โครงการปฏิบัติธรรมวันเดียว
ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ย.พ.ส.)
ถอดคำบรรยาย ของ อ.ประเสริฐ อุทัยเฉลิม [ ปฏิบัติธรรมวันเดียว ] ช่วงเช้า 1
ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น 4 อาคารธรรมนิเวศ ศูนย์ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ฯ
วันเสาร์ ที่ 31 สิงหาคม 2556
สวัสดีโยคีทุกท่านครับ
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พบกันที่ยุวพุทธ ศูนย์1 แห่งนี้
ในการบรรยายวันเดียวในครั้งนี้ คงจะเป็นอย่างที่คุณจิรายุบอก
ก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ เป็นซีรีย์ 3 ครั้ง
ความจริงทั้ง 3 ครั้งก็ไม่ได้เชื่อมโยงอะไรกันมากมายหรอกครับ
หัวใจของการบรรยายวันเดียวเนี่ยะ อยู่ที่ทำให้พวกเราพรากออกมาจากเรือนบ้าง
เข้ามาสู่การปฏิบัติภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิ ในศูนย์ปฏิบัติธรรม
แม้จะเป็นเพียง 1 วัน แต่ในหลาย 1 วันของแต่ละชีวิตที่ผ่านมาในสังสารวัฏ
ก็เป็นการสั่งสมความเห็นถูกเข้าไปเรื่อยๆ ไม่เคยหายไปไหน
เหมือนอย่างที่ผมเคยบอกว่า อุปมาเหมือนกับการหยอดกระปุก
เหรียญที่ท่านหยอดก็ยังคงอยู่ในกระปุก
พร้อมที่จะเอามาใช้งานตอนไหนก็ได้ ไม่หายไปไหนหรอก
การบรรยายวันนี้ เราก็คงจะเน้นการปฏิบัติสลับไปเรื่อยๆ ท่านจะได้…..
ความจริงการที่อยู่บ้าน สิ่งที่ขาดคือการภาวนามากกว่า
เท่าที่ผมเจอ นักปฏิบัติภาวนาส่วนใหญ่ ท่านก็เปิด MP3 ฟังธรรมกันไม่ได้หยุด
ไม่ว่าจะในรถหรือไม่ว่าจะที่ไหน ท่านก็ฟังกันเยอะแยะ
ไม่ใช่ว่าต้องฟังของผมหรอก ของครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ได้
หรือแม้แต่จะเป็นคำจากพระโอษฐ์ก็ได้
แต่การภาวนานั้น... ที่พวกเราอาจจะขาด
แต่โดยความเป็นจริง
คำว่าภาวนาก็ไม่ใช่อยู่ที่การเดินจรงกรม นั่งสมาธิโดยส่วนเดียว
แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า การภาวนาในชีวิตประจำวัน
เช่นการเดินเหินหยิบจับ แล้วก็ มีสติสัมปชัญญะอยู่
มันก็พอประคองหล่อเลี้ยงไปได้ แต่ไม่สามารถทำสัมมาวายาะในองค์ที่ 6.4 ขึ้นมาได้
ก็คือ ทำให้เจริญไพบูลย์งอกงามยิ่งขึ้น ตรงนี้ ขาดอยู่
6.3 ยังพอทำได้ ละอกุศล มาเจริญกุศล มีสติ รู้ลมหายใจ
หรือการเดิน เคลื่อน เหิน หยิบจับในชีวิตประจำวัน พอไหว
แต่ใน 6.4 ที่ทำให้งอกงามไพบูลย์เจริญยิ่งขึ้น เพื่อความตั้งอยู่ ความไม่เลอะเลือน
ตรงนี้เนี่ยะ อาจจะขาด เพราะฉะนั้น เราอาจจะได้แค่สติสัมปชัญญะ
แต่ไม่เป็นเป็นอินทรีย์ อินทรีย์เป็นพละ พละเป็นโภชชงค์
กระทั่งเกิดเป็นอริยมรรค หรือ โลกุตรมรรค มาชำระ เพราะกำลังไม่แก่กล้าพอ
ก็ต้องอาศัยการประสมประสาน
อย่างเรื่องการฟังธรรม คงมีสื่อเยอะแยะ
วันนี้เราจะมาพูดคุยหรือทำความเข้าใจกันในแบบ… แบบนักปฏิบัติ
ในหลักสูตรนี้จะให้ถามมากขึ้น เพราะสังเกตดู…..เรามีการสื่อสารกันน้อย
โดยเฉพาะการบรรยายของผม ส่วนใหญ๋ผมพูดอยู่คนเดียว แล้วท่านก็
…... คือ ผมคงเก่งมากอะ เวลาพูดแล้วทุกท่านเข้าใจหมดเลย ไม่มีใครถาม ^ ^
แต่วันนี้ จะให้ถามเยอะขึ้น หลายคนฟัง CD ฟัง DVD อ่านหนังสือ
ก็คงมีคำถามที่ค้างคาใจเหมือนกันจากการดูการฟัง
เราก็จะเอาตรงนี้ เป็นที่ตอบคำถามรวมๆกันไปด้วย
แต่ก็เดี๋ยวอีกซักพัก อาจจะแบ่งเป็นช่วงๆ หรือช่วงบ่าย
ทำไมเราต้องมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ เอาคำถามง่ายๆเลย
เรื่องที่ผมพูดตอนที่ท่านนั่งสมาธิ ถ้าเอาภาษาแบบไม่ต้องอิงอะไรมาก
วันนี้ เราทุกข์เพราะคิด
เรื่องราวที่ท่านทุกข์ มาจากความคิด
มะเร็ง ...ใครที่เป็นโรคร้าย
สมมุติว่าท่านกำลังทำงานอยู่ซักชิ้นหนึ่ง หรือว่าใจจดจ่ออยู่กับงาน
ตอนนั้น ท่านเป็นทุกข์กับโรคร้ายมั๊ยครับ
แต่พอจังหวะที่ท่าน เฮ้ออออ…….. นั่งพักปั๊บ !! ใจแว๊บไปคิดถึง
ดำริตริตรึกขึ้นมาถึงสิ่งนั้น….. ขึ้นมาเลย!! เป็นทุกข์เลย !!
