2/22/2557

พังประตูคุก ตอนที่ 8 อริยมรรคเชื่อมโยงอริยสัจ

ถอดคำบรรยาย:
คอร์ส “มัคคานุคาเข้มระดับ 2” เรื่อง พังประตูคุก
ตอนที่ 8 “อริยมรรคเชื่อมโยงอริยสัจ”

บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
สวนธรรมศรีปทุม


                         



สวัสดีโยคีทุกท่านครับ ก็เข้าสู่คืนของวันที่ 3 ของการปฏิบัติ

ในหลักสูตรมัคคานุคาเข้ม ระดับที่ 2

วันนี้ ตั้งแต่เช้า - บ่าย เราก็ได้สาธยายอริมรรคมีองค์ 8 ไป

ในช่วงเช้า ก็ถึงมรรคองค์ที่ 5  ในช่วงบ่าย ก็ 6 7 8  ก็ได้จบสมบูรณ์แล้ว

มรรคมีองค์ 8 เมื่อสังเคราะห์ลงมาในไตรสิกขา จะแยกออกมาเป็น

ปัญญา ศีล แล้วก็ สมาธิ ซึ่งเราจะมาดูกัน เรื่องนี้ซักนิดนึงก่อน

เราจะมาเข้าใจโครงสร้างของอริยมรรคมีองค์ 8











มรรคองค์ที่ 1-2  ก็คือปัญญา

3-4-5  ก็คือ ศีล  ที่ดูแลกายกับวาจา

6-7-8  ก็จัดการกับจิตในส่วนของสมาธิ

ดังนั้นเราจะเห็นว่า อริยมรรคมีองค์ 8 จะจัดการในทุกๆระบบ





























ในส่วนของสัมมาทิฏฐิ และ สัมมาสังกัปโป

คือ ความเห็นชอบ... ความเห็นอะไรชอบ ?

ความเห็นอันถูกต้อง  ....ความรู้อันใด เป็นความรู้ในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ก็เรียกว่าเกิดสัมมาทิฏฐิ

เมื่อรู้ว่า อะไรคือ ทุกข์  อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์  ก็จึงดำริ ที่จะทำยังไงกับชีวิต

เนกขัมมะ ไม่มุ่งร้าย ไม่เบียดเบียน  เมื่อเนกขัมมะ ไม่มุ่งร้ายไม่เบียดเบียน

การไม่มุ่งร้ายไม่เบียดเบียนก็นำมาซึ่งศีล ดูแลกายกับวาจา

ก็จึงเห็นว่า มรรคองค์ที่ 3 - 4 - 5 จัดการ กายกับวาจา

เพราะฉะนั้น ทางไหนเป็นทางเข้าของทุกข์ล่ะ

หากเราทำผิดศีลทางกายกับวาจา ก็จะนำมาซึ่งทุกข์

ในขั้นแรกก็จัดการกับกาย กับวาจาก่อน

พอกายกับวาจา จัดการได้สมบูรณ์พอสมควร  มีเจตนาเป็นเครื่องเว้น

จนหมดเจตนาเป็นเครื่องเว้น  ขณะนั้นเนี่ย  สมาธิก็ค่อยๆดีขึ้น

อันนี้ ศีลเป็นไปเพื่อสมาธิ

เราจะได้ยินในบางพระสูตรที่บอกว่า ศีลเป็นไปเพื่อสมาธิ

เราอาจจะงงๆ ว่าศีลเป็นไปเพื่อสมาธิได้ยังไง

ขณะที่เรากำลังมีศีล เกิดเจตนาเป็นเครื่องเว้น

ขณะที่มีเจตนาเป็นเครื่องเว้น มันเว้นที่จิต

จิตจะแข็งแรงขึ้น ตั้งมั่นขึ้น  ไม่ไหลไปตามอำนาจของกิเลส

ตอนนั้นจิตจะตั้งมั่นขึ้น   เมื่อตั้งมั่นขึ้น ก็...สัมมาสมาธิเค้าเขียนว่าอะไร

ความสงบชอบ หรือ ความตั้งใจมั่นชอบ

ความตั้งใจมั่นชอบ ก็คือ จิตตั้งมั่น  จิตจะตั้งมั่นขึ้นเพราะไม่ไหลไปตามอำนาจของกิเลส

เพราะฉะนั้น ศีลจึงเป็นไปเพื่อสมาธิ  นะ

ก็เข้าใจง่ายๆ ถ้้าเราเข้าใจง่ายๆอย่างถูกต้องถ่องแท้ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส

ท่านตรัสอะไรมาเราจะเข้าใจหมด แต่ถ้าสาธยายผิด เข้าใจผิด พูดอะไรมาจะขัด

เพราะฉะนั้นเราจะต้อง .... ไม่จริงมั๊ง ......เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีอะไรขัดอยู่ตลอดเวลา

แล้วก็จะต้องมานั่งคิดเอาเอง แล้วก็เข้าข้างตัวเอง ว่าตัวเองถูก  ไอ้อย่างนี้เสร็จเลย

แบบนี้เสร็จเลย  เพราะปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าน่ะ ไม่มีผิดแม้แต่คำเดียว

การสาธยายของผมจึงไม่เคยรวบรัดเอาความคิดของตัวเองเข้าไปใส่

จึงใช้การเปิดพยัญชนะทุกบทให้ท่านสวดเอง นะ

อธิบายแค่อรรถะเฉยๆ   ความหมาย

หลังจากนั้น 6 7 8  จัดการในระดับจิต  คือคำว่าสมาธิ

สมาธิจะเข้าไปจัดการกับระดับจิตใจ ไปยกระดับจิตใจขึ้น ไปพัฒนาจิตขึ้น

ตั้งแต่ละอกุศล เจริญกุศล จนกระทั่งเห็นฐานทั้ง 4 เกิดๆ ดับๆ ไม่ใช่ตัวตน

เพราะความตั้งมั่นของจิตในสัมมาสมาธินั่นเอง

ก็จะเห็นความจริงมากขึ้น ๆ  เพราะไม่มีกิเลสเข้าไปปน

หลังจากนั้น เมื่อเห็นความจริงมากขึ้น ๆ ก็จะย้อนกลับไปเกิดสัมมาทิฏฐิอีกครั้งหนึ่ง

แล้วมันจะฟอกกันอยู่อย่างนี้  สัมมาทิฏฐิก็จะเปลี่ยนแปลง

ใครที่ปฏิบัติไปเรื่อยๆก็รู้สึกว่า  เอ๊ะ !  วันนี้เกิดปัญญาอย่างนึง

เดี๋ยวอีกซักวันสองวัน เกิดปัญญาใหม่

เอ้า ! นึกว่าวันนี้รู้แล้ว  ที่แท้ วันนั้น .... (วันนี้ ) เห็นยิ่งกว่าอีก !

ปฏิบัติไป ปฏิบัติมา เอ้า ! มีปัญญาเกิดขึ้นมาอีก

ของเดิมนึกว่าดีแล้ว มีใหม่ดีขึ้นกว่าเก่าอีก เห็นแจ้งชัดเจนขึ้นไปอีก ก็ขึ้นไปอีก อย่างเนี่ยะ

ก็เห็นการ ที่เค้าเรียกว่า  ขาวรอบน่ะ ขาวรอบ

ขาวรอบน่ะ ไม่ใช่ขาวที่เดียว ขาวรอบเลย ค่อยๆฟอก ฟอกจน 360 องศาน่ะ

เอาล่ะ เพราะฉะนั้น จะได้เข้าใจว่ามรรคมีองค์ 8 เมื่อย่อลงมาเหลือ 3





























ก็คล้ายๆเอาเชือกมาควั่น ๆ ๆ เป็น 3 เส้น จาก 8 เส้นน่ะ ควั่นเหลือ 3

จาก 3 ก็จะควั่นต่อไปเรื่อยๆ จนเหลือ 1 เลย   จนเหลือ 2 ...2 ก็เหลือ 1 เลย

ถ้าเรากลับมาดูที่ตรงนี้อีกครั้งนึง





























ในส่วนของสมาธิ  เราเรียกอีกชื่อนึงก็คือ สมถะ

ในส่วนของปัญญา เรียกอีกชื่อนึงก็คือ  วิปัสนา

(ไวพจน์ หรือคำแทนชื่อของจตุราริยสัจน์ )

เอาล่ะ คำแทนชื่อที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอริยสัจ 4

ทุกข์ควรรู้    อะไรคือทุกข์

ท่านบอกว่า คำแทนความหมายเดียวกันกับทุกข์ คือ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5

สมุทัยคำเดียวกัีนที่เป็นไวพนจ์  คือ อวิชชาและภวตัณหา

อ๋อ...ตัณหา หรือว่า สมุทัย ทีี่เราบอกว่าสมุทัย

พระพุทธเจ้าท่านบอกเลยว่า ตัวสมุทัย ก็คือ อวิชชาและภวตัณหานั่นแหละ คือเหตุให้เกิดทุกข์

