3/15/2557

พังประตูคุก ตอนที่ 10 ขันธ์ ๕ และ ปฏิจจสมุปบาท (เพิ่มเติม)

ถอดคำบรรยาย:
คอร์ส “มัคคานุคาเข้มระดับ 2” เรื่อง พังประตูคุก
ตอนที่ 10 “ขันธ์ ๕ และ ปฏิจจสมุปบาท (เพิ่มเติม)”

บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
สวนธรรมศรีปทุม



ก็สวัสดีโยคีทุกท่านนะครับ

การบรรยายในครั้งนี้ ก็เป็นคืนวันที่ 4 ของการปฏิบัตินะครับ

หรือคืนสุดท้ายในหลักสูตรนี้ "มัคคานุคาเข้ม ระดับที่ 2" นะ

การบรรยายที่ยังเหลืออยู่นะครับ สำหรับหลักสูตรนี้ก็คือ

เรื่องของขันธ์ 5, ปฏิจจสมุปบาท นะครับ และก็การไปถึงที่สุดแห่งทุกข์

รวมถึงการสรุปนำอริยมรรคมีองค์ 8 เข้ามาใช้กับชีวิตประจำวันของพวกเรานะ

แปลงลงมาเพื่อทำความเข้าใจ แล้วนำไปปฏิบัติได้จริง

แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนนั้น เรามาดูเรื่องของศัพท์เรื่องของคำให้จบก่อนนะ

ทีนี้ขันธ์ 5 เราได้ยินกันมาบ่อย เราได้ยินกันมาบ่อย

รูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็วิญญาณ เราก็มาดูกัน ความหมายแต่ละตัวๆ นะ


รูป รูปขันธ์ นะ รูปขันธ์ กองรูป

ส่วนที่เป็นรูป ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่างๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย

ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด สิ่งที่เป็นร่างพร้อมคุณทั้งอาการ

อันนี้ก็คือคำนิยามซึ่งจะครอบคลุมไปทุกๆ อย่างเลยของความเป็นรูป


เวทนา เวทนาขันธ์ หรือกองเวทนา นะ จะสังเกตว่ามีคำว่ากองด้วยนะ กอง

ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมรณ์ความรู้สึก สุข ทุกข์ แล้วก็เฉยๆ นะ

อ่ะ ในเมื่อพูดถึงคำว่า กอง ทำไมต้องเป็นกองรูป? ทำไมต้องเป็นกองเวทนา?

เพราะว่าอย่างเช่น รูปเนี่ย ประกอบด้วย ดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกัน รวมกันก็เป็นกอง ถูกมั้ยครับ

มันไม่ใช่ว่า รูปนั้นคือรูปเดี่ยวๆ แต่รูปมาจากการปรุงแต่ง

มีปัจจัยมากมายที่เข้ามารวมกัน เราเรียกว่า รูป อย่างเนี้ยะเรียกว่ารูป ร่างกายของเรา

แต่ความเป็นจริงรูปที่เราเห็นมาจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมกัน

ดังนั้นจึงเอา ดิน น้ำ ไฟ ลม มากองรวมกัน เป็นกองๆ น่ะ ศัพท์เค้านะครับ

เวทนาก็มาจาก สุข ทุกข์ อุเบกขา หรือ สุข ทุกข์ อทุกขมสุข รวมกัน มาอยู่กันเป็นกองๆ อย่างเนี้ยะ

สัญญาขันธ์ กองสัญญา ส่วนที่เป็นการกำหนดหมายให้จำอารมณ์นั้นได้น่ะ เช่น ขาว ดำ แดง สีต่างๆ

จริงๆ ก็หลายอย่างล่ะ ก็ยกตัวอย่างเพื่อให้เราเข้าใจได้นะ

ทำไมถึงรู้ว่าตัวหนังสือสีอะไร สีดำ อ้อ! รู้ได้ทันทีเลย เพราะว่ามีสัญญาเดิม

 รู้ว่าสีอย่างนี้ อย่างนี้

ความจริงก็คือถ้าเราทำความเข้าใจตั้งแต่้วันแรกๆ เรื่องอายตนะ

แสงที่มากระทบด้วยความถี่แบบนี้ๆ ก็คือสีดำ

จากนั้นพอเป็นตัวยึกยือๆ มีหัว แล้วก็ลากลงมาแล้วก็ขดขึ้นไป ก็มีสัญญาจำได้ว่านี่คือ ข ไข่ นะ

ข ไข่ พอมีไม้หันอากาศ ขีดๆ ลงมา จริงๆ ก็เป็นเส้นเฉยๆ

แต่ก็มีสัญญาจำได้ มีการแปลค่า อ๋อ! อย่างนี้เรียก น หนู มี ธ ธง มี การันต์ พารวมกันเรียก ขันธ์ นะ

การประมวลผลพวกนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วมาก เร็วกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกอย่างในโลก

กระบวนการทำงานของขันธ์เนี่ย พรึบเป็นอัตโนมัตินะ เป็นอัตโนมัติ

ถ้าเห็นอย่างนี้บ่อยๆ นักภาวนาที่เห็นอย่างนี้บ่อยๆ จะเห็นเลยว่า ไม่ใช่เราแล้ว นะ !!

มันเป็นเราได้ยังไง ?

กระบวนการทำงานพวกนี้ไม่มีเป็นเรา ถ้าเป็นเรานะ...ไม่ทัน

ถ้าเป็นเรานะ อ่านไม่ออกล่ะ ถ้าต้องไปทำทุกอัน อ่านไม่ออกเลย

แต่นี่ด้วยกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติ แล้วก็ทำของเค้าเอง

เห็นปุ๊บ ปุ๊บปั๊บ ปุ๊บยกมา เอ้า! ขันธ์ เนี่ยรู้ทันที...

ไฟแช็ค รู้ทันที คือปุ๊บ กระบวนการแปลค่ารวดเร็วมาก นะ รวดเร็วมาก

แต่ถ้าทรงฌานก็จะเห็นเป็นขณะเลย 

เห็นการทำงานของขันธ์เป็นขณะ 

ปึ๊บๆ ปึ๊บๆ ปึ๊บ คือฉายตรงไหนก็เห็นตรงกัน

อ่ะ ทำตามผมนะครับ...

รู้ลมหายใจครับ (ไฟฉายฉายไปที่จมูกหายใจ) รู้ลมหายใจไว้...

ให้คิดถึงคนที่ท่านรัก (ไฟฉายฉายไปที่หัว) ให้เห็นหน้าเค้าเลยซักคนนึง ที่อยู่ที่บ้านก็ได้...

กลับมารู้ลมไว้ (ไฟฉายฉายไปที่จมูกหายใจ)

ทำความรู้สึกไปที่ก้นที่ถูกอาสนะ (ไฟฉายฉายไปที่ก้น) นิ่มๆ อุ่นๆ แข็งๆ แล้วแต่ เอาตามจริง...

กลับมารู้ลมไว้ (ไฟฉายฉายไปที่จมูกหายใจ)

เอาล่ะ เอาแค่นี้พอ ผมจะถามคำถามง่ายๆ ว่า ขณะที่ท่านรู้ลมอยู่ ท่านคิดมั้ยครับ?...ไม่คิด

แล้วผมบอกให้ไปคิดถึงหน้าคนที่รัก ท่านก็พยายามจะนึกภาพ

อ่ะ สมมติว่าเห็นหน้าใครซักคนนึง ตอนนั้นรู้ลมมั้ยครับ?...ไม่รู้

ผมบอกให้ไปรู้ก้น เอ้า! ก้นมีขึ้นมาเลย

เมื่อกี้ตอนคิดถึงหน้าใคร ยังไม่มีก้นเลยนั่น พอบอกมีก้นก็ให้รู้สึกที่ก้น ปั๊บ ก้นมีขึ้นมาเลย !!

จากนั้นก็บอกให้มารู้ลมไว้ ก้นหายไป ดับไป

จะเห็นว่า การทำงานของขันธ์เนี่ย ไฟ (ไฟฉายในมืออาจารย์) เนี่ยคือวิญญาณ

พอไปรู้รูป (ไฟฉายฉายไปที่จมูกหายใจ) รูปก็มีขึ้นมา

ถ้าผมบอกต่อไปว่า ตอนนี้รู้สึกยังไง? ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า เฉยๆ แ

สดงว่า วิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยอยู่ที่เวทนาล่ะ (ไฟฉายฉายไปที่หัวใจ) จึงเข้าไปรู้ว่ารู้สึกเฉยๆ

ลองดูความหมายของวิญญาณ

กองวิญญาณ ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์ ความรู้อารมณ์ทางอายตนะ

มีการเห็น การได้ยิน... อันนี้เรารู้ละ ผัสสะ ต้องมีวิญญาณเข้าไปประกอบ

พอมาสัมผัสตรงนี้ปั๊บก็ วิญญาณก็มาตั้งอยู่ที่เวทนา ก็จึงรู้ว่า อ๋อ! ตอนนี้รู้สึกเฉยๆ

เพราะฉะนั้น มันฉายตรงไหนตรงนั้นมี (ไฟฉายฉายไปที่จมูกหายใจ)

ฉายตรงไหนตรงนั้นมี (ไฟฉายฉายไปที่ก้น)...

นี่คือการทำงาน

เมื่อเราภาวนาไป แล้วเราเห็นเป็นอย่างนี้ จะเห็นว่าวิญญาณตั้งอาศัยอยู่ที่เวทนา คือความรู้สึก

แต่ถ้าในแง่สัมมาสติ มีสติเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ

เห็นเวทนาเกิดๆ ดับๆ ถูกมั้ยครับ? จำได้มั้ยในสัมมาสติ?