เพราะฉะนั้นในเบื้องต้นเลย ความเข้าใจของคนคือ ทุกข์มาจากคิด
พอเราบอกว่า ความทุกข์มาจากความคิด จอมยุทธที่แท้จริงเห็นช่อง เสียบกระบี่ได้เลย
“ ทุกข์มาจากคิดที่ไหนกัน ทำไมพระอรหันต์คิดแล้วไม่ทุกข์ ” เนี่ย มันเปิดช่อง
แสดงว่า คนที่บอกว่าทุกข์มาจากคิด ยังไม่ถึง... ยังเป็นกระบี่จอมยุทธตัวน้อยๆ
แต่จอมยุทธขั้นสุดยอดยังบอกว่า ทุกข์ มาจากคิด
ก็ถ้าไม่สอนแบบนี้แล้วคนเค้าจะเข้าใจได้ยังไง
แต่หลังจากนั้น Step ที่ 2 ก็ให้เห็นความจริง
พออยู่กับลมหายใจ คิดไม่ได้
พอคิด อยู่กับลมไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เห็นง่ายๆเลย ความคิดจะดับไปชั่วคราว
เมื่อความคิดดับไปชั่วคราว ความทุข์อาจจะดับไปชั่วคราวเหมือนกัน
ดังนั้น สมถะ คือความรู้ลม เข้าไปช่วยได้ เป็นยาทา
เข้าไปแก้อาการคัน อาการปวดได้เล็กน้อย แต่ผู้ที่ปฏิบัติจะต้องมีปัญญา
ขณะที่กำลังรู้ลม ความคิดดับ
เห็นเลยว่า ความคิด เป็นสิ่งของที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
สังเกตความทุกข์ ที่มีอยู่
ความทุกข์เอง เกิดขึ้น แล้วดับไป เอาแค่นี้
ถ้านักปฏิบัติที่มีความตั้งมั่นแล้วก็มีปัญญาบ้าง ก็เริ่มเห็นแล้วว่า…..
ความทุกข์ ก็เป็นของเกิดดับ
ความคิด ก็เป็นของเกิดดับ
เริ่มเป็นประตูเดินทางลึกเข้าไปหรือที่เรียกว่า สติปัฏฐาน4
ไม่ต้องใช้ศัพท์อะไรเลยก็ได้ ถ้าจะให้อธิบายจนถึงนิพพานเลย ไม่ต้องรู้บาลีก็ได้
แต่การรู้บาลีเป็นเครื่องกำกับเพื่อไม่ให้เดินผิดทาง
เพราะถ้าหากสอนกันเองอย่างที่ตัวเองอยากสอน
สอนจากประสบการณ์ของตัวเองกันหมด
มีสิทธิ์หลุดออกไปนอกทางแน่ เพราะไม่มีใครสามารถตรวจสอบใครได้
ทีนี้พอเริ่มเห็นความทุกข์เองก็เกิดดับ ความคิดก็เกิดดับ
ความคิด เชื่อมโยงไปสู่ความทุกข์
มันจะเริ่มพบความจริงในบางขณะว่า
ในบางความคิด ก็ไม่ได้เกิดเป็นความทุกข์
ถึงตอนนั้นมันจะเริ่มเอ๊ะ! ขึ้นมา
..ทำไม….
บางครั้ง คิด แล้วทุกข์
บางครั้ง คิด แล้วไม่ทุกข์
บางครั้ง คิด แล้วเฉยๆ
บางครั้ง คิด แล้วเป็นสุข
แสดงว่า ความคิดส่งผลเป็น 3 อย่าง
นี่เคือกระบวนการที่จิตเริ่มเรียนรู้จากสมาธิ
จากนั้นมันเริ่มเชื่อมโยงต่อไป …...
ถ้าอย่างนั้นแปลว่า ความคิดที่เกิดดับมีผลต่อใจ เพราะ เรา เข้า ไป ยึด มัน เอง
ถ้าเราไม่ยึด มันจะเป็นของที่เกิดๆดับๆ คล้ายๆของที่อยู่ห่างๆ
ปัญญาเริ่มเกิดขึ้นอีกชั้นหนึงจากการปฏิบัติเห็นความจริง
จากนั้นความทุกข์มันจะเริ่มทำอะไรเราไม่ได้แล้ว
มันจะห่างไปเรื่อยๆ ถ้าได้อย่างนี้ค่อยยังชั่วแล้ว
เห็นอย่างนี้ไปมากๆ ศึกษาเรื่องขันธ์ 5 ทั้งจากในตำราและก็จากภายใน
ก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า ขันธ์ 5 นี่ล้วนของเกิดดับทั้งนั้นเลย
เราเป็นทุกข์ได้อย่างไร
เราเป็นทุกข์เพราะเราไปยึดถือ ขันธ์ นั่นเอง
เริ่มเข้าไปใกล้ความจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์
เมื่อก่อนรู้สึกว่ า ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ควาามทุกข์คือความรู้สึกทุกข์
จากนั้น เมื่อปฏิบัติไป เห็นทุกข์เกิดดับ ความคิดเกิดดับ
อะไรก็ของเกิดดับเริ่มเห็นแล้วว่า ความทุกข์มาจากการเข้าไปยึดของเกิดดับ
หลังจากนั้นพอปลอ่ยของเกิดดับได้บางขณะ
เริ่มเห็นแล้วว่าแม้เราจะไม่เข้าไปยึดถือสภาพทุกข์ที่เราเรียกว่าทุกขัง ก็ยังเกิดดับอยู่นั่นเอง
จะเริ่มเข้าใจเลยว่า ไม่ว่าจะมีผู้ยึดถือ หรือไม่มีผู้ยึดถือ ขันธ์ก็เป็นของเกิดดับ
แต่เมื่อไหร่มีผู้ไปยึดถือขันธ์ เมื่อนั้นคนนั้นเป็นทุกข์
