ถอดคำบรรยาย:
คอร์ส “มัคคานุคาเข้มระดับ 2” เรื่อง พังประตูคุก
ตอนที่ 11 “ปฏิจจสมุปบาท” (ยุวพุทธฯ ร่วมมือกับผาซ่อนแก้ว)
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
ณ สวนธรรมศรีปทุม
ตอนที่ 11 “ปฏิจจสมุปบาท” (ยุวพุทธฯ ร่วมมือกับผาซ่อนแก้ว)
บรรยายโดย อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม
ระหว่างวันที่ 25 – 29 มิถุนายน 2556
ณ สวนธรรมศรีปทุม
ผมว่าน่าจะเข้าใจได้ล่ะนะ แต่อาจจะเข้าไม่ถึงแบบรู้แจ้ง แต่จินตนาการได้ละ
ถ้าผมพูด แล้วเห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นทุกอย่างที่ผมพูด ท่านคิดว่าสอดรับกับคำนี้หมดเลยมั้ยเนีย?
เกิดเป็นกาย แล้วก็มีสภาพปรุงแต่ง แล้วก็รับรู้ความรู้สึก
มีธรรมชาตินึงที่เข้าไปยึดถือแล้วสร้างความเป็นตัวตน ลมๆ แล้งๆ ในขันธ์ 5 นี้ ขึ้นมาเอง
แต่มันอาจจะอดสงสัยไม่ได้ แล้วเราไปยึดมันได้ยังไง? (หัวเราะ)
แล้ว เรา ไป ยึด มัน ได้ยังไง?
อ่ะ! เปลี่ยนคำอีกหน่อย... แล้วจิตไปยึดมันได้ยังไง?
ถ้าอย่างนี้ตอบง่ายละ... ง่ายมั้ย ไม่รู้!
(เสียงนาฬิกาตีบอกเวลา)
เสียงกระทบ ถ้าได้ยินเฉยๆ สักแต่ได้ยิน มันก็ไม่เกิดอารมณ์
แต่ถ้ารู้สึกว่ามันมาขวางเวลาที่มันกำลังพูด มันก็เกิดอารมณ์
ถ้ารู้สึก โอ้โห! 3 ทุ่มแล้วหรอนี่ มิน่า... ง่วงเลย พอตีเป๊งงง !! ง่วงเลย (หัวเราะ)
บางทีเราง่วงเพราะการปรุงแต่นี่แหละ
[คลิป: ปฏิจจสมุปบาท-ผาซ่อนแก้ว]
[เสียงบรรยายจากคลิป]
ความจริงไม่มีใครทุกข์
พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส แห่ง พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว
"ความทุกข์มาจากไหน...?"
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ที่มาของความทุกข์ จึงคิดว่าทุกข์มาจากผู้อื่นกระทำ บางคนก็คิดว่า ทุกข์มาจากเราทำเอง
"ทุกข์มาจากความไม่รู้ ตามความเป็นจริง"
"ชีวิตคืออะไร..?"
หากเรารู้ว่าชีวิตคืออะไร? เราจะปฏิบัติต่อชีวิตอย่างถูกวิธี
ความจริงในธรรมชาติของจักรวาล มีแค่รูปและนาม เพราะรูปคือมวลสารต่างๆ ที่หมุนรอบตัวเองในที่ว่าง จึงเกิดสนามพลังของนามธรรม อยู่รอบรูปธรรมนั้น สมมุติเรียกว่า "จิต" คือธรรมชาติแห่งการรับรู้
เพราะธาตุต่างๆ ที่รวมตัวอยู่ด้วยกันไม่คงที่ ความรับรู้ที่เกิดขึ้นในช่องว่าง รู้สึกถึงการจะแตกสลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเติมเต็ม (โลภะ)
เกิดความรู้สึกขัดขวาง (โทสะ)
เกิดความไม่รู้ที่แฝงตัวมา (โมหะ)
เมื่อมันมาก่อตัวกันเข้า เป็นโครงสร้างของรหัสดีเอ็นเอ ที่จะสมานตัวให้ทรงตัวอยู่ได้ จึงพยายามที่จะรักษาสถานภาพนั้น ด้วยการแสวงหาสิ่งที่จะมาเติมเต็ม แก้ปัญหาความพร่องของธาตุสี่ เกิดสภาวะการดิ้นรนของนามธรรม ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้
สิ่งทั้งหลายไม่มีอยู่โดยตัวของมันเอง ไม่มีความคงที่อยู่อย่างเดิม แม้แต่ขณะเดียว จึงเป็นสภาวะที่พร้อมจะก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ไม่รู้เท่าทัน
(ปฏิจจสมุปบาท)
สิ่งต่างไม่มีตัวตนด้วยตนเอง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (อวิชชา)
เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงเกิดความคิดปรุงแต่ง (สังขาร)
เพราะเกิดความคิดปรุงแต่ง จึงรับรู้ถึงความรู้สึก (วิญญาณ)
เพราะการรับรู้ถึงความคิดนั้น จึงส่งผลถึงอารมณ์และบุคลิกภาพ (นามรูป)
บุคลิกภาพนั้น ส่งต่อให้เครื่องมือการรับรู้ทำงาน (สฬายตนะ)
เพราะการรับรู้ทำงาน จึงเกิดการกระทบระหว่างภายในภายนอก (ผัสสะ)
เพราะการกระทบ จึงทำให้เกิดอารมณ์สุข-ทุกข์ และเฉยๆ (เวทนา)
อารมณ์ที่สุขก็อยากได้ อารมณ์ที่ทุกข์ก็อยากผลักไส (ตัณหา)
เพราะความอยาก จึงเข้าไปยึดกับสิ่งที่ต้องการ (อุปาทาน)
เพราะยึดกับสิ่งที่ต้องการ จึงลงมือก่อพฤติกรรม (ภพ)
เมื่อก่อพฤติกรรมดีหรือเลว จึงเกิดคำว่า “เราดีหรือเลว” ขึ้นในใจ (ชาติ)
แต่สิ่งเหล่านั้นก็เสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย (ชรา มรณะ)
แต่เพราะความไม่รู้ก็หลงปรุงแต่ง แสวงหาสิ่งเหล่านั้น วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า (อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ)
*๑๒ อาการแห่งทุกข์ ที่คนส่วนใหญ่ยังยึดติด ยังหาทางออกไม่พบ และประสบกับปัญหาเพิ่มขึ้น ความไม่เข้าใจเหตุปัจจัย ที่เป็นองค์ประกอบในสายใยของธรรมชาติ
หากเข้าใจ ปฏิจจสมุปบาท จะไม่สงสัยต่ออดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่าเรามีหรือไม่อย่างไร
เพราะสิ่งต่างๆ อาศัยสิ่งอื่นๆ เกิดขึ้น จึงคงที่อยู่ไม่ได้ เรียกว่า "ทุกขลักษณะ" แต่ไม่มีผู้ทุกข์ (ความสุขมีอยู่ก่อนแล้ว)
การเคลื่อนไหวในกระแสของธรรมชาตินั้น มีความสัมพันธ์ส่งผลต่อกันอย่างละเอียดซับซ้อน ด้วยปัจจัยอันหลากหลาย กระทบกระทั่งเชื่อมต่อกันเป็นแพรัศมี สู่ผลอันหลากหลาย
"ผลอันหลากหลาย เกิดจากเหตุปัจจัยอันหลากหลาย" พุทธพจน์
เมื่อมีสติตามสังเกตการทำงานของกายและใจ จะสามารถใช้เหตุปัจจัยอย่างถูกวิธี
(วิสุทธิ ๗)
เพราะไม่มีใครหนีผัสสะทางอายตนะต่างๆ ได้ เมื่อเกิดการกระทบรู้เท่าทัน ใจก็ปกติ เรียกว่า "สีลวิสุทธิ"
จิตจึงตั้งมั่นไม่ถูกครอบงำด้วยอกุศลเรียกว่า "จิตตวิสุทธิ"
จึงเกิดความเห็นถูกของรูปนามตามความเป็นจริง เรียกว่า "ทิฏฐิวิสุทธิ"
และเห็นปัจจัยของรูปและนาม จนหายสงสัย เรียกว่า "กังขาวิตรณวิสุทธิ"
สามารถเลือกมุมมองอย่างถูกวิธี ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับรูปและนาม เรียกว่า "มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ"
เห็นลักษณะความเกิดดับในขันธ์ ๕ ยอมรับความเป็นจริงด้วยใจเป็นกลาง เรียกว่า "ปฏิปทาญาณทัสสวิสุทธิ"
จิตจึงไม่ปนเปื้อนด้วยตัณหาและการหลงคิดปรุงแต่ง ทวนเข้าสู่กระแสธรรมชาติเดิมที่บริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว คือความสุขหรือพระนิพพาน เรียกว่า "ญาณทัสสนวิสุทธิ"
เพราะสิ่งต่างๆ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น หากผู้ขาดปัญญาไม่รู้ ก็หลงผิดสร้างเหตุปัจจัยแห่งความทุกข์
(ได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ คือ ทุกข์ใจ - เสียในสิ่งที่ไม่ควรเสีย คือ สันติสุข)
หากผู้มีสติปัญญารู้ จึงเลือกสร้างเหตุปัจจัยแห่งความสุข....
[จบ เสียงบรรยายจากคลิป]
กราบคารวะธรรมนะครับ พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส
VDO ชุดนี้เค้าทำสนับสนุนการผลิตโดยยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ทำในโอกาสครอบ 60 ปี ของยุวพุทธฯ
ผมก็พูดเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทชุดนี้มาหลายครั้งเหมือนกันนะ
เพราะไม่อยากจะปล่อยให้ผลงานของท่านผ่านไปเฉยๆ
เพราะว่า ยอมรับมั้ยว่าเราดูเนี่ย เราเข้าใจได้ยากมากนะ หรือว่าอาจจะต้องใช้คำว่า ไม่รู้เรื่อง ก็ได้
นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นในทุกคนที่นั่งดูชุดนี้
ถ้าปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ โดยไม่มีการสาธยาย
ก็จะคล้ายๆ คำของพระพุทธเจ้าที่ผ่านไปโดยผู้คนทั้งหลายไม่ได้ประโยชน์ น่ะ
แต่เมื่อนำมาสาธยายก็พอจะได้เห็นมุมมอง ได้เข้าใจนะ ในสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น
สาธยายท่านเยอะๆ ก็เดือนหน้า วันที่เท่าไหร่น่ะ? 28 หรอ, 28 กรกฎาฯ วันอาทิตย์
ก็ถือโอกาสเชิญชวนเลยนะครับ
28 กรกฎาฯ นะ ชมรมกัลยาณธรรม จัด 8 โมงครึ่ง ถึง 10 โมง ผมขึ้นบรรยาย
จากนั้น 10 โมง ถึง 11โมง พระอาจาย์อำนาจ โอภาโส
13.00 น. หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แล้วปิดท้ายด้วยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโร
ผมว่า วันนั้น วีคแตก ผมว่าราชมงคล วีคแตก
28 กรกฎาฯ นะ ชมรมกัลยาณธรรม จัด 8 โมงครึ่ง ถึง 10 โมง ผมขึ้นบรรยาย
จากนั้น 10 โมง ถึง 11โมง พระอาจาย์อำนาจ โอภาโส
13.00 น. หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
แล้วปิดท้ายด้วยพระอาจารย์ไพศาล วิสาโร
ผมว่า วันนั้น วีคแตก ผมว่าราชมงคล วีคแตก
5,000 คน คงจะแน่นเอี้ยด วันนั้นผมคงจะพูดเรื่องง่ายๆ ก่อน (หัวเราะ)
ปล่อยให้เรื่องยากๆ ให้ครูบาอาจารย์จัดการไปแล้วกัน
แต่ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนถ้าไปนั่งอยู่ตรงนั้น น่าจะเข้าใจได้ทุกองค์ ถ้าถึงตรงนี้แล้วนะ
เข้าใจได้ทุกองค์ เราจะกลับมาดูกันอีกซักรอบนึงนะ
เริ่มต้นก็ตรงนี้เลยน่ะ ปฏิจจสมุปบาท... ความจริงไม่มีใครทุกข์ เลย
มีแต่วงจร มีแต่สิ่งที่เป็นปัจจัยแล้วก็เกิดขึ้นตามๆ กันมา
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "อิทัปปัจจยตา" นะ เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นะ
ในปฏิจจสมุปบาทเราก็รู้สึกคล้ายๆ กัน... อวิชชาปัจจะยา สังขารา, สังขาระปัจจะยา วิญญานัง...
สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น... เหมือนกันเลย นะ
แล้วก็ สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงเกิดขึ้น, วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงเกิดขึ้น... อย่างนี้แหละ
เอ๊ะ! ก็เหมือนกับอิทัปปัจจยตา นะสิ?...มีความเหมือนกันมาก ก็ตัวเดียวกันนั่นแหล่ะ
แต่อิทัปปัจจยตาใช้อธิบายรูปนามทั้งจักรวาล
จะมีวิญญาณครองสิงหรือไม่มีวิญญาณครองสิง หรือ มีวิญญาณครองสิงแต่ไม่มีเวทนา
แต่ปฏิจจสมุปบาทมุ่งเน้นที่มีเวทนา
สัตว์โลกทั้งหลายที่มีเวทนา จะอยู่ภายใต้ปฏิจจสมุปบาท
ดังนั้นในวงจรที่เราดู รีเบคก้าเมื่อกี้ ไม่มีตัวรีเบคก้านะ รีเบคก้าเป็นของเปล่าๆ ปลี้ๆ
เป็นของสมมติบัญญัติที่ไปแปะเรียกชื่อขันธ์ในช่วงเวลานั้นเฉยๆ
แล้วไม่ใช่แต่ รีเบคก้า ปุ๊ก แป๋ม ทุกคน แค่นั้นเอง
มีแต่ขันธ์ที่สืบเนื่องมาจากกรรมเก่า มีธรรมชาติที่รับรู้ความรู้สึกได้ เกิดเป็นอารมณ์ได้
มีไปแปะชื่อเอาไว้เฉยๆ ลมๆ แล้งๆ มีชื่อย่างนั้นๆ มีโคตรอย่างนั้นๆ
นี่คือเหตุผลทำไมที่พระสารีบุตรทูลพระพุทธเจ้าอย่างนี้ แล้วพระพุทธเจ้าก็ตอบพระสารีบุตรอย่างนั้นด้วย
ใช่! เราก็เรียกผู้ที่มีชื่ออย่างนั้นๆ มีโคตรอย่างนั้นๆ ที่กำลังเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ว่าเป็นพระโสดาบัน
คำพูดของท่านทั้ง 2 ท่านที่เป็นพระอรหันต์
ไม่มีใครมีตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ในขันธ์นี้เลย ท่านเห็นความจริงจนหมดแล้ว
ถอดเปลือกจนหมดแล้ว แต่จะพูดที่เปลือกก็ได้ จะพูดที่ไม่เปลือกก็ได้ เห็นหมดแล้วก็ไม่ติดแล้ว
แต่เวลาใช้คำพูด เนื่องจากต้องสื่อสารต่อออกไป ก็ต้องพูดให้เข้าใจ ให้คนอื่นเข้าใจด้วยว่า มันไม่มีตัวตน
ไม่อย่างนั้นถ้าเรียกพระสารีบุตรนานๆ พระสารีบุตรก็จะเป็นตัวตน
ในผู้คน พระสารีบุตรก็เป็นคน เป็นองค์ เป็นพระสารีบุตรขึ้นมาในใจของทุกคน
แต่เวลาของจริงจะมีหรือไม่มีก็ว่ากันไป
ความจริงไม่มีใครทุกข์... โห! นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเอง
[คลิป VDO] ทุกข์มาจากไหน? คนส่วนใหญ่ไม่รู้ที่มาของความทุกข์ จึงคิดว่าทุกข์มาจากผู้อื่นกระทำ
อันนี้ปุถุชนเลย ก่อนท่านเข้ามาท่านก็รู้สึกอย่างนี้อ่ะ ตอนนี้ก็ยังรู้สึก
[คลิป VDO] ทุกข์มาจากไหน? บางคนก็คิดว่า ทุกข์มาจากเราทำเอง
วันที่ผมเล่าให้ท่านฟัง วันที่ผมกราบพระแล้วรู้สึก ทุกข์มาจากเราทำเอง
ไอ้นั่นขยับเข้ามาอีกนิดนึง แต่ก็ยังไม่เห็นจริง
[คลิป VDO] ทุกข์มาจากไหน? ทุกข์มาจากความไม่รู้
จริงๆ ทุกข์มาจากนี่ มาจากความไม่รู้ ที่เรียกว่า อวิชชา นั่นแหล่ะ ไม่รู้อะไรหรอ?...ไม่รู้อริยสัจ
มันไม่เคยรู้มาก่อนว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์
แล้วมันแปลกคือมันไม่ได้มีตัวตนด้วย
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? หากเรารู้ว่าชีวิตคืออะไร? เราจะปฏิบัติต่อชีวิตอย่างถูกวิธี
วันนี้เรารู้มั้ยว่าชีวิตคืออะไร?...ไม่รู้หรอก เพราะเราคิดว่า เรามีชีวิต
หากเรารู้ว่าชีวิตคืออะไร ที่พระกอบขึ้นด้วยรูปและนาม
แล้วสามารถรับรู้ความรู้สึกได้จากสิ่งที่กระทำมาจากอดีต
จึงก่อให้เกิดเป็นชีวิตด้วยอาหาร 4 อย่าง ไม่มีเราอยู่ในนั้นเลย
ถ้าวันไหนที่เราอย่างนี้ เราไม่มีทางทุกข์ เพราะมันไม่มีเรา
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? ความจริงในธรรมชาติของจักรวาล มีแค่รูปและนาม
เพราะรูปคือมวลสารต่างๆ ที่หมุนรอบตัวเองในที่ว่าง
จึงเกิดสนามพลังของนามธรรม อยู่รอบรูปธรรมนั้น สมมุติเรียกว่า "จิต" คือธรรมชาติแห่งการรับรู้
ไอ้เนี่ยตั้งแต่อณูเล็กๆ เล็กๆ เนี่ยนะ ทำไมถึงทำหน้าเป็นหลายๆ หน้า
กราฟิกนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า แต่ละเซลล์ แต่ละโมเลกุล เนี่ย เป็นอิสระ
เหมือนเป็นคนนึงๆ คนนึงๆ คนนึงๆ ไม่ใช่เรา เค้าก็เป็น หนึ่งคนๆ หนึ่งคน ถ้าจะเรียกอย่างนั้นนะ
ทำให้ความเข้าใจก่อน หนึ่งคนๆ หนึ่งคนๆ มาประกอบกันเฉยๆ
ที่เรียก กองรูป อ่ะ ไม่ได้เป็น 1 รูป นะ เป็นหนึ่งอณู อ่ะ มาประกอบติดกัน เป็นรูป
แล้วก็มีนามธรรมหมุนวนอยู่รอบๆ เล็กๆ
แล้วก็มีพลังที่ดึงเข้าผลักออกตามธรรมชาติ เพราะไม่งั้นเกาะกันไม่ติด
จึงเกิดการปลดปล่อยพลังงานตลอดเวลา แล้วพลังงานนี้เค้ามีการเหตุปัจจัยที่มากระทบตลอดเวลา
ดังนั้นในทุกๆ คนที่เป็น หน้าๆ หน้าเนี่ย จึงมีการเคลื่อนไหวตลอด
จึงมีการเคลื่อนไหวตลอด
จึงเป็นเหตุที่ส่งผลออกมาให้เห็นเป็น อนิจจัง
แล้วด้วยสนามพลังอันนี้ที่มันเริ่มต้นมาเนี่ย เมื่อมันรวมกันหลายๆ พลัง มันจึงก่อให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา
จึงเห็นว่ากราฟิกพยายามแสดงให้เห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปของรูปแบบ
เดี๋ยวเป็นสัตว์ เดี๋ยวเป็นคน นะ เพื่อจะทำให้เห็นว่า
ขันธ์สืบเนื่องแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่ไปกระทำมาตลอด
ก็เราไปสร้างเหตุเกิดให้ขันธ์เองด้วยอารมณ์ต่างๆ ก็เห็นแล้วตั้งแต่ลิงจูบ
เห็นการสร้างภพขึ้นมาเปล่าๆ ปลี้ๆ เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ สิ่งนี้ก็ไปผลักดันให้เกิดเหตุเกิดไปเรื่อยๆ
ตกลง ทุกข์มาจากใครทำ?