แต่ผมบอกว่า วิญญาณตั้งอาศัยอยู่ที่เวทนา... เอ้ย! นี่มันเหมือนกันเลยนะ

ถ้าผมบอกว่า สติพิจารณาเวทนาในเวทนาก็อยู๋ตรงนี้เหมือนกัน (ไฟฉายฉายไปที่หัวใจ)

วิญญาณตั้งอาศัยอยู่ที่เวทนา ก็อยู๋ตรงนี้เหมือนกัน... ผมถึงบอกว่ามันซ้อนกันอยู่ไง!!!

เมื่อเข้าใจสติปัฏฐาน 4 วันนึงจะโพล่งขึ้นมาเอง

เกิดสัมมาทิฏฐิขึ้นมาว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา

เมื่อจิตฟันธงได้ว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา

สักกายทิฏฐิจะดับเลย !
ริยมรรคจะชำระเปรี้ยงเลย  !
เข้าถึงความเป็นโสดาบันเลย !

เพราะฉะนั้นวันนี้คือใส่ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับจิต ซึ่งมีธาตุรู้

วันนี้เค้าเกิดมิจฉาทิฏฐิด้วยความไม่รู้อริยสัจจริงๆ

ทำยังไงถึงให้เค้ารู้อริยสัจขึ้นมา?...

มีทางเดียวเจริญมรรคไว้

เพราะสัมมาทิฏฐิ เราเห็นแล้ว

ผู้ใดเกิดสัมมาทิฏฐิผู้นั้นรู้อริยสัจ

จิตไม่รู้อริยสัจ เพราะว่าโตมากับการก่อร่างสร้างรูปนามนี้ขึ้นมา

จึงเคยคุ้นแล้วก็ผสมกลมเกลียวกันมานานนะ

เมื่อกี้ถึงสัญญานะครับ

สังขารขันธ์ ส่วนที่เป็นการปรุงแต่ง สภาพที่ปรุงแต่งจิต ให้ดีหรือชั่ว หรือเป็นกลางๆ

คุณสมบัติต่างๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ

ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิตให้เป็นกุศล อกุศล และก็อัพยากฤต คือเป็นกลางๆ

เพราะฉะนั้นอารมณ์ของเราเนี่ยแต่ละขณะที่มีการปรุงแต่ง จะมีกุศล มีอกุศล และก็กลางๆ

บางช่วงก็ไม่ได้เป็นกุศลและก็ไม่ได้เป็นอกุศล เค้าเรียก อัพยากฤตนะ

เพราะฉะนั้นเรารู้จักล่ะ ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พอจะรู้ละ ไม่ซับซ้อนอะไร

วันๆ นึงก็ ก็จะบอกว่า จิตเวียนวนอยู่ในฐานทั้ง 4 ก็ถูกต้อง กาย เวทนา จิต ธรรม

หรือขันธ์ ก็ถูกวิญญาณเข้าไปตั้งอาศัยอยู่ตลอดเวลา

เดี๋ยวก็ปุ๊บ เดี๋ยวกุ็ปุ๊บ เดี๋ยวกุ็ปุ๊บ  จะดูมุมไหนก็ได้นะ

 พระพุทธเจ้าก็บอกว่า โสดาบันเป็นผู้เห็นอายตนะ หรือว่าพระโสดาบันเป็นผู้เข้าใจขันธ์ 5

อะไรอย่างเนี้ยะ ก็แล้วแต่ว่าคนนั้นจะเห็นมุมไหน

แต่พอเห็นสัมมาสติเข้าไปมากๆ หรือสติปัฏฐาน 4 ก็จะไปเข้าใจขันธ์ 5

เพราะมันทับๆ กันอยู่ ซ้อนๆ กันอยู่

จริงๆ ก็คือ จิตกับวิญญาณก็อยู่ด้วยกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า มันเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกัน

วันนี้หลายคนก็ยังงงๆ.... ไม่เป็นไร อันนี้ยังเป็นเพิ่งจะคอร์สที่ขยับขึ้นมาจากพื้นฐาน

มันก็ต้องภาวนาจนไปเคยคุ้นก่อน แต่เราก็ฟังไปก่อนนะครับ ฟังไปก่อน

ทีนี้ถ้าเป็นระดับความเข้าใจแบบง่ายๆ นะ เอาขันธ์ 5 แบบเข้าใจกันง่ายๆ

รูปคืออะไร?


เอามือขวาจับมือซ้ายนะ ก็จะเห็นว่า อ๋อ! รูปเป็นแบบนี้นี่เอง

ให้เค้าสัมผัส อ๋อ! เป็นแท่ง เป็นมวลสารนะ ที่เมื่อกี้บอกว่าเป็นกองรูป เป็นพฤติกรรม

แสดงว่าการเคลื่อนทั้งหลาย พฤติกรรมของกาย การเคลื่อนอิริยาบถทั้งหลาย เราก็เรียกรูปเหมือนกัน

ที่เราเดินจงกรม นั่งสมาธิ อาบน้ำ เข้าห้องน้ำ  นอน ก็คือการเคลื่อนของกายเนี้ยะ เป็นพฤติกรรม

ดังนั้นพฤติกรรมก็เรียกรูปเหมือนกัน

พอเข้าไปตั้งอาศัย ก็อาศัยเป็นกายคตาสติ ก็เป็นกายนี่แหล่ะ

 สติตั้งบนฐานกาย เพราะฉะนั้นรูปเข้าใจไม่ยาก


เวทนา เวทนาคือความรู้สึก

เวทนาคือความรู้สึก ก็มี สุข ทุกข์ เฉยๆ หรือจะบอกว่า พอใจ ไม่พอใจ

แล้วก็เป็นกลางๆ (จะบอกว่าพอใจก็ไม่ใช่ ไม่พอใจก็ไม่เชิง นะ )

ก็คือความรู้สึกบบเนี้ยะ เป็นกลางๆ เวทนา


สัญญา ความจำได้หมายรู้ ก็จำง่ายๆ อ่ะ หัวใจสีอะไรครับ?...สีแดง

ก็ตอบได้ทันที ไม่ต้องมีใครบอก

ขันธ์ 5 ตัวหนังสือสีดำ ทำไมอ่านได้?...ก็เพราะมีสัญญา

ถ้าเปลี่ยนเป็นภาษาแขก ก็อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่มีสัญญา


สังขาร ความคิดปรุงแต่ง ความคิดปรุงแต่ง

นั่งๆ สมาธิอยู่ เดี๋ยวก็แวบ แล้วก็คิดๆ คิดๆ คิดๆ อ่ะ นี่ก็คือความคิดปรุงแต่งนะ

ปรุงขึ้นมา ปรุงขึ้นมา ปรุงขึ้นมา พอกลับมารู้ลมปั๊บก็ดับไป

อย่างเมื่อกีก็บอกว่าพยายามปรุงแต่งขึ้นมาว่า คนที่รักเป็นยังไงอะไรยังไง

ก็คิดๆ คิดๆ คิดๆ ขึ้นมา พอกลับมารู้ลมปั๊บ สิ่งนั้นก็ดับหายไป

เพราะวิญญาณก็ตั้งอยู่ได้ทีละขณะเดียวนะ ขณะนึงตั้งอยู่ตรงไหนก็เกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมาที่ตรงนั้น


ตัวสุดท้ายก็ วิญญาณ การเข้าไปรู้อารมณ์ อันนี้ก็ง่ายๆ นะ ให้เราเข้าใจง่ายๆ

เวลากลับมาที่การภาวนาก็จะได้ไม่ต้องมานั่งแปลศัพท์ ก็คือ อ้อ ...โอเคนะ

เอาล่ะ เราก็จะผ่านเรื่องขันธ์ 5 เพื่อไปเข้าสู่เรื่องปฏิจจสมุปบาท

เพราะเราก็เห็นแล้วว่า ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาทเนี่ย มีขันธ์ 5 เข้าไปเกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นเลย

ตัวอย่างนึงที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือ รีเบคก้า

ผมเปิดตั้งแต่คอร์สเบื้องต้น ท่านก็จะคุ้นเคยกันดี

ในที่นี้ผมก็เชื่อว่าเกือบทั้งหมดก็น่าจะผ่านหูผ่านตา

แต่วันนี้เราจะมาดูรีเบคก้าในมุมของปฏิจจสมุปบาทแท้ๆ ซักที

เพราะที่ผ่านมาเราไปชี้กันเรื่อง กิเลส เรื่องอะไรเสียมาก

วันนี้เราจะดูปฏิจจสมุปบาทในมุมของ ในการการใช้สื่อของรีเบคก้า

( คลิป รีเบคก้า )



ความจริงถ้าจะชี้น่ะ ก็จะชี้ได้หมดอ่ะ แต่ถ้าจะชี้เฉพาะหลักๆ ก็แล้วกัน

ถ้าเอาตรงนี้เลยเนี่ย เราจะเห็นว่า รีเบคก้าเห็นผ้าพันคอสีเขียว นี่คือภาพที่เราเห็น

แต่ในความเป็นจริงก็คือ ผ้าพันคอสีเขียวเนี่ย คืออายตนะภายนอก ที่เป็นรูป

แล้วก็มีแสงกระทบ แล้วก็กระทบมาที่ตาคือ อายตนะภายในคือตา

แน่นอนที่สุดเกิดเป็นอารมณ์พอใจได้ จะต้องมีจักขุวิญญาณไปแปลค่าแน่ๆ นะ

อันนี้เราเห็นละ ผัสสะครบองค์ละ นะ 3 อย่าง

3 อย่างทำงานร่วมกัน เกิดเรียกว่า ผัสสะ

จากนั้นเราจะเห็นเลยว่า เห็นหน้าก็รู้ รีเบคก้าเกิดความพอใจ ถูกมั้ยครับ

ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา อ้อ! เข้าใจได้ อย่างนี้เข้าใจได้

พอเกิดเวทนา ความชอบ เวทนาก็เป็นปัจจัยให้เกิดเป็นตัณหา

ที่นี้ไม่ใช่แค่พอใจละ เริ่มบีบคั้นอยากได้ละ

อันนี้คือสภาพจริงที่เกิดขึ้นในวินาทีนั้น ซึ่งมันปรื้ดเร็วมาก

พอเกิดตัณหาก็เริ่มเกิดอุปานทานคือกามุปาทาน เข้าไปยึดสิ่งนั้น อยากได้ทันทีเลย

พูดง่ายๆ เลยว่า เอ! จริงหรอมันเกิดอุปาทานจริงหรอ?