ผู้เข้าไปยึดถือเลยเป็นทุกข์ เพราะสภาพของขันธ์ มันเป็นทุกข์โดยสภาพ
หรือแม้จิตจะไม่เข้าไปยึดถือ เห็นขันธ์เกิดดับ
หันไปดูสภาพข้างนอก สภาพข้างนอกนี่ล้วนเป็นของเกิดดับทั้งหมดเลย
รูปนามในจักรวาล ล้วนเป็นของเกิดดับ จึงเกิด สัพเพธัมมาอนัตตา ขึ้นข้างใน
จิตเริ่มเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
รูปนามไม่ได้มีแต่ข้างนอก ขันธ์ 5 ก็อยู่ในหนึ่งของรูปนาม
แต่ความต่างอยุ่ที่มีวิญญาณเข้ามาครองสิง
ต่อให้ไม่มีวิญญาณเข้ามาครองสิง มาเป็นเจ้าของหรือมาเป็นอุปาทาน
สิ่งเหล่านี้ก็ของเกิดดับ อยู่ภายใต้กฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เช่นกัน
จะมีผู้ยึดถือ หรือไม่มีผู้ยึดถือ ก็ยังเป็นของทุกข์ มีสภาพทุกข์
แต่การเข้าไปยึดถือ เป็นการสร้างเหตุเกิดที่ไปเกิดตัณหา
เมื่อปล่อยความยึดถือ ขันธ์เป็นอิสระ ไม่เกิดสภาพของตัณหา
จึงรู้เลยว่า เมื่อไหร่ขันธ์ 5 ถูกยึดถือ จะไปก่อให้เกิดตัณหาขึ้นมา
ตัณหา จึงไปเขย่า ก่อให้เป็นเหตุเกิดสืบเนื่องไปของขันธ์ 5
แต่ถ้าวางขันธ์ 5 ลงได้ จะไม่มีเหตุเกิด
ขันธ์ 5 จะสลายตัวและไม่ก่อขึ้นมาอีก
เริ่มเห็นประตูสู่พกระนิพพาน
ความต่างกันระหว่างพระโสดาบันกับพระอรหันต์ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส
พระโสดาบันเป็นผู้ที่เห็นอุปาทานในขันธ์ 5
พระโสดาบันเป็นผู้ที่เห็นผิดละความเป็นตัวตนในขันธ์ 5 ลงได้แล้ว
เข้าใจอุปาทานในขันธ์ 5 แล้ว ว่าผู้ใดก็ตาม เข้าไปยึดถือ หรือมีสภาพใดก็ตาม
เข้าไปยึดถือเป็นผู้รู้ เข้าไปรู้สิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งก็คือขันธ์ที่เกิดๆดับๆ
…...จึงนำมาซึ่งทุกข์ …….
ไม่ได้มีตัวตนอะไร ขันธ์ เป็นสภาพเกิดดับ
ส่วนพระอรหันต์
….จากความที่เป็นโสดาบันมาก่อน….
ท่านก็เห็นแล้ว วางอุปาทานขันธ์ทั้ง 5 ลงได้จนเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เข้าสู่พระนิพพาน ว่าง สงบเย็น
นี่คือความต่างกัน
พระโสดาบัน เห็นอุปาทานในขันธ์ ๕
พระอรหันต์ ละอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ลงได้แล้ว
มันต่างกันแค่นี้เอง
แต่ความทุกข์ต่างกัน
เพราะฉะนั้น ในพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ยังคงสร้างเหตุเกิดอยู่
ถึงแม้ว่าจะค่อยๆหมดกำลังลง ตัณหาเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นจะเห็นเลยว่า ตกลง เราทุกข์เพราะเราคิดรึปล่าว
ถ้าเอากันตอนจบเลย ทานจะได้เป็นจอมยุทธ เวลาออกไปเดินในยุทธจักร
มีครูบาอาจารย์ หรือนักกระบี่มาถามว่า
เธอทุกข์เพราะอะไร เธอทุกข์เพราะคิดหรือ ?
บอกว่า ไม่ ….. ชั้นทุกข์ เพราะชั้นไปยึดถือคิด ( หัวเราะ )
รับรองได้มีคนหันหลังขวับเลย! นี่มาจากสำนักไหน ( หึ หึ )
ทุกข์ ไม่ได้มาจากคิด
ทุกข์เพราะจิตโง่ ไปยึดถือ คิด มาเป็นของเรา
แล้วก็ยึดถือทุกอย่าง
นั่งสมาธิได้ดี ก็ยึดถือเป็นตัวตน เป็นของเรา
โง่หมด ปฏิบัติเท่าไหร่ก็โง่เหมือนเดิม บัลลังค์นั้นนั่งได้ดี บัลลังค์นั้นนั่งไม่ได้ดี
ขอโทษ สภาพของขันธ์ เกิดๆดับๆ ตามเหตุปัจจัย เวทนาก็เกิดดับ
แต่เรากลับไปเห็นการนั่งสมาธิเป็นตัวตน จะทำให้มันเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา
เพราะว่าเรายังโง่อยู่ ปฏิบัติไปยังโง่อยู่
อยากนั่งให้ได้อย่างนั้น อยากนั่งให้ได้อย่างนี้
ตัณหาบานไปหมด
หน้าที่ของเราทำอะไร คือทำเหตุ
เหตุคืออะไร รู้ลม
(ถาม) อ้าว แล้วถ้านั่งไม่สงบล่ะ …
(ตอบ) อ้าว ก็รู้ลมแล้วไง !