นิโรธควรทำให้แจ้ง   อะไรคือนิโรธ  ในอริยสัจ 4

วิชชา คือ รู้แจ้งขึ้นมา แล้วก็วิมุติ หลุดพ้น นี่คือนิโรธ

ส่วนมรรค  ที่บอกว่า มรรคควรเจริญ

อะไรคือมรรค.....สมถะและวิปัสสนา

นี่คือมรรคในการขมวดปมขึ้นไปแล้ว

คือเราจะเห็นว่า เมื่อเราเดินทางมาจนกระทั่งศีลบริบูรณ์

ศีลในองค์มรรคบริบูรณ์  หมดเจตนาเป็นเครื่องเว้น

เมื่อศีลบริบูรณ์แล้ว   มรรคจะเหลือเพียงสมถะและวิปัสนาเท่านั้น

แต่ศีลต้องบริบูรณ์นะ !! พระพุทธเจ้าก็ย้ำนะ ศีลต้องบริบูรณ์

วันนี้ใครมา..โอ๊ยย พ้นทุกข์แล้ว อาศัยสมถุและวิปัสสนา

แต่ศีลโอ้โห กระพร่องกระแพร่งสุดขีดเลย

เพราะฉะนั้นยาก ถ้าศีลไม่บริบูรณ์นี่ ไม่มีหรอก

เพราะว่า ภูมิธรรมของพระโสดาบันที่พระพุทธเจ้าตรัสเนี่ยะ

เป็นผู้มีศีลบริบูรณ์ ใครที่ศีลกระพร่องกระแพร่งแล้วก็บอกว่า ตัวเองเป็นพระโสดาบัน

หรือว่ามีความปรารถนาเป็นพระโสดาบัน

แต่ศีล โอ้โห... ใครเห็นนี่ อื้อหือ ....ถ้าอย่างนี้ ลืมเถอะ ...เอาไว้ศีัลแข็งแรงก่อนนะ

ชาตินี้ค่อยมาพูดกันใหม่

ศีลในองค์มรรคนะ  ยังเพ้อเจ้อ ยังพูดคำหยาบ ยังอะไรต่ออะไรอุตลุดไปหมด

ก็ ...บกพร่อง !! บกพร่องเยอะ  เพ้อเจ้อนี่คือ  ....จิตยังไม่เห็นความจริงน่ะ

แกว่งไปแกว่งมา  มันไม่นิ่งอยู่แล้ว

งั้น ปัญญาจัดการกับกิเลส  สมาธิจัดการกับจิต

จะเห็นว่ามรรคมีองค์ 8 ที่พระพุืทธเจ้าตรัสรู้เนี่ยะ  คือ ล็อคทุกจุดที่จะทำให้เกิดทุกข์

กายวาจาโดน  จิตโดน  จนไปจัดการกับปัญญา จึงไปปัญญาจัดการกับกิเลสโดน

วันนี้เราเดินจงกลม นั่งสมาธิ  แค่ทำให้จิตตั้งมั่นนะ  จัดการกับระดับจิต

แค่ทำให้พ้นไปจากอกุศลเฉยๆนะ  ยังไม่ได้เกิดปัญญาไปจัดการกับกิเลสเลยนะ

ยังจัดการกับกิเลสอะไรไม่ได้เลยนะ จะเดินนั่ง กี่ชั่วโมงก็ตาม

คิดว่า  โอ... สภาวะธรรมอะไรก็แล้วแต่น่ะ

ยังไม่ได้ข้ามไปถึงฝั่งนั้นเลยนะ   ฝั่งที่จะไปจัดการกับกิเลสน่ะ   ยังไม่ได้เกิดสัมมาทิฏฐิเลย !!

เพิ่งจะจัดองค์ประกอบให้เกื้อกูลเท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้น เราต้องเดินทางละอกุศล ละอกุศล

เจริญกุศล ละอกุศล ในชีวิตประจำวันน่ะ จนอกุศลแห้งน่ะ

รู้สึกเลยว่า อกุศลเดี๋ยวนี้ทำไมไม่โผล่เลย

ทำไมรู้สึกสบายๆน่ะ ชีวิตมันมีความสุขจังเลย อะไรอย่างนี้

มันจะรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาก่อน

จากนั้นพอจิตตั้งมั่น   มันก็จะเห็นความจริงของฐานทั้ง 4

ว่ามันเกิดๆดับๆเกิดๆดับๆ ไม่ใช่ตัวตนเลย

เดี๋ยว... อย่างนี้ก็ยังไม่ใช่เลยนะ มันจะลาม ลาม ลาม ลาม ลาม ต่อไป

จนเกิดสัมมาทิฏฐินั่นแหละ  เดี๋ยวจะว่ากันอีกทีนึง

เอ้า ก็จะได้เข้าใจ  นะครับ

ทีนี้เราลองมาฟังพระสูตรนึงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับพระสารีบุตร

 

พระพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่า .... ( ตอนนั้นท่านอยู่ต่อหน้าชุมชนทั้งหลาย มหาชน )

ท่านถามพระสารีบุตรว่า "เธอว่าใครในที่นี้ เป็นพระโสดาบัน"

พระสารีบุตรก็ตอบว่า

" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ผู้ใดก็ตามที่เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ข้าพระองค์เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน "

แล้วทำไมต้องมีคำว่า " ผู้มีชื่ออย่างนี้ อย่างนี้  มีโคตรอย่างนี้ อย่างนี้ "

อย่านึกว่าคำเหล่านี้ไม่มีความหมายนะ

ระดับพระอริยสาวก ระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าตรัสคำไหน คำนั้นมีความหมายทั้งนั้นแหละ

เป็นคำที่สื่อสารกันใน..พระอรหันต์หรือเปล่า ?

เพราะว่า เมื่อวานจำได้มั๊ยที่ผมถามว่า " ถ้าเอา partition ออก จะเหลือแต่ขันธ์

ทุกวันนี้ พวกเราหลงบัญญัติ ที่มาเรียก นายประเสริฐ

เกิดวันนี้ ตายวันนี้ ชาตะ  มรณะ ขันธ์นั้นจึงกลายเป็นตัวตน บุคคลเราเขาขึ้นมา

ด้วยสมมุติบัญญัติ  แต่เมื่อสลายสิ่งเหล่านี้ไป

จริงๆขันธ์ แค่สืบเนื่องกันมาเฉยๆ เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ สืบเนื่องกันมา

เพราะว่าสั่งสมเหตุเกิดมาเรื่อยๆ จะดี จะไม่ดี กุศล อกุศล ก็ว่ากันไป

แต่ว่า ขันธ์ ก็เกิดมาเรื่อยๆ  เราก็เลยไปตั้งชื่อ นายประเสริฐ

เป็นกุ๊ก เป็นแป๋มขึ้นมา  ว่า ตั้งแต่ตัวเล็กๆ จนถึงตรงเนี้ยะ

ก็อุปมาว่าชื่อนี้  ให้สมมุติบัญญัติ

ผู้มีชื่ออย่างนี้ อย่างนี้  มีโคตรตระกูลจากอย่างนี้อย่างนี้

 ที่แท้ก็....ขันธ์น่ะแหล่ะ

พระอรหันต์จึงต้องใส่สมมุติบัญญัติลงไป เพราะว่า สภาพปรมัตถุ์มันไม่มีตัวตน

แล้วจริงๆมันไม่มี  มีแต่คนไปหลงสมมุติบัญญัติเอง

ทุกคำแหละ สื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นแหละ

 --------------( รับชมคลิปต่อ ) -------------------------

ใครที่บอกว่า มาปฏิบัติธรรมมาเจริญสติไว้นะ รู้ไว้นะ อะไรเนี่ย

สังเกตมั๊ยว่าพระสารีบุตรไม่ได้ตอบแบบนั้น และพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตอบแบบนั้นด้วย

พระสารีบุตรบอกไว้เลยว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8

ไม่ได้บอกเลยว่า " ย่อเหลือคำเดียว เจริญสติไว้นะ!!  " ไม่มีน่ะ !!

เพราะรู้อยู่แล้วว่า เจริญสติคำเดียวก็ไม่หลุด เพราะไม่ได้จัดการมาตั้งแต่ต้น

พระพุทธเจ้า ท่านจึงตรัสซ้ำเลย !! ยืนยันคำของพระสารีบุตรด้วย

" แม้ตถาคตเอง ก็ตรัสอย่างนี้เหมือนกัน "

--------------( รับชมคลิปต่อ )--------------------------

3 ข้อแรกใน  โสตาปัตติยังคะ 4 ก็คือ คุณสมบัติของพระโสดาบัน

จะเห็นว่า เป็นผู้ที่มี ความเลื่อมใสอันหยั่งลงมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

คำว่า หยั่งลงมั่น ไม่ใช่ธรรมดานะครับ

ผู้คนทั้งหลายก็รู้สึกว่า เราก็มีความศรัทธาในพระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์

แต่ความศรัทธาของพระโสดาบันเนี่ย ทำไม พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า

" อันหยั่งลงมั่น "  ในโสตาปัตติยังคะ 4 หรือ 4ข้อที่ท่านเห็นอยู่ตอนนี้้เนี่ยะ

ที่อยู่บนจอเนี่ย  ...มาจากการเจริญมรรค !!






























สิ่งเหล่านี้คือผล    คือผลที่เกิดจากการตรัสรู้ แล้วก็เข้าถึงความเป็นโสดาบัน

เนื่องจากการเจริญมรรคก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน

เจริญมรรคมาตลอด  จนกระทั่งถึงจุดที่รู้แจ้งขึ้นมา เกิดดวงตาเห็นธรรม

ถึงตอนนั้นเนี่ยะ จะรู้ทันทีเลยว่า พระธรรมที่ตัวเองเดินตามเนี่ยะ

คือ มรรคมีองค์ 8 เนี่ย .... เป็นความจริง

เพราะได้เกิดผลขึ้นมาแล้วคือ ทุกข์หายไป

ดังนั้น ผู้ที่เจริญมรรคอยู่จึงรู้ทันทีเลยว่า พระธรรมนี้ เป็นของจริง

เมื่อรู้ว่าพระธรรมเป็นของจริง มันจะเกิดอัตโนมัติเลย

ที่เป็นอิทัปปัจจยตาเลยนี่ จะรู้ต่อไปเลยว่า จะมีพระธรรมได้ยังไงถ้าไม่มีผู้ตรัสรู้ขึ้นมา

จะเชื่อในคำของพระพุทธเจ้า แล้วก็ย้อนกลับเลย จะเห็นเลยว่า พระองค์ มีอยู่จริงๆ !!