ถ้าวินาทีนี้ ลองมีคนในร้านเดินไปหยิบผ้าพันคอสีเขียวตัดหน้าไปสิ!

เฮ้ย! ความไม่พอใจจะเกิดขึ้นทันทีเลย

แสดงว่ายึดเข้าไปเรียบร้อยแล้วว่า ผ้าพันคอนี้เป็นของกู ไวมากนะ

ยังไม่ได้จ่ายตังเลย ยังไม่ได้จ่ายเลย มันยึดแล้ว

เนี่ย!!  กระบวนการพวกนี้ไม่ได้รอเหตุผลนะ

ปื้บๆ มาถึงยึดแล้ว!!

แล้วขณะนี้ดูสีหน้าแววตา โอ้โหย! ถ้าฉันได้พันผ้าพันคอผืนนี้นะ โอ้ย! มันคงสวยน่าดู

เอาล่ะ !!   เธอสร้างภพเรียบร้อยเลย

แล้วหลังจากนั้นเธอเดินเข้าไป อาดๆ อาดๆ ซื้อ....ปั้ง!!  ชาติเกิดล่ะ

แต่ความเป็นจริงในระดับจิตเนี่ย ชาติก็เกิดแล้ว เพราะกูอ่ะเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว

 ยึดเข้าไปเต็มลักแล้ว อัตวานุปาทานก็เกิดแล้ว

เพราะฉะนั้นมันไปกันหมดแล้ว

วงจรนี้หมุนโดยไม่ต้องมีรีเบคก้า

โดยความเป็นจริงไม่มีชื่อรีเบคก้าอยู่ในวงจรนี้

วงจรนี้ทำงานโดยไม่มีตัวตน

รีเบคก้าเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมามีโคตรอย่างนั้นๆ มีชื่อย่างนี้ๆ เฉยๆ

แต่ขันธ์ 5 ทำงานเป็นอย่างนี้ ไม่วาจะมีใครยึดถือไม่มีใครยึดถือ

ใครจะเข้าใจความจริงไม่เข้าใจความจริง เค้าไม่เคยเป็นของรีเบคก้า

ขันธ์ 5 ไม่เคยถูกเป็นของรีเบคก้า รีเบคก้าไปตู่เอาเฉยๆ

ถ้าเข้าใจอย่างนี้จะเห็นเลยว่า

ในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่แท้จริง ไม่มีตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ในนั้น

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า ผู้ที่จะเห็นวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ ต้องเป็นพระโสดาบันขึ้นไป

เพราะหากเป็นปุถุชนจะมีตัวตนเข้าไปในการดู จะมีผู้เกิดขึ้นมาทันที

วงจรจะหมุนโดยไม่อิสระ เพราะถูกการปรุงแต่งปิดบังวงจรนี้ทั้งหมด

กลายเป็นกู กลายเป็นของกู เพราะฉะนั้นเสร็จ จะไม่มีทางเห็นเลย

ทำไม  ถ้าขณะที่เราเดินเข้าไปช้อปปิ้งทำไมเราจึงไม่เห็น?...

เพราะสภาพความเป็นกู เป็นของกู ปิดบังทุกอย่างหมด ปิดบังทุกอย่างหมด

ก็คือการปรุงแต่งตั้งแต่วันที่เราเปิดคลิปลิงจูบถ้าจำได้ จะมีความรู้สึกนึงที่สร้างขึ้นมาเฉยๆ

เป็นของลอยลม สมมติว่าเป็นหมอกควันอยู่แถวนี้

 เป็นของลอยลมที่ไม่ได้มีอยู่จริง

"สิ่งนี้" (การปรุงแต่ง)  บดบังทุกอย่าง....

ผู้หญิงคนนั้น  มีแค่ (นิ้วมือแปะที่ปาก) นี้ แต่จูบนายแบบอย่างดูดดื่มเลย

ความดูดดื่มมาจากการปรุงแต่ง ที่สร้างขึ้นมาลมๆ แล้งๆ

มนุษย์ถูกสิ่งนี้ (การปรุงแต่ง) ครอบงำทั้งหมด

ไม่ไช่มนุษย์หรอก ....สัตว์ก็ด้วย แล้วก็ทุกภพภูมิด้วย

เราจึงมีความสุข มีความเพลิดเพลินกับรสอร่อยที่ถูกหลอกขึ้นมา

นี่คือสาเหตุหลักที่สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิด

เอาของไม่มีอยู่จริง มานั่งมีความสุข ปรุงแต่ง   ปั้นแต่งขึ้นมา

ถ้าปรุงแต่งไปในทางดี เค้าก็เรียก  ปุญญาภิสังขาร

ก็ไปสร้างภูมิที่เป็นสุขคติภูมิเวียนว่ายตายเกิดไป

ถ้าปรุงแต่งในทางไม่ดี หงุดหงิด รำคาญ โกรธคนนั้น ไม่พอใจคนนี้

ก็ปรุงแต่งแบบเค้าเรียกอปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งทาง อบุญ ก็เป็นทุคติภูมิ

ก็ลงไปเกิดในนรก ในอสุรกาย ในเปรต ในเดรัจฉานไป

กลายเป็นปรุงดีก็เวียนว่ายตายเกิด ปรุงไม่ดีก็เวียนว่ายตายเกิด

แล้วทำยังไง?...

หยุดการปรุงแต่ง 

หยุดที่ตั้งแต่นามรูป หยุดที่สังขาร

ถ้าอวิชชาเปลี่ยนเป็นวิชชา ก็จบกัน

เพราะฉะนั้น เราเห็นแล้วว่า รีเบคก้าเกิดความชอบ

ผมจะชี้ให้ทานเห็นว่า (กล้องตามทันมั้ยเนี่ย) จะให้ท่านเห็นความจริงของวงจรนี้



รีเบคก้าเห็นผ้าพันคอสีเขียว แล้วก็เกิดเวทนาคือความชอบ อันนี้เราเข้าใจได้ ถูกมั้ยครับ

ผมถามว่า เวทนานี้มาจากไหน ทำไมจึงเห็นแล้วชอบ?


พราะที่นี่ (วิญญาณ ) 

อายตนะภายนอกคือรูป + อายตนะภายใจคือตา + จักษุวิญญาณ 


ทำงานพร้อมกันที่ ผัสสะ


วิญญาณตัวนี้มาจาก อวิชชา  มีการให้ค่าสิ่งนี้เอาไว้ก่อนล่ะ เพราะความไม่รู้

พอแค่การกระทบที่เป็นผ้าพันคอผืนนึงสีเขียว ทำไมต้องชอบด้วย?

ทำไมต้องชอบด้วย?

มันก็คือสิ่งที่เป็นผ้าพันคอสีเขียว สีแดง สีเหลือง สีขาว สีอะไรก็ได้

ก็ผ้าพันคอก็เป็นสีนั้นอ่ะ

เพราะเค้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเพราะไปเห็นมันเป็นผ้าพันคอ

ถ้าเห็นเป็นรูปกระทบอย่างที่มันเกิดขึ้นจริงๆ มันจะมีอารมณ์มั้ยเนี่ย ?

วันนี้คำว่ารูป ต้องกลับไปให้เข้าใจนะ เพราะว่าคำว่ารูปที่มากระทบที่ผัสสะเนี่ย...

ขวดน้ำ จะมองมุมไหน? จะมองคำว่าขวดน้ำหรือรูป?



ถ้าจะเอาคำว่ารูป คือแสงที่มากระทบแล้วเข้าไปที่ตา

ถ้าไม่มีการแปลค่าเลย มันคือรูป ถูกมั้ย? ตามทันมัย?



เอาตัวนี้ตัวเดียว (ชี้ตรง "น") ตัวอะไรครับ?... น หนู หรือว่าเส้นสีแดง

ถอดสมมติบัญญัติออกชั้นนึงก่อน ถ้าคุณบอกว่า น หนู แสดงว่ามีบัญญัติทับอยู่อันนึง

ผมแกะบัญญัติออก จะเหลือเส้นสีแดง ที่ขมวดปมหน้าตาเป็นอย่างนี้

แล้วถูกวิญญาณแปล ให้มันเป็น น หนู

ถ้าถอดแส้นสีแดงออกอีกชั้นนึง จะเหลือแค่แสงที่มากระทบเข้าตา

จะตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ (ชี้ไปบนตำแหน่งต่างๆ บนภาพ) มีค่าเท่ากันหมด

มันถูกแปลเฉยๆ

เป็นรีเบคก้าได้ยังไง? (ชี้ตรงเสื้อผ้าในภาพ) นี้คือสีดำ

แล้วก็มีความต่างของสีเล็กน้อย แล้วนี่ก็มีความต่างของสีเล็กน้อย (ชี้บริเวณใบหน้าในภาพ)

ทำไมถึงแปลเป็นรีเบคก้า? ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนึง? ทำไมตรงนี้ถึงเป็นผม?