เหตุที่จะสงบหรือไม่สงบ มาจากหลายเหตุ
มรรคองค์ที่ 2 ก็เป็นตัวสำคัญ สัมมาสังกับโป การเนกขัมมะออกจากกาม
เราได้เนกขัมมะออกจากกามมั๊ย?
ถ้าไม่ได้เนกขัมมะออกจากกาม จิตก็จะเกิดเป็นนิวรณ์ เกิดการเร่าร้อน บีบคั้น
อยากจะได้กามนั้น อยากได้อย่างที่ตัวเองอยากได้ ที่ตาหูจมูกลิ้นที่เราเคยไปสัมผัส
จิตใจก็จะเร่าร้อน แล้วจะเอาความสงบมายังไง
อาหารของนิวรณ์พระพุทธเจ้าตรัสว่า มาจากกาม มาจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
การทำผิดอกุศลทางกายวาจาใจ ไม่ว่าจะทำผิดศีล จนถึงอกุศลในใจ
มันก็จะทำให้ใจเร่าร้อน ไม่สามารถจะสงบลงได้
เหตุปัจจัยนี้ ต่อให้รู้ลมให้ตาย มันก็เข้าไม่ถึงปฐมฌานเสียที
เราไม่ดูว่า มรรคสอนอะไร
เราก็ได้แต่ฟังคนโน้นคนนี้พูดเอา แล้วเราก็คิดว่า มาเนี่ย เราก็จะมานั่งสมาธิ
ถ้าท่านไม่สร้างเหตุปัจจัยบให้เหมาะสมเลยในชีวิตประจำวัน ท่านจะไปเอาสมาธิมาจากไหน
เพราะมันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน อยากจะสงบ แต่ไม่ได้สร้างเหตุความสงบ
มาถึงก็จะมารู้ลมเอาอย่างเดียว
เราจะต้องกลับไปดูในองค์รวม
การจะแก้ปัญหาไม่ได้เป็นจุดๆ เพราะมาจากเหตุอันหลากหลาย
และก็ส่งผลอันหลากหลายมากมาย
เอาละ ในวันนี้เราก็จะสลับกันไปเรื่อยๆ
แต่อย่างไรก็จะต้องสร้างเหตุความเคยคุ้น จะสงบได้ก็ต้องมีความเคยคุ้น
……………..เสียงระฆัง………...นั่งสมาธิ………………….
ในระหว่างนั่งสมาธิ ถ้าท่านได้ยินเสียงระฆัง
นั่นหมายความว่า เป็นระฆังแห่งสติ ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจเสียบ้าง
ไม่อย่างนั้นท่านก็จะเผลอ เหม่อ ลืมสติ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เราเคยคุ้น
เอาตัวตนของเราออก
ตัวตนของเรามาจากไหน
มาจากเพียงความรู้สึกลมๆแล้งๆ ที่ไปคอยปกป้องสิ่งนี้
แล้วก็ไปบอกว่า นั่นเป็นเรา นี่เป็นของเรา ท่านไปฟังมาตลอด
ถ้าตอนนี้ท่านลืมปิดโทรศัพท์ แล้วมันดังขึ้นมา เสียงมันก็จะดังขึ้นมาในหัวท่านเหมือนกัน
“ เออ ใครๆเขาก็ลืมกันได้ ไม่เป็นไรหรอก “
นี่คือการปกป้องตัวเองทั้งสิ้น
นี่คือการสร้างความเป็นตัวตน
ธรรมชาติของขันธ์ 5 ไม่เคยเป็นของเราอยู่แล้ว
มันถูกสร้างมาจากความรู้สึกลมๆแล้งๆ ที่มันสร้างขึ้นมา
การละสักกายทิฏฐิ ไม่ได้ไปทำลายที่ไหนเลย
ทำลายไอ้ความรู้สึกลมๆแล้งๆเนี่ยทิ้งไป
ของมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ….ขันธ์ 5 มันเป็นสภาพของมันอย่างี้อยู่แล้ว
มันมีธรรมชาติลมๆแล้งๆขึ้นมายึดถือมันเฉยๆ
บางช่วงเวลาที่ท่านไม่ได้ดำริตริตรึก ว่ากายนี้เป็นของเรา ใจนี้เป็นของเรา
สภาพของขันธ์ก็อิสระ …..ชั่วคราว...
แต่เมื่อท่านไปดำริตริตรึกนึกขึ้นมา
ปวดเป็นของเรา เมื่อยเป็นของเรา เมื่อไหร่จะเลิกเสียที อยากไปเข้าห้องน้ำ
มันก็เกิดการปรุงแต่งขึ้นมาอย่างนี้ แล้วก็เลยเกิดเป็นความทุกข์ ความอึดอัดใจขึ้นมา
ท่านก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันถูกยึดถือ เพราะมันเกิดจากจิตที่ไปยึดถือตัวเองอยู่แล้ว
……………………………..…… เงียบ นั่งสมาธิ………………………………………………..