จะเกิดศรัทธาในพระพุทธเจ้าขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมเลย

เพราะว่าพระธรรมที่ตัวเองเจริญเนี่ย ได้เกิดผลขึ้นแล้ว

"ปัจจัตตัง "  ก็คือ ผู้ปฏิบัติพึงรู้ได้ด้วยตนเอง

แล้วความศรัทธาในพระอริยสงฆ์ทั้งหลายเนี่ย ตัวเองก็รู้ทันทีด้วยตนเองเลย

ว่าแสดงว่ามบุคคลทั้งหลายที่เจริญอยู่ข้างหน้า

ตั้งแต่พระสกทาคามี จนถึงพระอรหันต์ ... แสดงว่าพระธรรมนี้ มีอยู่จริงๆ

แล้วเกิดผลขึ้นจริงๆ เพราะเกิดขึ้นในตนน่ะ  ผู้ที่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 จริงๆแล้ว

เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระโสดาบัน จะรู้สึกคลางแคลงใจ

หรือปรามาสต่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เลย

ไม่มีทางที่พระโสดาบันไหนๆ จะรู้สึกคลางแคลงต่ออริยมรรคมีองค์ 8

จะไม่มีใครที่จะรู้สึกความคลางแคลงต่อความเป็นพระพุทธเจ้าเลย

แล้วก็จะเคารพในพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมดเลย  เพราะพ้นจากตัวตนไปแล้ว

ไม่ว่าจะมีข่าวกี่พระ  กี่องค์ ก็ตาม

ไม่เคยทำให้ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของพระโสดาบัน

สั่นคลอนไปได้เลยแม้แต่ซักมิลลิเมตรเดียว

เพราะไม่ได้เกี่ยวกับตัวศาสนาเลย เกี่ยวกับตัวบุคคลเท่านั้นเอง

ตัวบุคคลจะเป็นยังไงก็เป็นไปเถอะ ....  ศาสนาจะต้องอยู่ให้ได้ !!

ทำยังไงให้อริยมรรคมีองค์ 8 ยังคงอยู่  นั่นคือ พระพุทธเจ้าจะยังอยู่

เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คือ อริยมรรคมีองค์ 8 นี่เองที่จะพาสัตว์โลกข้ามไปให้ได้

ถ้าจะบอกว่า อริยสัจจ์ 4 ถ้าไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีทางรู้แจ้งอริยสัจ            

เดี๋ยวเราจะได้เห็นกันต่อไปนะครับ  ในช่วงต่อไป

หลังจากนั้น ในโสตาปริยังคะ 4 ข้อที่ 4 ก็คือ

เป็นผู้ประกอบด้วยศีลอันเป็นที่พอใจแห่งเหล่าพระอริยเจ้า

เป็นศีลที่ไม่ทะลุ  ไม่ขาด  ไม่ด่าง  ไม่พร้อย

เป็นศีลที่เป็นไทยจากตัณหา เป็นศีลที่ผู้รู้สรรเสริญ  เป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำ

เป็นศีลที่เป็นไปด้วยสมาธิ

" ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย " เนื่องจากแต่ว่าศีลอันนี้น่ะ  มาจากปัญญา

ไม่ได้ศีลมาจาก สมาทาน   เป็นศีลที่เป็นไทยจากตัณหา

" วันนี้วันเกิด  อยากถือศีลจัง " .......... ไม่ใช่เป็นศีลที่มาจากการอยาก

เป็นไทยจากตัณหา  ไม่ใช่อยากถือ  เห็นเค้าว่า ถือแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์

ไม่มี !!  ไม่มีในพระโสดาบัน !!

เป็นศีลที่ผู้รู้สรรเสริญ ก็คือ พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญ

แล้วก็  เป็นศีลที่ทิฏฐิไม่ลูบคลำ ไม่ใช่คิดเอาเอง

( ทิฏฐิของตัวเองน่ะ คือความคิดเห็นของตัวเองน่ะ )

แล้วก็ศีล เป็นไปด้วยสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต

ศีลตัวนี้มาจากเจตนาเป็นเครื่องเว้นที่จิต...พ้นไปหมดแล้ว

ศีลตัวนี้ เป็นอินทรีย์สังวรศีล เพราะว่า ศีลเข้าไปจี้ที่จิตแล้ว

ถ้าคนทั่วไป.....จะขโมยของ ยื่นออกไป ... มีเจตนาเป็นเครื่องเว้น แล้วก็เว้นที่กาย

แต่ศีลในพระโสดาบันเนี่ย ....พอไหววูบขึ้นมา

พอเกิดความอยากที่จะ....ปัํบ!! โดนปุ๊บ !! เลย

เป็นศีลที่เป็นไปด้วยสมาธิแล้ว ไม่ได้มาพูดถึงกายกับวาจาแล้ว

โดนตั้งแต่ตรงนี้เลย (ใจ)  คือ โดนตั้งแต่ต้นทางเลย

เอาล่ะ จะได้เข้าใจว่า พระโสดาบันเป็นใครกัน

นี่เป็นคำของพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตร

แล้วก็ อีกจุดหนึ่งที่อยากจะเคลียร์ให้เข้าใจก็คือ

มรรคมีองค์ 8 คือหนทางที่จะเข้าสู่พระนิพพาน แล้วก็ได้มีการพูดกันมากเหลือเกิน

ว่าวิปัสสนาเนี่ย เท่่านั้นล่ะ ถึงจะเข้าสู่พระนิพพาน ต้องเกิดปัญญารู้แจ้ง

เราก็เห็นมาหมดแล้ว ปัญญา ศีล สมาธิน่ะ ทุกอย่างเกื้อกูลกันหมดเลย

โอ๊ยยย  อย่าไปปฏิบัติสมถะ  ต้องวิปัสสนา

วิปัสสนาถึงจะหลุดพ้น สมถะเดี๋ยวก็ติดสมถะหรอก

โฮ้ยย...นั่งยังไม่สงบเลย จะติดสมถะ .... ( หัวเราะ ) ให้มันติดเท๊อะ ...

เวลามีใครมาถามผม  " อาจารย์ แล้วอยา่งนี้ติดสมถะไม๊ "

 ช่วยติดทีเถอะ !! ( หัวเราะ ) ผมกลัวมันจะไปติดตามห้างน่ะ

ให้มันช่วยติดสมถะหน่อยเหอะ  พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สุขที่ไม่ีควรกลัว

ฌาน 1 2 3 4 น่ะ ไม่ต้องไปกลัวมันหรอก เป็นสุขที่เป็นไปเพื่อความสงบเย็น

กลัวจริง ติดสมถะเนี่ย !! แต่ตัวเองเดินห้าง ไม่กลัวติด...เห็นเดินกันไม่หยุด !!

ปล่อยห้างให้ได้ แล้วมาติดสมถะ...หึ หึ ( หัวเราะ )  ... ฟังคำพระพุทธเจ้าดีกว่า  !!





























เนี่ยะ ชัดเจนนะครับ

ธรรม 2 อย่าง อันเป็นส่วนแห่งวิชชาคือความรู้แจ้ง

ไม่อย่างนั้น ท่านคงพูดถึงวิปัสสนาตัวเดียวแหละ

แล้วมันจะเป็นไปได้ไง มรรคมีองค์ 8  ตั้งแต่ ปัญญา ศีล สมาธิ

แล้วตอนท้ายท่านบอกเลยว่า มรรคมีองค์ 8 ไวพจน์เมื่อย่อเหลือ 2 คือ สมถะกับวิปัสสนา

ไม่งั้น ท่านพูดวิปัสสนาตัวเดียวแล้ว

ท่านก็รู้อยู่แล้วว่า สัมมาทิฏฐิจะเกิดไม่ได้เลย ถ้าไม่มี 3 ตัวนั้นช่วย

แล้วก็ไปบี้จนเหลือตัวเดียวคือ สัมมาสติ

เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว  เมื่อละอกุศลพอแล้ว

ตอนนั้น สัมมาสติจะทำงานได้แบบทรงประสิทธิภาพสูงสุด

นี่ล่ะ คือทหารเอกเลยล่ะ !! ทหารเอกของสัมมาทิฏฐิเลย

แต่ก็ยังไม่ใช่จักรพรรดิ์นะ ทหารเอกก็ยังไม่ใช่จักรพรรดิ์

เพราะจักรพรรดิ์จริงๆก็คือ สัมมาทิฏฐิ

ต้องย้อนกลับมาเกิดปัญญาที่นี่ !! ต้องย้อนกลับมาเกิดปัญญาที่สัมมาทิฏฐินี่ !

ความเป็นสัมมาทิฏฐินี่  รู้ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์

ถึงจะย้อนมาจัดการกับกิเลสได้ อันนั้นเพิ่งมาจัดการกับจิตเอง

เพิ่งจัดการกับจิต....

เอ้้า ในส่วนมรรคก็ ..เราจะไปดูต่อไปถึงความเชื่อมโยง

ทีนี้ มรรคมีองค์ 8 ไปเชื่อมโยงกับอริยสัจ 4 ได้ยังไง

เมื่อสักครู่ เราสวดธรรมจักรกัปวัตนสูตร  .....หนังสือยังอยู่มั๊ย ?

เอ้าแจกหนังสือนิดนึงก็แล้วกัน  เพื่อให้เข้าไปใน DVD ด้วยนะครับ เราก็จะมาดู  ....

