3/15/2557

พังประตูคุก ตอนที่ 9 ปฏิจจสมุปบาท

ถอดคำบรรยาย:
คอร์ส “มัคคานุคาเข้มระดับ 2” เรื่อง พังประตูคุก
ตอนที่ 9 “ปฏิจจสมุปบาท”

บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
สวนธรรมศรีปทุม







[เสียงจากคลิป]
อาการดับแห่งความทุกข์ (อีกปริยายหนึ่ง)
       (พระผู้มีพระภาคเมื่อประทับอยู่ในที่หลีกเร้นแห่งหนึ่ง ได้ทรงกล่าวธรรมปริยายนี้ตามลำพังพระองค์ ว่า :-)
       เพราะอาศัยซึ่ง จักษุ ด้วย ซึ่ง รูป ด้วย จึงเกิด จักขุวิญญาณ; การประจวบพร้อมแห่งธรรม 3 ประการ คือ (ตา+รูป+จักขุวิญญาณ) นั่นคือ ผัสสะ; เพราะมีผัสสะเป็นปัจัย จึงมี เวทนา; เพระมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา.
       เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งตัณหา นั้นนั่นแล จึงมีความดับแห่งอุปาทาน; เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ อุปปายาสะ ทั้งหลาย จึงดับสิ้น.
       ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
       (ในกรณีแห่ง โสตะ มานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็ได้ตรัสต่อไปอีก ซึ่งมีข้อความอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งจักษุ ทุกตัวอักษร ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น).
       โดยสมัยนั้นแล ภิกษุองค์หนึ่ง ได้ยืนแอบฟังพระผู้มีพระภาคอยู่. พระผู้มีพระภาคทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นแล้ว ได้ทรงกล่าวกะภิกษุนั้นว่า :-
       ภิกษู ! เธอได้ยินธรรมปริยายนี้แล้ว มิใช่หรือ ? ... ภิกษุ ! เธอจงรับเอาธรรมปริยายนี้ไป; เธอจงเล่าเรียนธรรมปริยายนี้; เธอจงทรงไว้ซึ่งธรรมปริยายนี้. ภิกษุ ! ธรรมปริยายนี้ ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ แล.
[เสียงจากคลิป จบ]

สวัสดีโยคีทุกท่านครับ วันนี้ก็เป็นเช้าวันที่ 4 ในการปฏิบัติ

ในวันนี้เราก็จะเริ่มเข้าสู่ภาคขยายของอริยสัจ 4 นะ

ซึ่งภาคขยายของอริยสัจ 4 ก็คือ “ปฏิจจสมุปบาท” นั่นเอง

เพราะว่า ทุกข์ สมุทัย ก็คือ สายเกิด, นิโรธ กับ มรรค ก็คือ สายดับ

เราจะมาดูปฏิจจสมุปบาท สายเกิด สายดับ กันหน่อย

แล้ววันนี้เราก็จะศึกษาอีกเรื่องนึงที่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ

มิฉะนั้นเราก็จะไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทอยู่ดี ก็คือ



เรื่องของ ขันธ์ 5

หลักสูตรระดับ 2 เนี่ย เป็นการให้ข้อมูล นะครับ

ให้ข้อมูลที่จำเป็นในการเดินทาง ตั้งแต่เรื่องของ...วันแรกๆ

ในส่วนของ สติ สมาธิ  มีการพูดกันในหลักสูตรเบื้องต้นมาแล้ว มากพอแล้ว นะครับ

ปูพื้นฐานมาจนพอแล้ว

สัมมาทิฏฐิในเบื้องต้น จนเห็นโทษภัยในวัฏฏะสงสารพอแล้วนะ

กฏแห่งกรรม ทำกุศลได้กุศล ทำอกุศลได้อกุศล

ท่านที่ผ่านหลักสูตรพื้นฐานมาแน่นปึกแล้วนะครับ

จนมาถึงตรงนี้ ก็จะเป็นข้อมูลในการเดินทางตามคำของพระศาสดา

เพราะฉะนั้น หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ หรือการปฏิบัติอาจจะยังไม่ถึงตรงนี้

ไม่ได้มีปัญหาอะไร นะครับ สิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ก็ทรงจำ แล้วก็นำมาเป็นแนวทาง

อย่างน้อยที่สุดมั่นใจนะ ว่ามีเส้นทางสู่การพ้นทุกข์จริงๆ

พระองค์ทรงตรัสรู้ไว้จริงๆ วันไหนที่เราเดินไปถึง เราก็จะ อ๋อ! ตรงนี้นี่เอง ตรงนี้นี่เองที่ท่านพูดถึง นะ

เอาล่ะ เดี๋ยวเราสวดตามพระ นะครับ สวดตามพระ เป็นปฏิจจสมุปบาทสายเกิด

                      


[เสียงจากคลิป]
อวิชชาปัจจะยา สังขารา
สังขาระปัจจะยา วิญญานัง
วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง
นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง
สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส
ผัสสะปัจจะยา เวทนา
เวทะนายะปัจจะยา ตัณหา
ตัณหาปัจจะยา อุปาทานัง
อุปาทานะปัจจะยา ภะโว
ภะวะปัจจะยา ชาติ
ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ สะมุทะโย โหติ ฯ
[เสียงจากคลิป จบ]

อันนี้เป็นสายเกิด ท่านก็ลองอ่านตัวสีแดงดู นะครับ

อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร แล้วก็กระทบ กระทบๆ กันมาเรื่อยๆ

จนกระทั่ง การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีได้ด้วยประการละฉะนี้

นี่ก็คือคือสายเกิด ทุกข์ กับ สมุทัย

เราจะมาดูสายดับ


[เสียงจากคลิป]
อวิชชายะ เตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ
สังขาระนิโรธา วิญาณะนิโรโธ
วิญญาณะนิโรธา นามรูปะนิโรโธ
นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ
สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ
ผัสสะนิโรธา เวทนานิโรโธ
เวทนานิโรธา ตัณหานิโรโธ
ตัณหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ
อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ
ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ
ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ
เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ นิโรโธ โหติ ฯ
[เสียงจากคลิป จบ]

นี่ก็เป็นสายดับ นะครับ อยากจะทราบความหมายก็อ่านที่คำแปลสีแดง

ทีนีัหลายคนที่ยังเป็นผู้ใหม่สำหรับปฏิจจสมุปบาท

เราก็จะค่อยๆ อธิบายไป โดยความหมายทีละคำๆ ก่อน นะ

ก็เหมือนอริยมรรคมีองค์ 8 ก็อธิบายไปทีละคำๆ ก่อน นะ

สัมมาทิฏฐิคืออะไร อะไรๆ เสร็จแล้ว ก็ค่อยตอนท้ายก็เริ่มทำให้ท่านเห็นภาพรวม

แล้วก็จนเห็นแนวทางการปฏิบัติ จนกระทั่งถึงอานิสงส์ สามารถทำให้พ้นทุกข์ได้ยังไง นะ

ทีนี้ปฏิจจสมุปบาทก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นธรรมอันลุ่มลึก นะครับ

พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสเอาไว้ว่า เป็นธรรมอันลุ่มลึก

เป็นธรรม... ถ้าจะบอกว่ายาก คือยากที่สุดในบวรพระพุทธศาสนานี้แล้ว หมวดธรรมข้อนี้

ความจริงจะบอกว่ายากก็คือ ก็คือความจริงน่ะ

คือคำว่า ยาก... ไม่เหมือนเลขน่ะ (หัวเราะ)

คือสมมติว่า มีซุง แล้วช้างลากซุงได้

เราพยายามฝึกวัวให้ไปลาก วัวมันลากซุงไม่ได้น่ะ!

จะบอกว่าวัวลากยากน่ะ   ถ้าวัวบอกว่า โอ้โห! ยากอ่ะ ลากไม่ได้

มันจะใช้คำว่ายากมั้ย?   คือวัวมันลากไม่ได้อ่ะ

แต่ถ้าวัวบอกว่า โอ้โห! ยาก ก็เลยไปฝึกหมาให้มาลากซุง

หมาบอกว่า โอ้ย! ยาก   มันไม่ใช่ยากนะ มันทำไม่ได้น่ะ (หัวเราะ)

แต่ช้างมันบอกว่า มันยากตรงไหนอ่ะ... เนี่ยะ ผมก็เลยไม่รู้จะใช้คำว่า ยาก...  ยาก หรอ?

เพราะมันคือความจริงตามนั้นอ่ะ

โลกนี้กลม แต่คนในยุคนึงบอกว่าโลกนี้แบน แล้วมีคนบอกว่าโลกนี้มันกลม

 อืม! มันยากเนอะที่จะทำความเข้าใจ (หัวเราะ) ยาก...

นี่มันแบบเดียวกันเลย  ยากนะที่จะทำความเข้าใจว่า โลกนี้กลม... หรอ?...

ก็มันกลม มันไม่ได้แบน มันยากยังไงหรอ?

