส่ความยากเข้าไป เงื่อนไขให้มากที่สุด
หลังจากนั้นท่านถามภิกษุว่า
“เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร จะเป็นไปได้มั้ยที่เต่าตาบอดร้อยปีจะผุดขึ้นมาสักครั้งนึงเนี่ย
จะยื่นคอเข้าไปในรูซึ่งมีอยู่รูเดียวในแอกนั้น”
วันนี้ท่าน...ผม..ท่านฟังอุปมา ท่านนึกภาพเต่า
ท่านนึกภาพกระบอกข้าวหลาม ท่านนึกภาพมหาสมุทร
ทุกอย่างมันอยู่รวมกันเป็นก้อนอยู่ในหัวท่าน
ผมจึงต้องเพิ่มใหม่ ผมพาโยคีเนี่ยออกไปปฏิบัติธรรมอยู่กลางเกาะกลางทะเลครั้งนึง
ขณะที่เรือวิ่งอยู่กลางทะเล ซึ่งมีแต่มหาสมุทร ทะเลเวิ้งว้างไปหมด
ผมถามว่า ถ้ามีกระบอกไม้ไผ่ลอยอยู่ตรงนี้ ท่านคิดว่า เต่าตาบอด ร้อยปี..
สมมุติว่าครบร้อยปีพอดี มันโผ่ขึ้นมาเนี่ย หัวมันจะเสียบเข้าไปพอดีมั้ย
ทุกคนเห็นมันเวิ้งว้างไปหมด ตอนนี้เต่าตาบอดมันอาจจะกำลังดำน้ำอยู่ที่อเมริกา
แล้วหัวมันจะเสียบมาเจอไอ้กระบอกที่อยู่เมืองไทยได้ยังไง
แล้วพอมันจะว่ายมาเมืองไทย มันก็ตาบอดด้วย
แล้วเดี่ยวพอ...สมมติว่ามันพอจะได้กลิ่นกระบอกไม้ไผ่ ลมก็พัดไปทางทิศประเทศจีนแล้ว !!
เสร็จ...ไม่ต้องเจอกัน
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าอุปมาของพระพุทธเจ้านี่ยากมาก
ภิกษุจึงบอกว่า “ข้อนี้ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า! ที่เต่าตาบอดนั้น ร้อยปีผุดขึ้นมาเพียงครั้งเดียว จะยื่นคอเข้าไปอยู่ในรู ซึ่งมีอยู่รูเดียว ในแอกนั้น”
[คำพระพุทธเจ้าตรัส] “ภิกษุทั้งหลาย! ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ใครๆ จะพึงได้ความเป็นมนุษย์”
เราเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า อย่านึกว่าได้อัตภาพนี้มาตลอดนะ
อย่านึกว่าชาติที่แล้วเป็นอย่างนี้นะ แล้วก็อย่านึกว่าชาติหน้าจะได้อัตภาพนี้ด้วย
เพราะไม่งั้นพระพุทธเจ้าไม่อุปมาขนาดนี้นะ
[คำพระพุทธเจ้าตรัส] “ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดขึ้นในโลก” อันนี้เราพอเข้าใจได้
[คำพระพุทธเจ้าตรัส] “ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก”
สำคัญที่สุดตรงนี้ล่ะ...
[คำพระพุทธเจ้าตรัส] “ภิกษุทั้งหลาย! แต่ว่าบัดนี้ความเป็นมนุษย์ก็ได้แล้ว, ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็บังเกิดขึ้นแล้วในโลก, และธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว”
[คำพระพุทธเจ้าตรัส] “ภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงกระทำโยคกรรมเพื่อให้รู้ว่า ‘นี้ ทุกข์, นี้ เหตุให้เกิดทุกข์; นี้ ความดับแห่งทุกข์, นี้คือ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์’”
“พวกเธอพึงกระทำโยคกรรม”
อะไร คือโยคกรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัส
โยคกรรม ถ้าไปเปิดคำแปล “การกระทำอย่างเป็นระบบ อย่างเป็นรูปแบบ
สิ่งนั้นคือ อริยมรรคมีองค์แปด เมื่อเธอเจริญอริยมรรคมีองค์แปด
เธอจะรู้ว่า นี้ทุกข์………………..นี้เหตุให้เกิดทุกข์
นี้คือความดับทุกข์ ……………...นี้คือหนทางแห่งความดับทุกข์
…………. เธอจะรู้แจ้งอริยสัจขึ้นมา…………………….
วันนี้เราไม่รู้จัก มรรคมีองค์แปด เราจะเดินทางกันยังไง…
ผมสงสัยจริงๆ ท่านเข้ามาปฏิบัติธรรม ...