จะบอกว่าเราทำเอง จะบอกว่า... สุดท้ายก็จะไปจบที่เพราะไม่มีเรา
ก็ถึงรู้ว่า อ๋อ! มาจากความไม่รู้จริงๆ ของจิตโง่นี่เอง
เนื่องจากตัวของมันเองเนี่ย ไม่เคยเสถียรเลยนะ
แต่ละเซลล์แต่ละโมเลกุลเนี่ย จึงเกิดการพยายามจะเติมเต็ม นี่จึงทำให้เกิดเป็นอนิจจังมาให้เราเห็น
แล้วเป็นสภาพทุกข์ที่มันพยายามจะรักษาตัวเองให้ได้
ยุงกัดทีนึงก็เปลี่ยนทีนึง
อุณหภูมิเปลี่ยนทีนึงมันก็ต้องพยายามขับเหงื่อออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิของมันเองเอาไว้
เหงื่อมันก็แตก
เวลาท่านไปนั่งเรือ เรือโยกเยกๆ โยกเยก ท่านคลื่นไส้นะ
ท่านก็บอกว่า โอ๊ย! ฉันคลื่นไส้จังเลยเธอ ขอยาลมหน่อย
ซักพักก็เมาเรือ ซักพักก็ค่อยยังชั่ว เพราะว่ามันเริ่มปรับตัวได้ เออ! ฉันค่อยยังชั่วหน่อย
พอขึ้นบกปั้บ เมาบกอีกนะ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่เฉยๆ เฮ้ย! ฉันเวียนหัวอีกแล้ว
ทำไมล่ะ?...เพราะว่า พอท่านอยู่ในเรือ เรือมันก็โยกเยก เราก็รู้ เรือวิ่ง
ขันธ์นี้พยายามจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพใหม่
ตอนนั้นมันปรับไม่ได้เพราะว่ามันอยู่บนพื้นราบที่มันแข็งๆ มาตลอด
พอเริ่มต้นมันก็โยกเยกๆ มันก็ปรับตัว
มันทุกข์มากนะนั่นน่ะ สภาพทุกข์นะ แต่เราดันไปยึดสภาพทุกข์เราเลยทุกข์ไปกับมัน
พอมันโยกเยกๆ ได้ที่ มันเริ่มปรับตัวได้ พามันขึ้นไปที่นิ่งๆ มันก็ยังโยกเยกตาม
เพราะว่ามันพยายามจะปรับตัว มันเปลี่ยนไม่ทัน
เราก็จึงรู้สึกว่าเมาบกอีก โอ้ยๆ! ไม่ไหวๆ ฉันไม่ไหวละ เป็นทุกข์กับมัน
ถ้าคนที่เข้าใจแล้วก็ไม่มีอะไร ก็จะเห็นสภาพของมันกำลังปรับตัว แล้วเดี๋ยวๆ
มันก็กลับเข้าไปสู่สภาพที่มันปรับตัวได้อีกครั้งนึง
เรื่องมันมีแค่นี้แหล่ะ แต่เราไปรีบร้อนกระโตกกระตากไปโวยวาย โอ้ย! จะเป็นจะตาย
เพราะเราดันไปเป็นเจ้าของสิ่งนี้เข้ามา
ถ้ามันเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็ถอดถอนไปจนหมด
ไอ้นี่มันจะเป็นอะไรมันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นแหล่ะ
มันจะเป็นอะไรของมันล่ะ ก็เป็นของมันอย่างนั้นแหล่ะ
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? โลภ
ตัวเล็กๆ ตัวโตๆ อย่างเราเนี่ย เท่ากันหมด มีสภาพความเป็นรูปนามที่มีวิญญาณครองสิงแล้วมันสู้ตาย
เพื่อจะรักษาตัวของมัน ล้านๆ ตัวเนี่ย ไม่รู้ใครจะรอด มันรอดตัวเดียว
มันแข่งกันยิ่งกว่าโอลิมปิก เพื่อจะเข้าไปตรงนั้นให้ได้นะ
สิ่งต่างๆ ไม่มีตัวตนได้ตนเองนะ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
แล้วท่านเองก็ไม่ได้ว่ายน้ำแข่งกับไอ้พวกมะกี้มาถึงได้ชนะแล้วมาเป็นนั่งอยู่ตรงนี้... เปล่า
ไอ้พวกนั้นมันว่ายของมันเอง ท่านไปชุบมือเปิบเอาที่หลัง
ไอ้พวกนั้นมันแข่งตามสภาพของนามรูป ของรูปนาม
มันแทงเข้าไปสักพัก พอมันก็เริ่มล่ะ... ท่านไปชุบมือเปิบทีหลัง
ด้วยความไม่รู้จากอวิชชา ก็ค่อยๆ ก่อทุกอย่างขึ้นมาเรื่อยๆ นะ จนมาถึงวิญญาณ นามรูป
อย่างที่บอกว่า คล้ายๆ ถ้าเป็นชาติแรกหรือว่ารุ่นแรกๆ ก็เริ่มเป็นเอเลี่ยนขึ้นมาน่ะ
แล้วทีนี้ก็สร้างตาหูจมูกลิ้นกาย
ในปฏิจจสมุปบาทเนี่ยสามารถอธิบายได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น
หรืออธิบายเฉพาะตอนที่เราอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้ นะ
นี่คือความลึกซึ้งและซับซ้อน ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีต้นกลางปลาย อธิบายได้ทุกอย่าง
จะวินาทีแรกเลยก็ได้ หรือว่าจะเอาตอนนี้ก็ได้ นะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... (ผัสสะ)
ตอนนี้คำพูดหรือการกระทบทั้งหลายส่งผลเป็นอารมณ์ จากความไม่รู้ มีวิญญาณ
มีการให้ค่าว่า สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น เปรี้ยวอย่างนี้ ชอบหวานอย่างนี้ไม่ชอบ น่ะ
จึงเกิดเป็นความชอบไม่ชอบ เวทนาทั้งหลายจึงกลายเป็นอาการของจิตเฉยๆ
ที่ผมพยายามบอกตั้งแต่วันแรกว่า (ยกไฟฉายขึ้นส่อง) สิ่งนี้คือแสงไฟ
อาการของจิตคือแสงไฟที่ส่งผลออกมาเฉยๆ ท่านเล่นกับแสงไฟ ท่านไปไม่ถึงตัวของมัน
ต้องใช้มรรคมีองค์ 8 เข้าไปดับเหตุเกิดของข้างบน ตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ลงมานะ
ต้องไปดับที่แบตเตอรี่ ที่หลอดนี่ ไม่ใช่นั่งจัดการกับแสงไฟ
ตอนนี้เริ่มออกมาเป็นผลจากจิตโง่แล้ว นี่คือพฤติกรรมของจิตหรือที่เรียกว่า พฤติจิต นั่นแหล่ะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... (ผัสสะ)
จากนี้เริ่มเกิดเป็นความสุขความทุกข์ ทั้งๆ ที่มันก็เป็นของมันอย่างนั้นอ่ะ
เหมือนคนออกไปเดินกลางแดดที่ผมยกตัวอย่างอยู่บ่อยๆ
คนนึงก็ทุกข์กับแสงแดด โอ้ย! ร้อนจังเลย บ่นไม่หยุด
อีกคน... โอ้ย! แสงแดดดีจังเลย แล้วฝรั่งมาเที่ยวบ้านเรานะ รู้สึกเป็นสุขกับแสงแดด
ส่วนอีกคนนึงก็ ก็ร้อน แสงแดดก็ร้อน ไม่สุขไม่ทุกข์ไปกับแสงแดด
เพราะมันก็คือแสงแดดนะ จะให้มันเป็นอะไรล่ะ
ร้อนมั้ย?...ก็ร้อนน่ะ แต่เห็นมั้ยว่าคนนึงพอร้อน มันเกิดปฏิกิริยาขึ้นที่ตรงนี้ (ผิว)
หลังจากนั้นมันส่งต่อถึงความไม่พอใจที่ตรงนี้ (ใจ)
เพราะความไม่รู้ไปให้ค่าว่า ร้อนไม่ดี จึงเกิดเป็นเราร้อน เราไม่ชอบ
ไม่ชอบก็จึงส่งพฤติกรรมออกมาอีกแบบนึง
ทั้งๆ ที่มันก็ร้อนของมันอย่างนั้นแหล่ะ อยู่ใต้พระอาทิตย์มันก็ร้อนอย่างนั้นแหล่ะ
จึงกลายเป็นชอบไม่ชอบขึ้นมา แล้วก็สร้างภพต่อไป
เพราะการไปให้ค่าสิ่งนั้นเอง เป็นดี เป็นไม่ดี เป็นชอบ เป็นไม่ชอบ เป็นอาการของจิตโง่
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะการกระทบ จึงทำให้เกิดอารมณ์สุข-ทุกข์ และเฉยๆ
(เวทนา), อารมณ์ที่สุขก็อยากได้ อารมณ์ที่ทุกข์ก็อยากผลักไส (ตัณหา)
เอาล่ะ เห็นมั้ยเริ่มไปเรื่อยๆ ล่ะ เพราะฉะนั้นพอถึงจุดสุดท้ายเดาออกเลย
การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นย่อมมีด้วยประการละฉะนี้ละ ตอนนี้ไปเรื่อยๆ ละ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะความอยาก จึงเข้าไปยึดกับสิ่งที่ต้องการ (อุปาทาน)
พออยากแล้วก็ยึด เห็นรองเท้าคู่นั้นสวยชอบ อยากได้ พอมีคนคว้าไปปั๊บ โกรธเลย มันยึดแล้ว
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะยึดกับสิ่งที่ต้องการ จึงลงมือก่อพฤติกรรม (ภพ)
ทีนี้ก็เริ่มก่อพฤติกรรมเป็นภพล่ะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เมื่อก่อพฤติกรรมดีหรือเลว จึงเกิดคำว่า “เราดีหรือเลว” ขึ้นในใจ (ชาติ)
ทีนี้เป็นเราดีหรือเลวละ คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี เราดี เค้าไม่ดี
เอาละที่นี้เป็นชาติ ชาติกูเกิดละ นี่ชาติกูล่ะ
เราทำกันมาอย่างเนี้ยะ ด้วยความไม่รู้จริงๆ ไม่จบหรอก
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... แต่สิ่งเหล่านั้นก็เสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย (ชรา มรณะ), แต่เพราะ
ความไม่รู้ก็หลงปรุงแต่ง แสวงหาสิ่งเหล่านั้น วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า (อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป
สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ) ๑๒ อาการแห่งทุกข์ ที่คนส่วนใหญ่ยัง
ยึดติด ยังหาทางออกไม่พบ และประสบกับปัญหาเพิ่มขึ้น ความไม่เข้าใจเหตุปัจจัย ที่เป็นองค์ประกอบใน
สายใยของธรรมชาติ หากเข้าใจ ปฏิจจสมุปบาท จะไม่สงสัยต่ออดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่าเรามีหรือไม่
อย่างไร
ทำไมหมออาจินต์ถึงต้องรับกรรม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำ มันทำโดยราชมัน
หากเข้าใจปฏิจจสมุปบาทจะไม่สงสัยเลยว่า เรามีหรือไม่... ไม่เคยมีเลย
เพียงขันธ์ก่อกรรม แล้วก็รับกรรม แล้วก็ก่อใหม่ แล้วก็รับกรรม แล้วก็ก่อใหม่ แล้วก็รับกรรม
เดี๋ยวก็สุข สุขก็ไปรับกรรม อาจจะเป็นภูมิที่ดี พอมีความทุกข์ก็ไปรับกรรมในทุคติภูมิ มีอยู่แค่เนี่ยะ
ถ้าใครบอกว่าอยากเกิดในสวรรค์ ต้องถามตัวเองว่า แล้วสร้างนรกไว้เยอะมั้ย?