ปฏิจจสมุปบาทนี่คือความจริงอ่ะ เป็นความจริง ที่เราไปหลงคิดว่าของกลมๆ เนี่ย เป็นของแบนน่ะ

แล้วบอกให้มาเข้าใจความจริงที่กลมเนี่ย บอกว่ายากอ่ะ... แปลไม่ถูก

เราจะมาทำความเข้าใจไปทีละตัวก่อน

ซึ่งพออธิบายตรงนี้ เราก็ไปเข้าใจขันธ์ 5 เองน่ะ  เพราะขันธ์ 5 ก็อยู่ในนี้

แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาขยายความขันธ์ 5 อีกครั้งนึง เพื่อนำมาสู่การปฏิบัติ

เมื่อปฏิบัติ อย่างเช่นสติปัฏฐาน 4 ก็ไปทับขันธ์ 5 อยู่หลายตัวเลย กาย เวทนา จิต ธรรม เนี่ย

ก็จึงไปเข้าใจขันธ์ 5 ในที่สุด แล้วจึงรู้เลยว่า ขันธ์ 5 เป็นทุกข์

นี้  ทุกข์  นี้   เหตุให้เกิดทุกข์ พอตอนปฏิบัติไปจนสูงๆ แล้ว ไม่ใช่ความรู้สึกทุกข์แล้ว

ขันธ์ 5 นี่ทุกข์ และขันธ์ 5 มีสภาพทุกข์ เพราะเกิดดับไม่หยุด

และความเป็นทุกขัง และความเป็นอนัตตา

จึงรู้เลยว่า ใครก็ตามล่ะ ถ้าเข้าไปยึดของเป็นทุกข์...มันทุกข์แน่ งานนี้

จนกระทั่งเกิดปัญญาก็ยังหลุดพ้นไม่ได้ ต้องอาศัยมรรคถอดถอนต่อไปเรื่อยๆ

ตัดอาหารมันไปเรื่อย ตัดโลภะ โทสะ โมหะ ลงไปเรื่อย นะ

จิตโง่หรืออวิชชาก็ได้อาหารน้อยลง กำลังของเราก็แก่กล้าขึ้น มันก็อ่อนลง เราก็แข็งขึ้น

จนกระทั่งรู้ความจริงทั้งหมด ดับ ว่าง สงบ แล้วก็สลัดคืน แล้ว....เย็นเลย


เราจะมาดูปฏิจจสมุปบาท

ในเบื้องต้นสำหรับคนใหม่ทุกคนก็มักจะเห็นวงจรหน้าตาอย่างนี้นะ





















ความจริงมันไม่ได้เป็นวงจรอย่างนี้หรอก

แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ไม่รู้จะเอานามธรรมมาเป็นรูปธรรมยังไง

ก็ไม่ได้วิ่งกระทบกันเป็นวงกลมๆ อย่างนี้หรอก

อวิชชาเป็นปัจจัยใหัเกิดสังขาร อย่างที่เมื่อกี้สวด...

อวิชชาปัจจะยา สังขารา, สังขาราปัจจะยา วิญญานัง... ที่สวดๆ กันเมื่อกี้นะครับ

แล้วก็กระทบๆ กระทบๆ เป็นปัจจัยให้เกิดจนกระทั่งถึง ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ฯ

แล้วก็วนกลับมาที่ เป็นอาหารอวิชชาต่อไปอีก

อวิชชาก็ได้อาหารต่อไปอีก ก็โตขึ้นอีกนะ   ก็แข็งแรงขึ้นอีก

ยิ่งจัดการยากเข้าไปใหญ่   เพราะเราเติมอาหารมันไม่หยุดนะ

ไม่โลภ ก็โกรธ....ไม่โกรธ ก็หลง เติมมันเข้าไป นะ

ฝังรากลึก ฝังรากลึก ที่บอกว่า อนุสัยเป็นเหมือนเชื้อไวรัส

ก็เติมอนุสัยเข้าไปอีกนะครับ  ก็แข็งแรงขึ้นไปอีก

ก็มาจัดการกันที่ โกรธก็รู้   โกรธก็รู้   โกรธก็รู้   รู้...ไม่หายซะที

ก็อนุสัยไม่โดนจัดการเลย เพราะไม่ได้เจริญมรรคเลย

มรรคไม่รู้จักเลย   รู้ไปอย่างนี้ ปฏิบัติไปอย่างนี้ จะไปพ้นทุกข์ ก็เลยสร้างเหตุเกิดไม่หยุด!!

เหตุเกิดของกิเลสตัณหาก็เลยไม่หยุด เพราะไปเติมไม่หยุด

ทั้งหลงๆ หลงๆ แล้วก็ โลภๆ โลภๆ ก็ใส่เข้าไป

ออกมาเป็นทุกข์หมดนะ วงจรก็หมุนครบรอบ

ทีนี้เรามาดูก่อนว่าความหมายที่พระพุทธเจ้าหมายความคืออะไร?

แล้วค่อยนำไปสู่การปฏิบัติ แล้วคืนนี้เราคงได้เห็นความจริง























อวิชชา จากพระสูตรเลย ท่านแปลว่า ความไม่รู้อริยสัจ... กลับมาที่คำนี้อีกละ 

ก็คือ... ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เหมือนเดิม แต่อันนี้กลับข้างกันกับ วิชชา

นี้แปลง่ายๆ เลย ถ้า วิชชาเอา อ อ่าง ออกเนี่ย ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

แต่พอใส่อวิชชาเข้าไป เพราะไม่รู้อริยสัจ นี้แหล่ะ 

จิตถึงได้โง่ แล้วก็สร้างตัวตน แล้วก็ไปยึดขันธ์ 

เพราะมันไม่รู้จริงๆ ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุ

นี่คือว่าโง่ของการก่อร่างสร้างมาตาม... คือมันเกิดขึ้นมาตามองค์ประกอบนะ 

มันก็โง่จริงแหล่ะ แต่ว่ามันจะว่าโง่ก็ไม่เชิง เพราะว่ามัน มันเป็นของมันอย่างนั้น

มันก่อร่างสร้างกันมา รูปกับนาม ตั้งแต่ต้น 

แล้วก็หมุนวน หมุนวน จนกระทั่งเกิดความรู้สึกขึ้นมาเป็นวิญญาณ 

ทีนี้ก็เริ่มยาวล่ะ เกิดเป็นนามรูป แล้วก็ค่อยๆ สร้างตา หู จมูก ลิ้น 

สัมผัสกับโลกภายนอกได้ก็เกิดเป็นอารมณ์ 

พอเกิดอารมณ์ก็มีสุขมีทุกข์ จึงเริ่มสร้างภพขึ้นมา 

สร้างภพก็มีชาติ มีชาติก็โสกะปริเทวะ ความทุกข์ก็มาเลย ก็เริ่มต้น

ทีนี้ก็ต่อเลย

สมมติว่าชาติแรก ปั้ง! มันเกิดพรึบขึ้นมาครั้งแรกก็หมุนเลย 

ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เลย 

ออกไม่ได้ กลับไม่ถูกแล้ว กลับไม่เป็นแล้ว เพราะไม่รู้จะกลับยังไง 

แล้วก็ไม่คิดจะกลับด้วย!!

หมาก็อยากเป็นหมา

เป็ดก็อยากเป็นเป็ด 

มนุษย์ก็อยากเป็นมนุษย์

เทวดาก็อยากเป็นเทวดา

ไม่เห็นมีใครอยากจะพ้นเลย ทุกคนอยากจะเป็นสิ่งที่ตัวเองเป็นนั่นแหล่ะ 

เกิดมาแล้วก็เป็นเลย ไม่มีใครเห็นทุกข์ เพราะว่าถ้าเห็นทุกข์มันไม่เป็น 

จะเป็นอยู่ยังไงล่ะ   เห็นทุกข์ก็เห็นอยู่แล้ว มันก็ถอนออกมาจากความเป็น

แต่เพราะว่ามันไม่เห็น มันเลยเป็นเลย

ไม่เห็นทุกข์ก็เป็นทุกข์   ไม่รู้ทุกข์ก็เป็นทุกข์

แล้วก็ยังไม่รู้ว่าทุกข์ นึกว่าที่ตัวเองมีอยู่หรือที่ตัวเองได้มาอยู่ เป็นสุขตายละ นะ

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า มนุษย์ทั้งหลายมีวิปลาส 4 เหมือนกันหมด

ความวิปลาสทั้ง 4 ข้อคือ 

ข้อที่ 1 เห็นของทุกข์เป็นของสุข 

ถ้าวันนี้ใครยังเถียงในใจก็วิปลาสแน่นอน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเลย

พอเห็นความจริงถึงรู้เลยว่า โอ้โห! เอาสุขมาจากไหนเนี่ย 

ขันธ์นี้จะป่วยวันไหนยังไม่รู้เลย เพราะมันไม่ใช่ของเรา 

มันเป็นไปเพื่ออาพาธ ท่านตรัสเอาไว้เลย

เธอว่าของเธอหรอ? มันเป็นไปเพื่ออาพาธ เธอยังไม่รู้อีกหรอ?

ถ้าเป็นของเธอ เธอสั่งได้นะ อย่าป่วย อย่าเจ็บ อย่าร้อน อย่าไข้... ไม่ใช่ ยังดูไม่ออกอีกหรอ?

เพราะฉะนั้นเราไปเห็นของทุกข์เป็นของสุข

แล้วเมื่อขันธ์นี้มันไม่เสถียร มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

แล้วขันธ์ของคนอื่นมันจะไม่เสถียรเหมือนกัน  ขันธ์ใครๆ ก็ไม่เสถียร

แล้วพอเห็นความจริง แล้วอะไรล่ะที่ท่านว่าเสถียร?

สิ่งที่ท่านชอบทั้งหมด ล้วนเกิดดับกันหมด

แล้วท่านเอาหัวใจที่เข้าไปยึดของเกิดดับ คิดว่าสิ่งนั้นจะดี สิ่งนั้นจะวิเศษสำหรับเรา

สิ่งนั้นจะน่ารัก สิ่งนั้นเราคบแล้วจะมีความสุข

ท่านกำลังอยู่กับของที่มันไม่เสถียรน่ะ แล้วจะเอาสุขมาจากไหน? อ่ะ

ผมมักยกตัวอย่างว่า เหมือนลูกบอลที่กลิ้งไปกลิ้งมา

ท่านเอาลูกบอลไปตั้งบนลูกบอลแล้วก็ตั้งบนลูกบอลน่ะ ท่านจะเอาเสถียรมาจากไหน?

ในเมื่อทุกอย่างที่ท่านเข้าไปยึดถือ เข้าไปปฏิสัมพันธ์ด้วยน่ะ ไม่มีอะไรเสถียรเลย

ผมเปิดคอร์สปฏิบัติครั้งนึง

ผมถามว่า อะไรที่คุณรักที่สุดที่ทำให้คุณมีความสุขมากที่สุดในชีวิตนี้?

มีแม่คนยกมือแล้วก็บอกว่า ลูกของดิฉัน...

ผมบอกว่า ผมเห็นด้วย ผมเชื่อว่าความเป็นแม่ของคุณ คุณตอบแบบนั้น

คุณมีความสุขทุกครั้งที่เจอลูก   ลูกคุณตายมั้ย?