กระบวนการซึ่งขันธ์ 5 ทำงานอย่างรวดเร็ว มันจึงตบตาทุกคน

เกิดอารมณ์... โห ! .คนนี้น่ะสวยมากเลย

เพราะฉะนั้นคนที่ จิตใจตั้งมั่นเนี่ย เวลาเพ่งเข้าไปเนี่ย มันจะหลุดออกเป็นชั้นๆ

มันจะหลุดออกเป็นชั้นๆ พลั้วะๆ พลั้วะๆ พลั้วะๆ พลั้วะๆ จนเข้าไปเห็นความว่างเลย

ไม่มีอะไรเลย มีแต่สี

แต่ถ้าพูดแบบนี้ คนไม่เข้าใจ... ไอ้นี่บ้าแล้ว นี่มันคน... ถูกต้อง !!

 แต่เมื่อจิตถอดบัญญัติออก มันจะเข้าไปถึงความจริงก่อน

เมื่อเข้าใจความจริงจนหมด จะกลับคืนสู่โลกอีกครั้งนึง

เค้าเรียกว่า อยู่กับสมมติแบบวิมุตติ

คือตอนนี้จะกลับมาอยู่กับรีเบคก้าล่ะ แต่เห็นความจริงของรีเบคก้าหมดแล้ว

ถอดเปลือกออกหมดเลย ไม่มีอะไรเลย ทะลุเข้าไปเห็นเลยว่า นี่คือภาพ

มีใครเคยให้หน้าปก ดูจิตหนึ่งพรรษามั้ย?...เป็นรูปพระ ถูกมั้ยครับ พระรูปนึง


เห็นรูปพระมั้ยครับ?...อ่ะเห็น 


นี่คือช่วงเวลาที่ พระอาจารย์อำนาจ วาดรูปที่ปกผม เห็นมั้ยครับ?

รูปหน้าปกของหนังสือดูจิตหนึ่งพรรษาเนี่ย มาจากการวาดของพระอาจารย์อำนาจ โอภาโส

วันที่ท่านวาดเนี่ย ผมนั่งอยู่ข้างหน้าเนี่ย

วันนั้นผมไปภาวนาอยู่ที่ผาซ่อนแก้ว แล้วจะกลับ ผมก็เรียนท่านว่า

ท่านให้หนังสือ สมุดเล่มเนี้ยะ หนังสือเนี่ยะ เป็นที่ระลึก ชื่อ The Oneness นะ

เป็นหนังสือที่การบินไทยทำรวบรวมผลงานของท่าน

สมัยที่ท่านยังเป็น อำนาจ กลั่นประชา ศิลปินเอกของโลก The Oneness คือ หนึ่งเดียวคนนี้

ท่านมอบหนังสือเล่มนี้ให้ผม ผมก็เปิดหน้าแรก

แล้วผมวางที่ต่อหน้าท่าน แล้วผมบอกว่า

" หลวงพ่อครับ ช่วยวาดผมเป็นความว่างให้หน่อย "

แล้วท่านก็มองหน้าผมแล้วก็จับปากกา แล้วก็วาดไม่ถึง 2 นาที

ปั้บ !!   ออกมาเป็นรูปที่เราเห็นอยู่ที่หน้าปก ผมไปขออนุญาตท่านเอาไว้ที่ปกนะ


เอ่าล่ะ เรามาดูภาพกันชัดๆ ผมเรียนท่านว่า ผมขอให้วาดรูปความว่าง

ท่านเห็นภาพนี้เป็นอะไร?...พระรูปนึง หน้าตาเหมือนปัญญาวโรภิกขุ

แล้วว่าตรงไหน? ว่างตรงไหน?

ผมไม่ได้ให้ท่านวาดรูปปัญญาวโรภิกขุ ผมให้ท่านวาดรูปความว่าง ท่านก็วาดให้

จะบอกนี้ไงว่าง ว่าง เข้าไปในนี้?...ไม่ใช่

นี้คือ (ชี้ตรงเส้นที่เป็นภาพวาด) เส้นกับจุด เส้น มีแต่เส้นกับจุด

เป็นภาพปัญญาวโรได้ยังไง?

กระบวนการปรุงแต่ง 

ถ้าถอดถอนกระบวนการปรุงแต่งออกทั้งหมด จะกลับไปเหลือแค่ เส้น

ตอนนี้ถ้ามีใครลึกกว่านั้น ไม่ใช่เส้น เป็นแสงที่กระทบกลับเข้าไป

จะไม่มีค่าอะไรถ้าไม่ถูกให้ค่าแล้วก็ปรุงขึ้นมา

ไม่มีสวยไม่สวย ไม่มีชอบไม่ใชอบ ไม่มีอะไร เพราะว่ากลับไปที่สภาพเดิมแท้ก่อนถูกปรุงแต่ง

ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าเราถอนบัญญัติออกเป็นชั้นๆ ชั้นๆ ชั้นๆ ชั้นๆ ลงไป

จนเหลือ แสงกระทบ แล้วใส่บัญญัติกลับเข้าไปทีละชั้นๆ ชั้นๆ ชั้นๆ ชั้นๆ

ก็จะกลับมาอยู่ในโลกของสมมติ

เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในโลกสมมติแบบวิมุตติคือ เห็นความจริงจนทะลุหมดแล้ว

แล้วกลับมาอยู่ตรงนี้แล้วจะไม่หลงอีกเลย

เพราะเห็นหมดแล้วว่านี่คืออะไร

มนุษย์ทั้งหลายหลงเข้าไปในความสวยความงามเพราะอะไร?

เพราะหลงอยู่ที่ชั้นสุดท้ายที่เป็นสมมติบัญญัติ

รีเบคก้าหลงผ้าพันคอสีเขียวแล้วเกิดเวทนาได้ยังไง

จะเห็นมั้ยว่า โดนบัญญัติใส่ไปทีละชั้น ชั้นๆ ชั้นๆ ชั้นๆ ชั้นๆ จนถ้านี่เป็นเลนส์

ก็คงโดนไปไม่รู้กี่ชั้นแล้ว  ยากที่จะออกจากมันได้

เพราะถอดชั้นนึงยังเหลืออีก ลอกได้อีกชั้น...เหลืออีก ลอกได้อีกชั้น...เหลืออีก

จนกว่าจะถึงแสง ถึงจุด ถึงความว่างโน่นแน่ะ

ลอกกี่ชั้นก็ไปไม่... จนกว่าไปถึงความว่าง แล้วไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย

เพราะฉะนั้นแสดงว่า คนที่เห็นแล้วก็ลอก ถอดออก

ก็ต้องเป็นคนที่... อย่างทรงฌาน จิตเป็นสมาธิ เห็นความจริงมาตั้งแต่ต้น

ค่อยๆ เห็นจากการเกิดดับของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเข้าถึงความว่าง นะ

มันก็ว่างไปโดยลำดับ นะ ผมก็พูดให้ฟังไปก่อน ไม่เข้าใจไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย นะครับ

อาจจะมีใครที่เข้าใจก็เข้าใจ แต่ถ้าเวลาที่เข้าใจมันจะเหมือนติดๆ อะไรอยู่บางอย่าง นะ

เพราะมันติดสักกายทิฏฐิอยู่

เหมือนมันจะเข้าใจ แต่มัน...มันไปไม่...มันไม่ผ่านประตูนี้ไปแฮะ มันติดอะไรไม่รู้

เพราะมันติดสมมติบัญญัติที่ท่านสร้างไว้อย่างเหนียวแน่น กิเสลไม่ไปง่ายๆ หรอก นะ

มันมียางเหนียว แล้วก็เดี๋ยวๆ เดี๋ยวจะถูกบังตาอยู่เรื่อยๆ ด้วยการปรุงแต่ง

ถ้าให้ผมเล่าประสบการณ์สักครั้งนึง อาจจะเทียบเคียงพอได้

ครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่ผมนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่สวนยินดีธรรม

วันนั้นอากาศเย็นๆ ยามเช้า 6 โมงกว่าๆ มีหมอกเรื่อๆ ปกคลุมลำน้ำ

มองไปทางไหน โอ้โห! บรรยากาศนะ นั่งจิบชา

อือหือ... ขณะนั้นก็นั่งจิบไปเรื่อยๆ เปิดธรรมะฟังไปด้วย

อยู่ๆ พลั้วะ !!   เราไม่เคยกินชาเลย เราไม่เคยกินชาจริงๆ เลย

แล้วผมก็จิบ.....นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้กินชาจริงๆ

ที่ผ่านมาเราไม่เคยได้กินชาเลย

เรากินการปรุงแต่งที่ปิดบังรสชาติของชาทั้งหมดเลย

หลายคนอากาศเย็นๆ สั่งกาแฟมาดื่ม แล้วมันก็มีบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยบรรยากาศ

จึงทำให้รสชาติของชา ของกาแฟ.... แหมมันชื่นใจ.... มันอร่อยเวลากินบนดอย

มันไม่ได้กินรสชาหรอก มันถูกไอ้นี่ (ใจ) ย้อมหมด

วันที่มันดับวับลงไปเนี่ย มันจะเหลือรสชาติที่ถูกลิ้นเฉยๆ

วันนั้นจึงโพล่งขึ้นมาเลยว่า เราไม่เคยกินชาจริงๆ มาเลยทั้งชีวิต มันมีรสชาติแค่นี้เอง

ไม่มีแพง ไม่แพง อู่หลง อู่อะไรไม่มีทั้งนั้นอ่ะ

เมื่อก่อน โอ้โห! อู่หลง ชาดอกมะลิ หอมหมื่นลี้ ปรุงกินกัน

โอ้โห...หอมหมื่นลี้จริงๆ ด้วยนะ พร่ำสรรเสริญเมาหมกอยู่ พูดกันอยู่นั่นแหล่ะ

พอเหลือแต่ชาเท่านั้นหน่ะ...เอ่อ! ขมหวะ เมื่อก่อนมันอร่อยตรงไหนเนี่ยะ

ทุกคนชอบดื่มน้ำเย็น สมัยก่อนผมก็ชอบดื่มน้ำเย็น

แต่อยู่ๆ ผมเลิกดื่มน้ำเย็น เพราะ...ไม่ใช่ว่าเพราะไอนะ...