……………………………….. ถึงเวลาอันสมควร ……………………………………
ลืมตา หลับตา ให้เป็นอุเบกขาเหมือนเดิม
อย่าให้รู้สึกเป็นความต่าง หลับตายังไง ลืมตาก็อย่างงั้น
ปฏิบัติจนกระทั่งรู้สึกว่า จะหลับตาลืมตา เดินจงกรม ไม่เดินจงกรม มันเหมือนกันหมดเลยนะ
ถ้าอย่างนี้ใช้ได้แล้ว !!! อย่างนี้ค่อยเข้าฝักหน่อย
แต่ถ้าหลับตาอีกแบบนึง ลืมตาโอ้โห มันสงบดีจริง ลืมตานี่ อีกแบบนึงนี่ ^ ^
ก็ค่อยๆไป .. ปฏิบัติในชีวิตประจำวันให้มากหน่อย ทุกอย่างเหมือนกันหมดล่ะ
หลับตา ลืมตา……….. เอ๊ะ ตกลงปฏิบัติธรรมอยู่ตรงไหน
นี่ชั้นปฏิบัติรึปล่าวเนี่ย ปฏิบัติรึไม่ปฏิบัติเอายังไงกันแน่
เออ !! อย่างนี้เข้าไปใกล้เรื่อยๆแล้ว
ไม่ใช่ว่าต้องหลับตากันตลอด แต่ต้องอาศัยอุเบกขาเนี่ยแหละ
อุเบกขาสำคัญ….. สำคัญจนกระทั่ง…..หมดอุปาทานในอุเบกขา
มีคำถามอะไรบ้างมั๊ยครับ
ใครจะถามอะไรยกมือเลยครับ เกี่ยวกับอะไรก็ได้
เคยอ่านมา เคยได้ยินมา เคยฟังที่นั่นที่นี่ สงสัย….
( ถาม ) ครับ อยากถามอาจารย์ครับ เรื่องพระโสดาบันครับ ที่ท่านบอกว่า พระโสดาบันรู้เกี่ยวกับขันธ์ 5 แต่ว่ายังไม่ได้ละขันธ์ 5 อย่างนี้ เรียกว่า ท่านยังไม่ได้ละสักกายทิฏฐิหรือปล่าวครับ
( ตอบ ) สักกายะทิฎฐิคือความเห็นผิดในความเป็นตัวตน
ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมุติว่า เรากำลังนั่งสมาธิ
แล้วมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ดังกริ๊งงงงง ขึ้นมาเนี่ยะ
ความรู้สึกแรกของคนส่วนใหญ่ หรือเอางี้ เอาคนที่ไม่ปฏิบัติเลยดีกว่า
คนที่ไม่เคยปฏิบัติเลยนี่ เค้าเข้ามา ได้ยิน กริ๊งงงง ก็จะเฮ้ออออ ( ทำเสียงจึ๊กจั๊ก )
ทำไมเข้ามาในห้องนี้แล้วไม่ยอมปิดโทรศัพท์ !
มันจะอย่างนี้ เข้าใจมั๊ยครับ มันจะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ
อย่างนี้เนี่ย คือ พอเสียงเข้ามาปัง !!
มัน เกิด ความ เป็น กู
….เจ้าของเสียงนิสัยไม่ดี กูโกรธ หงุดหงิดรำคาญ …..
อันเนี้ย สักกายทิฏ,ฐิ คือความเห็นผิดในความเป็นตัวตน
พอพูดอย่างนี้หลายคนก็จะบอกว่า เฮ้ย ….. งั้นก็ชั้นด้วยสิ ++
( หัวเราะหึ หึ ) ท่านพูดเองนะ ไม่ใช่ผมพูด ^ ^
เวลา….เอ๊ะ แต่ชั้นไม่เป็นนะ เมื่อกี้ชั้นได้ยินเสียงกระทบ แล้วก็เห็นใจขุ่นมัว
เออ อย่างนี้นะ ค่อยอย่างชั่วหน่อย ในเวลานั้นท่านละได้ชั่วคราว
แต่ต้องย้อนกลับไปดูตอนที่อยู่ที่บ้านด้วย อย่าเอาตอนที่อยู่ที่นี่อย่างเดียว
เอาตอนที่สามี ภรรยาลูก หรือว่าเพื่อนบ้าน หรือว่า คนรับใช้
หรือเพื่อนฝูงที่มาพูดจาไม่ถูกหูแล้วมันปรี๊ดดดขึ้น….อันนั้นนับด้วย !!
ไม่ใช่นับเฉพาะที่นี่
พอแสดงว่า เอ๊ะ ของชั้น มีบ้าง ไม่มีบ้าง แฮะ
เออ อย่างเนี้ยะ นักปฏิบัติ มีบ้างไม่มีบ้าง
ถ้าเป็นอย่างนั้นตลอดเลย ไอ้อย่างนั้นเต็มๆ อย่างนั้นเรียก ปุถุชน ผู้มิได้สดับ
คำของพระพุทธเจ้าเรียก ปุถุชนผู้มิได้สดับ
เพราะฉะนั้น สักกายทิษฐิ จะเห็นว่า มันเป็นตัวตนแบบหยาบๆเลย
สมมุติท่านกำลังนั่งอยู่ตรงนี้ รู้สึกปวดฉี่ อยากไปเข้าห้องน้ำ
เพราะว่า ถ้าบอกว่า เราเริ่ม 9 โมง แต่นี่เพิ่งจะ 10 โมงเอง
แต่เปล่า บางท่านมาตั้งแต่ 8 โมง กว่าแล้ว เท่ากับตอนนี้ท่านนั่ง 2 ชม.กว่าแล้ว
เออ บางคน ทีแรกก็ไม่ปวด พอพูดปั๊บเริ่มปวดเลย 555
นี่สองชั่วโมงกว่า แล้วเหรอ ปวดเลย ตอนไม่พูดก็ไม่ปวดนะ เออ พอไม่พูด ไม่ปวด
มันมีกูขึ้นมาเลย !!
นามรูปมันเกิดเป็นตัวตนขึ้นมาเลยทีนี้
เอาละ แล้วถ้าละสักกายทิฏฐิมันเป็นยังไงเหรอ ?