ถ้าวันนั้นมาถึง คุณทุกข์มั้ย? แน่ๆ เลย

แล้วถ้ายิ่งถึงเร็ว เป็นพรุ่งนี้ล่ะ? หรือตอนนี้ล่ะ?

คุณกำลังอยู่บนความไม่เสถียรของตัวเองและของคนที่คุณเข้าไปยุ่งด้วยทุกคน

แล้วคุณจะหาความสุขจากไหนหรอ?... ทุกข์แน่

ขณะตอนนี้ก็ทุกข์แล้วแต่ยังไม่เห็น ทุกข์ของขันธ์ตัวเองเกิดดับก็จะตายแล้ว

แต่ถ้าไม่เข้าใจก็นึกว่า อ๋อ! ถ้างั้นก็เลิกกันไปเลย คือตัดหางปล่อยวัดกันไปเลยจะได้จบๆ

อันนั้นโง่ซ้อนเลยนะ   ถ้าอย่างนี้ โง่ซ้อนเข้าไปอีกต่อนึง

ปล่อยวาง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย นะ

ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็อยู่ในป่าซิ ไม่ต้องออกมาสอนสิ

ไม่ต้องมีสาวกกัน เพราะเดี๋ยวเกิดความผูกพัน...

ไม่มีหรอก คนละเรื่องแล้ว พอปฏิบัติไปถึงจุดนึง เข้าใจหมดแล้ว นะ

พี่เบิร์ดก็บอกตรงๆ น่ะ ด้วยรักและผูกพันน่ะ

ความทุกข์มันมาจากผูกพัน นะ

รักบริสุทธิ์แท้ๆ เนี่ย จริงๆ เค้าก็ไม่ใช้คำว่า รัก แล้ว

เพราะยังไงถ้ารักมันต้องผูกพัน คือคำๆ เนี้ยะ มันแสดงถึงความผูกพัน

จะบอกว่ารักโดยไม่ผูกพันมันก็จะคงไม่ใช่คำว่ารัก

เพราะฉะนั้นเมื่อบอกว่า ถ้ารักแล้วไม่ผูกพันเนี่ย ต้องใช้คำใหม่เลย

คือคำว่า เมตตา 

นั่นล่ะ รักแล้วไม่ผูกพัน

เพราะว่าเมื่อไหร่เกิดความเมตตาเนี่ย จะเป็นความรักที่บริสุทธิ์และเป็นรักที่เย็น

เพราะไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

ท่านเดินไปให้ตังขอทานท่านก็คงไม่ได้คิดว่าขอทานจะต้องมารับใช้หรือต้องมาทำอะไร

ให้ไปเลย จบตรงนั้นเลย เนี้ยะ...เมตตา

เจอเด็ก 2 คน อ้วนพีน่ารัก จ้ำม่ำ กับอีกคนนึง ดำแกนเหมือนซูดานที่เราเคยเห็น...

ท่านอยากอุ้มเด็กคนไหนล่ะ?...แน่ๆ ไม่มีใครเดินไปหาเด็กซูดานนี้แน่

เอากันตามจริงเลย ไม่ต้องทำตัวเป็นแม่พระนะ  เพราะว่าไม่มีใครถ่ายVIDEO

แต่ถ้ามีคนถ่ายVIDEO  ก็จะเดินยิ้มเข้าไปหาเด็กดำจะได้ดูเป็นแม่พระนิดนึง นะ

แต่ลองตรงไปตรงมาสิ ไม่มีใครเลยนะ ดูซิ มันเดินเข้ามาเกาะแข้งเกาะขา

ไม่ต้องเด็ก... ลูกขอทานน่ะ เดิน... เห้ย! เห้ยๆ เดี๋ยวขี้กลากติด อืมหึม...

นักปฏิบัติพอลับหลังอย่างงี้กันทุกคน ไม่เห็นมีเลยที่จะ...นั่นน่ะ

ถ้าท่านเดินเข้าไปอุ้มเด็กขาวอ้วนจ้ำม่ำ ทุกคนน่ะ เพราะท่านอาศัยความรู้สึกรักจึงถูกลากเดินเข้าไป

แต่ถ้าท่านมีความรู้สึกเมตตาเนี่ย ท่านเดินเข้าไปหาคนไหนก็ได้ที่กำลังมีความทุกข์

แต่ถ้าทั้ง 2 คนมีความสุข ท่านอาจเข้าไปหาเด็กดำ เพราะท่านรู้ว่าเค้าขาดมากกว่า

ดังนั้น รักกับเมตตาเนี่ย ต่างกันแน่ๆ นะ

วิปลาสข้อที่ 1 คือ เห็นของทุกข์เป็นของสุข

วิปลาสข้อที่ 2... อ๊ะ! ขอโทษ

วิปลาสข้อที่ 1 เห็นของอนิจจังเป็นนิจจัง ของไม่เที่ยงไปเห็นว่ามันเที่ยง

ฮึ! ไม่หรอก ฉันไม่ใช่ข้อนี้หรอก ฉันรู้เรื่องเกิดดับเนี่ย

วันนี้ถ้าสามีปันใจไปรักคนอื่น ท่านจะเห็นอนิจจังมั้ย?...ฮึ! ไม่เห็นหรอก

ทำไมเค้าเปลี่ยนไปล่ะ?...เอ้า! ไหนบอกอนิจจังไง

ตกลงจะให้ความรัก... คือทุกอย่างอนิจจังหมดอ่ะ

ยกเว้นความรักสามีต้องนิจจัง อย่าเปลี่ยนนะ เปลี่ยนมีเรื่อง

ลูกจะต้องดีอย่างที่ฉันเลี้ยงนะ ถ้ามันหลงไปติดยาหรือไปท้องนะ มีเรื่อง

อ้าว  ! แล้วมันไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัยอื่นเลยหรอ?

นี่ไง ก็เป็นตัวตนอยู่โด่ๆ เด่ๆ อยู่อย่างนี้ไง  !!

เห็นทุกอย่าง ธรรมะเห็นหมด แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่เห็นมีใครเห็นเลย

เพราะมันไม่ได้เข้าไปถึงจิตถึงใจ ตัวตนมันขึ้นมันคิดเองทั้งนั้นน่ะ

เห็นอนิจจังเป็นนิจจัง

เห็นของทุกข์เป็นของสุข

เห็นของอนัตตาเป็นอัตตาหมด

ชี้ไปก็โดนหมด

ข้อที่ 4 เห็นของไม่งามเป็นของงาม

หนังเนี่ย...ถุงขยะ ใส่ขยะเอาไว้ทั้งนั้นอ่ะ อย่าไปปลื้มให้ขยะมันเป็นอะไรเลย

วันนึงมันพังแน่ มันตายแน่ มันเน่า

ทุกวัน นี่ก็เน่าอยู่ ใครๆ ก็เน่าอยู่...

" ไม่เน่า ยังไม่เหม็น ถ้าเน่าก็ต้องเหม็น "

คุณตีคำว่าเน่าคืออะไรหรือ?

เน่าคือต้องเหม็นแล้วกินไม่ได้หรอ เราไปบัญญัติเองหรือ ?

เราไปบัญญัติเองว่าของเน่า แปลว่าเหม็นแล้วกินไม่ได้

แต่เหม็นขนาดนี้พอรับไหวแล้วหรือ  เหม็นคาวเฉยๆ

ถ้าถลกหนังนี่มันเหม็นคาวเลือด   เหม็นไอ้พวกของเน่าๆ

ไอ้อย่างนี่พอรับได้

ไอ้อย่างนี้ไม่เรียกเน่า

ถ้าเน่ามันต้องตายแล้ว

เนี่ยไง !!  พอหลงบัญญัติมันก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ไม่รู้เรื่องแล้วว่ามันเน่าอยู่ทุกวัน

ไม่งั้นที่สวดอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสผิดสิ...ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน

ไอ้ถุงเนี่ย มันห่อหุ้มขยะเอาไว้ ไอ้หนังบางๆ เนี่ย

ถลกเข้ามาเท่ากัน   เดรัจฉานกับมนุษย์เนี่ย

เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงมันมากนะ มีไว้ให้เห็นความจริง

แล้วจะได้พ้นๆ ไปนะ จะได้พ้นๆ ไป

มนุษย์เห็นของไม่งามเป็นของงาม ท่านจึงบอกว่า  พระโสดาบันเนี่ย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระโสดาบันเป็นผู้ที่สามารถเห็นสิ่งที่มนุษย์บอกว่าสวยงามเนี่ย

ท่านมองเป็นปฏิกูลเลย   หรือสามารถมองปฏิกูลกลายเป็นของสวยงาม

มนุษยทั้งหลายเห็นซากศพแล้ว ยี๊! เลย

พระโสดาบันเห็นซากศพนี่ โอ้โห! งามจริงๆ แสดงอนิจจังชัดเจนเหลือเกิน

พระโสดาบันไปเดินซัก...นี่เอ่อ ผมไม่ได้หมายความว่าพระโสดาบัน

นี่... ถึงพระอรหันต์เลยนะ อย่านึกว่าต้องพระโสดาบัน... สกิทาคามีก็ไม่เห็นอย่างนี้

ก็ไม่ใช่อีกนะ คือที่พระพุทธเจ้าตรัสก็คือ ถ้าโสดาบันเห็นนะ สูงกว่านั้นเห็นหมดนะ

สมมติว่าชวนท่านไปเดินงานดอกไม้ราชพฤกษ์  ( ดันไปเอ่ยชื่องานเค้าอีก ) (หัวเราะ)

ก็จะเห็นดอกไม้งดงามไปหมดเลย

ทุกคน ฮูฮู้! งามๆ งาม ถ่ายรูป วิ่งถ่ายรูป ฉุบๆ ฉุบๆ...

ท่านเดินแล้วสลดเลย

โกหก!

ต้นเมื่อวานอยู่ไหน?   เอามาตั้งสิ ! ต้นเมื่อวานอยู่ไหน?