เอาตรงไปตรงมาเลยนะ คอร์สนี้ตรงไปตรงมาเลย เพราะไม่แน่อาจจะไม่ได้มาอีก
ต้องพูดให้มันตรงไปตรงกันที่นี่ที่เดียวแล้วอัดเทปไว้เลย
ทุกหลักสูตร บอกให้ท่านเข้ามาเจริญสติ เข้ามาดู กาย เวทนา จิต ธรรม
ถ้าไปดูในอริยมรรคมีองค์แปด สิ่งนี้คือมรรคองค์ที่เจ็ด ในสัมมาสติ
แล้วบอกให้เลยว่า มรรคองค์นี้น่ะ สุดยอด
นี่คือ เรือธง
นี่คือ cutter
เอาล่ะ! ท่านเข้ามาถึง ท่านเข้ามาเจริญสติ เห็น กาย เวทนา จิต ธรรม เกิดดับ
“เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไป”
เอาล่ะ! ผมว่าไม่มีปัญหาอะไรหรอก ...ผมพักตรงนี้ไว้ก่อน
มีผู้ชายคนนึง เค้าเจริญสติในชีวิตประจำวัน
แล้วเค้ามาถามผมว่า ‘อาจารย์ ผมนี่เห็นการเกิดดับมา 2 ปีละ ผมต้องทำยังไงต่อ?’
ผมก็เลยถามว่า ‘แล้วคุณเห็นการเกิดดับยังไง?’
[คำตอบของชายผู้นั้น...] ‘เวลาผมเล่นเกมส์ ผมเห็นความบีบคั้นที่อยากจะเอาชนะ
เสร็จแล้วพอผมชนะ ผมก็รู้สึกเห็นความดีใจ
พอบางครั้งผมแพ้ ผมก็เห็นความเสียใจ ผมเห็นความดีใจเกิดขึ้น ความดีใจดับไป
ความดีใจเกิดขึ้น ความดีใจดับไปบางครั้งก็เกิดความบีบคั้น บีบคั้นเกิดขึ้น บีบคั้นก็ดับไป
………..แล้วผมต้องทำยังไงต่อ?’
‘เลิกเล่นเกม!’ แต่ถ้าคุณเลิกไม่ได้ ก็มีอีกวิธีนึง
แต่ถ้าคุณศึกษามรรค คุณโดนข้อนี้ตั้งแต่มรรคองค์ที่ 2 แล้ว
ตั้งแต่การ เนกขัมมะออกจากกาม แล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำอยู่อย่างนี้เนี่ย คุณแค่กูเห็นอารมณ์ของกู คุณทำยังไงคุณก็ไม่พ้นทุกข์หรอก
ผมอุปมาให้เค้าฟังว่า ถ้าผมให้คุณไปยืนอยู่ข้างบ่อน้ำเน่า ที่น้ำเน่าสกปรก
พื้นบ่อสกปรกมาก มันส่งฟองก๊าซขึ้นมาปุด
แล้วก็แตกโพละ เป็นฟองก๊าซไข่เน่า แล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็แตก
ผมให้คุณยืนดูอยู่ที่ริมบ่อนั่น คุณก็จะเห็นฟองก๊าซไข่เน่าเกิดขึ้นดับไป เกิดขึ้นดับไปตลอดเวลา
ผมถามว่าถ้าคุณดูอยู่อย่างเนี่ย เมื่อไหร่มันจะหมด
เค้าบอกว่า ‘ไม่หมด’ ………...ทำไมถึงไม่หมด
[คำตอบของชายผู้นั้น...] ‘ก็น้ำเน่า บ่อเน่า มันก็ออกเป็นก๊าซ’
...ใช่! ก็นี่ไงคุณเห็นการเกิดดับ แล้วทำไมหรอ……...