โอ้โห เย็น... ทรมานชิบเป๋งเลย เมื่อก่อนกินได้ไงเนี่ย !!

ทำไมต้องใส่น้ำแข็งด้วย เดี๋ยวนี้ใครใส่น้ำแข็ง... อึมหืม! มัน ....

มันทรมานเหลือเกินน่ะ ที่จะต้องไปถูกลิ้น ถูกปาก ถูกอะไรอย่างเนี้ยะ !!

แล้วมันกินได้ยังไงเนี่ยะ !!  มันถูกการปรุงแต่งหลอกไว้ทั้งหมด

ยิ่งเวลาเหนื่อย เวลาร้อนนะ ยิ่งปรุงหนักเลย

โอ้โห! ดื่มมันแล้วชื่นใจ...

เหรอ !!   ไม่ได้ดื่มเข้าไปที่ลิ้นหรือ

ดื่มมันแล้วชื่นใจ...ใช่ !!!    มันหลอกทั้งหมดเลย

เค้าถึงต้องสร้างการปรุงแต่งไว้

ทำไมพอเห็นส้มตำแล้วถึงนึกถึงน้ำอัดลม?

เค้าฝังเอาไว้ เค้า repeat ads ให้มันมาก เพื่อฝังเข้าไปที่สังขารให้เกิดวิญญาณ

ทันทีที่เห็นสิ่งนี้ จะบวกพ่วงสิ่งนี้เข้าไปด้วย ....ไม่งั้นมันเลี่ยน

โดนหมดทั้งพวงน่ะ !!!    พวกนั้นก็เก่งขนาดไม่ได้ศึกษามันก็รู้ว่ามนุษย์โง่แค่ไหน

ตกลงนี่ก็เส้น แต่เอ้า! ก็นี่เป็นรูปพระก็เห็นๆ...ใช่

กลับมาที่การปรุงแต่งก็ได้ หรือจะถอยกลับไปจนลึกความว่างเลยก็ได้

แล้วใครจะเห็นอย่างนี้ล่ะ?

ในโลกมันถูกฉาบทา... อ่ะ อย่างเนี้ยะ อธิบายเสร็จ

พอผู้หญิงไปเจอดารารูปหล่อซักคน "  โห! เธอ ผู้นั้นหล่อจัง..."

เห็นหรือยังว่าท่านโดนที่ ที่การปรุงแต่งแบบเต็มรูป...

เอาสิ มองสิ ถอดออกทีละชั้นสิ !!

แสงกระทบเว้ย...(ถอดออก) ปั้บ...(ถอดออก) มีแต่ความว่าง มีแต่กระดูก

นี่มันกองรูปนี่หว่า !!

เออ! ทำอย่างนี้ล่ะ แล้วมันจะหลงได้ยังไง...

เค้าก็แค่ขันธ์ 5 เดินแกว่งไปแกว่งมาเหมือนกันแหล่ะ

มีความอยากมีความโลภ ขี้ออกมาก็เหม็นเท่ากัน มันไม่ได้มีอะไรดีเด่กว่ากัน

หลังจากนั้นจะไม่ปลื้ม ไม่มีปลื้ม...

โธ่เอ้ย! แค่ทำอะไรพอโด่งดัง มีหนังสือพิมพ์โปรโมท อะไรโปรโมท

ใจก็ไปปรุงๆ ปรุงๆ ปรุงๆ ปรุงๆ ขึ้นมา แล้วก็ปิดบังหมด กรี้ดสลบเวลาเจอ

มือไม้สั่น อะไรอย่างนี้ คือโดนการปรุงแต่งขึ้นมาหมด

ยากมั้ย?...... ก็บอกไปแล้ว มันคือความจริงน่ะ มันคือความจริงน่ะ

ยากมั้ย?...ไม่รู้จะตอบอะไร   แต่ว่ามันคือความจริง

ทำยังไงถึงจะเข้าไปถึงความจริง?...มรรคมีองค์ 8

อะไรๆ กลับที่มรรคมีองค์ 8

แต่ถ้าบอกว่า ไม่ไหวอ่ะ ฉันคงไม่ได้   ยังไงก็คงไปไม่รอดล่ะ...

ถ้าบอกขนาดนี้ มองยังไงก็ไม่ทะลุ...

ยังหรอก เพราะว่า ผมบอกเลยวันเนี้ยะ ศีลบริบูรณ์

ทำยังไงก็ได้ ผมไม่รู้อ่ะ ชำระอกุศลในใจ ที่มันเกิดขึ้นตลอดเวลาเนี่ยะ

ท่านจะรู้ไม่รู้ก็ตอนเนี้ยะ สงสัยลังเลสงสัย แล้วก็คิดนั่นคิดนี่ต่อไปเรื่อยๆ... ชำระ !!

ตอนนี้ท่านก็หลงเข้าไปในภพ ก็หลงเข้าไปในความคิด...

แต่ บางคนอาจจะบอก เห้ย! นี่ ธรรมวิจยะอยู่...นะเอ้า! ก็ไม่เป็นไร ก็ยังไงก็ได้

กำลังวิจัยธรรมอยู่...เอาเลยนะ ก็ไม่มีปัญหา ก็วิจัยไปสิธรรม

ก็คิดถาม จินตนาการ ก็เป็นจินตามยปัญญา ก็ไม่มีปัญหาอะไร

แต่มันต้องเข้าไปๆ ทุกอย่างมันถูกหลอกอยู่ตรงนี้ (ใจ)

ไม่ได้เกี่ยวกับตรงโน้น (ภาพที่ฉายบนจอ) เลย มันอยู่ตรงนี้ (ใจ)

ครั้งนึงผมที่ ผมเคยไปเรียนหลวงปู่แบน นะ... หลวงปู่ครับ โลกนี้ว่าง

หลวงปู่บอกว่า โลกมันว่างของมันอยู่แล้ว ไอ้ที่ไม่ว่างคือ จิต ไปทำจิตให้ว่าง

แค่นั้นจบ ตอบแค่นี้เอง

เพราะฉะนั้นจัดการที่นี่
ไม่ต้องจัดการข้างนอกเลย
ทั้งหมดอยู่ที่นี่ (ใจ)
          ภาวนาเราก็ภาวนาเข้ามาที่นี่ อยู่แล้ว
ภาวนาเข้ามาที่นี่

ทีนี้ในรีเบคก้า ก็คงพอจะเห็นการทำงานของปฏิจจสมุปบาทได้

หรือจะกลับไปที่ตัวอย่างที่เราคุ้นเคยกันซักอีกตัวอย่างนึง

( คลิปเรื่อง เด็กรีไซเคิล )



เอาล่ะ ท่านเห็นปฏิจจสมุปบาทมั้ย? หรือเห็นแต่เนื้อเรื่อง

ตอบตัวเองนะ ไม่ต้องตอบผมก็ได้

สังเกตมั้ยพอเราดูจริงๆ เราหลงเข้าไปในเรื่องเลย เราจะไปกับเรื่องเลย

เราไม่เห็นเลยว่า ไหนการกระทบ ไหนมันเป็นอะไร ยังไง แบบไหน ไม่เห็นเลย



ภาพของเด็กผู้หญิงกระทบตาเด็กผู้ชายเหมือนเดิม

นี่ผมอุตสาห์ใช้คำว่าภาพนะ

แต่ถ้าทะลุออกไปไปอีกชั้นนึงก็คือรูปหรือแสงที่เป็นความถี่มากระทบตา

แล้วก็มีการแปลค่าอยู่ที่เรตินา เลนส์อยู่ในตาเท่านั่นเอง

สรุปแล้ว ทั้งโลก ทั้งจักรวาล คน 7 พันล้านคน เด็กคนนี้ไม่ได้หลงผู้หญิงหรอก

เด็กคนนี้หลงแสง

เข้าใจที่พูดมั้ย?