เหี่ยวหมดแล้วอ่ะ ถึงดึงออก แล้วยัดต้นใหม่เข้าไปให้มันดูเป็น นิจจัง  ไปเรื่อยๆ

มีต้นไหนที่มันยืนสวยงามอยู่อย่างนี้ตลอด 20 วันน่ะ?...ไม่มี

มองไปทางไหนอ่ะ มีแต่ต้นอนิจจัง แต่ถูกฉาบ แล้วก็หลอก แล้วก็หลง

เอามาตั้งตั้งแต่วันแรกแล้วอย่างเปลี่ยนสิ คนจะได้ถึงธรรม...

ถึงธรรมอะไร ไม่มีคนมาอ่ะสิ (หัวเราะ)

นี่ไง มันอยู่กันอย่างนี้ไงเล่า มันกลับข้างกัน

อยู่อย่างนี้ก็ไม่ต้องอยู่ในโลกสิ    ก็ในโลกเค้าว่าอย่างนี้ดีน่ะ...

( ก็ถึงต้องตั้ังกลุ่มมรรคานุคาไง)   (หัวเราะ)    มันจะกลับโลกกันไม่ได้อยู่แล้ว

ก็..... พระอรหันต์ถึงโดนว่า ว่าบ้าทั้งนั้นแหล่ะนะ โดนกันทุกองค์เลย

ก็ทำไมจะไม่บ้าล่ะ  !  ก็เอาไปเทียบกะใครล่ะ !!

ก็คน 7 พันล้านคนมันเป็นอย่างนึง แล้วท่านเป็นอย่างนึง

แล้วคน 7 พันล้านคนก็ว่า อันนี่แปลก

ก็พระอรหันต์มีน้อยนี่ ลองพระอรหันต์มี 7 พันล้านคนมั่งสิ จะเห็นเลยว่าใครแปลกกันแน่

แต่ถ้า 1 คน ท่านก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ก็แค่มาบอกแล้วท่านก็ไปต่อ

แต่ละองค์ แต่ละองค์ ก็เหนื่อยกันทุกองค์ ก็เท่าที่ผมเห็นนะ

เอาล่ะ จบวิปลาส ก็กลับมาที่อวิชชา

เพราะความไม่รู้จริงๆ มันจึงได้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเยอะแยะมากมาย

จากนั้น อวิชชาก็เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร





















สังขารคืออะไร?...คือการปรุงแต่ง

เวลาเราฟังเรื่องสังขารเนี่ย สับสนเยอะนะ

เพราะว่าเรานั่งสมาธิ คนบอก อ้าว! สังขารปรุงแต่ง คือความคิดปรุงแต่ง

อ่ะ ตรงนี้มาสังขารอีกละ ในปฏิจจสมุปบาท

สังขารนี้อยู่ตัวที่ 2 เป็นสังขาร 3 เป็นกายสังขาร วจีสังขาร และก็มโนสังขาร

การปรุงแต่งทางกาย พอปรุงขึ้นมาก็ไปยึดว่ากายเป็นของเราด้วยความไม่รู้

เพราะความไม่รู้อริยสัจเนี่ย  ก็ไปยึดกายเป็นของเรา ใจเป็นของเรา คำพูดเป็นของเรา

พูดอะไรไป พูดอะไรไป พอกลับไปนอน ก็โอ้โห! คิดไม่หยุดเลย

สมมติเอาง่ายๆ ดีกว่า ใครทะเลาะกับพ่อแม่ หรือทะเลาะกับคนรัก หรือลูก

การทะเลาะจบแล้ว ออกมาจากเหตุการณ์นั้นแล้ว

ข้างในจบมั้ยล่ะ?...ไม่จบ ปั่นอยู่นั่นล่ะ

ทุกข์ไม่มีอะไรเหมือน

เพราะมันไปเกิดการยึดว่า วจีที่พูดไปน่ะ เป็นของกู

หลงแล้วก็ทุกข์ ทุกข์ๆ ทุกข์ก็วนอยู่นั่นน่ะ ก็เพราะความไม่รู้จริงๆ

แต่นี่คือการทำบาปทำอกุศล

เมื่อทำบาปทำอกุศลทางวจีทุจริต ก็จึงเกิดการหมุนวนกลับมาเป็นทุกข์

นี่คือเห็นแล้วเมื่อทำอกุศลผลต้องเป็นอกุศล

คนมีปัญญาจะได้เห็นเลยว่า โอ๋! ทำอกุศลผลเป็นอกุศลนี่เอง ก็ต้องทนทุกข์ไป

คราวหน้าก็จะเกิดสติปัญญาขึ้นมา คอยยังยั้งชั่งใจ

กำลังโกรธขึ้นมาจะ... อืมม   ไม่เอาดีกว่า ไม่คุ้มค่ากับความทุกข์ที่เกิดตามมาเลย

ก็จะเป็นเครื่องสอนใจไปเรื่อยๆ แล้วก็พ้นขึ้นไป พ้นขึ้นไป

สติปัญญาก็แน่วแน่ขึ้น ความแกล้วกล้าของจิตก็จะมากขึ้น

ทีนี้ก็ทั้ง 3 ตัวล่ะ สังขาร 3

อ่ะ ต่อไปตัวที่ 3 สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ



วิญญาณ 6  มี จักขุวิญญาณ

ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะ วิญญาณทางตา เข้าไปรู้อารมณ์,

วิญญาณทางหู โสตวิญญาณ,

ฆานวิญญาณ วิญญาณทางจมูก,

ชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้น,

กายวิญญาณ วิญญาณทางกาย

แล้วก็มโนวิญญาณนะ วิญญาณทางใจ

ตอนนี้เราเห็นรูปได้ เห็นภาพได้

อย่างที่เราแสดงให้เห็นตอนช่วงคลิปจูบลิงน่ะ

เห็นขวดมั้ย?...เห็น

ขวดไม่ได้เข้าไปในตานะ

แสงกระทบเค้าเรียกว่ารูป พอไปกระทบตาเรียกว่าอายตนะ เกิดวิญญาณเข้ามาแปลค่า

ก็เนี่ยจักขุวิญญาณตัวนี้แหล่ะที่ไปแปลนะ

ไปแปล ว่ามันคือขวด อาจจะมีสัญญาเข้ามาประกอบ

เพราะถ้าไม่มีสัญญาเข้ามาประกอบก็แปลไม่ถูกเหมือนกัน

เป็นการเห็นครั้งแรกมันก็นึกไม่ออกหรอกว่ามันคืออะไร

เหมือนว่าถ้าเราไปเห็นภาษาแขก เขียนว่าขันธ์ 5 เนี้ยะ เราก็คงแปลไม่ออกเหมือนกันล่ะ

เพราะว่ามันไม่มีสัญญาเดิมเลย วิญญาณเข้ามาแปลแล้ว แล้วมันแปลไม่ออกเนอะ

แปลแล้วว่ามันเป็นตัวยึกๆ ยึกๆ อย่างเนี้ยะอ่ะ แต่มันแปลไม่ออก

เพราะไม่มีสัญญาเข้ามาประกอบ

สัญญามันประกอบแล้วอ่ะแต่สัญญามัน blank คือมันไม่มีข้อมูล

ไม่ใช่มันไม่ประกอบ มันก็ประกอบทำงานของมันแหล่ะ แต่มันไม่มีข้อมูลเฉยๆ

เอาล่ะ รู้จักวิญญาณนะ

ตอนนี้ก็รู้จักไปทีละตัวก่อนน่ะ รู้จักไปทีละตัวว่าคืออะไร






















จากนั้นวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป    นามรูป ....

รูป เวทนา สัญญา สังขาร ส่วนวิญญาณอยู่เมื่อกี้นี้นะ อยู่เมื่อกี้นี้

แสดงว่านามรูปเนี่ยคือขันธ์ 3 ขันธ์ + รูป 1 ขันธ์ เพราะวิญญาณไปอยู่ข้างบนก่อนหน้านี้อันนึง

งั้นขันธ์ 5 ก็อยู่ตรงนี้เอง กระจุกตัวกันอยู่ตรงนี้เอง

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นะ

เพราะว่าวิญญาณอยู่ตรงนี้ แล้วก็เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปตรงนี้นะครับ

เพราะฉะนั้นขันธ์ 5 กระจุกตัวกันอยู่ตรงนี้เอง

พอสร้างขันธ์ 5 ขึ้นมาได้ ทำยังไงถึงจะต่อเชื่อมกับโลกภายนอกได้?




การดิ้นรนของรูปนามซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

ก็จึงสร้าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขึ้นมา  เพื่อรองรับการกระทบกับโลกภายนอก

ท่านลองนึกภาพเอเลี่ยน ถ้ามันมาสู่โลกน่ะ

พรึบ! ค่อยๆ สร้างฟอร์มขึ้นมาขะยึกขะยึ๋ย แบบเป็นเจล

ก็ค่อยๆ สร้างขึ้นมา เริ่มมีวิญญาณ เริ่มสร้างความรู้สึก

มีสัญญา มีวิญญาณ มีรูป มีอะไรเนี่ย รูป เวทนา ความรู้สึก สัญญา สังขาร วิญญาณ

ปั๊บ! เอเลี่ยนก็เริ่มก่อตัวเป็นขยุกขยุยขึ้นมา

มันจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้ยังไง?

ต้องสร้างการต่อเชื่อมกับสิ่งแวดล้อมให้ได้ ไม่งั้นมันก็แห้งตาย

มันต้องสร้างการต่อเชื่อมให้ได้ เพื่อจะดิ้นรน จะรักษาเผ่าพันธุ์ของมันให้ได้

มันจึงค่อยๆ สร้างปัญจสาขา เค้าเรียกปัญจสาขา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ขึ้นมา

มันก็ค่อยๆ สร้าง ตา แล้วก็ระบบของมันก็เริ่มต่อเชื่อมกันกับภายใน

พอเห็นก็เริ่มเกิดอารมณ์ล่ะ เพราะข้างในมันมีวิญญาณ มีอะไรอยู่แล้ว

เริ่มจะ ฮู้! โลกนี้สวยเว้ย!

โง่เลย โง่ตั้งแต่ลืมตาเลย ...สวยเลย !!

โอ้! แดดร้อนโว้ยโลกนี้ ไม่ดีเลย ไปหาที่ร่มๆ

โง่เลย !!   โง่ทันทีเลย !!