แต่ท่านก็เปิดธรรมจักรกัปวัตนสูตรไปก็แล้วกัน

ส่วนผมจะเปิดหนังสือที่เปิดคู่กันไปก็คือ กลัวเกิด ไม่กลัวตาย

เพราะในนั้นสาธายายธรรมจักรฯเอาไว้แล้ว

ในธรรมจักรกัปวัตนสูตรที่สวดเมื่อสักครู่เนี่ย เราจะมาดูในส่วนของภาษาไทยนะครับ





























กามสุขัลนุกาลนุโยโค  การประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยกาม

ก็ไม่ต้องไปเลี่ยง ว่าเรายังไง..นะครับ

ยอมรับไปเลย พวกเราฆราวาส ประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยกาม

แปลว่าอะไร ??

อยากกินอะไร.... กิน !

อยากทำอะไร ....ทำ !

อยากได้อะไร ...ซื้ิอ !

อยากจะไปไหน .. ก็ไป !

อย่างนี้แหละ !! ที่เรียกประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยกาม

ท่านไม่เห็นด้วย  แต่ท่านไม่เห็นด้วยแปลว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับพระพุทธเจ้า

แต่ให้กลับมาดูความจริงด้วยใจเปิดกว้าง

อย่าเอา"กู" ขึ้นมาฟังเพราะสิ่งที่ท่านทำมาอย่างที่ผมบอกตลอด

จึงทำให้ท่านเข้าไปยึด แล้วก็เข้าไปเสพ แล้วก็เข้าไปติด

หลังจากนั้น จิตของท่านจะไม่มีสงบ

นี่คือเหตุ ที่ทำไมมานั่งสมาธิ ใจไม่เคยสงบ

ทำไมบอก ฌานที่ 4 เข้าไป ...

ถ้าเป็นคนที่เค้าปฏิบัติตามมรรคมาตลอด และทำตามพระพุทธเจ้าเนี่ย

เค้าถึงฌานที่ 4 ได้อย่างง่ายดาย

แต่ทำไมนั่งให้สงบยังทำไม่ได้ล่ะ ? ... เพราะสิ่งที่เราไปทำเอาไว้ !!

นิรวรณ์ 5 จึงเกิดไม่หยุด วันนี้เรายังไม่ได้พูดถึงในเรื่องของนิวรณ์ 5

เอาไว้พูดถึงวันหลังๆ นะ นิวรณ์ 5

นี่คือเหตุที่ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงให้เนกขัมมะออกมาจากกาม

แล้วดูแต่ละคำที่ท่านใช้

" เป็นของต่ำทราม "   ที่พวกเรากำลังทำกันอยู่เนี่ยะ

" เป็นของชาวบ้าน "  " เป็นของชนชั้นปุถุชน "  ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า

โดนแต่ละคำนี่ หงายท้องทุกคำ !!












เอาล่ะ ! ส่วนการทรมานตนให้ลำบาก นำมาซึ่งทุกข์

ก็ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า

ข้อนี้ เพราะว่าเนื่องจากสมัยพุทธการต้องยอมรับว่า มีฤาษี มี นอนบนตาปู

ยืนขาเดียวเหนี่ยวกินลม อะไรเยอะแยะมากมาย

เพราะฉะนั้น เพราะท่านลองมาแล้ว ท่านลองมาหมดแล้ว

ทรมานตนให้ลำบาก ทุกขรกิริยา ท่านทำมาแล้ว ท่านจึงรู้ว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์

เพราะฉะนั้น พวกเราโดนข้ิอนี้ข้อเดียว ( กามสุขนุกาลนุโยโค )

ข้้อนี้ไม่มี ( อัตตกิลมถานุโยโค)  เพราะนั่งสมาธิครึ่งชั่วโมงเรายังก็ไม่ไหวแล้ว

อาจจะนึกในใจว่านี่มาทรมานตนให้ลำบาก ... เปล่า !! ( หัวเราะ )

2 ชั่วโมงก็ยังไม่ลำบาก( หึ หึ ) เอ ....ทางเราตึงไปมั๊ยเนี่ย? ( หึ หึ )  45 นาที ตึงไปรึปล่าว ?

ไม่ตึังหรอกจ้ะ ... ( หัวเราะ )  นั่งไปเถอะ  ขาไม่หักหรอก !!  เป็นอุบายให้รู้จักทุกข์บ้าง

วันนี้ทำไมไม่รู้จักทุกข์   " โอ้ย ทุกข์นะ ใครบอกไม่ทุกข์ "

ทุกข์แล้วทำไง  ท่านนั่งเก้าอี้ออฟฟิซ พอเมื่อยแล้วทำยังไง

ก็ไขว่ห้างข้างโน้นที  ข้างนี้ที ไขว่ไปเรื่อยๆ  ไขว่ไปก็ไม่รู้ ไม่รู้ตัวเพราะมือก็ทำงานอยู่

ลองเอากล้องวงจรปิดมาจับไว้ แล้วก็มาเปิดดู จะเห็น

เออ ! ทำไมมันกลับไปกลับมาอยู่เรื่อยๆ  ชั้นก็ไม่ได้สั่งให้มันกลับนะ

นอนกลางคืนน่่ะ  ลองเอากล้องวงจรปิดตั้งไว้สิ จะเห็นว่านอนพลิกทั้งคืนน่ะ

เค้าวัดกันมาแล้ว ประมาณ  50 ครั้งต่อคนน่ะ

ทำไมล่ะ ? เพราะว่า คือสัญชาติญาณของรูปนาม นอนทับอยู่ข้างเดียวเลือดไม่ต้องเดินกัน

มันก็กลับของมันเองน่ะแหละ  ...  ลึกๆ มันกลับของมันเอง

เวลาท่านนอนหลับสนิทเนี่ยะ  ยุงกัด ท่านตบนะ ผมจะบอกให้

แล้วท่านโกรธด้วย  ในขณะที่ท่านหลับ  หลับๆเนี่ยะ ! เพี๊ยะ !! เข้าไปเี่นี่ยะ ( หึ หึ )

โกรธด้วยนะเวลามันกัดเนี่ยะ ทั้งๆที่หลับ

เนี่ย !! อนุสัยลึกมากนะ ลึกมาก  บางทีก็จนตื่นน่ะ ตื่นมาแล้วก็โกรธด้วย

แต่ถ้าใครฝึกมามากๆ ตอนหลับสติก็มานะ สติก็มา  หลายคนก็คงรู้เอง

หลังจากนั้น พอท่านชี้ทางสุดโต่งทั้ง 2 สายแล้วเนี่ย

อย่าลืมนะว่า ธัมมจักรกัปปวัตนสูตรคืออะไร

พระพุทธเจ้า  เดินจากพุทธคยา  ไปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ถูกมั๊ยครับ

ระยะทางประมาณ ร้อยกว่ากิโล  ร้อยกว่ากิโลนะ จากพุทธคยาไปป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

ที่แสดงปฐมเทศนาเนี่ย  ร้อยกว่ากิโล

ใครไป 4 สังเวฯ ( สังเวคชนียสถานอินเดีย ) รู้เลยโอ้โห ไกลนะเนี่ย

พระองค์เดินน่ะ  พระบาทเปล่าด้วย  เดินจากพุทธคยาไปป่าอิสิปตนฯ

ไปเจอกับปัญจวัคคีย์ แล้วพระอานนท์ก็จึงบอกเมื่อกี้ไง...

ได้สดับฟังมาแล้วอย่างนี้ว่า... ( พระอานนท์เนี่ย ก็ฟังมาจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ )

พระพุทธเจ้าก็เล่าให้ฟัง เล่าให้ฟังว่า ไปเจอปัญจวัคคีย์ แล้วตถาคตก็บอกอย่างเนี้ย

ทางสุดโต่ง 2 สายเนี่ย จากนั้น ก็บอกเลยว่า





















ดูดีๆนะ....

ทางสุดโต่ง 2 สาย บรรพชิตไม่ควรเสพ ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า

แล้วท่านบอกเลยว่ามีทางสายกลางที่จะพาไปนิพพาน

ฟันธงเลยนะ นี่เริ่มต้น นี่คือการแสดงธรรมครั้งแรกในโลกใบนี้เลยนะ !!

กระชับ ! สั้น ! ตรงไปตรงมาเลยนะ

มาถึงก็ตีก่อนเลยนะ  แล้วก็บอกเลยนะว่าทางสายกลางคืออะไร

จากนั้น ท่านบอกเลยว่า

มัฌชิมาปฏิปทา คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ  ประกอบด้วยองค์ 8 ประการ

นั่นแปลว่า ทางที่จะเดินสู่พระนิพพานคือ มรรคมีองค์ 8

เริ่มต้นก็ประกาศให้โลกรู้เลยว่าที่เรากำลังติดอยู่ ... ไม่ใช่ ! มีใช่อยู่ก็คือทางสายกลาง!