แต่คุณไม่ได้จัดการลอกพื้นบ่อ ถ่ายน้ำ เปลี่ยนน้ำ คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
ถ้าคุณไม่เจริญมรรคในชีวิตประจำวัน เพราะคุณไม่รู้จัก เพราะไม่มีใครพูดถึงเลย
คุณคิดหรือว่า คุณเข้ามาดูน้ำเน่าที่ผุดออกมาจากใจคุณเนี่ย
จากที่คุณสั่งสมไว้ข้างนอกเนี่ย... 5 วัน 7 วันที่นี่
แล้วคุณจะได้อะไรหรอ เพราะคุณกลับลงไป กลับออกไป
คุณก็ไปโยนขยะลงไปในบ่อน้ำเน่าต่อ! ...นี่ตรงไปตรงมาแล้วนะ
แสงไฟมาจากไฟฉาย [เปิดไฟฉาย]
เมื่อไหร่ไฟจะดับครับ... ไม่มีทาง นอกจากอะไร... นี่ถึงจะดับ หรือไม่ก็... เอาถ่านออก...ดับ
แต่ถ้าทำอยู่อย่างนี้...ไม่มีวัน? มี!...เดี๋ยวก็แบตฯ หมด
ไม่ต้องห่วง เพราะว่าแบตฯ ไม่หมด
เพราะมีตัณหาผู้สร้างภพอยู่ มีตัณหาหมุนให้แบตฯ รีชาร์ตตลอดเวลา
แบตฯ นี้ไม่มีหมด เหตุเกิดไม่เคยจบ
ใจเย็น!...อย่างเพิ่งถอดใจ ไม่ยากขนาดนั้นหรอก
เพราะว่าถ้ารู้ความจริง ผมบอกได้คำเดียวว่า ‘แป๊บเดียว’ ทำอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส
‘แป๊บเดียว’ ท่านถึงกล้าบอกว่า 7 วัน
ผู้มีปัญญา ผู้มีปัญญาปานกลาง 7 เดือน
มีปัญญาน้อยๆ หน่อย 7 ปี หึ หึ (หัวเราะ )
เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วง ต่อให้เราน้อยแค่ไหนก็ตาม ขอให้เดินให้ถูกก็แล้วกัน
วันนี้เนกขัมมะ 7 วันกลับออกไป เราทำเหมือนเดิม
แล้วก็อีก 365 วันกลับมาใหม่ มาเนกขัมมะอีกที ไม่หายไปไหน
แต่สั่งสมไว้ชาตินู้นนน...อ่ะ เพราะอริยทรัพย์ไม่มีหายอยู่แล้ว
พอจะเอาจริง เราก็รู้สึกว่า ฮืม...มันยากเหมือนกันนะ
ไอ้นั่นก็อยากกิน ไอ้นี่ก็อยากทำ ไอ้นั่นก็... บ้านก็ยังอยากกลับ
ไอ้นั่นก็...มัน... ก็มันยากตรงนี้ ถ้าจะยากอ่ะนะ
แต่ถ้าปฏิบัติได้มันก็ไม่อยากหรอก
แต่ก็มีคนที่เค้าเห็นโทษภัย เค้าก็ทำเต็มที่ ไม่ได้แปลว่าต้องออกบวชหรือเปล่า
ในเพศฆราวาสก็ยังพอทำอยู่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีแรงดึงดูดค่อยข้างมากหน่อย
……………..เพราะวันนี้……………..
คำสอนของพระพุทธเจ้ายัง ยังอยู่ครบด้วย ถึงแม้จะ 2600 ปีก็ตาม
สาวกทั้งหลายที่เป็นสาวกของท่าน วิ่งไปเปิดประตูคุก กระชากประตูคุก
ไปซื้อที่ตัดเหล็กมาเปิด ใช้กำลังทุกอย่าง กระชากประตูคุกจนเปิดออก
ดีใจเนื้อเต้นเลย วิ่งเข้าไปตะโกนเลย บอกว่าประตูคุกเปิดแล้ว
พวกเราหนีได้แล้ว เรามีทางออกแล้ว เรามีสิ่งที่พระพุทธเจ้าฝากไว้ยังอยู่
วิ่งตะโกนไปตะโกนไปด้วยความดีใจ พอวิ่งกำลังจะออกประตูหันไปดู
………...ไม่มีใครเดินตามมาเลย……………….
เฮ้ย!...เลยวิ่งกลับไปใหม่ นึกว่าเค้าไม่ได้ยิน ตะโกนใหญ่เลย
เห็นในทุกห้องขังเลย ไม่มีใครเดินออกมาเลย
มองไปในห้องขัง ทีวี LED 50 นิ้ว จอแบน ผ่อน 0% 10 เดือนด้วย
มีแอร์อย่างดี สุขภัณฑ์เลิศหรู เตียง Dunlopillo ผ้าห่มไหมจากเมืองจีน
เป็นไหมแบบ..ไหมแบบ…ไหมตายในท้องแม่อะไรก็ไม่รู้ [หัวเราะ]
ผมเคยไปซื้อ มันหลอกเอา มันบอกว่าจะปรับได้ทุกอุณหภูมิ
เอาออกแทบไม่ทัน...ร้อน
ไม่มีใครออกจากห้องขังเลยอ่ะ
แล้วจะไปกันยังไงอ่ะ ทุกคนบอกว่า เออะ...เอาหนังสือน่ะ วางไว้หน้าห้อง
เดี๋ยวหนังจบเดี๋ยวจะหยิบ ไปไหนก็ไปก่อนล่ะกัน ไปดูห้องหน้าก่อน
ไม่มีใครขยับ !!! ไม่มีใครยอมเนกขัมมะ !!! ไม่มีใครยอมเลิกอะไรทั้งนั้น !!!