พอเชื่อมได้ก็โง่เลย เพราะของเดิมมันโง่อยู่แล้ว ตั้งแต่ก่อตัวขึ้นมาเนี่ย

พยายามจะรักษาตัวเอง แล้วก็เริ่มมีการสืบพันธุ์ เริ่มอะไรขึ้นมา

มันผลักดันตัวของมันเอง

พอ... ก็ต้องใช้อะไรมาล่อ ธรรมชาติก็สร้างสิ่งล่อ

พอสมสู่ก็เกิดความมัน เกิดจี๊ดจ๊าดขึ้นมาเพื่อให้สัตว์โลกเข้าไปหลงติดอาการนั้น

จะได้มีการสืบพันธุ์กันต่อ

โอ้โห! มันซ้อนซ้อนไอ้อิทัปปัจจยตานี่

ก็จะเกิดเป็นเหตุเป็นผลกันหมด ไม่ว่าสัตว์ชั้นไหน เดรัจฉานชั้นไหน โดนแบบเดียวกันหมด

ธรรมชาติสร้างไว้ ไม่อย่างนั้นเผ่าพันธุ์หาย

โดนจี๊ดจ๊าดกันหมด.... ไปเลย

แล้วทั้งหมดวิ่งไล่ล่าหาความสุข เพราะโง่ตั้งแต่ต้น... อวิชชา!!

จึงยอมทุ่มเทชีวิต พลีชีพเลยนะ พลีชีพ

เหนื่อยทั้งชีวิตเพื่ออะไรลองถามตัวเอง

อึม! ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองหรอก...เอาให้แน่,

ฉันทำเพื่อครอบครัว...เออนั่นน่ะของกูทั้งนั้นแหล่ะ

มีใครทำเพื่อคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกันเราเลยมั้ยมั่งล่ะ ...น้อยเหลือเกินนะ

เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็เริ่มโกยเข้า แล้วก็เข้าไปหลงเอง ออกไม่ได้แล้ว

หาสุขไม่เจอละทีนี้ เพราะความสุขไม่ได้มาจากการโกยเข้า

ยิ่งโกยเข้า กูยิ่งมาก กูยิ่งมาก กูยิ่งทุกข์น่ะสิ แต่มองไม่เห็น

นึกว่าเอาสิ่งนี้มากลบสิ่งนี้ เอาสิ่งนี้มากลบสิ่งนี้แล้วมันจะหาย

เวลาท่านเข้าไปในรถที่เหม็นอับ รถของท่าน โอ้โห! โดนน้ำฝนชื้เหม็นอับ

สิ่งที่ท่านทำ... ผมเชื่อว่าคนร้อยละ 90 ทำ

คือซื้อน้ำยา ...น้ำหอมปรับอากาศใส่ไว้ในรถ(สูดหายใจ) เออ ....ค่อยยังชั่วหน่อย

ตกลงมันหายเหม็นแล้วหรอ?...

มันเอากลิ่นนึงไปกลบกลิ่นนึงเท่านั้นเอง แล้วก็โง่ชื่นใจไปเลย

ทั้งๆ ที่ดมเข้าไป 2 กลิ่นเลยหนักกว่าเดิมอีก

เนี่ย !!  มนุษย์ทำ แก้ทุกข์อย่างนี้  มนุษย์แก้ทุกข์วิธีนี้กันหมด

พอไอ้นี่ (ร่างกาย) ไม่ดี เห็นว่ามันป่วยบ่อย

ก็พยายามทำให้... กลบๆ กลบๆ เข้าไป แต่ตายแน่นะ ลืมดู

คือทำทุกอย่างเลย ขอให้ short term ผ่านไปได้ แต่ไม่มีใครมอง long term เลย

ทำทุกอย่างแบบ short term อ่ะ เอาต่อหน้าต่อตากันไปก่อน ทุกข์ตรงนี้  แก้ตรงนี้

พระพุทธเจ้ามาบอกทางออกแบบไปไกลเลย

โห! ปฏิบัติอย่างที่อาจารย์บอกเนี่ย ไม่เห็น... โกรธแล้วยังไม่เห็นหายเลย

รู้ลมแล้วนี่... (สูดหายใจฮึดๆ) ไม่เห็นหายเลย หลายรู้แล้วนิ

เฮ้ย! ไว้ 15 ปี แล้วค่อยมาคุยกันใหม่ได้มั้ย?

ไม่มีใครเค้าฝึกกันเดือนเดียวสองเดือน

นี่ 3 วัน 5 วัน จะเอากันเลยหรอ จะเอาพ้นกันเลยหรือไง ?

โน่น 15 ปี ค่อยมาคุยกัน แต่ทำอย่าหยุดนะ ทุกวันอ่ะ ดูซิจะหายมั้ย

ทำไมถึงเอากันแบบอย่างนี้...........ทำไมป่านนี้ยังไง?

โห! .......  ไม่ป่านไหนหรอก ......

เห็นพระอรหันต์ท่านออกบวชมาตั้งแต่เป็นสามเณรแน่ะ กว่าท่านจะพ้นทุกข์กันน่ะ

ทำไมท่านไม่หยุดล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านสู้ตายเลยนะ แต่ละองค์ๆ น่ะ

ไปอ่านประวัติก็รู้เราก็ทราบ แต่ละองค์ๆ โอ้โห! อ่านบันทึกกันเป็นเล่มอย่างใหญ่ๆเลย

เพราะอะไรล่ะ? .......มองไปไกลๆ บ้างนะครับ

ศึกษาไปเนี่ย ข้ามภพข้ามชาติไปเลยเนอะ

สัมมาทิฏฐิเนี่ย พระพุทธเจ้าบอกว่า

 ถ้าเมื่อไหร่มีสัมมาทิฏฐิน่ะ ติดไปในจิตข้ามภพข้ามชาติ จนถึงพระนิพพานโน่นแหล่ะ

ไม่หายไปไหน ขันติบารมี นั่งอดทนอดกลั้น   มีจาคะ พวกนี้ติดไปหมด

อริยทรัพย์ 7 น่ะ ติด... ดูใน google ก็แล้วกัน (หัวเราะ)

พิมพ์ใน google อริยทรัพย์ 7 อ่ะ 7 ประการมีอะไรบ้างน่ะ พวกนั้นติดกันข้ามภพข้ามชาติหมด


















พอมันสร้างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็จึงเกิดการกระทบทันที เรียกว่า “ผัสสะ”

เอาล่ะ ตอนนี้เอเลี่ยนมันกระทบแล้ว

ตา+รูป+จักขุวิญญาณ เรียกว่า ผัสสะ,

หู+เสียง+โสตวิญญาณ ก็คือ โสตผัสสะ ก็คือ ผัสสะทางหู,

ผัสสะทางจมูก ก็ จมูก+กลิ่น+ฆาณวิญญาณ,

ผัสสะทางลิ้น นะ ลิ้น+รส+ชิวหาวิญญาณ,

กาย+โผฏฐัพพะ+กายวิญญาณ,

ใจ+ธรรมารมณ์+มโนวิญญาณ

ก็เกิดเป็นการกระทบหรือผัสสะทั้ง 6 หกทางขึ้นมา






















เมื่อเกิดการกระทบต่อเชื่อมกับโลกภายนอกได้

งานนี้เริ่มเกิดความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ที่เรียกว่า “เวทนา” ขึ้นมาละ

เห็นมั้ยว่าต้นกำเนิดมาจากความไม่รู้จริงๆ

ที่ผมบอกตั้งแต่ต้น สมัยที่ผมทุกข์มาก แล้วผมเข้าสู่การปฏิบัติ

ที่เล่าให้ฟังว่าพอผมกราบพระแล้วเงยหน้าขึ้นมาน่ะ เอ๊! ความทุกข์หายไปไหน?

มันก็คงหายไปแวบนึงนะ ตอนนั้น

แต่ความทุกข์รวมๆ ก็คงอยู่ล่ะ เพราะว่าปัญหาก็ยังอยู่

แต่มันเริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ! ความทุกข์หายไปไหนในแวบนั้น

ถ้าทุกข์มาจากหนี้สิน? หนี้สินยังไม่ลดเลย ทุกข์ต้องไม่หายสิ

หรือว่าทุกข์ไม่ได้มาจากหนี้สิน หรือว่า ทุกข์มาจากเราทำเอง

วันนั้นสงสัยอยู่แค่เนี่ย แต่หาคำตอบไม่เจอ

หรือว่าทุกข์มาจากเราทำเอง?

นั่นแปลว่าสิ่งทั้งหลายเข้ามากระทบ ดูเหมือนว่ามันจะหยุดอยู่แถวนี้แฮะ

ทาง ตา  หู  จมูก  ลิ้น  เนี่ย

ที่เหลือ....เอเลี่ยนมันเอาไปทำต่อ (หัวเราะ)

โอ ! หรือทุกข์มาจากเราทำเองข้างใน?

วันนั้นไม่รู้ วันข้างหน้านึกว่ารู้...

โอ้ใช่! ทุกข์มาจากเราทำเอง... นึกว่ารู้ ...หึ! ก็ยังไมรู้อีก

จนถึงจุดนึง อ้อ! ทุกข์มาจากความไม่รู้ ทีนี้รู้แล้ว (หัวเราะ)

ตอนแรกนึกว่ารู้   ว่าทุกข์มาจากเราทำเอง นึกว่ารู้แล้ว ที่แท้ไม่รู้

พอบอกว่าทุกข์มาจากความไม่รู้  เลยรู้เลย !!

อ่ะเดี๋ยวจะยิ่งงงกันใหญ่

ทุกข์มาจากความไม่รู้ ไม่รู้อะไรอ่ะ?...ไม่รู้อริยสัจไง

จึงไม่รู้เลยอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ เล่นกันมั่วไปหมดเลย

หาของใหม่มากลบของเก่า หาของสุขมากลบของทุกข์

ไม่มีอะไรเหลือเลย   สุดท้ายมันเหม็นเท่ากันเลย ยิ่งหายิ่งไม่เจอเลยอ่ะ ชีวิต

ยิ่งหายิ่งหลงวนกันใหญ่เลย ไม่มีเจอเลย ทีนี้มั่วเลย

ถึงบอกว่าถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นี่จบเห่เลย

สัตว์โลก 7 พันล้าน  แต่บางคนไม่รู้สึกอย่างนี้เลย เอ้ย! ฉันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย...