แล้วทางสายกลางนี้คือ มรรคมีองค์ 8  มีแค่นี้




จากนั้นท่านก็อธิบายเลย เราจะเห็นว่าที่มีสัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปโป ที่เราสวดกันไปเนี่ย

ธัมมจัก เนี่ย เอะใจบ้างมั๊ยเนี่ย ? ว่าไหนบอกว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจจ์

ทำไมเริ่มต้นไม่พูด ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค  เพราะมรรคก็อยู่ในอริยสัจจ์

แต่เริ่มต้นมา ประกาศเปิดฉากให้โลกใบนี้รู้ คือ

บอกเลยว่า มรรคมีองค์ 8 จะพาไปนิพพาน

ไม่ใช่มรรคข้อเดียว มรรคมีองค์ 8

หลังจากนั้น ท่านก็เริ่มบอกไปเรื่อยๆ แล้วก็มาบอกว่า

ทุกข์คืออะไร  สมุึทัยคืออะไร  ต่อจากนี้ก็ขอให้ไปอ่านเองก็แล้วกันเพื่อประหยัดเวลานิดนึง

มรรคคืออะไร  นิโรธคืออะไร  แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เนี่ยะ  มีกิจที่ต้องเข้าไปกระทำในสิ่งนั้น

ทุกข์ ควรจะเข้าไปทำอะไร  ทุกข์ควรจะเข้าไปกำหนดรู้

คำว่ากำหนดรู้ ไม่ใช่เดินกำหนด กำหนด

แต่เข้าไปรู้ความจริงของทุกข์ เข้าไปรู้ความจริงของทุกข์

จนกระทั่งเข้าไปเห็นจริงว่า เกิดมาจากอุปปาทานขันธ์ทั้ง 5 นี่แหละ

วันนี้ ถ้าให้คน list ความทุกข์ของตัวเองขึ้นมาเลย

อะไรก็ได้ที่เป็นความทุกข์ตอนเนี้ย ผมตอบแบบ พิมพ์คำตอบไว้อัีนเดียวได้เลย

ทุกข์ของทุกคนที่บอกผมมาเนี่ย

...ลูกป่วย ชั้นเป็นมะเร็ง  สามีไปมีคนอื่น  ธุรกิจไม่ดีเลย...

เขียนอะไรมาก็ได้ ให้ร้อยแปดพันเก้า  ความทุกข์ของท่าน แล้วส่งกลับมาให้ผม

ผมตอบกลับอันเดียวเลย  ทั้งหมดที่ท่านพูดถึง 1,000 อย่างเนี่ยะ .....

มาจากอุปปาทานขันธ์ทั้ง 5

อธิบายได้ทุกคน  เริ่มต้นจากที่เดียวเลย ทุำกข์จึงได้เกิดขึ้นทั้งหมด

จะเอากันแบบหยาบๆเลยก็ได้  ....เฮ้อ ! ลูก เดี๋ยวนี้ลูกเอาแต่ติดเกมส์ นะ

ไม่เรียนหนังสือเลย  กลุ้่้มใจจังเลย  ทำไงดีล่ะ ?

ชาติหน้าอย่าเกิดสิ !

พอเกิด ก็มีตา  มีตา ก็มีหู  มีหู ก็มีปาก พอมีทั้งหมด ก็มีขันธ์

เพราะมีขันธ์ ก็เริ่มมีทุกข์  ตัวขันธ์เองก็เป็นทุกข์

พอไปยุ่งขันธ์ ขันธ์ไปยึดกับอะไร คลอดออกมา ใครบอกว่าลูกเราล่ะ

โดยสภาพน่ะใช่  แต่เราก็เลี้ยง ก็เหมือนกับต้นไม้อีกต้นนึงน่ะ

แล้วก็ทุกข์ เพราะไปยึดมันขึ้นมา  หน้าที่ของแม่คือ ทำให้ดีที่สุด

นี่มันไปยึดหมด  นกมันไปยึดหมดน่ะ ต้นไม้ที่มันอยู่มันก็ยึด

ถ้าลูกของมัน ผลไม้จากต้นนั้น ไปออกต้นใหม่ มันก็ดันไปยึดต้นใหม่ด้วย

มันเริ่มต้นจากโง่ที่เดียวเลย โง่ที่เดียวเลย แล้วโง่หมดทุกต้นเลยทีนี้

จะออกไปกี่ต้นก็ออกไปเหอะ ทีนี้ ... ยึดหมด มีกี่ต้น  ต้นไม้่กูหมดล่ะ ไอ้นกเนี่ยะ !!

แล้วที่ไหนมันจะไม่ทุกข์ล่ะ

เริ่มที่เดียวเลย  ต้นไม้่มีเพลี้ย ไอ้ต้นโน้นน่ะ ที่ต่อจากต้นนี้ไปน่ะ  มีเพลี้ยมากินก็ทุกข์

 ก็ไปยึดต้นนั้น ก็มาจากต้นนี้ ก็ของกูไง !!

ไม่เหลือหรอกงานเนี้ยะ  พระพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ไม่มีผิดหรอก

มันเริ่มต้นที่เดียว  จากจิตโง่ไปยึด แล้วก็ไปสร้างเหตุเกิดให้ขันธ์ แล้วก็ไปยึดขันธ์

ขันธ์ ก็ไปปฏิสัมพันธ์ ต่อกันไปเรื่อยๆ จบเห่ ! นะ

เพราะฉะนั้น ทุกข์ ควรจะกำหนดรู้

เข้าไปรู้ความจริงของทุกข์ ว่ามันคืออะไร สมุทัยคืออะไร นะ เข้าไป

สมุทัยควรละ ต้องละออกไป นะ สมุทัยทั้งหลาย พวกตัณหาเนี่ย ละออกไป

อวิชชาเนี่ย  จนรู้แจ้งขึ้นมาน่ะ ก็เปลี่ยนเป็นวิชชา ก็คือ ไปอยู่ที่นิโรธแล้ว ทีนี้

นิโรธควรทำให้แจ้ง ก็คือ แจ้งวิชชาขึ้นมา  จนเกิดวิมุติ (เมื่อกี้ที่บอกว่าไวพจน์ )

จนกระทั่ง มรรคคืออะไร กิจในมรรคคือควรเจริญ

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า มรรคควรเจริญ  ... ก็อยู่ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรทั้งหมด

หลังจากนั้น พอจบ ปริวรรต 3 อาการ 12 จนกระทั่ง ....

ท่านก็บอกต่อไปว่า รอบที่ 3 ที่เค้าเรียกว่า ปริวรรต 3

รอบแรกคืออะไร  "ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค คืออะไร "พระพุทธเจ้าตรัสรู้รอบแรกขึ้นมาก่อน

รอบที่ 2 คือ กิจที่ควรทำในอริยสัจที่ตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว ก็คือ

"ทุกข์ควรรู้ สมุทัยควรละ นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญ"

จากนั้น ปริวรรต 3 คือ รอบที่ 3

ทุกข์ เราได้รู้จนหมดแล้ว ก็คือการทำทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้ว

สมุทัย เราได้ละจนหมดแล้ว ตัณหา เราละหมดแล้ว

นิโรธ  ควรทำให้แจ้ง ท่านทำจนแจ้งหมดแล้ว ท่านเข้าถึงพระนิพพานแล้ว

มรรคควรเจริญ  ท่านเจริญจนถึงที่สุดแล้ว

เพราะฉะนั้น อริยสัจจ์ 4 คูณ 3 ก็เท่ากับ 12 จึงเรียกว่า ปริวรรต 3 อาการ 12

พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ก่อนที่จะประกาศตนว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ก็คือ จะต้องดูว่า ครบปริวรรต 3 อาการ 12 หรือยัง?

เมื่อท่านครบหมดแล้ว ท่านจึงปฏิญาณตนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

เราได้แจ้งโลกนี้แล้ว เห็นหมดแล้ว อะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุ

แจ่มแจ้งหมดแล้ว  กิจในอริยสัจจ์ ทำจนสมบูรณ์หมดแล้ว

แล้่วก็จนมาถึงในช่วงท้าย ก็จะเห็นว่า ท่านก็บอกว่า













จักขุง อุทะปาทิ  ญาณั งอุทะปาทิ ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา หรือ แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา

ก็ไปอ่านเอา ท่านก็ยืนยันว่า นี่คือการเกิดครั้งสุดท้ายแล้ว

ก็บอกกับปัญจวัคคีย์ หลังจากนั้น ท่านโกณทัญญะ ก็บรรลุธรรมตามเลย

เป็นผู้เดินตามมรรคคนแรกเลย

เราอาจจะไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ แล้วท่านโกณทัญญะ ท่านไปสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโปตอนไหน

คืออริยสัจน์เนี่ย มันมีสายเกิดกับสายดับ

ทุกข์ สมุทัยคือสายเกิด  สายเกิดทุกข์

นิโรธ สมุทัย คือ สายดับทุกข์

ใครที่เข้าไปถึงหัวใจของอริยสัจจ์เนี่ย จะเห็นว่า มีสายเกิด กับ สายดับ

สิ่งที่เกิดขึ้น มีความดับไปเป็นธรรมดา

เมื่อเห็นความเกิดขึ้น มีความดับไปเป็นธรรมดา

วันนั้น ท่านโกณทัญญะ เริ่มวางลง  สักกายทิฏฐิ หายไป ท่านจึงเข้าไปถึงความเป็นโสดาบัน

เดี๋ยวเราค่อยเข้่าไปดูเรื่องนี้กันตอนพระโสดาบันอีกครั้งนึง

อันนี้ ต้องการชี้ในธัีมมจักเฉยๆ ว่า หัวใจของธรรมจักรก็คือ

จะบอกว่า อริยมรรคมีองค์ 8 คือ ทางแห่งพระนิพพาน

เมื่อเดินตามมรรค จึงตรัสรู้อริยสัจ ขึ้นมา

เมื่อเดินตามมรรค จึังรู้แจ้งอริยสัจ ขึ้นมา

แล้วทำไมมรรค ไปอยู่ตัวสุดท้ายล่ะ





























อริยสัจ 4 ความจริงอันประเสริฐ  ความจริงของพระอริยะ

ความจริงที่ทำให้ผู้เข้าถึง กลายเป็นอริยบุคคล

ฟังดูไม่น่ายากเลย 4 ข้อ   เอาล่ะ เราจะมาดูด้วยกัน

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ  เราได้ยินกันมาตลอดเลย

แล้วเราก็รู้ด้วยว่า อริยสัจ คืออะไร   ทุกข์ สมุทัย  นิโรธ  มรรค นะ





























ดูตามไปเรื่อยๆนะครับ  ถ้าท่านพลาดไปนิดเดียวท่านหลุดเลยนะ

ผมพยายามทำกราฟฟิคนี้ขึ้นมาเพื่อให้แต่ละคนตามได้ง่ายขึ้น

เพราะผมเชื่อว่า คงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่่ท่านจะเข้าไปเห็นความจริงนี้

แล้วมรรคคืออะไรครับ

เอาล่ะ เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะเพิ่งจบไป

ผมขอจัดรูปแบบใหม่





























เหมือนเดิม  มรรคยังคงมีองค์ 8 เหมือนเดิม

แล้วสัมมาทิฏฐิจำได้มั๊ยว่าคืออะไร

ความรู้อันใดคือความรู้ในทุกข์   ในเหตุให้เกิดทุกข์ ถูกมั๊ยครับ?