กริ๊งงงงงง เหมือนเดิม
เอาเริ่มตั้งแต่ก่อนจะละสักกายทิฏฐิ ไอ้ระหว่างที่มันกระพริบๆ นักปฏิบัติทั้งหลายเนี่ย
เสียงกระทบปัง! ใจแว๊บขึ้นมา ขุ่นเลย สติระลึกเห็นใจที่ผุดอยู่ โห... ยังไม่ดับเลย
ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
ปัญหาอยู่ที่สักกายะขาดแล้ว
เห็นแค่รูปกระทบ แล้วก็นามธรรมเคลื่อนไหว
อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย
อย่างนี้เรียกกัลยาณชนหน่อย
เข้ามาสู่การปฎิบัติธรรมแล้ว
แต่บางทีกลับไปบ้าน ใครพูดอะไรไม่ถูกหู ปรี๊ดขึ้น
อย่างนี้ กลับไปเป็นปุถุชน ติดๆ ดับๆ
แต่หลังจากนั้น เข้าคอร์สบ่อย สภาพที่เกิดมากๆขึ้น มันเริ่มลามเข้าไปสู่ชีวิตประจำวัน
พอคน เอ่อ สมมุติว่าลูกทำแก้วที่แสนรักแตกเพล๊ง !!! อื่อ มันชะงักไปแป๊บนึง
ฮืดดดดดด (สูดลมหายใจ ) รู้ลมไว้ ( หัวเราะหึ หึ )
อืมม เห็นทุกอย่างค่อยๆซาลง……...
อย่างนี้ จากในคอร์ส เริ่มลามไปสู่ชีวิตประจำวัน
แล้วก็เริ่ม ลามไปสู่ชีวิตประจำวันมากขึ้น ๆ ๆ ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น
อาจารย์ โห ดิชั้นใช้ไม่ได้เลยเนี่ย ใครมาว่าอะไรยังโกรธอยู่เลย รู้นะ มีสติระลึกได้ แต่มันยังไม่หายโกรธ
“ผมบอก โห ใช้ได้แล้ว อย่างนี้ใช้ได้แล้ว ”
“ โห อาจารย์ไม่ต้องมาปลอบใจหรอก”
“ เฮ้ย อย่างนี้เค้าเรียกใช้ได้แล้ว ”
“ ใช้ได้ยังไงล่ะ มันร้อนผ่าวๆ ”
“ เออ ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันด่าไปแล้ว นี่มันยังเบรคกันอยู่เนี่ย เหยียบกันไม่ยอมปล่อยเลย ”
“ บางทีต้องหลบไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา รู้ลม อยู่เนี่ยะ รู้ลม ”
“ เออ อย่างนี่แหล่ะ มันมีสติยับยั้งชั่งใจแล้ว มันไม่ใช่ปุถุชนแล้ว ปุถุชนนั่น มันพรวดออกไปแล้ว”
แล้วความอดทนอดกลั้นนี่แหละ จะเป็นเครื่องเผาอาสวะ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า การบรรเทาเบาคลาย การอดทนอกลั้น ไม่ทำากยทุจริต วาจาทุจริต
เพราะฉะนั้นตรงเนี้ย จะเริ่มเผากิเลส แล้วกิเลสมันก็จะเบาบางลง โดยลำดับ
รู้จักอดทนอดกลั้นอย่างนี้แหละ
อย่างนี้ เริ่มขยับเข้าสู่ความเป็นกัลยาณชน
พอเริ่มเข้าสู่โสดาบัน
ก่อนที่จะถึงเรื่องความเป็นโสดาบัน มันจะมีญาณอยู่ญาณนึง ที่พวกเราอาจจะคุ้นเคย
ถ้านักปฏิบัติอยู่ตามคอร์สก็จะเคยได้ยิน คำว่า สังขารุเบกขาญาณ
การที่จิตวางเป็นอุเบกขาต่อการปรุงแต่งทั้งหลาย
ขณะที่กำลังเกิดโกรธ หงุดหงิดรำคาญขึ้นมา
หรือว่ามีสิ่งที่ มากระทบที่เคลื่อนไหวอยู่ในชีวิตประจำวัน
แต่จิตวางเฉย วางอุเบกขาต่อสิ่งนั้น ไม่เข้าไปขลุก
สภาพนี้เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ
คือ ความรู้ที่จะไม่เข้าไปเกาะเกี่ยว แต่ยังมีผู้รู้ ยังมีตัวตนอยู่
ผู้รู้ ยังเป็นตัวตน มันจึงเกิดป็นตัวตน แต่ก็ไม่เข้าไปยุ่ง
ก็จึงเกิดเป็นสภาพที่ไม่ทุกข์เดือดร้อนกับมัน
มีมืออยู่ มีแก้วน้ำร้อนอยู่ แต่มือไม่ไปจับแก้วน้ำร้อน
อยู่ในสภาพอย่างนี้ อันเนี้ย….ยังมีกูอยู่ !แต่กูไม่เข้าไปยุ่งกับมัน !
เพราะฉะนั้นสภาพนี้ ยังเป็นนิพพาน แต่อยู่ในฝ่ายของโลกียะ
แต่ถ้าวันไหน ที่คำถาม ถามว่า แล้วถ้าละสักกายทิฏฐิได้
มันก็จะหมดสภาพนึง คือสภาพที่ จำเป็นต้องเข้าไปเป็นตัวตน
มันจะหายไป
ถามว่า พระโสดาบันยังทุกข์มั๊ย
ทุกข์!! เพราะสภาพของการยึดถือของจิตกับอุปาทานยังมีอยู่
แต่ความทุกข์น้อยลงเพราะไม่มีคนเข้าไปอัดอยู่ในนี้
มันเป็นสภาพเข้าไปรับรู้ เพราะว่ามีอุปาทานเฉยๆ
ทุกข์ก็ยังมีอยู่ แต่มันทุกข์เล็กๆน้อยๆ จะว่าเล็กๆน้อยๆ…..ก็
คือ มันเหมือนกับแว่นขยายที่ส่อง
เอางี้ ถ้าท่านอยู่ที่กองขยะ ขยะเยอะมาก ส่งกลิ่นเหม็น
ท่านก็พยายามโกยขยะทุกวัน ออกจากบ้าน บ้านท่านมีขยะเต็มเลย
โกยออกทุกวันๆ ๆ จนวันนึง รู้สึกว่าเออ ขยะน้อยลงนะ เหลือครึ่งห้องเอง
ก็มีความดีใจ ก็โกยต่อ จนกระทั่งเหลืออยู่แค่ 5 ชิ้น
ในห้องเนี่ย มีขยะอยู่ 5 ชิ้น ท่านยังทุกข์กับ 5 ชิ้นนั้นมั๊ย ทุกมั๊ย5 ทุกข์มั๊ยครับ
5 ชิ้นนั้นยังทุกข์มั๊ยครับ ? ……..ทุกข์
แต่ถ้า 5 ชิ้น นั้นเทียบกับเมื่อก่อน 1000 ชิ้นที่เต็มห้องไปหมด
โอโห ทุกข์ลดลงเยอะนะ 5 ชิ้น กับ 1,000 ชิ้นนี่เทียบกันไม่ได้เลย
นี่คือ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงอุปมาว่า... ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
หากมีความทุกข์ เทียบกับพระโสดาบัน พระโสดาบันจะมีความทุกข์เท่า…….