อยู่ไปเถอะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อยู่กับของไม่เสถียร เดี๋ยวก็รู้เอง

ต่อให้ไม่ทุกข์ติดกัน 3 ชาติด้วย โทษ! เกิดมาเท่าไหร่? แล้วต้องเกิดอีกเท่าไหร่?

รับรองได้ว่าไม่เสวยผลบุญตลอดเวลาแน่ แค่หนึ่งชีวิต ก็ยังไม่เสวยตลอดเลย

 แล้วนั่งทุกข์อยู่ทุกวันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทุกข์    นึกว่าสุขตายล่ะนะ 

เหมือนหนอนอยู่ในถังส้วม   กินขี้...ทุกข์

มีคนมาบอกว่า แกเอ๊ย!  ทั้งโง่ทั้งอะไร มันก็ว่ามันดีตายล่ะ...

ก็ไม่เป็นไร พวกนี้ก็ปล่อยไป พระพุทธเจ้าเองก็ปล่อยเหมือนกัน

มีพราหมณ์ทูลถามท่านว่า ทำไมท่านจึงสอนสาวกท่านเป็นส่วนใหญ่ล่ะ? 

เราก็ยอมรับ คำสอนของพระองค์ส่วนใหญ่ก็... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...

จะมีสอนฆราวาสก็มีบ้าง... ดูก่อนคฤหบดี... ก็มี ดูก่อน แล้วก็ตามด้วยชื่อนั้นชื่อนี้ก็มี

ทำไมพระองค์จึงสอนเฉพาะภิกษุล่ะ?

คนทั่วไปก็มี  ทำไมพระองค์ไม่สอนบ้าง?

หรือว่าถ้าสอน ก็ทำไมสอนนิดเดียว

พระพุทธเจ้าก็เลยถามพราหมณ์กลับไป

"  พราหมณ์...ถ้าพราหมณ์มีที่นา 3 แปลง

ที่นาแปลงนึงเนี่ย ดินดีมากๆ

ที่นาแปลงที่ 2 ดินปานกลาง

ที่นาแปลงที่ 3 มีแต่หินมีแต่ดิน ปลูกอะไรก็คงไม่ค่อยขึ้น

พราหมณ์มีเมล็ดพันธุ์อยู่ พราหมณ์จะเลือกปลูกแปลงไหน ที่จะให้ได้ผลเร็วที่สุด?..."

" ก็ต้องปลูกแปลงดีสิ "

" ใช่ ตถาคตหว่านลงไปในแปลงชั้นเลิศก่อน....

จากนั้นเมื่อตถาคตมีเวลาจึงเอาเมล็ดพันธุ์มาหว่านในแปลงที่ 2

เมื่อมีเวลาเหลือจริงๆ ตถาคตจะไปหว่านในแปลงที่ใช้ไม่ได้เลย"

เวลาของพระองค์มีน้อยมากนะ

ภิกษุเมื่อเจริญเติบโตขึ้น เพราะว่าภิกษุคือผู้ที่ออกบวชเลย ไม่สนใจแล้ว

แต่แน่นอนในแปลงที่ 2 มีฆราวาสที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ไม่คิดจะออกบวช ท่านก็หว่านเอาไว้ให้

ก็อยู่ไปแบบเข้าใจ หลุดพ้นมั้ย ...แล้วแต่คนนั้น

ถ้าปฏิบัติตามมรรคจริงๆ ยังไงก็หลุด

เพราะไม่ได้เกี่ยวกับ (ชุดเสื้อผ้า) ....เกี่ยวกับจิต !

ส่วนแปลงที่ 3 โอ่ย! ไม่เชื่อหรอก ก็พูดๆ ให้ฟัง ไม่มีปัญหาไอ้เรื่องเชื่อไม่เชื่อ ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย

ถ้าเชื่อก็ไม่ได้มีผล โลกนี้ โอ้ย! ฉันเชื่อนะว่าโลกนี้กลม โลกก็ไม่เกี่ยว

 เอ้ย! ฉันไม่เชื่อหรอก โลกก็ไม่ได้หือไม่ได้อือด้วย

คนที่ถึง เค้าไม่มาสนใจกับไอ้เนี้ยะ อย่างเนี้ยะมันมีตัวตนทั้งนั้นอ่ะ

ที่พยายามจะเอาชนะคะคานจะเถียงกันให้ชนะเนี่ย... ไม่มีหรอก

เพราะว่าผู้ที่เข้าใจแล้วเนี่ย อธิบายจบแล้ว ให้ข้อมูลแล้ว... เอ้ย! ฉันไม่เชื่อหรอก

ไม่มีปัญหาเลยน่ะ ขอตัวล่ะ ตามสบายเลย go ahead

จะใช้ชีวิตยังไง เงินของท่านอยู่แล้ว แล้วก็ไปต่อได้เลย

ครูบาอาจารย์ถึงได้บอกว่า ช่วยคนที่เค้าช่วยตัวเอง

เวลาของเรามีไม่พอหรอก ที่จะช่วยทุกคนในโลก

สำหรับผมเนี่ย ผมก็อุปามาเหมือนกับ... มีครั้งนึง

เอ้า ! ภาพง่ายๆ ...........หาดทรายอันยาวเหยียด มีปลาดาวขึ้นมานอนแห้งอยู่บนชายหาด

เพราะน้ำซัดปลาดาวขึ้นมาเต็มมมม เลย    มองไปที่หาดทรายนั้น

บุรุษคนนึงเดินไปบนหาดทรายก้มลงแล้วก็หยิบปลาดาวโยนลงน้ำ

ก้มลงก็หยิบปลาดาวโยนลงน้ำ ระหว่างทางก็หยิบปลาดาวโยนลงน้ำไปเรื่อยๆ

มีคนชาวบ้านแถวนั้น เห็นผู้ชายคนนี้เดินแล้วก็หยิบปลาดาวแล้วก็โยนลงน้ำไปเรื่อยๆ บอกว่า...

" พ่อหนุ่มเก็บยังไงก็ไม่หมดหรอก อย่าเหนื่อยเลย ยังไงมันก็ตายอยู่ดี "

ผู้ชายคนนั้นบอกว่า " ไม่หรอก .... ทุกตัวที่จับมันโยนลงน้ำมันจะรอด ไม่ได้บอกว่าจะเก็บให้หมด

แต่เก็บทุกตัวแล้วก็เท่าที่โยนได้ แต่ปลาเหล่านั้นจะรอด"

กี่ตัวไม่รู้น่ะ แต่ไม่มีใครหยุดเก็บ

แต่ถ้ามีใครกำลังเก็บแล้วมีคนพูดอย่างนี้ว่า...

"เอ้ย! นู่น เป็นล้าน เดินเก็บได้ทีละตัวเนี่ยะนะ ได้อย่างมากถึงพันปล่าวเนี่ย?..."

ก็มี 1,000 ตัวไงที่รอด ไม่ได้บอกว่าล้านจะรอดนี่ ...แต่มี 1,000 ตัวที่จะรอด

สาวกพระพุทธเจ้า ผมก็เชื่อว่าท่านเดินทางกันได้แค่นี้แหล่ะ

ยุคนี้ยังไวหน่อย มีสื่อ มีอินเตอร์เน็ต มียูทูป ที่กระจายออกไป

แต่มันก็อย่างน้อยก็ปลาดาวอาจจะเข้าไปใกล้น้ำทะเลขึ้นอีกนิดนึง

แต่มันอาจจะไม่ลงก็ได้ ก็ไม่เป็นไร

เพราะขันธ์ก็แปรเปลี่ยนสภาพไปเรื่อยๆ จะบอกว่าไม่ได้เลยก็คงไม่จริง

เทวทัตดูเหมือนไม่ได้อะไรเลย ทำไมท่านจึงเอาเข้ามาบวช เป็นมารศาสนา

แล้วก็รบกวนการเผยแพร่ศาสนาของท่านอย่างมากเลย

แถมจะฆ่าท่านด้วย ฆ่าจริงๆ ด้วยนะไม่ใช่ฆ่าเล่นๆ

เรานึกว่า เอ่อ! เราอ่านดูในคัมภีร์นึกว่า อ๋อ! ก็คงคล้ายๆ เรื่อง...

ไม่เรื่องล่ะครับ ตามฆ่าเลยนะ !!

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ นี่ตั้งแถวก่อนเข้าขึ้นไปที่กุฏิพระพุทธเจ้าเนี่ย

ตั้งแถวกันเฝ้าทั้งคืนเลยนะ คือจะฆ่าจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่า เอ้ย! ฆ่าเล่นๆ ไม่มีฆ่าเล่นๆ นะ

ไสช้างเข้าหาน่ะ ช้างนาฬาคีรีเนี่ย ไม่มีฆ่าเล่น

กลิ้งหินลงไปกะว่าให้ทับตายอย่างเนี้ยะ ไม่ได้ฆ่าเล่นๆ นะ

เพราะจะขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าแทนนะ !!

พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าไม่เอาเทวทัตเข้ามาบวช เค้าทำบาปยิ่งกว่านี้อีกนะ

วันที่พระองค์จะ...  วันที่เทวทัตจะตาย จะเข้ามาของขมา ก็มาไม่ถึง

พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่มีวันได้พบตถาคตอีกแล้วชีวิตนี้ของเทวทัต ก็ถูกธรณีสูบ

แต่ก่อนที่จะกำลังจะตาย กำลังจะจมลงไปพื้นดินก็ ขอถวายกระดูกคางแก่พระพุทธเจ้าก่อนตาย

แล้วก็โดนดูดลงไปเลย

จากกุศลที่ทำไว้ เพราะเทวทัตมีฤทธิ์ สมัยที่เข้ามาบวช ฝึกจนได้ฌาน 4

แต่ไปฝึกทางด้านฤทธิ์แทน ไม่มาทางด้านหลุดพ้น

อย่างน้อยอานิสงส์ของฌาน 4

อานิสงส์ของการได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าอยู่บ้าง

ถึงจะไม่เปลี่ยนกันเห็นๆ ในชาตินั้น แต่มันฝังเข้าไปเป็นสัมมาทิฏฐิ

หลังจากเธอรับกรรมเสร็จ 84,000 พันมหากัปป์ในอเวจีอันยาวนาน

นี่เพิ่งผ่านมา 2,500 กว่าปี เพราะฉะนั้นยังอีกนานมาก นานมาก แบบจัดๆ เลยน่ะ

นานแบบไม่มีหน่วยวัดอ่ะ

ถึงวันที่เค้าพ้นทุกข์จากการเสวยผล พระพุทธเจ้าตรัสว่า เค้าจะได้ตรัสรู้เป็นปัจเจกพุทธเจ้า

จากการที่เข้ามาปฏิบัติแล้วก็ฟังธรรมกับพระศาสดา

ท่านเมตตามากนะ แล้วการหวังผลไม่ใช่หวังกันวันนี้นะ หวังหลังจากเค้าใช้กรรมเสร็จ

ผมถึงบอกว่าแม่ๆ ทุกคนที่ส่งลูกเข้ามาอยู่ในคอร์สปฏิบัติยุวเนกขัมม์บ้าง มรรคน้อยบ้าง

ผมบอกเลย... ลูกคุณไม่เปลี่ยนเลย... อาจารย์ลูกฉันไม่เห็นเปลี่ยนเลย...

ผมบอกว่า "ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้เค้ารับกรรมของเค้าไปจนครบก่อน

ผมไม่รู้ว่าอีกแสนชาติข้างหน้า สิ่งที่ผมใส่ไว้มันอาจจะผุดขึ้นมา "

แม่ตาเหลือกเลย !!

ไม่มีไม่มีผล

เมื่อไหร่พระธรรมลงไปในหัวใจ ไม่มี(ที่จะ) ไม่มีผล

แต่จะส่งผลได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าความเค็มของจิตใจที่มีอยู่

ถ้าพระธรรมเหมือนยาหยอดตา 

เหมือนน้ำในยาหยอดตาหยดลงไปในน้ำเค็มที่เค็มปิ๊ดเนี่ย 

ก็คงช้าหน่อย ก็ปล่อยให้รับกรรมไปก่อน

ก็จะไปยากอะไร ก็ขันธ์ 5 ก็สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว 

เดรัจฉานบ้าง อะไรบ้าง องค์ประกอบถึงพร้อมในอีกแสนชาติข้างหน้า อีกล้านชาติข้างหน้า 

มันก็ผุดขึ้นมาเองล่ะ น่ะของมันอยู่ข้างใน ไม่ได้หายไปไหน 

กรรมยังไม่หายเลย กุศลจะหายได้ยังไง อกุศลยังอยู่ กุศลก็ยังอยู่ทั้งนั้นแหล่ะ

เอาล่ะ มาถึงเวทนา



จากนั้นก็ เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาความทะยานอยาก

ตัณหาก็แบ่งเป็น 3 ตัณหาในกาม, ภวตัณหา ตัณหาในความมีความเป็น, วิภวตัณหา

ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น สิ่งนี้เกิดมักจะอยากตาย ภวตัณหานี่


ตัณหาก็เป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน ก็เข้าไปยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รส

พอเกิดตัณหาก็อยากได้

ถ้าใครจำรีเบคก้าได้ ตากระทบรูป รองเท้ากุชชี่อะไรนั้นน่ะ อยากได้ อยากได้ ตัณหาเกิด

พอวางลง เพื่อนจะมาเอาไปปั๊บ เพราะมันมีความยึดอยู่เลยเนี่ย

กามุปาทาน  เนี่ย มันจึงอยากได้อยู่ ปากก็บอกว่าไม่อยาก

แต่ใจยึดเข้าไปเต็มที่เล้ว ก็จึงทะเลาะกัน

ทิฏฐุปาทาน ทิฏฐุปาทานเนี่ยก็คือ ความคิดที่เรา...

สมมติว่า ท่านมาจากสำนักไหน

หรือว่าถ้าเป็นสมัยก่อนปริพาชกที่มาจากสำนักอื่นมาฟังพระพุทธเจ้า

ก็บอกว่า โอ้ย! ไม่จริงหรอก อาจารย์ของฉันน่ะพูดถูก

หรือว่าท่านมาจากสำนักไหนที่อาจารย์พูด

ต่อให้ผมเปิดคำพระพุทธเจ้าบอก โอ้ย! ไม่เห็นเหมือนที่อาจารย์สอนเลย ไม่จริงหรอก

โอ้โห....นี่ คำพระพุทธเจ้ายังบอกว่าไม่จริงเลย พวกนี้ทิฏฐุปาทานหมดน่ะ


















สีลัพพตุปาทาน ยึดมั่นในศีลในพรต เราจะได้ยินอีกคำนึง

คำว่าสีลัพพตปรามาสที่พระโสดาบันละได้ ก็มีความใกล้เคียงกัน แต่มีความต่างกันอยู่

สีลัพพตุปาทาน สมมติว่าท่านเป็นคนสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน

พอเจอคนไม่สวดมนต์ไหว้พระ แต่เค้าก็ปฏิบัติภาวนาของเค้าทั้งวันทั้งคืน

ท่านก็ ด้วยความที่สีลัพพตุปาทานก็ไปกล่าวว่าปรามาสเค้า

อึ้ย! ไม่ดีเหมือนฉันเลยเห็นมั้ยล่ะ ฉันนี่สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน...

คนภาวนาก็ได้แต่ยิ้มๆ (หัวเราะ) เค้าไม่ยุ่งด้วย ก็โอ๊ะดีๆ สาธุ สาธุๆ

ไม่ชวนทะเลาะด้วยหรอก ดีแล้ว ไม่ค้านอะไรทั้งนั้นล่ะ

เธอว่าดีฉันก็ว่าดี อืม! ดีไปเหอะ แล้วก็ไปต่อ

ถ้าคนมีตัวก็ต้องกระเด้งเจอกันหน่อยนะ (หัวเราะ) ฮึฮึ... อืม เอ้า! อย่างงี้ก็สวยสิ!

 นะ ......แต่มีตัวก็ต้องกระเด้งมาชนกันหน่อย

แต่ถ้าคนไม่มีตัวก็...อึม (ยิ้ม) "  ดีจัง โอ๊! สวดบทไหนหล่ะ  " .... แหย่เข้าไปอีกนิด...

สวดธรรมจักรฯ...

โอ้! อานิสงส์แรงเนอะ หลุดพ้นเลยน่ะ "

" ธรรมจักรฯ อานิสงส์แรง เค้าเขียนอานิสงส์ไว้ เลยสวดทุกวันเลย... "

" เหรอ ถ้าอานิสงส์จะแรงกว่านั้นนะ ต้องปฏิบัติตามมรรค นั่นล่ะอานิสงส์จริง เพิ่มอีกนิดสิ ! "

แล้วก็ไปเลย เดี๋ยวมันถามอีก

วันนั้นไปหาหมอ หมอตรวจใหญ่เลย

" อาจารย์ได้ข่าวว่าอาจารย์สอนธรรมะหรอ?"

"ใครบอกล่ะ?  ผมไม่ได้พูด... "

" เห็นมีคนเค้าบอก อาจารย์รู้เรื่องมรรคมั้ย?...

"  ก็พอเคยสวดอยู่ " (หัวเราะ)

ผมว่านะ... โอ้! หมอนั่นก็อายุมาด้วยสิ ท่าทางก็คงแก่เรียน แก่ศึกษาอ่ะ...

" ผมศึกษามาทุกศาสนาเลย " ... สีลัพพตุปาทานจะจบมั้ยเนี่ย (หัวเราะ)

" ผมเนี่ยศึกษามาทุกศาสนาเลย" ...หมอบอก...

" ผมดูศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ อิสลาม มีเหมือนกันข้อวัตรปฏิบัติ 

เหมือนมรรคองค์ที่ 3-4 ของเราเลย แสดงว่าศาสนาอื่นก็มีมรรค.... "

ตอนนั้นผมเริ่มดูนาฬิกาละ ถ้าผมเริ่มเนี่ย แล้ววันนั้นคนไข้รอข้างนอกเยอะมาก

ต้องมีชั่วโมงนึงแน่ๆ นะ (หัวเราะ) เอายังไงดี?

ได้แต่ยิ้มๆ หมอรักษาต่อไปเถอะ...

" อาจารย์เห็นด้วยมั้ย?...อืม! ก็ไม่เป็นไรหรอก คุณหมอเข้าใจยังไงก็ตามนั้นอ่ะ รักษาเสร็จผมไปเลย

ถ้าผมเริ่มพูดเมื่อไหร่เนี่ย ข้างนอกจะต้องฮีตขึ้นเลย

เพราะหมอจะต้องอยู่กับผมอย่างน้อยชั่วโมงนึง

แล้วผมเชื่อว่า ผมเปลี่ยนหมอไม่ได้ ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ละ

ให้คนไข้เข้ามารักษาตามปกติดีกว่า

หมอศึกษาไปก็ดีแล้ว หมอคงไม่ตกนรกหรอก ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ ไปดีกว่า (หัวเราะ)

ไม่ใช่ว่าจะไม่ช่วย แต่ยังไงก็ดีอยู่แล้วนี่ เป็นหมอก็ดีอยู่แล้ว ศึกษามากก็ดีอยู่แล้ว

จะศึกษากี่ศาสนาก็ยิ่งดี ศึกษาไปเหอะ

จะเข้าใจผิดบ้าง มีคนเข้าใจผิดมากกว่านี้อีก นี่ศึกษาแล้วเข้าใจผิดนิดหน่อยก็ยังโอเค

แต่ข้างนอกนั่นคนป่วยรอหมออยู่ ไปดีกว่า (หัวเราะ)

ถ้าเริ่มเถียงคง คงอีกนาน แล้วก็ไม่รู้จะเถียงทำไมด้วย ไลฟ์บอย! เนอะ

เพราะฉะนั้น สีลัพพตุปาทานก็จะ ศีลพรตอะไรที่ทำไว้ กูว่าดีทั้งนั้นน่ะ คนอื่นไม่มีดีหรอก

ถ้าทำผิดอย่างที่กูเคยทำล่ะไม่มีดี นะ นี่ล่ะ...สีลัพพตุปาทาน






















อันนี้แสบสุด อัตวาทุปาทานนี้แสบสุด

ที่ได้ยินความเป็นตัวตนที่มันพูดไม่หยุด กูชอบ อะไรเนี่ย...