ถ้าสร้างนรกไว้เยอะ จะเกิดสวรรค์ยังไง เพราะชาติมาจากภพ ไม่มีอะไรพิสดาร
ปลูกมะม่วงได้มะม่วง ไม่ใช่ปลูกมะม่วงแล้วนั่งอธิษฐานขอให้ได้แอปเปิล... ไม่มี
ถ้าอยากได้แอปเปิลให้ปลูกแอปเปิล ไม่ใช่ปลูกมะม่วง
แล้วนั่งจุดธูปแล้วขอให้ได้แอปเปิล นี่คือสิ่งที่คนในโลกกำลังทำกัน
กลับมาที่นี่ เพราะทุกอย่างอยู่ที่นี่ จัดการที่นี่ ทำอะไรยังไม่ได้มาก
มีศีล แล้วจัดการกับอกุศลในใจ ถ้ายังไปไหนไม่ได้เลย เอาแค่นี้ก่อน ทำให้ได้
แล้วไม่ต้องมาบอกว่า... อาจารย์ นู๋ทำไม่ได้... ผมไม่ทราบ ผมไม่ทราบจริงๆ
นี่บอกจนจะถึงจุดสุดท้ายแล้ว
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะสิ่งต่างๆ อาศัยสิ่งอื่นๆ เกิดขึ้น จึงคงที่อยู่ไม่ได้ เรียกว่า "ทุกข
ลักษณะ"
คำนี้ชัดเจนนะ สิ่งต่างๆ อาศัยสิ่งอื่นเกิดขึ้น มันจึงไม่มีสภาพเป็นตัวตนเลย
จึงต้องพยายามรักษาสภาพของตัวมันเองไว้ให้ได้ จึงเป็นสภาพทุกข์ ที่เรียกว่า ทุกขลักษณะ
จะมีผู้ทุกข์หรือไม่มีผู้ทุกข์ก็ตาม กายนี้พยายามจะรักษาเสถียรของมันไว้ให้ได้
แต่มันรักษาไม่เคยได้ มันจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เรายิ่งไปเติมเหตุปัจจัยที่ไปทำให้มันไม่เสถียรหนักเข้าไปใหญ๋ มันก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่
ตัวมันเองก็ไม่ใช่ทุกข์ แต่มันก็มีสภาพทุกข์ คำว่าเนี่ย...
ต้องเข้าใจ สภาพทุกข์ กับ ความทุกข์ ที่เรารู้จักน่ะ
ตอนนี้เราเอามาปนกัน เราถึงไม่เข้าใจความจริง เพราะเราไปคิดว่า ทุกข์คือความรู้สึกทุกข์
แต่ทุกขังจริงๆ คือสภาพของทุกขลักษณะของสะสารหรือของรูปนาม
ที่ไม่สามารถเสถียรได้ด้วยตัวของมัน เพราะมันเสถียรไม่ได้ มันขึ้นกับเหตุปัจจัยอื่น
แล้วมามีตรงนี้ แล้วเหตุปัจจัยก็ไปต่อ มันไม่ได้หยุด มันไหลเรื่อยอ่ะ
เราไปล็อกมันเฉยๆ ว่าตอนนี้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่
ขณะที่มันกำลัง วินาทีนี้เนี้ยะ มันมาจากเหตุปัจจัยของการตายและก็เกิดเซลล์ใหม่
แล้วมันก็ต่อไปจากสิ่งแวดล้อมคือดินฟ้าอากาศ ความชื้น
ทุกอย่างที่เข้าไป มันจึงเกิดปฏิกิริยาต่อๆ ไปเรื่อยๆ
มันเสถียรไม่ได้ มันจึงเกิดเป็นทุกขลักษณะ ซึ่งไม่มีผู้ทุกข์ แต่ตัวมันเองพยายามจะรักษาตัวมันเอง
ยุงมากัด เหตุปัจจัยก็เปลี่ยน เติมอาหารร้อนอาหารเย็นเข้าไป เหตุปัจจัยเปลี่ยนหมด
อุณหภมิ เหตุปัจจัยมันเปลี่ยนหมด
แล้วสิ่งต่างๆ เข้ามากระทบ ร้อยแปดพันเก้า ดังนั้นสภาพของมันจึงไม่เคยเสถียร
แต่มีผู้เข้าไปยึดถือมัน จึงทุกข์ เพราะสภาพมันทุกข์โดยสภาพอยู่แล้ว
ขันธ์ การปรากฏขึ้นแห่งขันธ์คือการปรากฏขึ้นแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสเลย
แล้วพอมีอุปาทานในขันธ์ก็เรียบร้อยเลยนะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... แต่ไม่มีผู้ทุกข์ (ความสุขมีอยู่ก่อนแล้ว)
ความจริงไม่มีผู้ทุกข์ เราไปสร้างความรู้สึกลมๆ แล้งๆ ขึ้นมาเป็นเจ้าของมัน
เท่านั้นไม่พอ มันไปสอดไส้ใส่กันอีกเยอะ มันจึงเกิดเป็นเหตุเกิดเลย
ถ้าไปยึดเฉยๆ แล้วไม่มีผลเลยต่อขันธ์เลยนะ ตายชาติเดียว
แต่นี่ซับซ้อนกว่านั้น เพราะความไปยึดถือไอ้ขันธ์เนี่ย ดันไปสร้างตัณหา
ตรงเนี้ยะไปสร้างตัณหากับมันแล้ว เลยมาเนี่ยะ
พอสร้างตัณหา ไปเพิ่มกำลังให้กับอวิชชา สร้างเหตุเกิดให้กับขันธ์นี้เลย
ทีนี้ขันธ์มายาวเลย และออกลับไม่ได้เลย เพราะมีตัณหาไม่หยุดนี้แหล่ะ
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ตัณหาผู้สร้างภพ การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไปอ่ะ ที่สวดไว้น่ะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... แต่ไม่มีผู้ทุกข์ (ความสุขมีอยู่ก่อนแล้ว)
เพราะฉะนั้นทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะ อุณหภูมิ ความชื้น ฝน แดด
มีผลต่อสรรพสิ่ง รูปนาม ในโลก ในจักรวาลนี้ทั้งหมด
ที่เค้าบอกว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวน่ะ ของจริง
การเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราแต่ละขณะ มีผลต่อจักรวาลทั้งหมด
การปรากฏการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีผลต่อจักรวาลนี้ทั้งหมด
ความเลวยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนแปลง
นี่คือการเชื่อมโยงของรูปนามที่ไม่มีมนุษย์ตรัสรู้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านจึงบอกว่า กรรมวิสัยเกินกว่าปัญญาของมนุษย์จะรู้ได้
เราไม่มีทางเชื่อจนกว่าเราจะถอดถอนความเห็นผิดทั้งหมด
แล้วเห็นรูปนามล้วนๆ ที่เป็นพลังงานที่มันสืบเนื่องกันทั้งหมด
ทำไมคนนั้นถึงมาเจอคนนี้ ทำไมคนโน้น...
ทุกอย่างสืบเนื่องกันหมดในแต่ละเซลล์ เหมือนเซลลูล่าร์เลย แต่ละคน
มันจึงเกิดการเชื่อมโยงกันของกรรม จึงเกิดการชักนำ ดูดเข้าผลักออกกันตลอดเวลา
เมื่อคนนึงเปลี่ยนจะส่งผลต่อคนรอบข้าง
เมื่อคนนึงเปลี่ยนไปทางดี ดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนหมด
เมื่อทุกอย่างเริ่มเลวขึ้นๆ ดินฟ้าอากาศก็จะเปลี่ยนแปลง
พูดไปก็ยิ่งลำบากล่ะถึงตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อเลย ถ้าจะเชื่อใครซักคนต้องเปิดพระสูตร
ถึงวันนี้จะไม่เชื่อก็ได้ต่อให้เปิดพระสูตรอ่านให้ฟัง แต่นี่คือความจริง ไม่ได้รอใครเชื่อ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... การเคลื่อนไหวในกระแสของธรรมชาตินั้นมีความสัมพันธ์ส่งผลต่อกัน
อย่างละเอียดซับซ้อน ด้วยปัจจัยอันหลากหลาย กระทบกระทั่งเชื่อมต่อกันเป็นแพรัศมี
เนี่ย.... นี่คือความจริง
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... สู่ผลอันหลากหลาย, "ผลอันหลากหลาย
เกิดจากเหตุปัจจัยอันหลากหลาย" พุทธพจน์
เพราะฉะนั้นวันนี้ ถ้าจะสแกนกรรมจะแก้กรรม จะสแกนเท่าไหร่?...หมื่นเหตุหรอ!
แล้วจะแก้เท่าไหร่?...แก้หมื่นเหตุหรอ! แก้ได้หรอ?
ปฏิบัติอย่างที่องคุลีมารทำดีกว่า เจริญมรรคมีองค์ 8 จนหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ดีกว่า
อย่าเสียเวลามิจฉาทิฏฐิอีกเลย ชีวิตเหลือกันไม่เยอะละ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เมื่อมีสติตามสังเกตการทำงานของกายและใจ จะสามารถใช้เหตุปัจจัย
อย่างถูกวิธี, (วิสุทธิ ๗)... เพราะไม่มีใครหนีผัสสะทางอายตนะต่างๆ ได้
หนีได้มั้ย ผัสสะ?...หนีไม่ได้ เนี่ยขนาดเข้ามาอยู่ศูนย์ปฏิบัติฯ ก็หนีไม่ได้
นั่งๆ คิดถึงคนที่ไม่ชอบขี้หน้านี่ ผัสสะ มโนผัสสะ ผัสสะทางใจก็เกิดเลย วิญญาณตามเลย
นี่ขนาดมานั่งอยู่ในผัสสะที่ควบคุมได้ นี้ยังเอาไม่รอดเลย นะ
เพราะฉะนั้นไม่มีใครหนีผัสสะ จากอายตนะก็คือตาหูจมูกลิ้นกายใจได้
แต่หากใครสามารถดูแลสิ่งนี้ได้ จากการกระทบแล้วไม่มีการกระเทือน
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... เมื่อเกิดการกระทบรู้เท่าทัน ใจก็ปกติ เรียกว่า "สีลวิสุทธิ"
มีการกระทบแต่ใจเป็นปกติ เพราะเห็นหมดแล้วว่า
ทุกข์ก็เกิดขึ้นดับไป สุขก็เกิดขึ้นดับไป ไม่ได้มีตัวตนอะไร มาจากการกระทบด้วยความไม่รู้
จากนั้นก็เริ่มวาง การกระทบทั้งหลายไม่มีผลต่อใจ เรียกว่า "สีลวิสุทธิ"
ถ้าท่านทำได้ตรงนี้ ก็เช็คลิสต์ไป ดูขั้นที่ 2 ต่อไป ทางที่จะเข้าถึง "วิมุตติ"
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... จิตจึงตั้งมั่นไม่ถูกครอบงำด้วยอกุศลเรียกว่า "จิตตวิสุทธิ"
เห็นแต่สังขาร ขันธ์ 5 ด้วยความไม่รู้ บีบคั้น เนื้อเรื่อง จ
นกระทั่งออกมาทางวาจา หน้าแดง ตัวสั่น ยืนดู จะช่วยยังไงน่ะ?