พระพุทธเจ้าอุปมา เอานิ้วก้อยช้อนไปที่พื้นดิน
แล้วก็ ขี้ฝุ่นที่ติดปลายเล็บท่าน ท่านถามว่าเยอะมั๊ย เมื่อเทียบกับมหาปฐพีทั้งโลกนี้
สาวกก็บอกว่า เทียบกันไม่ได้พระเจ้าค่ะ
ฝุ่นที่ติดปลายเล็บตถาคตเนี่ย คือความทุกข์ของพราะโสดาบัน
แต่ทั้งหมดทั้งโลกนี่คือความทุกข์ของปุถุชนผู้มิได้สดับ
เพราะความคิด ของปุถุชน ปุถุชนจะ ทุกข์ ทุก เรื่อง
ฝนจะตก แดดจะออก อะไรจะเกิดขึ้น
ตัวเองเป็นมะเร็ง เป็นโรคร้าย ญาติเป็นโรคร้าย รถกูเสีย รถกูถูกเฉี่ยว
ทุกข์ ทุกเรื่อง…. ทุกเรื่อง
รัฐบาลเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้
ทีวีเพิ่งซื้อมาใหม่ มันดันออกรุ่นใหม่ ไม่สบายใจเลย ไม่น่าซื้อเร็วเลย
นั่งดู ….ผ่อนอีกตั้ง 10 เดือน 0 % นี่เอง มิน่า มันถึง0% มันจะโละรุ่นเก่านี่เอง ยิ่งดูก็ยิ่งแค้น
ซื้อเครื่องใหม่เอี่ยม !! ผ่อนก็ยังไม่หมด !! ...นั่งดูก็ทุกข์ไป
นี่ถ้าซื้อเครื่องใหม่ ก็ไม่ต้องมานั่งกดแบบนี้
ทุกข์ ได้ทุกเรื่อง !!
ซื้อของเค้าบอก 199 ต่อได้ 190 ดีใจแทบตาย
ไปอีกร้านนึง ยังไม่ทันต่อเลย …..170 .. หา !!!!! ( หัวเราะ )
เดินหงุดหงิดทั้งวัน เฮ้ย ! เสียรู้จริงๆ
ไปถึงก็ไปซัดสตาร์บัคก่อนเลย 200 แก้วนึง
ไอ้ 20 หน่ะ คิดไม่หาย
ไอ้ 200 นี่จ่ายโง่ไปเลย
มันทุกข์ ทุกเรื่อง ทุกข์ได้ทุกเรื่อง
แทนที่จะเออ ได้กาแฟมากิน จะดีใจ ป่าวอะ ทุกข์
ซื้อเสื้อมาตัวนึง ไม่ ! มันเสียไป 20
ไอ้ที่โง่ไปดูหนังทีตั้งหลายร้อย ไหนอะ หนังอยู่ไหน ไปดู ...ออกมา ...สนุกอยู่ไหนอะ
เหมือนฝันเลยเมื่อกี้ แต่...พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่นั่น มันสนุกอย่างนั้นน มันดีอยู่อย่างนี้
เนี่ยมันเป็นอย่างเนี้ย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ทุกเรื่อง !!!
ไฟแดง ไฟเขียว ทุกเรื่องเลย
นั่งรถ โห อย่างนี้สบาย ปิดแอร์ได้มั๊ย ปิดได้เลย ความร้อนทำอะไรชั้นไม่ได้หรอก
พอถึงตอนกลับบ้าน โหทำไมมันร้อนอย่างเนี้ยอะ
พอขึ้นรถ เอาเลย …...แอร์ทำไมมันเย็นช้าอย่างี้ล่ะ
คือ …. พอมันไปสู่สัญชาติญาณปั๊บ ไปเลย ไปเลย…..
ตอนมาอยู่ในคราบนักปฏิบัติก็ดูดีหรอก ดูดี ดูดีทุกคน ( หัวเราะ หึหึ )
เวลาใครไปเจอท่านข้างนอก กับเจอท่านในคอร์สเนี่ย
หลายคนมาบอกผม แบบเชิงแบบ ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร เชิงแบบ …..