เด็กคนนี้หลงแสงที่ตา นี่คือความจริง เหมือนถอนสมมติบัญญัติออกทั้งหมด

เข้าใจได้แค่ไหนผมไม่ทราบ

แต่ถ้าใครก็ตาม ที่ทะลุเข้าไปเรื่อยๆ จนถอนสมมติบัญญัติแบบนี้เนี่ย เค้าจะหลงโลกได้ยังไง

แล้วเค้าจะรู้สึก เบื่อหน่ายคลายความยึดถือทุกอย่างเลย นี่มันอะไรกันเนี่ย

นี่คือประตูที่จะออกจากโลกที่มีแต่ความหลอกลวง

แต่พูดให้ตาย มันก็... ก็เอาล่ะ อย่างน้อยก็ทำให้เข้าใจน่ะ ( หัวเราะหึ หึ )

ภาพของเด็กผู้หญิงกระทบตาเด็กผู้ชาย

เราเห็นแล้วว่ามันเห็นแค่แสง แต่เด็กนี่หลงมั้ยล่ะ?...หลงสิ

สร้างภพมั้ยเนี่ย?...สร้าง

อุปทานยึดมั้ย?...ยึดแน่นอน ลองมีคนมาจีบตัดหน้าสิ โกรธมั้ยล่ะ?...โกรธทันทีเลย

ไปตามสัญชาตญาณทันทีเลย

สัตว์โลกหลงสมมติหมด


แล้วก็บีบคั้นในใจให้กระทำกรรม

แล้วนี่ก็เห็นแล้วหรือยัง เมื่อเกิดเวทนา ความชอบ แล้วตัณหาผลักดัน มันหาเรื่องใส่ตัวละ

งานนี้มันหาเรื่องใส่ตัวละ

ถ้าสมมติเปลี่ยนเป็นโตหน่อย เป็นผู้ใหญ่

เปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่ มีภรรยาอยู่แล้ว มาเจอผู้หญิง แล้วชอบ.....

เอาซะหน่อยน่ะ คืออยากจะลองเรทติ้งหน่อย เช็คเรทติ้งตัวเองหน่อย

บีบคั้น เขียนโน้ตส่งไป

สมมติว่าจีบติดนะ     say yes กลับมา

ความสัมพันธ์เริ่มยาวออก พอยาวออก ตัณหาก็ผลักต่อ ไหนๆ ก็ประตูด่านแรกผ่านแล้ว

ผ่านด่านที่ 2 หน่อยนะ อีกนิดเดียวเดี๋ยวก็ไปหยุดด่านที่ 3 ก็แล้วกันนะ

จะได้เช็คเรทติ้งดูหน่อย   หลังจากนั้นทะลุด่านที่ 4 ด่านที่ 5 ทะลุหมดเลย

เรียบร้อยเลยทีนี้ ถอนไม่ออกละ จมเลย เนี่ยะ !!!

ทะลุไปเรื่อยอย่างเนี้ยะนะ เพราะถูกหลอก


ทุกข์มั้ยเนี่ย?...ทุกข์ ถูกหลอกหมด ฉาบทาเอาไว้ แล้วบอกว่าเป็นความสุข

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า วิปลาสแล้ว..... ได้ของทุกข์มา

เอ้า ! สมมติจีบติด เค้า say yes จีบติดด้วย โอ้ย! มีความสุข สุขตายล่ะทีนี้

ลองถามคนมีคู่สิ สุขจังตอนนี้ ( หัวเราะหึๆ )

นะ เอาล่ะก็พอสมควรนะ เอาแค่พอเป็นตัวอย่าง

[คลิปวีดีโอ] *จากโฆษณา “You can shine.” ของ Pantene



[หยุด คลิปวีดีโอ]

มีอารมณ์มั้ย? ไหลมั้ย? เห็นการกระทบ เห็นอะไรทำงานบ้างมั้ย?...(ส่ายหัว)...

ธรรมชาติของจิตจมลงไปเนื้อเรื่องนะ..... เราจะถูก ....

จริงๆ เราไม่ได้ถูกดูดหรอก (หัวเราะ) เราดูดมันเข้ามา... รู้ลมไว้ก่อน

ทำไมต้องรู้ลมรู้มั้ย?

เพราะท่านไม่มีบรรทัด

วั้นนี้ผมไม่ได้ว่าอะไรหรอก ธรรมชาติเนี่ย สู้กิเลสไม่ไหว

สิ่งที่ท่านได้ยินมา 3 วัน ต่อให้รู้จักมันด้วย แต่ท่านสู้มันไม่ได้

ถ้าเป็นนักมวยคือคนละชั้น

ตอนนี้  กิเลส ระดับอวิชชาที่เห็นอยู่เนี่ย ถ้าเปรียบเป็นไมค์  ไทสัน ท่านยังไม่ถึงพ้นประถม

เพราะฉะนั้นอย่างคิดต่อกรกับไมค์ ไทสัน

วันนี้พระพุทธเจ้าบอกเลยว่า มีอยู่แค่ 2 ทาง

ตัดอาหารอวิชชา ตัดอาหารไมค์ ไทสัน แล้วพัฒนาสติขึ้น 

เป็นทางเดียวที่จะโค่นไมค์ ไทสัน ในอนาคตได้ ไม่ใช่วันนี้

แต่ถ้าไม่เริ่มวันนี้ ท่านจะถูกลากไปตลอดหาที่จบไม่ได้

ทีนี้เปลี่ยนใหม่ ดูไปรู้ลมไป ดูซิจะเป็นยังไง ?

 [ต่อ คลิปวีดีโอ จนจบ]

[คลิปวีดีโอ] *จากโฆษณา “ขอโทษประเทศไทย”



[หยุด คลิปวีดีโอ]
ไหลมั้ย? ตอบตัวเอง... รู้ลมแล้วนะ
" อาจารย์ เอาไม่อยู่ "
ผมถึงบอกว่า นี่ขนาดตั้งรับนะ แล้วตอนไม่ตั้งรับจะเอามันอยู่หรอ?

นี่ตั้งรับสู้มันสุดๆ เลยนะเนี่ย ยังเห็นๆ เลยว่า โอ้โห! กำลังสู้มันไม่ได้แฮะ

อย่าไปดูเนื้อเรื่อง กลับมาที่นี่ (ใจ) การกระทบอยู่ที่นี่ อารมณ์อยู่ที่นี่

ถ้าจัดการตรงนี้ไม่ได้...มันไหลอยู่แล้ว ถ้าตั้งมั่นอยู่ไม่ได้...ไหลแน่นอน

ลมช่วยได้เป็นขณะ อย่างน้อยขณะที่รู้ลม...รู้เลยว่าเมื่อกี้ไหล
ขณะที่รู้ลม...รู้เลยเมื่อกี้ไหล

อย่างนี้ เริ่มต้นใช้ได้ละ ขณะที่รู้ลม...รู้เลยเมื่อกี้ไหล

แต่โอ้ยไม่อยากรู้ลมอ่ะ กำลังมันอยู่...ไอ้อย่างนี้โดนสังโยคะลากเข้าไป

โดนอัสสาทะ ความอร่อยในอารมณ์ ลากมันลากไปเลย

 กระชากเสาหลุดเลย คือถ้ากำลังเกาะเสาอยู่เนี่ย รู้ลม...

โอ้ย! มัยโว้ย เริ่มปล่อยเสาละ มันกระชากพรวดหลุดจากเสาเลย

เรียบร้อย มันเอาไปกิน ไม่มีอะไรเหลือ

เกาะเสาไว้  !!!

[ต่อ คลิปวีดีโอ จนจบ]  ก็ตรวจสอบตัวเองดูนะ

เพราะอันนี้ก็แค่เป็นบททดสอบก่อนที่พรุ่งนี้ท่านจะกลับบ้าน ยังมีข่าวอีกเยอะแยะ

ในทีวีที่ท่านจะต้องกลับไปดู ทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ

ยังมีละครที่กระชากท่านเข้าไปอยู่ในจอ ให้เสพติด

ยังมีงาน ยังมีการกระทบทางโทรศัพท์

ยังมีลูกมีสามีมีภรรยา ที่บอกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร นะ

เพราะฉะนั้นอารมณ์จะถูกกระชากแกว่งไปแกว่งมาทั้งวันทั้งคืน

สร้างนรก สร้างสวรรค์ สร้างสวรรค์ สร้างนรก กันไปตลอดเวลา

โอ๊ย! อย่างนี้ถ้ารู้ลมก็ดูไม่สนุกสิ?...(หัวเราะ) วั

วันนึงก็จะเข้าใจเองว่า สนุกมาจากไหน

เมื่อเห็นความจริงว่าสนุกมาจากไหน แล้วจะรู้เลยว่า เสียเวลาว่ะ!!

ทำไมวันนี้ท่านจึงไม่ไปเล่นเกมที่ลูกท่านเล่น?

ทำไมท่านถึงว่าลูกที่ลูกกำลังมันอยู่กับเกม?...

เพราะท่านเห็นมันไร้สาระ เสียเวลาไปชั่วโมงสองชั่วโมงมานั่งติดอยู่ได้ ไม่ต้องทำอะไรกัน

ทำไมท่านไม่ลงไปเล่น?...เพราะมันไร้สาระ

แต่ทำไมเด็กบอกมันเหลือเกิน?