นอกจากอยู่เฉยๆ อย่าไปเพิ่มไฟของเค้า เรียกว่าเห็นรูปนามตามความเป็นจริงหมด
พฤติกรรมที่ก่อออกมาของแต่ละคน มาจากภายในแค่นั้นเอง ด้วยความไม่รู้
มีแต่เรื่องน่าสงสาร จะไปโกรธใครได้
แล้วตรงนี้ก็สร้างเหตุที่จะส่งผลต่อไปซึ่งไม่เคยหยุดเลย
หมดข้อสงสัยในการมาการไปของรูปนามแล้ว เรียกว่า "กังขาวิตรณวิสุทธิ"
หมดแล้ว หมดสงสัย หมดลังเลแล้ว เห็นจนถลกเปลือกแล้ว
ใจสงบ ไม่มีเต้นไปตามสิ่งกระทบแน่นอน ถ้าใครถึงตรงเนี้ยะ
ถึงตรงนี้ไม่ต้อง positive thinking เพราะมุมที่มองมีมุมเดียว มองของสัมมาทิฏฐิ ไม่มีมุมอื่น
มองยังไงก็เห็นแต่ความจริง หมดข้อสงสัย หมดทุกข์
มัคคามัคคญาณทัสสน เห็นญาณทัศนะตามความเป็นจริง
เห็นรีเบคก้า ก็เห็นรีเบคก้าแบบตามความเป็นจริง
เห็นทุกอย่าง ก็ไม่มีการหลงเข้าไปในสิ่งนั้นเลย เห็นทุกอย่าง
เลือกมุมมองที่เป็น เพราะเห็นรูปนามหมดแล้วนี่ไม่มีอะไรเลย นอกจากรูปนาม
สัพเพ ธัมมา อนัตตา... ต่างรูปนามกัน อ่ะ ธูปกับเทียนต่างกันนิดเดียว
อันนี่มีวิญญาณครองสิง อันนี้ไม่มี,
ไอ้นี่ไม่มีเวทนาหรอกเวทนา ไอ้นี่ไม่มีวิญญาณครองสิงเลยไม่มีเวทนา นะ ต่างกันนิดเดียว
สัตว์โลกเป็นเพื่อนกันหมด สัตว์โลกเป็นเพื่อนกันหมด
คนทุกคนคือคนคนเดียวกัน ไม่เห็นอะไรนอกจากนี้เลย
เรารักพ่อแม่เรายังไง มีคนแก่เดินมา เราก็รู้เลยว่า เค้าก็รักพ่อแม่เค้าอย่างนั้น
เราจึงรักคนแก่นั้นดุจดังเรารักแม่เรา ไม่มีแล้ว
เหลือแต่ความรู้สึกที่เป็นกุศลแบบไม่ต้องพยายามทำ เหลือมุมเดียว
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... เห็นลักษณะความเกิดดับในขันธ์ ๕ ยอมรับความเป็นจริงด้วยใจเป็นกลาง เรียก
ว่า "ปฏิปทาญาณทัสสวิสุทธิ"
และนี่ก็เห็นแต่ของจริงละ มีแต่การเกิดๆ ดับๆ ของขันธ์ 5 ไม่ได้มีใครเลย นะ
ที่นั่งๆ กันก็มีแต่การเกิดดับของขันธ์ แล้วเดี๋ยวก็สืบเนื่องกันไปเรื่อย
จากเวรกรรม จากภาพที่มันสร้างกันไว้
ถ้ามีใครซักคนสาวกของพระพุทธเจ้าให้ธรรมะอย่างอื่นแล้วบอกว่า ทำได้ ทำไม่ได้ อะไรเนี่ย
ก็ได้เห็นแล้วขันธ์ 5 มันบันทึกสิ่งนี้ลงไป
แต่เค้าจะทำได้แค่ไหน มันก็จะติดตัวขันธ์ 5 ที่เกิดๆ ดับๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นโน่นเป็นนี่เป็นนั่นไปเรื่อยๆ
แต่สิ่งนี้เค้าจะไปไหนล่ะ ไม่ได้มีตัวคนนั้นคนนี้ซะหน่อย
" อาจารย์ เดี๋ยวชาตินี้ไม่รู้จะบรรลุทันมั้ย?..."
อย่าห่วง มันยังไม่จบหรอก.....คือจะชาติไหนก็ชาติเดียวนั่นแหล่ะ
ถ้าเอาสมมติออกหมด ชาติเดียว เหลือยาวสั้น แล้วยาวสั้นมันก็แค่นั้นเอง
ถ้าวันนี้บอก อีกร้อยชาติ คนนี้บอกว่า อย่าประมาทไม่มีชาติที่ 8 อีก 7 ชาติ...
เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ร้อยชาติกับเจ็ดชาติ บางทีก็ใกล้ๆ กันนั่นแหละ นะ
อย่าเลิกทำก็แล้วกัน อย่าทิ้งธรรม
ได้ในสิ่งไม่ควรได้เลย ชีวิตของพวกเราคือ "ความทุกข์"
เสียในสิ่งที่ไม่ควรเสีย ทุกคน ได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้คือ "ความทุกข์"
แล้วอยู่ๆ ก็ไปทำให้ตัวเองเสียในสิ่งที่ไม่ควรเสียเลยคือ "สันติสุข" ที่มีอยู่แล้ว โดยธรรมชาติเดิมแท้
แต่เราสร้างการปรุงแต่งทั้งหมดขึ้นมาปิดบัง แล้วก็จมอยู่ในกองทุกข์อย่างน่าเวทนา
ถ้าไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
(ถ่ายไมค์หมด....เปลี่ยนถ่านใหม่ )
คิดหรือว่าจะมีมนุษย์หน้าไหนออกจากทุกข์ได้จริงๆ
อย่างเนี้ยะ ถ้าโง่ทุกข์ ไปเลย... (ถ่ายไมค์หมด) ทำไมไม่เปลี่ยนถ่านให้มันเรียบร้อยอ่ะ...
ไปเลย โง่เลย!! กำลังอธิบายอยู่ โง่เลย ลงนรกไปเลย
เห็นหรือยังว่ามันไม่ได้อยู่บนจอ นี่นั่งฟังทั้งหงุดหงิด (เสียงไมค์ตัวใหม่ก้อง)
ทำไมเสียงก้องจัง หงุดหงิดเหรอ ? ไปเลย นี่ดูจบหยกๆ เลย โง่เลย ลงนรกไปเลย
(เสียงลำโพงดังหวีด) ทำไมดังวีดๆ เครื่องเสียงไม่ดีเลย ไปเลย ไง่เลย
เพิ่งจะจบพระนิพพานไปเมื่อกี้นี้เอง กระโดดลงเหวเลย ไม่ไปเลยพระนิพพาน
หมูมั้ยล่ะ?...ไม่หมู หมูไม่หมูไม่รู้อ่ะ หมูไม่หมูอยู่ที่นี่ (ใจ) น่ะของแต่ละคน
ทุกอย่างมันอยู่บนจอหมด มันอยู่ที่คิดหมด มันติดอยู่ที่ฟองแชมพูเนี่ย มันไม่ได้ลงไปที่นี่ (ใจ)
ถ้ามีใครซักคนนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ 10 นาทีเนี่ย โดยไม่คิดตามนะ ตั้งมั่นไว้น่ะ
วันนี้ทำไมถึงคิดไม่ออกรู้มั้ย?...เพราะพยายามไปคิดตาม
เพราะพยายามไปคิดตาม มันก็เลยไม่รู้เรื่อง
เพราะสิ่งทั้งหมดที่ท่านได้ยินมาอยู่เหนือประสบการณ์ความคิดทั้งหมดเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอยู่ภายใต้กรอบประสบการณ์ของกู จึงไม่สามารถแปลค่าออกมาเป็นรูปได้
เพราะสิ่งที่กำลังพูดอยู่คือพระนิพพาน เหนือการตริตรึก
ไม่ใช่รูป แล้วไม่ใช่นาม นึกว่าเป็นนามธรรม...ไม่ใช่ พ้นขึ้นไปอีก
ดังนั้นถึงไม่อยู่ภายใต้การตริตรึก เหลืออย่างเดียวปล่อยให้การสัมผัสของจิตตรงๆ
ตรงไหนที่มีประสบการณ์เห็นได้จะเห็น เห็นไม่ได้เพราะมีการปรุงแต่งมาบังอยู่
เมื่อตั้งมั่นจะเห็นภาพทั้งหมด เห็นคำอธิบาย จะเห็นจุดมุ่งหมายของผู้ที่สร้างทั้งหมดเลย
แต่ถ้าพยายามคิดตาม จะไล่อะไรไม่ทันเลย
นี่คือธรรมชาติของคนที่พยายามไล่คิดตาม มันจึงไม่เข้าใจอะไรแม้แต่อย่างเดียว
แต่ถ้าไม่คิดตาม หยุดคิด จะเข้าใจทั้งหมดเลย
เอาล่ะนะครับ สำหรับคืนนี้
ผมเชื่อว่าการเดินทางของเราจากมรรคมีองค์ 8 สู่ธรรมจักรฯ สู่อริยสัจ สู่ปฏิจจฯ
แล้วก็มาจบที่พระนิพพาน อย่างสมบูรณ์
พรุ่งนี้เราคงจะมาสรุปอะไรในเชิงการปฏิบัติจริงๆ ที่จะกลับไปสู่บ้านสู่ครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ายังไม่ง่วงนะ แล้วก็ได้เห็นความจริงแล้ว ผมว่า ท่านก็น่าจะไปภาวนาต่ออีกซักพัก
ท่านได้นอนแน่ และได้นอนยาวแน่ กายของท่านได้พักยาวแน่
อีกไม่กี่ปี จะไม่มีใครเหลือที่นี่เลย ทุกคนจะตายหมด
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทุกคนจะตายหมด ไม่มีใครเหลือในนี้เลย
เวลาของท่านกำลังนับถอยหลัง ไม่ใช่นับเดินหน้า อย่าหลงระเริงไปกับโลก
อย่าหลงสมมติบัญญัติให้มาก พระพุทธเจ้าเตือนแล้วเตือนอีก
พวกเธอจงอย่าประมาท นะ ไปทำความเพียรเถอะ นะครับ ขออนุโมทนา
กราบพระแล้วเชิญ.
จบการบรรยายตอนที่ 11
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
☜ ตอนที่ 10 ปฏิจจสมุปบาทผาซ่อนแก้ว ตอนที่ 12 อริยมรรคมีองค์8ภาคปฏิบัติและปฏิเวธ ☞
แต่ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนถ้าไปนั่งอยู่ตรงนั้น น่าจะเข้าใจได้ทุกองค์ ถ้าถึงตรงนี้แล้วนะ
เข้าใจได้ทุกองค์ เราจะกลับมาดูกันอีกซักรอบนึงนะ
เริ่มต้นก็ตรงนี้เลยน่ะ ปฏิจจสมุปบาท... ความจริงไม่มีใครทุกข์ เลย
มีแต่วงจร มีแต่สิ่งที่เป็นปัจจัยแล้วก็เกิดขึ้นตามๆ กันมา
หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า "อิทัปปัจจยตา" นะ เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นะ
ในปฏิจจสมุปบาทเราก็รู้สึกคล้ายๆ กัน... อวิชชาปัจจะยา สังขารา, สังขาระปัจจะยา วิญญานัง...
สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น... เหมือนกันเลย นะ
แล้วก็ สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงเกิดขึ้น, วิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงเกิดขึ้น... อย่างนี้แหละ
เอ๊ะ! ก็เหมือนกับอิทัปปัจจยตา นะสิ?...มีความเหมือนกันมาก ก็ตัวเดียวกันนั่นแหล่ะ
แต่อิทัปปัจจยตาใช้อธิบายรูปนามทั้งจักรวาล
จะมีวิญญาณครองสิงหรือไม่มีวิญญาณครองสิง หรือ มีวิญญาณครองสิงแต่ไม่มีเวทนา
แต่ปฏิจจสมุปบาทมุ่งเน้นที่มีเวทนา
สัตว์โลกทั้งหลายที่มีเวทนา จะอยู่ภายใต้ปฏิจจสมุปบาท
ดังนั้นในวงจรที่เราดู รีเบคก้าเมื่อกี้ ไม่มีตัวรีเบคก้านะ รีเบคก้าเป็นของเปล่าๆ ปลี้ๆ
เป็นของสมมติบัญญัติที่ไปแปะเรียกชื่อขันธ์ในช่วงเวลานั้นเฉยๆ
แล้วไม่ใช่แต่ รีเบคก้า ปุ๊ก แป๋ม ทุกคน แค่นั้นเอง
มีแต่ขันธ์ที่สืบเนื่องมาจากกรรมเก่า มีธรรมชาติที่รับรู้ความรู้สึกได้ เกิดเป็นอารมณ์ได้
มีไปแปะชื่อเอาไว้เฉยๆ ลมๆ แล้งๆ มีชื่อย่างนั้นๆ มีโคตรอย่างนั้นๆ
นี่คือเหตุผลทำไมที่พระสารีบุตรทูลพระพุทธเจ้าอย่างนี้ แล้วพระพุทธเจ้าก็ตอบพระสารีบุตรอย่างนั้นด้วย
ใช่! เราก็เรียกผู้ที่มีชื่ออย่างนั้นๆ มีโคตรอย่างนั้นๆ ที่กำลังเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ว่าเป็นพระโสดาบัน
คำพูดของท่านทั้ง 2 ท่านที่เป็นพระอรหันต์
ไม่มีใครมีตัวตนบุคคลเราเขาอยู่ในขันธ์นี้เลย ท่านเห็นความจริงจนหมดแล้ว
ถอดเปลือกจนหมดแล้ว แต่จะพูดที่เปลือกก็ได้ จะพูดที่ไม่เปลือกก็ได้ เห็นหมดแล้วก็ไม่ติดแล้ว
แต่เวลาใช้คำพูด เนื่องจากต้องสื่อสารต่อออกไป ก็ต้องพูดให้เข้าใจ ให้คนอื่นเข้าใจด้วยว่า มันไม่มีตัวตน
ไม่อย่างนั้นถ้าเรียกพระสารีบุตรนานๆ พระสารีบุตรก็จะเป็นตัวตน
ในผู้คน พระสารีบุตรก็เป็นคน เป็นองค์ เป็นพระสารีบุตรขึ้นมาในใจของทุกคน
แต่เวลาของจริงจะมีหรือไม่มีก็ว่ากันไป
ความจริงไม่มีใครทุกข์... โห! นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเอง
[คลิป VDO] ทุกข์มาจากไหน? คนส่วนใหญ่ไม่รู้ที่มาของความทุกข์ จึงคิดว่าทุกข์มาจากผู้อื่นกระทำ
อันนี้ปุถุชนเลย ก่อนท่านเข้ามาท่านก็รู้สึกอย่างนี้อ่ะ ตอนนี้ก็ยังรู้สึก
[คลิป VDO] ทุกข์มาจากไหน? บางคนก็คิดว่า ทุกข์มาจากเราทำเอง
วันที่ผมเล่าให้ท่านฟัง วันที่ผมกราบพระแล้วรู้สึก ทุกข์มาจากเราทำเอง
ไอ้นั่นขยับเข้ามาอีกนิดนึง แต่ก็ยังไม่เห็นจริง
[คลิป VDO] ทุกข์มาจากไหน? ทุกข์มาจากความไม่รู้
มันไม่เคยรู้มาก่อนว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์
แล้วมันแปลกคือมันไม่ได้มีตัวตนด้วย
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? หากเรารู้ว่าชีวิตคืออะไร? เราจะปฏิบัติต่อชีวิตอย่างถูกวิธี
หากเรารู้ว่าชีวิตคืออะไร ที่พระกอบขึ้นด้วยรูปและนาม
แล้วสามารถรับรู้ความรู้สึกได้จากสิ่งที่กระทำมาจากอดีต
จึงก่อให้เกิดเป็นชีวิตด้วยอาหาร 4 อย่าง ไม่มีเราอยู่ในนั้นเลย
ถ้าวันไหนที่เราอย่างนี้ เราไม่มีทางทุกข์ เพราะมันไม่มีเรา
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? ความจริงในธรรมชาติของจักรวาล มีแค่รูปและนาม
เพราะรูปคือมวลสารต่างๆ ที่หมุนรอบตัวเองในที่ว่าง
จึงเกิดสนามพลังของนามธรรม อยู่รอบรูปธรรมนั้น สมมุติเรียกว่า "จิต" คือธรรมชาติแห่งการรับรู้
ไอ้เนี่ยตั้งแต่อณูเล็กๆ เล็กๆ เนี่ยนะ ทำไมถึงทำหน้าเป็นหลายๆ หน้า
กราฟิกนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า แต่ละเซลล์ แต่ละโมเลกุล เนี่ย เป็นอิสระ
เหมือนเป็นคนนึงๆ คนนึงๆ คนนึงๆ ไม่ใช่เรา เค้าก็เป็น หนึ่งคนๆ หนึ่งคน ถ้าจะเรียกอย่างนั้นนะ
ทำให้ความเข้าใจก่อน หนึ่งคนๆ หนึ่งคนๆ มาประกอบกันเฉยๆ
ที่เรียก กองรูป อ่ะ ไม่ได้เป็น 1 รูป นะ เป็นหนึ่งอณู อ่ะ มาประกอบติดกัน เป็นรูป
แล้วก็มีนามธรรมหมุนวนอยู่รอบๆ เล็กๆ
แล้วก็มีพลังที่ดึงเข้าผลักออกตามธรรมชาติ เพราะไม่งั้นเกาะกันไม่ติด
จึงเกิดการปลดปล่อยพลังงานตลอดเวลา แล้วพลังงานนี้เค้ามีการเหตุปัจจัยที่มากระทบตลอดเวลา
ดังนั้นในทุกๆ คนที่เป็น หน้าๆ หน้าเนี่ย จึงมีการเคลื่อนไหวตลอด
จึงมีการเคลื่อนไหวตลอด
จึงเป็นเหตุที่ส่งผลออกมาให้เห็นเป็น อนิจจัง
แล้วด้วยสนามพลังอันนี้ที่มันเริ่มต้นมาเนี่ย เมื่อมันรวมกันหลายๆ พลัง มันจึงก่อให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา
จึงเห็นว่ากราฟิกพยายามแสดงให้เห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปของรูปแบบ
เดี๋ยวเป็นสัตว์ เดี๋ยวเป็นคน นะ เพื่อจะทำให้เห็นว่า
ขันธ์สืบเนื่องแล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่ไปกระทำมาตลอด
ก็เราไปสร้างเหตุเกิดให้ขันธ์เองด้วยอารมณ์ต่างๆ ก็เห็นแล้วตั้งแต่ลิงจูบ
เห็นการสร้างภพขึ้นมาเปล่าๆ ปลี้ๆ เดี๋ยวก็สุขเดี๋ยวก็ทุกข์ สิ่งนี้ก็ไปผลักดันให้เกิดเหตุเกิดไปเรื่อยๆ
ตกลง ทุกข์มาจากใครทำ?
จะบอกว่าเราทำเอง จะบอกว่า... สุดท้ายก็จะไปจบที่เพราะไม่มีเรา
ก็ถึงรู้ว่า อ๋อ! มาจากความไม่รู้จริงๆ ของจิตโง่นี่เอง
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? เพราะธาตุต่างๆ ที่รวมตัวอยู่ด้วยกันไม่คงที่ ความรับรู้ที่เกิดขึ้นในช่องว่าง
รู้สึกถึงการจะแตกสลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเติมเต็ม (โลภะ)
รู้สึกถึงการจะแตกสลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเติมเต็ม (โลภะ)
เนื่องจากตัวของมันเองเนี่ย ไม่เคยเสถียรเลยนะ
แต่ละเซลล์แต่ละโมเลกุลเนี่ย จึงเกิดการพยายามจะเติมเต็ม นี่จึงทำให้เกิดเป็นอนิจจังมาให้เราเห็น
แล้วเป็นสภาพทุกข์ที่มันพยายามจะรักษาตัวเองให้ได้
ยุงกัดทีนึงก็เปลี่ยนทีนึง
อุณหภูมิเปลี่ยนทีนึงมันก็ต้องพยายามขับเหงื่อออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิของมันเองเอาไว้
เหงื่อมันก็แตก
เวลาท่านไปนั่งเรือ เรือโยกเยกๆ โยกเยก ท่านคลื่นไส้นะ
ท่านก็บอกว่า โอ๊ย! ฉันคลื่นไส้จังเลยเธอ ขอยาลมหน่อย
ซักพักก็เมาเรือ ซักพักก็ค่อยยังชั่ว เพราะว่ามันเริ่มปรับตัวได้ เออ! ฉันค่อยยังชั่วหน่อย
พอขึ้นบกปั้บ เมาบกอีกนะ ทั้งๆ ที่ยืนอยู่เฉยๆ เฮ้ย! ฉันเวียนหัวอีกแล้ว
ทำไมล่ะ?...เพราะว่า พอท่านอยู่ในเรือ เรือมันก็โยกเยก เราก็รู้ เรือวิ่ง
ขันธ์นี้พยายามจะปรับตัวให้เข้ากับสภาพใหม่
ตอนนั้นมันปรับไม่ได้เพราะว่ามันอยู่บนพื้นราบที่มันแข็งๆ มาตลอด
พอเริ่มต้นมันก็โยกเยกๆ มันก็ปรับตัว
มันทุกข์มากนะนั่นน่ะ สภาพทุกข์นะ แต่เราดันไปยึดสภาพทุกข์เราเลยทุกข์ไปกับมัน
พอมันโยกเยกๆ ได้ที่ มันเริ่มปรับตัวได้ พามันขึ้นไปที่นิ่งๆ มันก็ยังโยกเยกตาม