เออ อาจารย์รู้จักคนนี้รึปล่าว
บอกรู้….คนนี้ ดี ดี อยู่ในคอร์สดีมากเลย ตั้งใจมาก
อื้อหือ อาจารย์ไม่ไปดูข้างนอกล่ะ หัวเราะ
ทำไมล่ะ ข้างนอกเป็นยังไงล่ะ อื้อ หืมม ( หัวเราะ ๆๆๆ )
เอาล่ะ ไม่ต้องพูดต่อล่ะ รู้แล้ว แต่ว่าแน่นอนเลย ^ ^
คือข้างในนี่ ดูดีกันทุกคนเลยนะ
แต่ข้างนอกนี่ วีนแตกกันหมด
คือต้องเอาไอ้เนี่ย( ใจ ) มันต้องเต็มข้างใน แล้วก็ลามออกไปข้างนอก
ผมเอารถไปซ่อม จากอู่ ถึงบ้านผม 7 กิโล
ผมเอารถไปเช็คแล้วผมก็เดิน เดินกลับบ้าน
ก็ไม่ถึงกับไม่มีตังค์นั่งมอเตอร์ไซค์หรอก
แต่วันนั้นผมก็รู้สึกว่า เราก็มีขานะ แต่เราไม่ค่อยได้ใช้
ก็เดิน ….ผมถึงรู้อะไรบางอย่างที่คนตขับรถไม่เคยเห็นมาก่อน
คือ อย่างแรกที่ผมรู้เลยคือ บนถนนเนี่ย ขี้หมาเยอะมาก ( หัวเราะ )
แล้วมันเหม็นตลอดทาง 7 กิโล ก็เดินไปเรื่อยๆ
จะบอกว่ามีความสุขความทุกข์อะไรมั๊ย มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไร
บางวันออกจากบ้าน แล้วก็เดินออกมา
ก็มีรถที่เค้าวิ่งออกมาจากในหมู่บ้าน
หันไปดู ก็เอ๊อ ไม่เห็นมีคนนั่งด้วย ทำไมเค้าไม่จอดรับเรา ( หัวเราะ )
เออ ความจริงเค้าก็ไปทางเดียวกับเรา เราก็ไปทางเดียวกับเค้า
ไม่เห็นมีใครจอดรับเราซักคนเลย
จากนั้น ผมเลยเริ่มจอดรับคนอื่น…..ที่ผมไม่รู้จัก
ใช่ !! ทำไมถึงไม่มีใครจอดรับเราเลยล่ะ
ก็ไม่โบกล่ะ ไม่โบกเค้าก็ไม่จอดมั๊ง ( หัวเราะหึๆ )
ผมก็เลยจอดถาม ไปด้วยกันมั๊ย ไปด้วยกันมั๊ย จะไปทางไหน
แต่ส่วนมากมักจะเป็นคนแก่ ถ้าเป็นสาวๆเค้าก็คงไม่กล้าขึ้นอยู่ดี
เดี๋ยวจะมองไปอย่างอื่นอีก
แต่ส่วนมากมักเป็นคนสูงอายุที่หิ้วของอะไรอย่างนี้
เพราะผมเริ่มรู้สึกเลยว่าใช่ !!
บางวัน บางครั้ง ผมรถเสียอยู่ข้างถนน
น่าแปลกนะ รถร้อยคันที่วิ่งผ่านผมไป ไม่มีใครหยุดเลย
เค้าไม่เห็นเหรอ ว่า รถเราเสีย เราต้องการความช่วยเหลือ
จากนั้นผมเลยเริ่มซื้อพวกสายลาก สายจูงไว้ในรถหมดเลย
ผมเจอใครเค้ารถเสีย ไม่ว่าจะที่ไหน ถ้าหากว่าผมเบรคทันนะ ถ้าไม่โดนคันหลังชน
ผมก็จะจอด แล้วก็ไปช่วยเค้าลาก
ถ้าเป็นผู้หญิงผมก็จะควัก….ผมก็จะติดหนังสือที่ผมเขียนไปซักเล่มนึง
เช่น ดูจิต หนึ่งพรรษาอะไรเนี่ย แล้วผมก็จะบอก เนี่ยๆ ผม ( หัวเราะ )
แต่ผมจะบอกว่า ไม่มีมีอะไรหรอก ผมไม่ได้มาบอกว่าผมเป็นใคร
แต่ผมอยากให้คุณสบายใจว่าผมไม่ใช่มิจฉาชีพ
เพราะหน้าผมมันคล้ายๆไปทางนั้น ก็เลยให้ดูก่อนว่าผมไม่ใช่ ผมจะมาช่วยจริงๆ
ให้คุณขึ้นไปนั่งในรถ เดี๋ยวผมจะลากไปจอดข้างทาง
รถคุณเสียอย่างนี้ เดี๋ยวคันหลังมาชน อันตราย
แล้วก็ลากไป ช่วย
บางทีไปเจอต่างจังหวัด ตกคูอยู่ ก็เอารถผมลากขึ้นมา แล้วก็ลากไปไว้ในเมือง
วันนี้เราไม่ได้ช่วยกัน … เรามัวแต่ คิด เอา เอง
เรื่องมิจฉาชีพมันก็มาก ผมก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้
ท่านก็ดูๆ เอาหน่อย โดยเฉพาะผู้หญิง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องทำขนาดนี้
แต่ใครช่วยใครได้ในวิธีอื่นๆ มันก็ควรช่วยกันบ้าง
มันจึงมีคำนึงที่เราโดนปรามาสอยู่บ่อยๆ นะ นักปฏิบัติ
ก็คือ คนมาปฏิบัติ เห็นแก่ตัว
มาเอาแต่นั่งหลับหูหลับตา หลับหูหลับตาอยู่ในคอร์สปฏิบัติ
มานั่งเสพสุขอยู่ในสมาธิ ไม่เห็นช่วยอะไรโลกเลย
เอาล่ะ เดี๋ยวเราค่อยมาคุยกันเรื่องนี้นะครับ
เรามาเบรคไปเข้าห้องน้ำกันก่อน 20 นาที นะครับ
10 โมง 45 หรือ 50 ก็ได้ เราเข้ามารวมกัน เอ้า กราบพระ แล้วเชิญ
ติดตามรับฟังเสียงจากไฟล์ MP3 ได้จากลิงค์ของเวปสวนยินดีธรรม ด้านล่างนี้ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น