แต่จะเอาสิ่งที่ตัวเองปรารถนา
แล้วก็มีคนบอกว่าทีนางวิสาขาเนี่ยะ ก็ยังเป็นพระโสดาบันได้เลย
มีเครื่องเพชรตั้งเยอะ ยังร่ำรวย
นางวิสาขาเนี่ย เธอรู้สึกกับเครื่องเพชรของเธอเนี่ย
เหมือนข้าราชการที่ต้องใส่อินทรธนูใส่หมวกอ่ะ เป็นภาระนะ
ทุกครั้งที่เธอออกจากงานแล้วเธอถอดหมด เธอถอดหมด
ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ถอดหมด จนมีเรื่องอ่ะ
เธอไม่รู้สึกหืออือกับหินพวกนี้น่ะ แต่ต้องใส่ตามหน้าที่
เพราะว่าเศรษฐีในสมัยก่อนเป็นการแต่งตั้งของพระราชา
เธอรวย...ใช่ เธอสวย...ใช่ แต่ก็ไม่เกี่ยวนี่
เธอไม่ได้รู้สึกกับสิ่งเหล่านั้นเลย อนาถบิณฑิกะก็เหมือนกัน
แต่เรารู้สึกกับเครื่องเพชรเราแบบไหนล่ะ ?
เรารู้สึกกับรถยนต์ ทีวี บ้าน ของเราแบบไหนล่ะ ?
มันต่างกันนะ จนกว่าเราจะเห็นความจริง
เราเริ่มเนกขัมมะ เรามานั่งอยู่ตรงนี้ ใจเราโหยหา
……….. เราโหยหาถึงวันสุดท้าย ……...เมื่อไหร่จะวันสุดท้าย
นั่งสมาธิก็เมื่อไหร่จะนาทีที่ 30 ตลอด พวกเราจะรู้สึกอย่างนี้ตลอด
งั้นวันนี้ทำยังไงเราถึงจะกลับมาอยู่กับความจริง
เห็นความจริง เห็นเส้นทางเดินเนื่องจากเวลาเนี่ย
อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเนี่ย โอกาสที่กลับมาเกิดที่เป็นมนุษย์เนี่ย มันมีอยู่น้อยเหลือเกิน
น้อยมาก แล้วอายุของเราก็ไม่มากเลย บวกลบ 75 ปีเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ฟังคำของพระพุทธเจ้าให้หมดว่าท่านสอนยังไงกันแน่
ทำไมวันนี้ผมถึงกลับมาฟังกลับมาอ่าน
ปฏิบัติไป…..ผมยอมรับล่ะว่าผมงง จนกระทั่งถามตัวเองว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ยังไงง่ะ
ท่านสอนสาวกท่านว่ายังไง เมื่อ 2600 ปี สาวกทำยังไงกัน
ผมสงสัยกันมากเลย ทำอย่างที่เราทำกันหรือเปล่าอ่ะ
ผมจึงไปซื้อ อริยสัจจากพระโอษฐ์ ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องพระไตรปิฎก
แต่เคยปฏิบัติ ก็ปฏิบัติธรรมมาอย่างที่ท่านเคยอ่าน ดูจิตหนึ่งพรรษาบ้าง...อะไรบ้างนะ
ผมก็ค่อยๆ เริ่มกลับมาอ่านทีละหน้าๆ แล้ว อ่านไปพอหมด 800 หน้าแรก
เอาล่ะสิ... อ่านต่อไปเรื่อยๆ เข้าหลักพันกว่า อ่านไปก็อัดเทปไป เพราะต้องมาเปิดฟังอีก
อัดเทปเอง อ่านไปเรื่อยๆ แล้วก็อัดเทป ใส่ตัวเองไปเรื่อยๆ แล้วก็ฟัง ฟัง ฟัง
ถึงได้บอกว่า...ตายแล้ว…!........ผมไม่ได้ว่าอะไร
แต่วันนี้พวกเรามีโอกาส ในหลักสูตรนี้ทั้งหมด
ผมจะเอาคำพระพุทธเจ้าออกมาบอกท่านทั้งหมด
เอาล่ะ... ผมไม่ได้บอกว่าผมจะเป็นตัวแทนที่ไปอ่านให้ เพราะผมก็อยากให้ท่านอ่านเอง
แต่ในทุกบท ผมจะให้ท่านอ่านเอง ผมจะเพียงช่วยเหลือด้วยการสาธยายเท่านั้น
แล้วท่านก็ทำตามไป ทำตามที่พระพุทธเจ้าบอก ท่านอาจจะได้เห็นความจริงอะไรขึ้นมา
ฉะนั้น มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด
ถ้าเราคิดได้ …. เราบรรลุไปแล้ว ไม่ต้องอาศัยปัญญาการตรัสรู้
เราคิดอะไรล่ะ เราเชื่ออะไรล่ะ มันแค่อยู่ในกรอบความคิดของเรา
มนุษย์เชื่อว่าโลกใบนี้แบนเมื่อพันปีก่อน โลกมันเคยแบนซะเมื่อไหร่
คนทั้งโลกเชื่อว่าโลกใบนี้แบน มาถึงวันนี้คนทั้งโลกดีใจว่า รู้แล้วว่าโลกใบนี้กลม มันไม่ได้แบน
มันก็ไม่ได้กลับมากลมตามที่เราเชื่อ เค้าเป็นของเค้าอยู่อย่างนั้นน่ะ
ใครจะเชื่อว่า ‘ใช่’ ก็ไม่สน
เชื่อว่า ‘ไม่ใช่’ ก็ไม่สน
ความจริงเป็นยังไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น เค้าเรียกว่า “สัจธรรม”
สัจธรรมถึงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาล
งั้น วันนี้มันไม่ได้ขึ้นกับความเชื่อ มันขึ้นอยู่กับว่าความจริง คืออะไร
Globe บอกว่า “ไตรลักษณ์”
เราเข้ามาสังเกต เราเห็นใบไม้ร่วง...ไตรลักษณ์ เราเห็นน้ำท่วม เราเห็นความทุกข์เกิดขึ้นดับไป
ท่านอาจจะเคยได้ยินหรือไม่ เดี๋ยวผมจะเปิดให้ดูทีหลัง
ภูมิธรรมของพระโสดาบันนี่ ยังไงก็ต้องเห็นอนิจจัง
ท่านก็บอกชีวิตท่านน่ะ เกิดๆ ดับๆ เห็นความสุขความทุกข์ เยอะแยะไปหมด
เคยล้มเหลว เคยประสบความทุกข์ อะไรเยอะแยะ
เคยมีความสุข เคยหมดความสุข ทำไมไม่เห็นบรรลุอ่ะ
ตกลงเห็นอนิจจังที่ไหน? ต้องเห็นอนิจจังที่ ขันธ์ห้า
ถ้าไม่เห็นอนิจจังที่ขันธ์ห้า มันจะเกิดเป็นอัตตา
วันนี้เนี่ย ถ้าเราได้ยินคำว่า “สักกายทิฐิ” คือความเห็นผิดในความเป็นตัวตนเนี่ย
พระโสดาบันละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนได้เนี่ย ไม่ใช่เพราะเห็นอนิจจังใบไม้ร่วง
เคยคิดว่าเนี่ยเป็นอัตตาของเรา เป็นตัวเรา
แต่พอเห็นมันเกิดๆ ดับๆ เกิดๆ ดับๆ ทุกขังก็เข้าไปยึดถือเนี่ย จึงได้ปลงวางลง
พอปลงวางลงก็เลยละความเห็นผิดในความเป็นตัวตนนี่
จริงๆ มันเป็นแค่ขันธ์ห้า มันไม่ใช่เรา พอวางลงได้ มันถึงจะรู้แจ้งขึ้นมา
เพราะฉะนั้นวันนี้ มันถึงต้องดู แล้วก็ต้องเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าชี้ทางไปทางไหน
วันนี้เราเหมือนกับนักกีฬาโอลิมปิกที่ยืนอยู่จุด start พอกรรมการปล่อยตัวยิง...ปั้ง
มันนั่งสมาธิ เดินจงกรมกันเลย คือไม่รู้ว่าไปทางไหนอ่ะ
ตอนนี้มันแตกกระสานซ่านเซ็นหมด บางคนสั่งสมมาดี ก็วิ่งตรงทางดิ่งเลยอ่ะ
ไปที่เชียงใหม่ ไปที่ปลายทาง
บางคนก็ไม่รู้ว่าไปทางไหน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองไปผิดทาง แล้วก็ไม่มีใครบอกด้วย
แล้วถึงบอกบางทีก็ไม่มีคนแก้ให้ เพราะไม่รู้จะตามแก้ยังไงไหวตั้งเยอะแยะไปหมด
งั้นวันนี้มาศึกษาก่อนดีกว่าว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่ายังไง
จะเดินไปทางไหน จะเอากันยังไง อะไรคืออะไร
เรื่องการนั่งสมาธิเดินจงกรมเนี่ย ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก เป็นการสร้างกำลัง