นั่นคือ อริยสัจจ์ อยู่ดี  อันนี้เราสวดกันมาแล้วตั้งแต่ภาคเช้า  4 ข้อนี้คือ....

อ้าว พระองค์ตรัสรู้อริยสัจจ์ได้ยังไง ในเมื่อ วันนั้น ไม่มีมรรค

วันที่ท่านไปนั่งใต้ต้นโพธิที่พุทธคยา วันนั้นมรรคไม่มีในโลก

ไม่มีใครสามารถเข้าไปถึงอริยสัจจ์ได้ ถ้าไม่มีมรรคมีองค์ 8 






























ต้องเจริญมรรค จึงเกิดสัมมาทิฏฐิ 





























สวดมนต์กันมาเนี่ย ผ่านหูผ่านตาคำนี้มาตลอด

อรหันตสัมมาสัมพุทธะ   ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่หัวแถวน่ะ  มรรควันนี้ ไม่มีนะ

เมื่อไม่มีมรรค  ไม่มีพระอรหันต์  ไม่มีมรรค ไม่มีหลุดพ้นนะ

ถ้าไม่มีการสั่งสมบารมีของมหาบุรุษ ที่ยอม 4 อสงไขย  แสนมหากัปป์น่ะ

วันนั้น ไม่มีมรรคมาก่อนนะ เป็นหัวแถวคนแรกที่ตรัสรู้อริยสัจขึ้นมา

แล้ว มรรค อยู่ตรงนั้นเลย  แล้วนำมรรคที่ตรัสรู้ นำมาบอก สอน

( คลิปเรื่อง ผู้บอกทางและผู้เดินทาง )



พระพุทธเจ้าต้องการจะชี้ให้สาวกเห็น

ท่านบอกว่า  ตถาคต ผู้เป็นอรหันตสัมมมาสัมพุทธะ  ก็คือ

ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง  หลุดพ้นแล้วจากขันธ์ 5 เนี่ยะ แปลง่ายๆ หลุดพ้นแล้วจากขันธ์ 5

หมดอุปปาทานในขันธ์แล้ว  ก็ไม่ยึดถือ

ส่วนภิกษุ ผู้ตามมาภายหลัง ก็หลุดพ้นจากขันธ์ 5 เหมือนกัน

เรียกว่า ผู้ปัญญาวิมุติ  หลุดพ้น ด้วยปัญญา

แล้วอะไรเป็นความแตกต่างกัน ระหว่างพระพุทธเจ้า กับสาวกผู้เดินตามมา

 ( ฟังคลิปต่อ )





























พระองค์ก็บอกว่า ท่านเป็นคนที่ตรัสรู้มรรคคนแรก

แต่ความต่างกันระหว่างท่าน กับ ผู้ปัญญาวิมุตติที่ตามมาภายหลังคือ

ท่านเป็นมรรคัญญู ท่านเป็นผู้่รู้มรรคทั้งหมด

เป็น มรรควิฑู  รู้แจ้งในเส้นทางเดินรายละเอียดทุกอย่างในการเข้าถึงพระนิพพาน

แล้วก็เป็นมรรคโกวิโท  เป็นผู้ฉลาดในมรรค  สามารถให้อุบายแก่ภิกษุที่จะเดินทางเข้าได้

หากเส้นทางจาก กรุงเทพ  ไปเชียงใหม่  มีทางสายเอเซีย มีทางผ่านไปทางสุพรรณฯ

แล้วก็ไปวกเข้าที่ตาก  มีทางที่จะไปจากสระบุรี ผ่านพิษณุโลกแล้วไปวกเข้าที่แพร่

มีทางที่วิ่งไปทางอุบล แล้วก็อ้อมไป แล้วก็ไปผ่านจังหวัดอะไรแ้ล้วก็ไปเข้าทางแพร่ น่าน

น่าน แพร่ แล้วไปเข้าเชียงใหม่ได้เหมือนกัน  สมมุติว่า มีอยู่ 4-5 เส้นทาง

มรรคานุคา คือ ผู้เดินตามมรรค

คนนึง ไปทางสายเอเซีย

คนนึง ไปทางสายสุพรรณ

คนนึง ไปทางสายพิษณุโลก

คนนึงไปทางสายสระบุรี - โคราช

แล้วก็สุดท้าย สมมุติว่าไปถึงเหมือนกัน ถึงเชียงใหม่

หากมีคนเดินทางสายเอเซีย ถึงซัก อ่างทอง แต่ไม่แน่ใจเส้นทางที่ตัวเองเดิน

ไปถามมรรคานุคาผู้ถึงแล้ว แต่เค้าเดินไปทางอุบลฯ

เชื่อมั๊ยว่า ผู้นั้นจะบอกว่า แกเดินผิดทางแล้ว

ถอยหลังกลับไปใหม่   แล้วทำแบบนี้ จะชี้ให้ท่านเดินไปทางอุบลฯ

จากนั้น ท่านไปไม่เป็น เพราะไม่ใช่จริตของเรา

กระท่อนกระแท่น กระท่อนกระแท่น เลย  ไปไม่รอดเลย

ไปเจออีกท่านหนึ่ง ชัวร์ว่าองค์นี้ ถึงเชียงใหม่เหมือนกัน

ถามท่าน แต่ท่านมาทางสุพรรณ  ท่านบอกว่า " ไอ้บ้าเอ๊ญ มันอ้อมตาย มานี่!กลับไปที่กรุงเทพฯใหม่ "

ท่านจะได้ยินว่า ไอ้ที่ทำมาน่ะ เลิกไปเลย ทำแบบนี้

" หา ! ใช้ไม่ได้เลยเหรอ....10 ปีแล้วนะ "  กลับไปใหม่ ต้องมาทางนี้ ออกทางซ้ายนี่ !

ก็ไม่ใช่ทางอีก ไม่คุ้นเลยน่ะ  ... ต้องทำแบบนี้ด้วยเหรอ ?

ไปไม่เป็น !! โอย ไม่ไหว สำนักนี้

ถามอีกองค์นึง อีกองค์นึงไปทางพิษณุโลก  .. ผิดแล้ววววว  !!!

ผิดอีกแล้วเหรอ ???

คือเสียไปอีกหนึ่งชีวิตน่ะ พูดง่ายๆ ไม่ได้ไปไหนเลย

เริ่มต้นใหม่  ให้มาทำแบบนี้ ...ทำแบบนี้อีกแล้วเหรอ?

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า มรรคานุคา ผู้เดินตามมรรคของท่านจะรู้เฉพาะเส้นทางที่ตัวเองเดิน

ท่านถึงกำำกับไว้เลยว่า ตถาคต ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ เป็นผู้รู้มรรค

เป็นผู้รู้แจ้งมรรค  เป็นผู้ฉลาดในมรรค มีอยู่พระองค์เดียวที่รู้ทุกเส้นทาง

แล้วรู้อุบายทุกเส้นทาง  แล้่วสามารถรู้จริตของคน แล้วบอกให้เลยว่าจะเดินมาทางไหน

ส่วนมรรคานุคา ไม่มีหน้าที่นั้น ตัวเองจะเห็นเฉพาะเส้นทางที่ตัวเองเดินเท่านั้น

วันนี้แหละ ถึงได้เกิดปัญหากันอย่างนี้แหละ เพราะไม่ฟังพระพุทธเจ้าเลย

ทุกคนไปฟังบทสำเร็จรูป ของสำนัก

ผมไม่ได้บอกว่า ครูบาอาจารย์จะถึงหรือไม่ถึง

แต่ปัญหามันอยู่ที่คนเดินตามต่างหากล่ะ

ท่านสั่งสมอินทรีย์ภาวนามาเหมือนกันเลยเหรอ ?

5 อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเนี่ย!

มีส่วนผสมเป๊ะๆกันเลยเหรอ เหมือนกับท่านเลยเหรอ ?

วันนี้ถึงต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่ ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรกันแน่

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร  แล้วเราจะเดินไปทางไหน

เพราะวันนี้เราไปเจอมาม่าแล้ว  ทุกคน เจอมาม่าในสำนักนั้นหมด

ต้องทำอย่างนี้ !! ทำอย่างนี้ไปเลย !! อาจารย์หลุดไปแล้วนั่นไง เอ้า! ทำ....

ไปเจอเดินช้า ก็เอา ตามเค้า

เสร็จแล้วไปเจออีกที่นึง ต้องเดินเร็ว !! เดินช้าได้ยังไง?

อ้าว!  เหรอ ที่เดินช้า ก็บอกว่าสติจะได้ทันไง ?

พอไปถึงอีกที่นึง เค้าบอกว่า "ทำไมไม่ไปฝึกสติให้มันมาทันกายที่เร็วล่ะ "

อ้าว เหรอ ?.... เอ...มันยังไงเนี่ย ? ทำไมไม่เหมือนกันเลยล่ะ ?

เนี่ยะ! มันงง  คนเดินตาม งง ตาย เพราะไม่รู้เลยว่า เดินจงกรม เดินไปทำไมเนี่ย ?