โอ๋ย อันนี้แหล่ะ สร้างความเป็นตัวตนขึ้นมาล่ะ นะ






















จากนั้นเมื่อเกิดอุปาทาน ยึดสิ่งนั้นเข้ามา ก็เริ่มเกิดเป็นภพล่ะ...

ภพนี่เหมือนอะไร?...เหมือนเนื้อนา จะเรียกอะไรอ่ะ?...

คือกำลังสร้างเหตุปัจจัยที่จะเกิดขึ้นจริงๆ อ่ะ

อย่างสมมติว่า เราเห็นเสื้อตัวนึงกระทบตาเกิดผัสสะ

เวทนาเกิดความชอบ จากนั้นตัณหา...

เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา เกิดความอยาก

พออยากตอนนั้นกำลังอยากอยู่ปั๊บมันยึดเลยนะ เกิดกามุปาทาน... นึกออกมั้ยครับ!

ยึดในเสื้อตัวนั้นทันทีเลย

จากนั้นก็ โอ้โห! ถ้าฉันได้ใส่ก็คง...อ่ะนี่เป็นภพ สร้างภพเปรตละ นึกออกมั้ย!

ตอนนี้ ภพคือเปรต ทันทีเลย ตายตอนนี้พลั้วะอ่ะเปรตเลย กำลังบีบคั้นอยากเลยน่ะ

แต่เอาล่ะ ไม่ตาย ไม่ตายก็คลอดเลย เดินไปซื้อปั๊บ

เป็นเสื้อ

เป็นกูมีเสื้อ

เป็นกูได้เสื้อ

เป็นเสื้อของกู เอาล่ะทีนี้ ไปยาวเลยละ

หาย.....ขาด....น้ำมันมาเปื้อน ใครมารีดแล้วมันเสีย โอ้โห! โสกะปริเทวะล่ะ

มันขาด ทุกข์เกิด เป็นอาหารอวิชชาต่อไปอีก

วนต่อมาอีกรอบ ไม่ใช่อีกรอบอ่ะ หลายรอบล่ะทีนี้อ่ะ

แพร็บเดียวแค่นั้นอ่ะ ปรื้บบบบ บครบวงเลย แล้วก็ฝังรากลึกตอกลิ่มลงไปเรื่อยๆ... ภพ






















ชาติ  เมื่อกี้อธิบายไปแล้วนะ เกิดขึ้นมา

เพราะฉะนั้น ระดับการ... ความเข้าใจของปฏิจจสมุปบาทเนี่ย ความจริงอยู่ในระดับจิต

แต่ถ้าอธิบายในระดับต้นกลางปลายก็ได้

บางคนก็เข้าใจว่าชาติ คือชาติใหญ่ๆ เลย

มีเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ตายจากความเป็นมนุษย์ ว่ากันเป็นชาติ,

บางคนก็ว่า ชาติในชาติอีก, บางคนก็แค่... ขณะจิตเดียวเลย

แต่จริงๆ คือขณะจิตเดียว...

กูเกิด ชาติเกิด กูเกิด ชาติเกิด ทุกข์เกิด หมุนวนอย่างรวดเร็ว ปรู้ดเลย






















ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ก็จุดจบของทุกอย่างนะ

แต่อย่าลืมว่าปฏิจจสมุปบาทเนี่ยใช้อธิบายสัตว์โลกที่มีเวทนานะ

เอากันตรงๆ คือมนุษย์นี่แหล่ะ เอากันตรงๆ คือมนุษย์

ธรรมะของพระพุทธเจ้าสอนสัตว์โลกที่มีเวทนานะ

เนื่องจากรูปนามมีทั้งที่มีวิญญาณครองสิงและไม่มีวิญญาณครองสิง

ในส่วนของพืชและมนุษย์หรือสัตว์มีความต่างกันอยู่ คือพืชมีวิญญาณครองสิงแต่ไม่มีเวทนา

มนุษย์ สัตว์ มีวิญญาณครองสิง มีเวทนา

แต่สัตว์ไม่สามารถเรียนรู้ธรรมะได้ ไม่สามารถเกิดสติได้

ในทุคติภูมิทั้งหมดไม่มีสติ ใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณ

มนุษย์ส่วนนึงใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณ ไม่มีสติ

แต่อย่างน้อยก็มีมากกว่าสัตว์ มีความยังยั้งชั่งใจ แต่รู้หมดแต่อดไม่เคยได้ (หัวเราะ)

รู้หมดแต่อดไม่ได้ซักอย่าง อดได้บ้าง

โกรธนะอาจารย์  นะนี่รู้ว่าโกรธ...

เออ รู้เข้าไป

"แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ด่าออกไปเลย... "

"อืม ก็ยังดีน่ะ อย่างน้อยมีสติระลึกขึ้นมาบ้าง"

"แล้วทำยังไงง่ะ?..."

"ก็อย่าไปด่าเค้าสิ"

"โอ้ย! มันทนไม่ไหวน่ะ"

แล้วจะรู้มั้ยทีนี้  ... ตัวเองยังห้ามไม่อยู่ แล้วจะมาบอกอะไรผมล่ะ !

โง่ขนาดนั้นเลยหรอ !!

ศึกษาปฏิบัติมาขนาดนี้ยังโง่ขนาดนั้นอีกหรอ

รู้แล้วว่าอะไรเป็นขี้ ก็ยังกระโดดไปกินต่อเนี่ยนะ แล้วอย่างนี้จะสอนไปทำไมเนี่ย

จะเป็นเนื้อนาแปลงไหนเนี่ย?  หรือว่าจะเอาเป็นแปลงที่ 3

จะได้โยนเศษๆ ที่เหลือให้ เศษๆ หมายถึงเศษๆ ของธรรมะน่ะ

พระพุทธเจ้าก็มีนะ ธรรมะของฆราวาสผู้ครองเรือน อะไรก็มีหมด

แต่ที่กำลังฟังนี่คือ... คำว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายทั้งนั้นเลยนะ

สำหรับเหมาะสำหรับผู้ที่แสวงหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์จริงๆ

แต่ถ้าจะเอาธรรมะแบบคุณธรรมจริยธรรม มีความสุขแบบโลกๆ

มี !!  พระพุทธเจ้าก็มีเยอะแยะ แต่สามารถหาได้จากตรงไหนๆ ก็ได้ เยอะแยะ

แต่ตรงนี้เราก็ลังมาดูว่า หนทางแห่งการพ้นทุกข์คืออะไร

ความเพียรอันถูกต้องจะทำยังไง

ละอกุศลเจริญกุศล ไอ้ของหยาบๆ อย่างเนี้ยะควรจะหายไปได้นานแล้วนะ

ถ้ารักจะเดินทางขึ้นไปเนี่ย  ตามคำของพระศาสดาเนี่ย

พวกศีลที่หยาบๆ พวกนี้  พูดคำหยาบ พูดเท็จ พูดเพ้อเจ้อพวกนี้น่ะ

มันน่าจะหาย หายไปนานแล้วน่ะ เป็นของไร้สาระ

เป็นของขี้ขี้  จะลงไปกินทำไม

คนนั้นเค้าด่าหนู  หนูจะไปทนได้ไง...

ก็เค้ากินขี้อยู่ไม่เห็นหรอ?...

เห็น แต่หนูอดไมได้...

อดอะไรไม่ได้? เห็นเค้ากินอยู่คนเดียวก็เลยกลัวเค้าเหงา ก็เลยโดดไปขย้ำกันเลยจานเดียวเนี่ย!

เห็นภาพอย่างนี้บ้างสิ มันจะได้เตือนตน

ขี้ก็ปล่อยให้เค้ากินไป เราเตือนแล้วเค้า...

บางทีเตือนแล้วไม่ได้ เตือนแล้วเค้าก็ด่าซ้ำ ก็ปล่อยให้เค้ากินไปแล้วก็ตั้งมั่นอยู่

แล้วถ้าเค้าด่า ด่าจบแล้ว... เอ้าแล้ว ตกลงจะยังไงล่ะ จะคุยกันต่อมั้ย

ถ้าคุยกันต่อ เห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ก็รามือกันไปก่อน

แต่ถ้าเค้าอยากจะคุยต่อ เอ้า ก็คุยมาสิ !

ด่าๆ ด่าๆ เข้ามา ก็จบหรือยังอล่ะ ถ้าด่ากันอย่างนี้ไม่รู้เรื่องนะ !

ก็ไม่เห็นจะต้องโกรธเลยน่ะ โกรธทำไม ไม่เข้าใจ

คนก็บอก...ไม่เข้าใจอาจารย์เหมือนกันน่ะ (หัวเราะ)

เอาล่ะ คร่าวๆ นะครับ

พอได้เห็นแต่ละ แต่ละๆ อย่าง อาการทั้ง 12 อย่างของปฏิจจสมุปบาทนะครับ

เพื่อจะไปศึกษาต่อไปในวันนี้ แล้วก็ในคืนนี้นะ

ที่นี้เราจะแนะนำสวนยินดีธรรม-สวนยินดีทะเล นิดนึง

สำหรับท่านที่ต้องการจะปฏิบัติภาวนา นะครับ


จากสวนยินดีธรรมสู่สวนยินดีทะเล



(รูปภาพ ) หอธรรมที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก เพราะว่า อยู่บนหาดทราย



( รูปภาพ )พระประธานสวนยินดีทะเล



(รูปภาพ ) อาคารที่พักส่วน 3 ชั้น 15 ห้อง



( รูปภาพ )  กุฏิ




จบการบรรยายตอนที่ 9
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 8 อริยมรรคเชื่อมโยงอริยสัจ                         ตอนที่ 10  ขันธ์ 5 และปฏิจจสมุปบาท


กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ

- ด้วยจิตคารวะ -

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น