เหมือนกับนักกีฬาเนี่ย ไปกระโดดเชือกในโรงยิมฯ เนี่ย ก็อย่างน้อย อย่างน้อยก็ได้กำลัง
อย่างไม่ได้อะไรเลยเนี่ย สมถะอ่ะ ยังไงก็ได้กำลัง
ได้กำลังแล้วก็มาปรับมาเป็นความตั้งมั่นของจิต
พอปรับมาเป็นความตั้งมั่นของจิต เดี๋ยวก็เห็น
ส่วนมรรคองค์อื่น เดี๋ยวค่อยมาศึกษากัน วันพรุ่งนี้บ้าง วันมะรืนนี้บ้าง ไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวท่านก็จะเห็นเส้นทางที่ถูกต้อง พอเห็นเส้นทางที่ถูกต้อง เข้าใจที่ถูกต้อง
ก็จะเข้าใจเลยว่าทำไมสมัยพุทธกาลเนี่ย
ไม่เห็นเค้าเดินจงกรมนั่งสมาธิกันเลยอ่ะ ทำไมเค้าผลุบผลับผลุบผลับผลุบผลับกันทีนึง 84,000 คน
ผลุบผลับผลุบผลับเต็มกันไปหมดน่ะ พวกเค้าไม่มีอย่างเรานี่
เค้าไม่มีกามที่เข้าไปติดขนาดนี้
ยุคของเราเนี่ยที่เราบอกว่าโลกของเราเจริญนี่ มันเป็นเรื่องดีของพวกเราที่สบาย
แต่หากท่านหวังมรรคผลนิพพานเนี่ย ทุกคนจะพูดเหมือนกันเลยบอกว่า
“โอโหย...กรรมจริงๆ ที่เกิดมาช่วงนี้”
เครื่องอำนวยความสะดวกมันเยอะมาก จนติดกันหนึบหนับไปหมด
ที่ท่านลงไปติดเนี่ย คือท่านติดลบกันหมดแล้วนะ
ถ้าอยู่ใกล้ๆ ศูนย์เนี่ย คือคนที่เค้าไม่ต้องเนกขัมมะ
คนที่เค้าไม่ต้องเนกขัมมะก็เพราะเค้าไม่ติดกามเลยเนี่ย
เค้าเพียงเข้าใจให้ได้ว่า นี่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราเนี่ย มันก็หลุดไปเป็นเปลาะๆ แล้ว
แต่ในเมื่อเราติดลบมาเนี่ย มันหนึบหนับไปหมดเหมือนตกลงไปในท้องร่องที่เป็นโคลนอ่ะ
คนอื่นเค้ายืนกันอยู่บนถนนน่ะ แค่นั้นเค้าก็เดินไปได้เลย
แต่ของเรา กว่าจะปีนขึ้นมาบนถนนเนี่ยะ เหนื่อยยากแล้ว
เพราะฉะนั้นนี่ไงในธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัส ทางสุดโต่งสายแรก
พอตรัสรู้เสร็จพูดคำนี้ก่อนเลย ทางสุดโต่งสายแรก คือกามสุขัลลิกานุโยโคเนี่ย
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า เป็นของต่ำทราม เป็นของชาวบ้าน
ไอ้พวกอย่างกินอะไรกิน อยากเป็นอะไรเป็น อยากไปไหนไป อยากซื้ออะไรซื้อเนี่ย
เป็นคนแบบ...ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า
เป็นของต่ำทราม เป็นของชาวบ้าน เป็นของชนชั้นปุถุชน
...ไม่ได้ว่าหรอก [หัวเราะ] ...ฮึฮึ
แต่พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้จริงๆ
สาวกที่มีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสารเนี่ย ต้องถอนตัวออกมาเอง
ภิกษุทั้งหมด ถึงโดนธรรมวินัยตีกรอบเอาไว้
แต่ฆราวาสอย่างเรา ต้องเนกขัมมะเอง อย่างที่ท่านกำลังอยู่เนี่ย
อย่างท่านกำลังอยู่เนี่ย เนกขัมมะ จนกระทั่งเห็นโทษภัยของมัน เห็นโทษภัยของมัน
เพราะวันนี้แค่เนกขัมมะ แต่ไม่เห็นโทษภัย กลับไปจึงใช้เหมือนเดิม
แล้วก็มาเนกขัมมะใหม่ กลับไปก็ใช้เหมือนเดิม
ตกลงถ้าเนกขัมมะ แล้วต้องใช้ แล้วใช้ไม่ได้เลยหรอ?...