ต้องเดินแบบนี้เหรอ  หรือต้องเดินแบบนี้

ต้องเดินช้าเหรอ ? ต้องเดินเร็วเหรอ ?

เพราะไม่มีใครเข้าไปที่หัวใจเลยว่ามรรคต้องการอะไร

มรรคจะพาไปได้ยังไง

ผมถึงบอกว่า วันนี้เนี่ยะ  ลำบากคนเดิน นะ ลำบากคนเดิน

อย่างที่ผมยกตัวอย่างบ่อยๆ ที่ลูกศิษย์พระสารีบุตรเนี่ย มาบวช เป็นภิกษุหนุ่ม

พระสารีบุตรก็เลยให้ดูกรรมฐานอสุภะ จะได้คลายกำหนัด

4 เดือนผ่านมา ไม่กระดิกเลย  ปฐมฌานก็เข้าไม่ได้

พอปฐมฌานเข้าไม่ได้ ถามกี่ที พระสารีบุตรก็ยังยืนยันกรรมฐานแบบเดิม

แต่ก็ชักเอะใจแล้ว พอครบ 4 เดือน จึงเลยพาไปเข้าพบพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า " สารีบุตร เธอบอกกรรมฐานลูกศิษย์ผิด "

ห๊ะ  ! อัครสาวกเบื้องขวานะ  ผู้เป็นเลิศด้านปัญญาด้วย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอบอกกรรมฐานลูกศิษย์ผิดแล้ว

พระพุทธเจ้าบอกว่า เธอจงไปเอาดอกบัว แล้วไปนั่งหลังศาลา

แล้วก็เพ่งกสิณ แล้วก็เพ่งกสิณเข้าไปที่ดอกบัว โลหิตตํ โลหิตตํ ไปเรื่อยๆ

ภิกษุนั้นก็ไปเด็ดดอกบัวมา แล้วก็ปัก แล้วก็นั่งเพ่งกสิณ โลหิตตํ โลหิตตํ

ก็เพราะว่าดอกบัวนั้น  สีชมพู  ออกสีแดง ท่านก็เลยให้เพ่งโลหิตตํ เพื่อทำกสิณสีแดง

จากนั้น พักเดียว จิตเดินเข้าสู่ปฐมฌานเลย  แล้วก็เข้าสู่ฌานที่ 4

พอเข้าสู่ฌานที่ 4 จิตก็เริ่มสงบ  พอสงบก็เริ่มเข้าสู่ธรรมชาติบริสุทธิ์

หลังจากนั้น ดอกบัวก็เหี่ยว พอดอกบัวเหี่ยว ใจก็แว๊บบบเลย

...เสียดาย.....ความทุกข์เกิดขึ้นมาเหมือนกับไฟเผาเลย

จากนั้น เห็นเด็กดึงดอกบัวอยู่ในสระน้ำ เด็กมันเล่นแล้วก็ดึงดอกบัวแล้วก็โยนขึ้นมา

ดอกบัวก็เหี่ยว ท่านบอกว่าเหมือนไฟไหม้ทั้งตัวเลย  ไฟเกิดขึ้น วูบ!! ขึ้นมาเลย

แต่ด้วยความตั้งมั่นของฌาน 4 ที่เพิ่งออกมา

จึงเห็นทันที่เลยว่า ทุกข์ทั้งหมดมาจากอุปปาทาน

เราเข้าไปยึดดอกบัวนี่เอง ยึดดอกบัวเพราะ ยึดขันธ์นี่แหละ

ทุกข์ ก็เพราะยึดขันธ์  ยึดความรู้สึก ยึดทุกอย่าง

จากนั้น ด้วยอำนาจของฌาน แล้วก็บารมี พลั๊วะ !! บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เลย

จากนั้น พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เธอให้กรรมฐานลูกศิษย์ผิดแล้ว

พระสารีบุตรก็บอกว่า หม่อมฉันเห็นลูกศิษย์เป็นภิกษุหนุ่ม

ก็เลยให้อสุภะ    เพื่อจะได้ละราคะ แล้วก็จิตใจก็จะได้ผ่องใสขึ้น เข้าสู่ปฐมฌานได้

พระพุทธเจ้าบอกว่า ภิกษุหนุ่มคนนี้เนี่ย กำเนิดเิกิดมาเนี่ย อยู่ในร้านทองมาหลายชาติ

เค้าอยู่กับของสวยๆงามๆมาตลอด  เมื่อไปเห็นอสุภะ  ใจมันจึงห่อเหี่ยว  ไม่สามารถตั้งมั่นได้

แต่พอให้ไปดูของสวยๆงามๆคือดอกบัวสีแดง ซึ่งถูกกับจริต

จึงรู้สึกสดชื่นขึ้น  มีความสุข เมื่อมีความสุข จึงเข้าสู่สมาธิได้

วันนี้ ถ้าใครไม่มีความสุขในการปฏิบัติ อย่าไปหวังให้จิตสงบ

ยังไงต้องมีความสุขก่อน  พอมีความสุขจิตก็สงบ พอสงบปั๊บ ก็เข้าสู่ปฐมฌาน

แล้วจิตก็เดินต่อไป  พอหลุดพ้นปั๊งงง !! พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่า.......

"เราให้เค้าเห็นของสวยงามก่อน  แล้วดอกบัวเหี่ยว จึงไปเห็นอสุภะทีหลัง "

กลับข้างกันกับพระสารีบุตร กลับกันนิดเดียว บรรลุเลย !!

ท่านจึงบอกต่อไปว่า สารีบุตร เธอไม่สามารถใ้ห้กรรมฐานลูกศิษย์ที่่เป็นพุทธเวไนยะ ได้

พวกนี้ ต้องฟังจากตถาคตเท่านั้น

คือ ถ้้าท่านในนี้ ( ในคอร์ส ) เป็นพุทธเวไนยะ ผมก็ขออภัย

ท่านต้องไปรอฟังจากพระศรีอาริยเมตไตรแล้วทีนี้

ก็ฟังๆไว้ก็แล้วกัน ( หัวเราะ )  ฟังจากพระพุทธเจ้าพระองค์นี้แหละ

เอาล่ะ เรื่องก็จบแค่ตรงนี้แหละ  ในเรื่องพระสารีบุตร

แต่ผมก็มักจะ ขออนุญาตยกตัวอย่างให้ท่านพอจะเห็นภาพ

ว่าพระพุทธเจ้าหมายถึงอะไร ข้อนี้

ถ้าภิกษุผู้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์จากการเพ่งดอกบัวนั้น

ถ้าไปสอนลูกศิษย์ต่อ จะสอนยังไง ?  ถ้าไปมีลูกศิษย์ จะสอนยังไง ?

" เธอไปเพ่งดอกบัว เธอไปเด็ดดอกบัวแล้วมาปัก แล้วก็เพ่ง แล้วก็ท่อง โลหิตตํ โลหิตตํ ไว้ "

ถูกมั๊ย ?  แล้วก็จะมีลูกศิษย์อีกกลุ่มนึงที่ใกล้ชิดแล้วก็บอก

" พระพุทธเจ้ายืนยันแล้วนะว่า บรรลุธรรม  ปฏิบัติอย่างเนี้ยะ บรรลุแน่นอน "

เอาเลย !! ตั้งหน้าตั้งตา โลหิตตํ โลหิตตํ กันเลย

ผมถามจริงๆเลยว่า เอาโดยเซนส์ของท่านเลย สมมุติว่ามีลูกศิษย์ของท่าน 20 คน

จะมีบรรลุธรรมกี่คน  ก็ไม่รู้อีกล่ะ  แต่คงไม่ทั้ง 20 แน่

เพราะคงไม่มีใครเหมือนกันมา อาจจะไม่ได้เกิดในตระกูลร้านทองแบบเดียวกันมา

แต่ว่า เอาน่ะ อาจจะพอได้สมาธิบ้าง หรือว่าจะไม่เข้าเลยก็ได้

ไม่คุ้นเลยน่ะ  โลหิตตํ โลหิตตํ ไม่ไปเลยอย่างเนี้ยะ

ก็ จิตใจก็ไม่มีความสุขเหมือนกัน เหมือนตอนกรรมฐานแล้วกลับข้างน่ะ

เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้ ถึงจำเป็นต้องกลับไปที่จุดเริ่มต้น

ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร  ตรัสรู้อะไร  ธัมมจักว่าไงเนี่ย  จะได้เดินตามให้ถูก

วันนี้ จะไปหวังอะไร  พระพุทธเจ้าปริพนิพานไป 2,600 ปีนะ ไม่ใช่แป๊บๆ

ยังมีอริยมรรคมีองค์ 8 อยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว

เพราะฉะนั้น จะหวังอะไร กับจริตที่จะให้ใครชี้

ในเมื่อพระสารีบุตรยังให้กรรมฐานลูกศิษย์ไม่ตรงจริต

งานนี้ต้องโยนิโสมนสิการแล้ว ต้องพึ่งตนแล้ว ถึงเวลาต้องพึ่งตน

เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจมรรคมีองค์ 8 ให้ได้ แล้วเมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้

ไม่ใช่แค่ทางความคิด  แต่ต้องนำไปปฏิบัติจริงๆ

เมื่อปฏิบัติจริง ๆ ๆ ๆ  เข้าไปเรื่อยๆ มันจะเห็นความจริงตามขึ้นมา

ไม่ใช่ว่า โอ๊ยย นี่ก็ละอยู่  วันนึง ละทีเดียว

" ละอยู่..อาจารย์ ทำไม..... "

" เออ ! รู้อย่าว่าละน่ะ  บางทีเดือนนึง เพิ่งนึกออกนะ คือมันไม่ไปไหนหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นน่ะ

นี่มาเข้าคอร์สบ่อยนะ บ่อยมั๊ย ปีนึง บ่อย !!! โหย  3-4 หน ... เออ บ่อยแฮะ !