เพราะว่ามันพยายามจะปรับตัว มันเปลี่ยนไม่ทัน
เราก็จึงรู้สึกว่าเมาบกอีก โอ้ยๆ! ไม่ไหวๆ ฉันไม่ไหวละ เป็นทุกข์กับมัน
ถ้าคนที่เข้าใจแล้วก็ไม่มีอะไร ก็จะเห็นสภาพของมันกำลังปรับตัว แล้วเดี๋ยวๆ
มันก็กลับเข้าไปสู่สภาพที่มันปรับตัวได้อีกครั้งนึง
เรื่องมันมีแค่นี้แหล่ะ แต่เราไปรีบร้อนกระโตกกระตากไปโวยวาย โอ้ย! จะเป็นจะตาย
เพราะเราดันไปเป็นเจ้าของสิ่งนี้เข้ามา
ถ้ามันเห็นความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็ถอดถอนไปจนหมด
ไอ้นี่มันจะเป็นอะไรมันก็เป็นไปของมันอย่างนั้นแหล่ะ
มันจะเป็นอะไรของมันล่ะ ก็เป็นของมันอย่างนั้นแหล่ะ
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? โลภ
ทีนี้ด้วยความแต่ละอณู แต่ละอณูที่มันเป็นอย่างเนี้ยะ ไม่ได้มีตัวตนอะไร
วันนึงเราเอา เราเอาเค้กไปใส่ลิ้น จะกินอ่ะ ใส่เข้าไปในปาก
ลิ้นก็เริ่มรับรู้รส หวาน มัน อร่อย ความกลมกล่อม ที่ลิ้นรู้สึกว่านี่กลมกล่อม
วันนึงเราเอา เราเอาเค้กไปใส่ลิ้น จะกินอ่ะ ใส่เข้าไปในปาก
ลิ้นก็เริ่มรับรู้รส หวาน มัน อร่อย ความกลมกล่อม ที่ลิ้นรู้สึกว่านี่กลมกล่อม
ด้วยความไม่รู้ มันแค่รสชาติถูกลิ้น จึงถูกนามธรรมตรงนี้ ส่งต่อไป
ลิ้นเริ่มหาอารมณ์แบบนี้อีก แต่ส่งต่อไปจนถึงกระบวนการที่เรียกว่า "โลภะ"
ลิ้นเริ่มหาอารมณ์แบบนี้อีก แต่ส่งต่อไปจนถึงกระบวนการที่เรียกว่า "โลภะ"
จึงเกิดเป็นโลภะขึ้นมา แล้วก็ผลักดันให้ความเป็นเราหรือว่ากาย รูปนามเนี่ยะ ไปแสวงหาสิ่งที่ลิ้นต้องการ
เมื่อเราสอนให้ตาไปรับรู้อะไร ด้วยการพามันไปเห็นไปดูมากๆ มันเริ่มติดใจ
แต่ความติดใจ มิใช่ตัวตา ความติดใจเป็นนามธรรมที่หมุนรอบอยู่ในรูป แล้วก็ส่งความรู้สึกนี้ผ่านไป
มันจึงผลักดันให้เราไปหาอารมณ์ที่มันชอบ
แต่ความติดใจ มิใช่ตัวตา ความติดใจเป็นนามธรรมที่หมุนรอบอยู่ในรูป แล้วก็ส่งความรู้สึกนี้ผ่านไป
มันจึงผลักดันให้เราไปหาอารมณ์ที่มันชอบ
เมื่อเราอยู่กับอานาปานสติ กายไม่ลำบาก ทุกอย่างเริ่มหยุดการเคลื่อนไหว
อารมณ์ต่างๆ เริ่มหยุด ตาจึงไม่ลำบาก
อารมณ์ต่างๆ เริ่มหยุด ตาจึงไม่ลำบาก
เพราะฉะนั้นคนที่จะเห็นว่าตาไม่ลำบาก คนนั้นต้องถอดถอนสักกายทิฏฐิจนหมด
จึงเห็นว่าตามรับรู้อารมณ์ของมันได้เอง ตาไม่ใช่เราแฮะ
แล้วตาไม่ใช่ของเราด้วย ตามีธรรมชาติในการรับรู้อารมณ์
จึงเห็นว่าตามรับรู้อารมณ์ของมันได้เอง ตาไม่ใช่เราแฮะ
แล้วตาไม่ใช่ของเราด้วย ตามีธรรมชาติในการรับรู้อารมณ์
ลองเดินๆ แล้วมีผู้หญิงเดิน สวยๆ เดินตามสิ ท่านไม่ได้เดินสวนไปสิ
ตามันขยับไม่พอ เพราะมันเห็นไม่ชัด
ไอ้นี่ (หน้า) เลยไปด้วย มันพากันไปหมด เกิดตัณหา พลั้วะ! แล้วตัวกูตามมาอีกที กูชอบ!!
ตามันขยับไม่พอ เพราะมันเห็นไม่ชัด
ไอ้นี่ (หน้า) เลยไปด้วย มันพากันไปหมด เกิดตัณหา พลั้วะ! แล้วตัวกูตามมาอีกที กูชอบ!!
ทำไมกูมาทีหลังอ่ะ? ทำไมอยากมาก่อนล่ะ?
กูมีจริงที่ไหนล่ะ?
กูมีจริงที่ไหนล่ะ?
กระบวนการพวกนี้...แหกตา
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? เกิดความรู้สึกขัดขวาง (โทสะ)
แบบเดียวกัน พอใส่เปรี้ยวหวานมันจัดลงไป... ไม่ชอบ
เพราะเกิดไม่ใช่อย่างที่คุ้นลิ้น ส่งผลไปเกิดเป็น "โทสะ" ไม่พอใจ
เพราะเกิดไม่ใช่อย่างที่คุ้นลิ้น ส่งผลไปเกิดเป็น "โทสะ" ไม่พอใจ
แล้วก็ก่อให้เกิดภพชาติ สร้างเวรสร้างกรรม ด่าคนขาย ด่าร้านค้า
ด่า... ไม่อร่อยเลย ทำเฮงซวย วันนั้นอร่อยกว่านี้ สร้างภพสร้างชาติเรียบร้อยหมุนติ้วลงนรกไปได้เลย
จากความโง่รสชาติแตะลิ้นเนี่ย แล้วรสชาติเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ด่า... ไม่อร่อยเลย ทำเฮงซวย วันนั้นอร่อยกว่านี้ สร้างภพสร้างชาติเรียบร้อยหมุนติ้วลงนรกไปได้เลย
จากความโง่รสชาติแตะลิ้นเนี่ย แล้วรสชาติเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ถ้าถอนสมมติบัญญัติออก มันจะไปมีอะไรนอกจากรสชาติที่แตะ
ตกลงพระอรหันต์ก็เลยไม่อร่อยเหรอ?
ความกลมกล่อมของอาหาร แล้วความเคยคุ้นของอาหาร ทำไมจะไม่อร่อยล่ะ?
ความกลมกล่อมของอาหาร แล้วความเคยคุ้นของอาหาร ทำไมจะไม่อร่อยล่ะ?
ก็ใช้ศัพท์ของโลกเดียวกันอ่ะ ก็เลยกลายเป็นอร่อยลิ้น
พระอรหันต์ต่อให้ไม่มีการปรุงแต่งทางใจเลย ท่านก็อร่อยลิ้น
พระอรหันต์ต่อให้ไม่มีการปรุงแต่งทางใจเลย ท่านก็อร่อยลิ้น
เอา! วันนี้ทำไมไม่เอาไก่ย่างมาด้วยล่ะ ร้านนั้นอร่อยนะ... โอ้ย! ท่านยังติดในรสอยู่เลยเว้ย
เอ้า! ทำไมไม่ติดละ ก็ลิ้นมันติด... ลิ้นติดได้ไง... อืม หาเรืองปรามาส ลงนรกฟรีงานนี้ เพราะไม่รู้
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? เกิดความไม่รู้ที่แฝงตัวมา (โมหะ)
เมื่อมันมาก่อตัวกันเข้า เป็นโครงสร้างของรหัสดีเอ็นเอ
เมื่อมันมาก่อตัวกันเข้า เป็นโครงสร้างของรหัสดีเอ็นเอ
จากนั้นเวลาที่เราสั่งสมอันนี้เข้าไปในจิตวิญญาณ แล้วขันธ์หรือกายนี้ตาย
วิญญาณยังคงเกิดดับแล้วก็ส่งต่อสิ่งเหล่านี้ผ่านไปทางจิตวิญญาณที่เกิดดับ
วิญญาณยังคงเกิดดับแล้วก็ส่งต่อสิ่งเหล่านี้ผ่านไปทางจิตวิญญาณที่เกิดดับ
หลังจากนั้น นามธรรมที่เข้าไปเกิดปฏิสนธิในท้องแม่
การเริ่มคล้ายรหัสทั้งหมดที่บันทึกไว้ในการกระทำในอดีต
แล้วก็ค่อยๆ สร้างกายนี้ขึ้นมาใหม่ เรียกว่า กายชรูป จากจิตตชรูป
การเริ่มคล้ายรหัสทั้งหมดที่บันทึกไว้ในการกระทำในอดีต
แล้วก็ค่อยๆ สร้างกายนี้ขึ้นมาใหม่ เรียกว่า กายชรูป จากจิตตชรูป
นามธรรมเริ่มแปลงเป็นรูปธรรม โลกวันนี้เข้าใจจุดเริ่มต้นของนามธรรมที่เปลี่ยนเป็นรูปธรรม
แต่เข้าใจไปไม่ถึงตัวจิต แต่เข้าใจจุดเริ่มต้น แล้วตั้งชื่อเรียกมันว่า สเต็มเซลล์ ผ่านไปทางรหัสดีเอ็นเอ
ซึ่งเค้าก็ไม่รู้ว่ารหัสนี้เนี่ย มันมาได้ยังไง ทำไมมันถึงบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น
ซึ่งเค้าก็ไม่รู้ว่ารหัสนี้เนี่ย มันมาได้ยังไง ทำไมมันถึงบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น
ก็เชื่อว่าน่าจะมาจากแม่ แต่ก็พบความจริงว่ามาจากแม่บางส่วน พ่อแม่บางส่วน
แต่ทำไมจึงเกิดพฤติกรรม จึงเกิดอะไรที่ไม่เหมือนพ่อแม่ล่ะ เพราะมันมีนามธรรมเข้ามายุ่งด้วย
แต่ทำไมจึงเกิดพฤติกรรม จึงเกิดอะไรที่ไม่เหมือนพ่อแม่ล่ะ เพราะมันมีนามธรรมเข้ามายุ่งด้วย
คอร์สที่แล้วมีคุณหมอคนนึงนั่งฟังผมแล้วก็บอกว่า ยอม แล้วก็ยอมรับว่าเป็นอย่างที่อาจารย์พูดทุกอย่างเลย
ยกเว้นทางการแพทย์ไปไม่ถึงสิ่งที่อาจารย์พูดว่า จิต ขาดตรงนี้ที่เราไม่รู้ แล้วเราไม่รู้จริงๆ
ยกเว้นทางการแพทย์ไปไม่ถึงสิ่งที่อาจารย์พูดว่า จิต ขาดตรงนี้ที่เราไม่รู้ แล้วเราไม่รู้จริงๆ
เราเริ่มต้นที่รหัสแรกได้ แต่เราไม่รู้ว่ามันมายังไง นี่ไง......