ใช้ได้ แต่ต้องไม่เข้าไปติด ตรงนี้ที่ยากกว่าพระล่ะ
เพราะฉะนั้นการเดินทางบนเส้นทางของฆราวาสจึง ยาก กว่า
ไม่ได้บอกว่า ไม่ถึง แต่ยากกว่า
ไม่ได้บอกว่า ช้ากว่า แต่ยากกว่า
ยากกว่าตรงนี้ ………….แต่เมื่อไหร่เข้าใจ แล้วก็วางได้จริงๆ เพราะเห็นโทษภัยแล้วก็วางเนี่ย
มันจะเหมือนน้ำสกปรกที่กลิ้งอยู่บนใบบัว
ท่านจะอยูในสังคมหรือกลับไปอยู่ในโลก
เหมือนน้ำสกปรกที่กลิ้งอยู่บนใบบัว จะสกปรกแค่ไหนก็ไม่ติด
แต่วันนี้เราเป็นทิชชู น้ำสกปรกมา เราดูด...ฟลุบ...เข้าไปหมด
น้ำสีแดง สีเขียวมา เราดูดหมด
ทั้งกุศล อกุศล เราดูดหมด มาเป็นของเราหมด
แต่ถึงวันที่เราเข้าใจ เรารู้แจ้งขึ้นมาทั้งน้ำสกปรกทั้งน้ำแดงน้ำเขียว จะกลิ้งอยู่บนใบบัว
เข้าไปอยู่ในใบบัวไม่ได้ ไม่ซึมเข้าไป ใบบัวไม่เอามาเป็นของเรา ไม่เอามาเป็นเรา
ฉะนั้นตอนนี้ วันแรกๆ อย่างที่ผมบอก
หนึ่ง เข้ามาเคยคุ้นกับความสงบก่อน เนกขัมมะเนี่ย เพื่อจะให้นิวรณ์เนี่ยสิ้นฤทธิ์
ถ้านิวรณ์ยังไม่สิ้นฤทธิ์ ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอก ปัญญาอันทุพพลภาพไม่มีทางที่จะเข้าถึงความเป็นอริยะ
…... ปัญญาจะทุพพลภาพ……..เพราะฉะนั้นเราพรากออกมาให้มันสงบ
ทีนี้เนื่องจากว่าเวลามันสั้นมาก เอ่อ...ถ้าท่านพรากออกมาทั้งชีวิต
ตั้งแต่วันนี้ไปเนี่ยฉันจะพรากออกจากกามเนี่ย...นี่มันคงไม่ยากหรอก
แต่ท่านกะพรากแค่ 7 วันเนี่ย มันเลยยาก
มันยากตรงที่ว่า ท่านจึงต้องเร่งปุ๋ย เมื่อเร่งปุ๋ย
ท่านก็ต้องใช้การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ละ ก็การละความปรุงแต่ง ท่านต้องละทุกอย่าง
เบื่อมั้ย?...เบื่อ มาอยู่เนี่ยเบื่อมั้ย?...เบื่อ
ทำไมถึงเบื่อ เพราะมันโหยหาสิ่งที่มันติด
มันก็เลยต้องพรากให้มาอยู่ฝั่งนี้ ให้มันชินก่อน ชินกับฝั่งนี้ก่อน
ให้มันเข้ามาอยู่ฝั่งนี้ แล้วความคิดมันมีปัญหาอะไรหรอ ต้องละ!
ก็บอกแล้วความคิดนี่มันอย่างหยาบๆ เล่อะ ถ้านั่งสมาธิ แล้วท่านคิด
ผมมักจะยกตัวอย่างง่ายๆ
เหมือนเด็กมีหลอดน้ำแซมพู หลอดจุ่มน้ำแชมพูแล้วเป่า
เด็กก็จะเป่า ลูกโป่งก็จะค่อยๆ โตขึ้นทีละนิด ก็ต้องเป่าเบาๆ
มันก็จะโตขึ้น โตขึ้น แล้วก็จะโตขึ้น ลูกใสๆ ใสๆ มีแสงแดดมากระทบก็เป็นสีรุ้ง ใสๆ ใสๆ
เป่า ก็โตขึ้นๆ ก็ลุ้นๆ ลุ้นๆ กลัวมันแตก บางทีก็น้ำแซมพูมันเข้าปาก...
ขณะที่ผมเป่าเห็นลูกโป่งมั้ยครับ…
ในใจท่านมีลูกโป่งมั้ย... ปรุงแต่งขึ้นมาเรื่อย แล้วก็มีอารมณ์ มีอารมณ์ ฟู่…
พอเป่าแรงๆ หน่อยปุ้บ มันก็ลอยไป [หัวเราะ] ...เห็นมั้ย เห็นการปรุงแต่งแล้วยัง...