แต่มันทำเฉพาะตอนเข้าน่ะ  ไอ้ตอนออกมันไม่ทำเลย อย่างเงี๊ยะ !

คือ มันไม่ใช่ความถี่....มันเป็นความเอาจริงเอาจัง แล้วก็ทำกันให้ต่อเนื่อง

นะ ...ต้องทำให้ต่อเนื่อง

เอาล่ะ ! เราก็พอจะเห็นความเชื่อมโยงกันของมรรคมาสู่อริยสัจผ่านทางธัมมจักกัปปวัตนสูตร

หลังจากนี้ คงไม่มีใครคลางแคลงแล้ว

ว่าความยิ่งใหญ่  หรือ การจะบรรลุธรรม หรือการจะดวงตาเห็นธรรม

คงต้องมรรคมีองค์ 8 แล้วล่ะ

เอาไว้ พรุ่งนี้ เราจะเริ่มแปลงมรรคมีองค์ 8 เข้าสู่การปฏิบัติอีกครั้งนึง  นะครับ

วันนี้ ยังไงก็ต้องเข้าใจหลักการให้ถูกก่อน ผมจึงเห็นว่า

ถ้าท่านไม่เข้าใจคำของพระพุทธเจ้าทีละคำ ทีละคำจริงๆ

แล้วท่านจะเอาไปแปลงไปสู่การปฏิบัติ ทำความเข้าใจได้ยังไง

ถ้าเรื่องนั้น มันถูกผมแปลงมาทีนึงแล้วน่ะ

ถ้าสาส์นของพระพุทธเจ้าถูกผมแปลงมาด้วยความคิดเห็นของผมมาทีนึงแล้วเนี่ย

ท่านกลับไปที่เดิมไม่ได้นะ   ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ

ถ้าผมเล่นเอาความเข้าใจของผม แปลงสาส์นของพระพุทธเจ้า แล้วอธิบายเลยเนี่ย

บางคนเข้าใจได้ก็เข้าใจ  บางคนเข้าใจไม่ได้จะกลับไปสืบค้นไม่รู้จะค้นยังไง

เอ๊ะ นี่มันพูดอะไรเนี่ย ? อย่าง กายานุปัสนาสติปัฏฐานเนี่ย

ให้ทำความรู้สึกตัวไว้นะ รู้สึกที่กายไว้ เดินเหินหยิบจับ ให้รู้สึกที่กาย

เข้าใจได้ !..... แต่ทำมาแล้ว ไม่เห็นถึงเลย

ก็รู้สึกตัวไว้ การเคลื่อนการอะไรเนี่ย ก็เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

ทำโยคะนี่ก็เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เนี่ยให้รู้สึกถึงการเคลื่อนไป ๆๆ

ท่านก็ต้องทำตามนั้น ... ถูกมั๊ย? ถ้าผมพูดอย่างนี้ เพราะดูเหมือนผมจะเป็นผู้ทรงความรู้หมด

ยังไงท่านก็ต้องเชื่อผมก่อนล่ะ เพราะผมบอกว่า ผมอ้างพระไตรปิฏกมาน่ะ

แล้วท่านก็เชื่อว่า ผมอ่าน  แต่เอาล่ะ พอผมเปิดให้ดู

กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเขียนไว้ว่า เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ

มีความเพียรเพ่งเผากิเลส  เห็นว่าไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ในบรรทัดล่างๆเนี่ยท่านก็เห็น

แล้วก็มีที่มาของพระไตรปิฎกเป็น Reference ให้ด้วย

วันนี้ต้องเอากันจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นมันถอยหลังกลับไม่เจอ

ถ้าผมบอกว่า ท่านเห็นแล้วว่าคืออะไร

ทีนี้พอผมบอกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็คือ การทำโยคะ ก็ใช้ได้

เออ... ดูเหมือนจะเป็นใช้ได้ ๆๆ เพราะตอนนี้กำลังฮิตโยคะกันอยู่

ใช้ได้เหมือนกัน ไปฝึกโยคะ

ผมบอกว่า หรือ เกิดมีใครสงสัีย บอกว่า

" ยังไม่เคยไปเห็นมีคนฝึกโยคะ เนี่ย เข้าถึงความที่เห็นว่า กายนี้ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาเลย!"

เห็นทุกคนที่ฝึกโยคะ เต็มไปด้วยราคะที่อยากจะหุ่นดี

ไปดูกระจกก็ .... อืมมม ผอมไปเยอะเหมือนกัน

นี่ !! เห็นแต่กาย นี่ยึดแต่กาย !!  จะเห็นกายในกายได้ยังไง ไอ้นี่มีแต่ราคะ

ยังไม่เคยเห็นใครกำลังทำท่าไหว้พระอาทิตย์  ยืนขาเดียวเหนี่ยวกินลมอยู่เหมือนกัน

ไหว้พระอาิทิตย์อยู่ ฟรึ่บบบ ++บรรลุเลย !! นี่ไม่ใช่กู ไม่ใช่ของกู นี่

ไม่มี๊ ..... !!  เห็นมีแต่  โอ้โห กล้ามเนื้อขึ้นเป็นมัด  เดี๋ยวนี้มาเป็นซิคแพค ไม่มีหรอก

เพราะฉะนั้น จะได้ย้อนกลับไปได้ว่า มั่วแล้ว ...มั่วแล้ว

แต่ถ้าบอกว่า ฝึกโยคะตอนเช้าเพราะนั่งสมาธิกันเนี่ยะ ขาก็แข็งแล้ว

หลังก็ตึงไปหมดแล้วเนี่ย 3 วัน จะได้ยืดเส้นยืดสายแล้วก็เป็นออกกำลังกายด้วยให้เหงื่อได้ออก

ทำไปเลย !  แต่อย่ามามั่ว .. อย่ามามั่วซอง

คือถ้าออกกำลังกายโยคะเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อให้เหงื่อออก ทำไปเลย ใครจะไปว่าอะไร

ขณะนั้น ให้คุณรู้สึกตัวไปด้วยเลยนะ จะได้เกิดสติสัมปชัญญะ

ทำไปเลย !! แต่อย่ามามั่วว่านี่คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

เพราะไม่งั้น มันต้องโพล่งขึ้นมาว่า นี่มันไม่ใช่กายของกู

ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา  แต่นี่มีแต่ทำ ....ทำท่านี้ มันจะทำให้ตับไตไส้พุง ...

มันจะบอกอานิสงส์ มันจะทำให้เกิดราคะ   มันจะเิกิดนันทิ แล้วก็เกิดตัณหา

แล้วก็อยากจะทำอีก  ไม่มีล่ะ ไม่มีหลุดพ้นล่ะ ถ้าอย่างนั้น

แต่ทำไปเพื่อออกกำลังกาย เออ....ถ้าอย่างนั้นค่อยยังชั่วหน่อย

อย่าโกหกสิ  ผมต้องการให้ท่านรู้ความจริง ใครแหกตาจะได้รู้ว่า โดนแหกตาแล้ว นะ

จะได้ดึงลงบ้าง เฮ้อ วันนี้มันแหกกันจน เดินกันจนไม่รู้จะเดินกันไปทางไหน

เค้าว่าทางนี้ดี ก็ไปตาม....แห่กันไป

เอ้า พอว่าทางนี้ดีก็ไป .. ตามแห่กันไป

เมื่อไหร่เข้าใจมรรคมีองค์ 8   เข้าใจพระพุทธเจ้า  เข้าใจการปฏิบัติ  จะหมดเรื่องตื่นเต้น

อืมม ทำไปเถอะ .. ถ้าดี ทำไปเลย

ไม่มีหรอก เฮ้ย! ดี ตามมานี่ ... เออ...ทำไปเถอะ...

ทำแล้วสติเกิดมั๊ยล่ะ ? .......... เกิด !

ปัญญาเกิดมั๊ยล่ะ ?........เกิด !

งั้นอยู่ที่นั่นเลย ไม่ต้องมาทางนี้

มาทำไมเล่า ?  ถ้ามาก็มาฟัง แล้วไปต่อเลย    กลับไปได้เลย

แต่ถ้าอยู่แล้ว สติก็ไม่เกิด ปัญญาก็ไม่เกิด มีแต่อกุศลเกิด แล้วจะอยู่ทำเจ้าอะไร

ออกมาเฮอะ !! สงสัยอยู่นั่นล่ะ  ใช่หรือวะ ใช่หรือวะ ?

ก็ไปนั่งสงสัยทำไม  ก็เดินตามมรรคไปซะเลย  จะได้ไม่ต้องสงสัยคำพระพุทธเจ้า

นะ เข้าใจอย่างนี้ มันจะได้หมดปัญหากันไป

เอาล่ะ  สำหรับคืนนี้นะครับ ก็..พอสมควร

วันนี้ทั้งวัน เข้าสู่มรรค เข้าสู่อริยสัจ กันแล้ว

พรุ่งนี้ก็จะค่อยๆไต่ขึ้นไป สูงขึ้นล่ะ  แล้วจะเข้าไปถึังปฏิจจสมุปบาท

เข้าไปถึงขันธ์ 5 เข้าไปถึงรายละเอียดของการปฏิบัติ

จนกระทั่้ง กลางคืนก็น่าจะจบที่ พระนิพพานได้ นะครับ

กราบพระ แล้วไปภาวนาต่อนะครับ อนุโมทนาด้วย


จบการบรรยายตอนที่ 8
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  ตอนที่ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ( องค์ 6-8)                           ตอนที่ 9  ปฏิจจสมุปบาท 


กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ

- ด้วยจิตคารวะ -

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น