ท่านเห็นแต่ลูก .....ท่านไม่เห็นตัวเอง

แล้วสิ่งที่ท่านหลงอยู่นักหนาล่ะ มีคนอีกชั้นนึงที่หันไปเห็นท่านแล้วบอกว่า ไร้สาระ

แล้วคนนั้น เมื่อขยับขึ้นไปอีกชั้นนึงก็จะเห็นว่าอีกคนนึง ไร้สาระ

คนสุดท้ายที่จะพูดก็คือ พระอรหันต์ แล้วก็พ้นไปเลย

โลกนี้มีแต่ของหลอกลวง มีแต่ของเปล่าๆ ปลี้มๆ

มีแต่ของที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หาความจริงแทบจะไม่เจอเลย

วิ่งไล่หาความสุขแปบเดียวดับแล้ว ต้องวิ่งไล่หาตัวใหม่เข้ามาอีก แล้วเดี๋ยวมันก็หายไปอีก

ลองฟังความจริงดู


[เสียงจากคลิป]
ความรู้สึก ที่ถึงกับทำให้ออกผนวช
ภิกษุ ทั้งหลาย !  ในโลกนี้ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่
    ตนเองมีความเกิด เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง,
    ตนเองมีความแก่ เป็นธรรมดาอยู่แล้วก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง,
    ตนเองมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง,
    ตนเองมีความตาย เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความตายเป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง,
    ตนเองมีความโศก เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความโศกเป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง,
    ตนเองมีความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง อีก.
ภิกษุ ทั้งหลาย ! ก็อะไรเล่า เป็นสิ่งที่มีความเกิด (เป็นต้น) ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้าน (เป็นที่สุด) เป็นธรรมดา? 
ภิกษุ ทั้งหลาย !
    บุตรและภรรยา มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา.
    ทาสหญิงทาสชาย มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา.
    แพะ แกะ มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา.
    ไก่ สุกร มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา.
    ช้าง โค ม้า ลา มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา.
    ทองและเงิน เป็นสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา. 
    สิ่งที่มนุษย์เข้าไปเทิดทูนเอาไว้ เหล่านี้แลที่ชื่อว่าสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา ซึ่งคนในโลกนี้ พากันจมติดอยู่ พากันมัวเมาอยู่ พากันสยบอยู่ ในสิ่งเหล่านี้ จึงทำให้ตนทั้งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่เองแล้ว ก็ยังมัวหลงแสวงหาสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ ที่มีความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดา อยู่นั่นเอง อีก.
ภิกษุ ท. ! 
    ความคิดอันนี้ ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "ทำไมหนอ เราซึ่งมีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่เองแล้ว จะต้องไปมัวแสวงหาสิ่งที่มีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดาอยู่อีก. ไฉนหนอ เราผู้มีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้าน เป็นธรรมดาอยู่เองแล้ว ครั้งได้รู้สึกถึงโทษอันต่ำทรามของการมีความเกิด ฯลฯ ความเศร้าหมองโดยรอบด้านเป็นธรรมดานี้แล้ว เราพึงแสวงหา นิพพาน อันไม่มีความเกิด อันเป็นธรรมที่เกษมจากเครื่องร้อยรัด ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่าเถิด". 
ภิกษุ ท. ! 
เรานั้นโดยสมัยอื่นอีก ยังหนุ่มเทียว เกสายังดำจัด บริบูรณ์ด้วยความหนุ่มที่กำลังเจริญ ยังอยู่ในปฐมวัย, เมื่อมารดาบิดาไม่ปรารถนาด้วย กำลังพากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่, เราได้ปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว. 
ภารทวาชะ ! 
    ในโลกนี้ ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ความคิดนี้เกิดมีแก่เรา ว่า "ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี, ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสว่าง; ผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้ว, โดยง่าย นั้นไม่ได้. ถ้าไฉนเราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้าย้อมฝาดออกจากเรือน บวชเป็นผู้ไม่มีประโยชน์เกี่ยวข้องด้วยเรือน เถิด" ดังนี้.... 

[จบเสียงจากคลิป]

ก็คงไม่มีอะไรต้องอธิบาย

พระองค์เห็นความจริงไปก่อนแล้ว เรามีความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา

ที่เราบอก เราก็ไปแสวงหาสิ่งเหล่านั้นเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ

มีแต่ของเกิดขึ้นดับไป แล้วก็ยึดถือสิ่งที่ไม่มีความมั่นคงเลย ไม่มีตัวตนที่แท้จริง

ไล่ล่า.....ขอเพียงเวทนา สุขเวทนาที่กิดขึ้นในใจชั่วครั้งชั่วคราว

....................................
หลับตารู้ลมซัก 5 นาที... (นั่งสมาธิ   เวลาผ่านไป) ..........สมควรครับ

เดี๋ยวเรากราบซักครั้งนึง สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังมา เพราะปัญญาการตรัสรู้ของท่าน


อ่ะ กราบกันเอง กราบพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ กราบนะครับ



( เปลี่ยนรูป )  แล้วถ้าผมให้ท่านกราบตอนนี้ท่านจะกราบมั้ย? 



กราบไม่ลงแล้ว !!

เมื่อกี้ท่านกราบอะไร?

เมื่อกี้กราบอะไร?...กราบจอ ภาพ หรืออะไร?

นี่ก็ภาพ (ไก่ย่าง) อยู่ที่เดิม

การปรุงแต่งในใจเปลี่ยนไป ตลอดเวลาที่ท่านกราบ ท่านกราบอะไร? เห็นมั้ยเนี่ย?

เรานึกว่าเรากราบพระพุทธรูป

ซึ่งสิ่งเหล่านั้นถูกแปลค่าเข้าไปข้างใน แล้วเรากราบความรู้สึกของเราเอง

ภาพนี้ถูกแปลค่าใหม่ในใจของเท่าน ท่านกราบมันไม่ลง ทั้งๆ ที่เป็นแสงเหมือนกัน

ธรรมารมณ์นี้ มีอยู่โดยธรรมชาติ ไม่ใช่ปฏิบัติตามมรรคแล้วสิ่งนี้(ธรรมารมณ์) จะหายไป

กาย เวทนา จิต ธรรม จึงยังอยู่ 

ถึงแม้ว่าจะถอนสมมติบัญญัติจนเข้าไปถึงความจริงก็ตาม

แต่ในพระอรหันต์ ธรรมารมณ์ยังอยู่

หากใครบอกว่า กราบพระอิฐพระปูน จะไปกราบทำไม?

เค้าไม่เห็นสิ่งนี้ เค้ายังเห็นสมมติบัญญัติที่เป็นอิฐเป็นปูนอยู่เลย

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการระลึกขึ้นข้างใน ภาพเมื่อกี้ทำให้ระลึกขึ้นข้างใน

ท่านกราบพระพุทธเจ้าในใจท่านนะ

ไม่งั้นท่านก็กราบนี่ (รูปไก่ย่าง) ได้เหมือนกัน แต่ท่านไม่กราบ

เพราะนี่คือสิ่งเดียวกัน แสงกระทบมาที่จอ

โลกนี้ มีแต่สมมติ เราทั้งโลกหลงสมมติ

(ภาพบนจอเปลียนเป็นภาพดอกบัว)

ตอนนี้มันกลายเป็นดอกบัวไปแล้ว... รู้ลมไว้!!

เข้าใจได้ แต่เหมือนจะไม่เข้าใจ มันเหมือนมีอะไรขวางอยู่ มันเหมือนไปไม่ได้

นี่คอร์สเข้ม แล้วจะเดี๋ยวว่าไม่เข้ม (หัวเราะ) เนี่ยอะเข้ม

ถอนสมมติบัญญัติได้ก็จบ แต่ก็ยังไม่จบอีก ยังมีอีกหลายช่วงเหมือนกัน

อย่าไปสับสนว่ายากไม่ยาก ไม่ใช่เรื่องต้องคิดเลย เจริญมรรคไว้แล้วกัน

มันต้องเห็นอย่างนี้หรอ?...ไม่จำเป็น

เห็นมุมอื่นก็ได้ นี่ชี้มุมง่ายๆ ที่สามารถสื่อได้

ไม่เห็นเลยได้มั้ย?...ได้ ยายยิ้มก็ไม่เห็นอย่างนี้เลย แล้วเธอก็เดินทางไปได้เรื่อยๆ

เนกขัมมะไว้

มีศีลมีธรรมไว้

เจริญภาวนาไว้

ชำระอกุศลไว้

แล้วก็เห็นความจริงไปเรื่อยๆ

ถอดถอนความเห็นแก่ตัว

การปฏิบัติธรรมนี้ก็แปลกอย่าง

บางคนถนัดเห็นความเคลื่อนไหวของนามธรรม

บางคนถนัดเห็นความเคลื่อนไหวของกาย แล้วก็ไปเข้าใจนามธรรม

บางคนถนัดเห็นนามธรรม แล้วก็ไปเข้าใจกาย

มันคล้ายๆ การบิดผ้าให้แห้งเวลาท่านซักผ้า

เวลาท่านบิดผ้าให้แห้ง แล้วท่านก็บิด จับมือเดียวบิดได้มั้ย?...ได้

จับมือนี้ก็ได้ ผ้าแห้งเหมือนกัน

ถ้ามือซ้ายเรียกกาย มือขวาเรียกใจ

น่าแปลกคือ บิดมาทางไหน ไปโดนอีกทางนึง แล้วก็ผ้าแห้งเหมือนกัน

จริตของคนจึงมีมากมาย บางคนถนัดกาย บางคนถนัดจิต

บางคนกลางๆ บางคนเอียงๆ บางคนอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้

เพราะฉะนั้นรู้จักมรรคเอาไว้ เจริญตามที่พระพุทธเจ้าบอก เข้าใจตัวเองไปเรื่อยๆ

แล้วเดี๋ยววันนึงก็จะถอดถอน เพราะความเป็นตัวเองนี้แหล่ะที่ทำให้ทุกข์

วันนี้ทำไมนั่งแล้วอึดอัด

ทำไมนั่งแล้วถึงเป็นทุกข์ ไหนว่าเป็นเพียรเพ่งเผากิเลส

เผากิเลสทำไมใจเราจึงเป็นทุกข์

ทำไมเราถึงเป็นทุกข์ เพราะเรายังยึดถือกายกับใจนี้ไง เราถึงยังทุกข์

ถ้าไม่มีคนยึดถือมันก็นั่งอยู่ของมันอย่างนั้นแหล่ะ

นั่งตรงนี้กับนั่งในห้องมันต่างกันตรงไหนล่ะ?...ไม่ต่าง

แต่เรารู้สึกปรุงสิ่งแวดล้อมขึ้นมา

นั่งในบ้านกับนั่งในรถ ตอนที่รถติด ท่านปรุงความรถติด ท่านปรุงสภาพในรถขึ้นมา

แต่ถ้าท่านอยู่ที่บ้าน ท่านนั่นก็นั่งเหมือนกัน ก้นก็ถูกเบาะ หลังก็ถูกเบาะ ขาก็ถูกพื้น

เท่ากันเลย  สัมผัสเนี่ย

เอ้า! แต่มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง มันคนละที่?