อืม...ต้องทำอะไรมั้ย ท่านทำมันหรอ...
“สังขาร” เค้าเป็นของเค้าอย่างนี้
ไหน “เรา” อยู่ไหน...ไม่มี! เราอ่ะ...ใส่เข้าไปเอง…
แต่เดี๋ยวก่อนฟังไปอย่างนี้ก่อน…
พอมันลอยขึ้นไป...สร้างต่ออีก เอานิ้วจิ้ม.. ฟิ้วววว มันก็ ฟิ้ววววว ...หายไป
อาจจะมีหยดน้ำน้อยๆ น่ะ หล่นลงมา…………... จุ่มใหม่
ที่นี้ เป่าแบบแรงนิดนึงก็ออกดังปรู้ดดดดดด...ออกมา เต็มเลย เต็มเลย
และเดี๋ยวมันก็...ฟิ้ววววววๆ... ค่อยๆ แตกไปหมด
ขณะที่ท่านกำลังนั่งสมาธิ แล้วมันก็เกิดความคิด ก็เหมือนกับฟองแชมพูค่อยๆ โตขึ้น โตขึ้นๆ
ท่านก็ไปหลงใหลกับไอ้ฟองแชมพูนี่ หลงใหล หลงใหลกับฟองแชมพู
เสร็จแล้วพอ [เสียงระฆังน้อยๆ ดัง ‘ติ๊ง’] กลับมารู้ลม ฟิ้ววววๆ...ลูกโป่งหายหมดเลย
ผมถามว่า สมมติว่าท่านนั่งคิดอยู่ซัก 10 นาที
แล้วพอ [เสียงกระดิ่งดัง] มันแตก...ฟิ้วววว มีอะไรมั้ย………….ไม่มี!........
แล้ว 10 นาทีนั้นมีอะไร ….... ไม่มี!........
แต่มันก่อร่างสร้างซาก สร้างซากทิ้งไว้ในนี้...
เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นภพขึ้นมาในนี้... คุ้มมั้ย
รู้... บางคนก็มันอ่ะ คิดแล้วยังมันอยู่ ยังไม่อยากเลิก
มันเกิดความเพลิน มันเกิดความยึดติดในอารมณ์
ภาษาธรรมะก็เรียกว่า “สังโยคะ”
เกิดสังโยคะ ก็คือ การยึดติดในอารมณ์
สักพักก็เกิด “นันทิราคะ” ก็คือความเพลินในอารมณ์เข้าไปอีก
ก็ต่อเนื่องกันไปเนี่ย
ฉะนั้นใจเด็ดๆ หน่อย ปึ้ง...แค่ฟองแชมพู
อย่าให้มารบกวน อย่าเข้าไปยึดถือ ความคิดอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เหมือนฟองแชมพู
จัดการมันไปซะ แล้วก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ
การปรุงแต่งพวกเนี่ย ที่เราทำจน “ชิน ชิน ชิน ชิน” อ่ะ มันจึงดูอะไรไม่ออก
และถ้ามัวแต่ตามดูตามรู้ แบบที่ทำกันมาเนี่ย มันไม่เห็นนะ พวกเนี่ย
เพราะมันไปรู้อะไรล่ะ มันไปรู้สิ่งที่มัน...มัน...มันไม่ถอยตัวเองออกมาเป็นกรรมการอ่ะ
มันขลุกกันอยู่ เป็นกูรู้ ของที่เป็นของกู มันก็เลยเสร็จหมด เหมือนแม่ดูลูกนั่นอ่ะ อย่างที่บอก
งั้นวันนี้ ละการปรุงแต่งก่อน จิตจะเดินเข้าสู่ปฐมฌานตั้งมั่นได้เนี่ยะ
ในมรรคองค์ที่ 8 เนี่ยบอกไว้เลย จิตต้องปราศจากนิวรณ์ ปราศจากธรรมอันเป็นอกุศล
เพราะฉะนั้นในวันสองวันสามวันแรกนี่ “ละ ละ ละ ละ”
กลับมาเห็นอาการ “เคลื่อน เคลื่อน เคลื่อน เคลื่อน” ไปเรื่อยๆ
ละอกุศลแล้วเดี๋ยวจิตจะค่อยๆ ตั้งมั่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ทีละเล็กทีละน้อย
แล้วก็เป็นผู้สังเกต สังเกตอาการ “เคลื่อนไป เคลื่อนไป”
เบรคตรงนี้ก่อนนะครับ เดินจงกรม ไปเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ แล้วอีก 20 นาทีค่อยกลับมา
กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ
- ด้วยจิตคารวะ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น