ถอนสมมติบัญญัติออกก่อน

พระพุทธเจ้าถึงบอก พระอริยบุคคลเห็นทั้งสองตา ปุถุชนถูกบังคับให้เห็นตาเดียว

ถ้าท่านนั่งรถไปต่างจังหวัดรู้สึกเพลียเหลือเกิน เหนื่อยจังเลย เมื่อไหร่มันจะถึงซักที

ท่านจะเครียดจะเหนื่อยเป็นทุกข์มากกับการนั่งรถ

แต่ถ้ามีใครซักคนนึงขณะที่เค้านั่งรถปั๊บ ถอนบัญญัติออก ตูดถูกพื้น ขาถูกพื้นหลัง หลังถูกเบาะ

โห! เมื่อไหร่จะถึงบ้าน ถึงบ้าน... ลองถามตัวเองว่าถึงบ้านแล้วจะทำอะไร?

โอ้ย! จะได้ไปนั่งพักที่โซฟา...

อืม! โอเคเข้าใจได้ ถึงบ้านละ แล้วก็ไปนั่งพักที่โซฟา แล้วโซฟาท่านเป็นไง

ตูดก็ถูกเบาะ หลังก็ถูกเบาะ เท้าก็ถูกพื้น แล้วต่างอะไรกับตอนนี้

เราหลงสมมติหมดนะ แล้วเราก็สร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นเป็นแรงเสียดทาน

"จะไปเหมือนกันได้ยังไง?  เพราะธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นมันต่างกัน" ....ถูกต้อง

ถ้างั้นอาจารย์พูดอย่างนี้ก็แปลว่า นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมลกับนั่งอยู่ที่ริมน้ำตกเหมือนกันสิ?...

ไม่เหมือน แต่จะทำให้เหมือนก็ได้ ถ้าถึงเวลาที่มันจำเป็นต้องนั่ง

แต่ถ้าเลือกได้ก็คงไม่เลือก เลือกได้ก็คงเลือกน้ำตก

แต่ถ้าเลือกไม่ได้ ไม่ต้องทุกข์กับมันก็ได้ จะนั่งตรงนั้นก็ไม่ทุกข์อยู่แล้ว

หรือว่าจะเข้าเซฟเฮ้าส์ซักนิดนึงก็ได้ ว่างไปเลย

ก็ทำไมจะไม่ว่าง

ก็มีแต่สัมผัส

ก็จบที่อายตนะเลย

ก็มีแต่โผฏฐัพพะ

ก้น ก้นก็เรียกเอง ก็ไม่ใช่ก้นซะหน่อย

ตั้งแต่เนี่ยะ (ชี้ปลายนิ้วไล่ลงมาข้อศอกแล้วไปตลอดแขน)  ไล่มาถึงเนี่ยะ

ไอ้นี่ข้อศอก ใครบอกอะ? ใครบอกมันชื่อศอก? ใครบอกมันชื่อศอก?

ตั้งแต่เนี่ยะ (ชี้ปลายนิ้ว) อันนี้นิ้วหรอ? ไล่ลงมาเนี่ยะ (ไล่ลงมาข้อศอกแล้วไปตลอดแขน)

มีตรงไหนเป็นศอก  เป็นนิ้ว? ถามมันสิ !!

เอ้ย! สอนอย่างนี้ บ้าหรือเปล่าเนี่ยะ?

ถอดออกเป็นชั้นๆ สิ แล้วค่อยใส่กลับเข้าไป

ตกลงอิริยาบถมีมั้ยเนี่ย?

ก็ลองถอดอิริยาบถออกสิ ก็เห็นแต่กายเคลื่อน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

แล้วก็เรียกว่า ยืน เดิน นั่ง นอน

กลางวัน   กลางคืน  ตกลงมีมั้ยเนี่ย?...เราเรียกมันเอง

โลกมันหมุนไปเรื่อยๆ มันเคยหยุดที่ไหนอ่ะ

พอมีเงามากระทบ มันมืดเราบอกกลางคืน

 พอแสงมาเรียกกลางวัน แล้วตีค่าคือหนึ่งวัน...ถอนออกสิ!!

พอ 50 กว่า 60 กว่า ปั๊บบอก แก่เลย... ไม่ !!

มันแก่ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่แล้ว มันเริ่มแก่มาเรื่อยเลย

ไม่ใช่มาแก่ตอน 50 แก่ตั้งแต่คลอดนั่นน่ะ ....แก่เลย

พอตายแล้วก็เน่า... เน่าตั้งแต่ตอนนี้แล้ว

ติดหมด ถ้าพูดแบบนี้ บ้าแล้วนะ!... บ้าแน่

แต่พอถอนออกหมด พอใส่กลับเข้าไป หมดความหลงเลย

แต่ใครจะอยากอยู่ตรงนั้นก็ได้ ถ้าจะเดินเข้าไปที่นั่นก็ได้ หรือจะเดินออกมาก็ได้

ถ้าเนื้อเรื่องมันชวนเวียนหัวเหลือเกิน ก็เข้าไปอยู่ในว่างไปเลย จะดูให้มันทะลุเลยก็ได้

เห็นนายแบบสุดหล่อเดินผ่านมาปั๊บ.....พลั้วะๆ

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าโสดาบันเป็นผู้เห็นของงามเป็นของไม่งาม ของไม่งามเป็นของงาม

เห็นนายแบบสุดหล่อเดินมามองทะลุพรวด แยกออกหมดเลย มีแต่ปฏิกูล

พอเห็นปฏิกูล โอ้โห! งามจริงๆ แสดงความเป็นอนิจจัง

เห็นศพบอกว่างามสุดๆ นี่ดอกไม้งามเลยของพระอริยะ ดอกไม้งามเลย

ท่านพุทธทาสบอก ดูศพเนี่ย ดอกไม้งาม ดอกไม้นี่งามจริง

มันแสดงความเป็นอนิจจังจริงๆ ไม่ต้องมาปิดบังอะไรกันอีก

เวลาเห็นคนสวยๆ งามๆ มันโดนปิดหมด พอถลก พอตายเนี่ย โอ้โหไม่ปิดเลย

เห็นความเป็นอนิจจังสดๆ แบบงามๆ มาเลย

เห็นของปฏิกูลเป็นของงดงามเลย เพราะมันเป็นปฏิกูลของคนในโลก

แต่เป็นของงดงามที่แสดงเป็นอนิจจังอย่างชัดเจน หมดความยึดถือกันไปเลย

โอ่ย! อย่างนี้ชีวิตก็หาความสุขไม่ได้สิ ทำอย่างนี้หาความสุขไม่ได้แล้ว?...

ขอโทษ ถ้าใครเห็นความจริงอย่างนี้ๆ อย่างนี้ๆ อย่างนี้ๆ เข้าไปถอดจนหมดเนี่ย

วันที่เค้าเห็นความจริงแล้วเค้าปล่อยเนี่ย หมดความยึดถือเนี่ย 

ตอนนั้นล่ะที่สุขไม่มีอะไรเหมือน

วันนี้ได้ของมานึกว่าสุข แต่พอปล่อยทุกอย่างพลั้วะ

เพราะเข้าใจความจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเมื่อกี้เนี่ย

ความรู้สึกที่ทำให้ออกผนวชนั้นแหล่ะ คือเห็นทุกข์อย่างมีแต่ของหลอกลวงหมดเลย

พอเห็นความจริงก็จึงเข้าใจ เข้าใจก็วางลง เพราะวางก็อยู่กับสิ่งเหล่านั้นแบบเข้าใจ

วันไหนก็ตามที่เราเข้าใจสิ่งเหล่านั้นแล้ว แล้วไม่ติดมันเนี่ย

เราจะเบิกบาน เราจะเบิกบาน

หันไปทางไหนที่เคยติดเคยยึด หันไปแล้วไม่มีอะไรเป็นสาระแก่นสาร

ที่จะดึงให้เราเป็นสุขเป็นทุกข์กับมันอีก เราจะเบิกบาน

คนนั้นที่เค้าตื่น เค้ารู้หมดแล้ว เค้าตื่น แล้วเค้าจะเบิกบาน

นี่คือที่มาของคำว่า พุทธะ

โลกหลอกไม่ได้อีกแล้ว

ถลกเปลือกจนหมดแล้ว

ไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้ว

แล้วจะอยู่ติดโลกไปได้ยังไง

ก็คือตรงนั้นล่ะที่เรียกว่า นิพพาน

อ่ะ เดี๋ยวเราเบรกซัก 15 นาที นะครับ กราบพระแล้วเดี๋ยวกลับเข้ามาอีกครั้งนึง


จบการบรรยายตอนที่ 10
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 9 ปฏิจจสมุปบาท                           ตอนที่ 11  ปฏิจจสมุปบาท(ผาซ่อนแก้ว)


กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ

- ด้วยจิตคารวะ -


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น