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? ที่จะสมานตัวให้ทรงตัวอยู่ได้
จึงพยายามที่จะรักษาสถานภาพนั้น ด้วยการแสวงหาสิ่งที่จะมาเติมเต็ม แก้ปัญหาความพร่องของธาตุสี่
เกิดสภาวะการดิ้นรนของนามธรรม ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้
จึงพยายามที่จะรักษาสถานภาพนั้น ด้วยการแสวงหาสิ่งที่จะมาเติมเต็ม แก้ปัญหาความพร่องของธาตุสี่
เกิดสภาวะการดิ้นรนของนามธรรม ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้
สเปิร์มทั้งหลายที่ท่านเห็นภาพเหล่านี้
เค้าเคยพยายามทำวิจัย แล้วเค้าสงสัยมากเลยว่า มันรู้ได้ยังไง ที่มันจะต้องวิ่งที่ไข่
แล้วมันแย่งกันอุตลุดหมดเลย แล้วมันแย่งชิงเข้าไปในไข่ให้ได้
เค้าเคยพยายามทำวิจัย แล้วเค้าสงสัยมากเลยว่า มันรู้ได้ยังไง ที่มันจะต้องวิ่งที่ไข่
แล้วมันแย่งกันอุตลุดหมดเลย แล้วมันแย่งชิงเข้าไปในไข่ให้ได้
ตัวเล็กๆ ตัวโตๆ อย่างเราเนี่ย เท่ากันหมด มีสภาพความเป็นรูปนามที่มีวิญญาณครองสิงแล้วมันสู้ตาย
เพื่อจะรักษาตัวของมัน ล้านๆ ตัวเนี่ย ไม่รู้ใครจะรอด มันรอดตัวเดียว
มันแข่งกันยิ่งกว่าโอลิมปิก เพื่อจะเข้าไปตรงนั้นให้ได้นะ
[คลิป VDO] ชีวิตคืออะไร? สิ่งทั้งหลายไม่มีอยู่โดยตัวของมันเอง
ไม่มีความคงที่อยู่อย่างเดิม แม้แต่ขณะเดียว
จึงเป็นสภาวะที่พร้อมจะก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ไม่รู้เท่าทัน, (ปฏิจจสมุปบาท)...
สิ่งต่างไม่มีตัวตนด้วยตนเอง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (อวิชชา)
ไม่มีความคงที่อยู่อย่างเดิม แม้แต่ขณะเดียว
จึงเป็นสภาวะที่พร้อมจะก่อให้เกิดทุกข์แก่ผู้ไม่รู้เท่าทัน, (ปฏิจจสมุปบาท)...
สิ่งต่างไม่มีตัวตนด้วยตนเอง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (อวิชชา)
สิ่งต่างๆ ไม่มีตัวตนได้ตนเองนะ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น
แล้วท่านเองก็ไม่ได้ว่ายน้ำแข่งกับไอ้พวกมะกี้มาถึงได้ชนะแล้วมาเป็นนั่งอยู่ตรงนี้... เปล่า
ไอ้พวกนั้นมันว่ายของมันเอง ท่านไปชุบมือเปิบเอาที่หลัง
ไอ้พวกนั้นมันแข่งตามสภาพของนามรูป ของรูปนาม
มันแทงเข้าไปสักพัก พอมันก็เริ่มล่ะ... ท่านไปชุบมือเปิบทีหลัง
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)...
เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงเกิดความคิดปรุงแต่ง (สังขาร),
เพราะเกิดความคิดปรุงแต่ง จึงรับรู้ถึงความรู้สึก (วิญญาณ),
เพราะการรับรู้ถึงความคิดนั้น จึงส่งผลถึงอารมณ์และบุคลิกภาพ (นามรูป),
บุคลิกภาพนั้น ส่งต่อให้เครื่องมือการรับรู้ทำงาน (สฬายตนะ),
เพราะการรับรู้ทำงาน จึงเกิดการกระทบระหว่างภายในภายนอก (ผัสสะ)
เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง จึงเกิดความคิดปรุงแต่ง (สังขาร),
เพราะเกิดความคิดปรุงแต่ง จึงรับรู้ถึงความรู้สึก (วิญญาณ),
เพราะการรับรู้ถึงความคิดนั้น จึงส่งผลถึงอารมณ์และบุคลิกภาพ (นามรูป),
บุคลิกภาพนั้น ส่งต่อให้เครื่องมือการรับรู้ทำงาน (สฬายตนะ),
เพราะการรับรู้ทำงาน จึงเกิดการกระทบระหว่างภายในภายนอก (ผัสสะ)
อย่างที่บอกว่า คล้ายๆ ถ้าเป็นชาติแรกหรือว่ารุ่นแรกๆ ก็เริ่มเป็นเอเลี่ยนขึ้นมาน่ะ
แล้วทีนี้ก็สร้างตาหูจมูกลิ้นกาย
ในปฏิจจสมุปบาทเนี่ยสามารถอธิบายได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น
หรืออธิบายเฉพาะตอนที่เราอยู่ตรงนี้แล้วก็ได้ นะ
นี่คือความลึกซึ้งและซับซ้อน ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีต้นกลางปลาย อธิบายได้ทุกอย่าง
จะวินาทีแรกเลยก็ได้ หรือว่าจะเอาตอนนี้ก็ได้ นะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... (ผัสสะ)
ตอนนี้คำพูดหรือการกระทบทั้งหลายส่งผลเป็นอารมณ์ จากความไม่รู้ มีวิญญาณ
มีการให้ค่าว่า สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น เปรี้ยวอย่างนี้ ชอบหวานอย่างนี้ไม่ชอบ น่ะ
จึงเกิดเป็นความชอบไม่ชอบ เวทนาทั้งหลายจึงกลายเป็นอาการของจิตเฉยๆ
ที่ผมพยายามบอกตั้งแต่วันแรกว่า (ยกไฟฉายขึ้นส่อง) สิ่งนี้คือแสงไฟ
อาการของจิตคือแสงไฟที่ส่งผลออกมาเฉยๆ ท่านเล่นกับแสงไฟ ท่านไปไม่ถึงตัวของมัน
ต้องใช้มรรคมีองค์ 8 เข้าไปดับเหตุเกิดของข้างบน ตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ลงมานะ
ต้องไปดับที่แบตเตอรี่ ที่หลอดนี่ ไม่ใช่นั่งจัดการกับแสงไฟ
ตอนนี้เริ่มออกมาเป็นผลจากจิตโง่แล้ว นี่คือพฤติกรรมของจิตหรือที่เรียกว่า พฤติจิต นั่นแหล่ะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... (ผัสสะ)
เหมือนคนออกไปเดินกลางแดดที่ผมยกตัวอย่างอยู่บ่อยๆ
คนนึงก็ทุกข์กับแสงแดด โอ้ย! ร้อนจังเลย บ่นไม่หยุด
อีกคน... โอ้ย! แสงแดดดีจังเลย แล้วฝรั่งมาเที่ยวบ้านเรานะ รู้สึกเป็นสุขกับแสงแดด
ส่วนอีกคนนึงก็ ก็ร้อน แสงแดดก็ร้อน ไม่สุขไม่ทุกข์ไปกับแสงแดด
เพราะมันก็คือแสงแดดนะ จะให้มันเป็นอะไรล่ะ
ร้อนมั้ย?...ก็ร้อนน่ะ แต่เห็นมั้ยว่าคนนึงพอร้อน มันเกิดปฏิกิริยาขึ้นที่ตรงนี้ (ผิว)
หลังจากนั้นมันส่งต่อถึงความไม่พอใจที่ตรงนี้ (ใจ)
เพราะความไม่รู้ไปให้ค่าว่า ร้อนไม่ดี จึงเกิดเป็นเราร้อน เราไม่ชอบ
ไม่ชอบก็จึงส่งพฤติกรรมออกมาอีกแบบนึง
ทั้งๆ ที่มันก็ร้อนของมันอย่างนั้นแหล่ะ อยู่ใต้พระอาทิตย์มันก็ร้อนอย่างนั้นแหล่ะ
จึงกลายเป็นชอบไม่ชอบขึ้นมา แล้วก็สร้างภพต่อไป
เพราะการไปให้ค่าสิ่งนั้นเอง เป็นดี เป็นไม่ดี เป็นชอบ เป็นไม่ชอบ เป็นอาการของจิตโง่
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะการกระทบ จึงทำให้เกิดอารมณ์สุข-ทุกข์ และเฉยๆ
(เวทนา), อารมณ์ที่สุขก็อยากได้ อารมณ์ที่ทุกข์ก็อยากผลักไส (ตัณหา)
เอาล่ะ เห็นมั้ยเริ่มไปเรื่อยๆ ล่ะ เพราะฉะนั้นพอถึงจุดสุดท้ายเดาออกเลย
การเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นย่อมมีด้วยประการละฉะนี้ละ ตอนนี้ไปเรื่อยๆ ละ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะความอยาก จึงเข้าไปยึดกับสิ่งที่ต้องการ (อุปาทาน)
พออยากแล้วก็ยึด เห็นรองเท้าคู่นั้นสวยชอบ อยากได้ พอมีคนคว้าไปปั๊บ โกรธเลย มันยึดแล้ว
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะยึดกับสิ่งที่ต้องการ จึงลงมือก่อพฤติกรรม (ภพ)
ทีนี้ก็เริ่มก่อพฤติกรรมเป็นภพล่ะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เมื่อก่อพฤติกรรมดีหรือเลว จึงเกิดคำว่า “เราดีหรือเลว” ขึ้นในใจ (ชาติ)
ทีนี้เป็นเราดีหรือเลวละ คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี เราดี เค้าไม่ดี
เอาละที่นี้เป็นชาติ ชาติกูเกิดละ นี่ชาติกูล่ะ
เราทำกันมาอย่างเนี้ยะ ด้วยความไม่รู้จริงๆ ไม่จบหรอก
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... แต่สิ่งเหล่านั้นก็เสื่อมสลายไปตามเหตุปัจจัย (ชรา มรณะ), แต่เพราะ
ความไม่รู้ก็หลงปรุงแต่ง แสวงหาสิ่งเหล่านั้น วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า (อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป
สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ) ๑๒ อาการแห่งทุกข์ ที่คนส่วนใหญ่ยัง
ยึดติด ยังหาทางออกไม่พบ และประสบกับปัญหาเพิ่มขึ้น ความไม่เข้าใจเหตุปัจจัย ที่เป็นองค์ประกอบใน
สายใยของธรรมชาติ หากเข้าใจ ปฏิจจสมุปบาท จะไม่สงสัยต่ออดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่าเรามีหรือไม่
อย่างไร
ทำไมหมออาจินต์ถึงต้องรับกรรม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำ มันทำโดยราชมัน
หากเข้าใจปฏิจจสมุปบาทจะไม่สงสัยเลยว่า เรามีหรือไม่... ไม่เคยมีเลย
เพียงขันธ์ก่อกรรม แล้วก็รับกรรม แล้วก็ก่อใหม่ แล้วก็รับกรรม แล้วก็ก่อใหม่ แล้วก็รับกรรม
เดี๋ยวก็สุข สุขก็ไปรับกรรม อาจจะเป็นภูมิที่ดี พอมีความทุกข์ก็ไปรับกรรมในทุคติภูมิ มีอยู่แค่เนี่ยะ
ถ้าใครบอกว่าอยากเกิดในสวรรค์ ต้องถามตัวเองว่า แล้วสร้างนรกไว้เยอะมั้ย?
ถ้าสร้างนรกไว้เยอะ จะเกิดสวรรค์ยังไง เพราะชาติมาจากภพ ไม่มีอะไรพิสดาร
ปลูกมะม่วงได้มะม่วง ไม่ใช่ปลูกมะม่วงแล้วนั่งอธิษฐานขอให้ได้แอปเปิล... ไม่มี
ถ้าอยากได้แอปเปิลให้ปลูกแอปเปิล ไม่ใช่ปลูกมะม่วง
แล้วนั่งจุดธูปแล้วขอให้ได้แอปเปิล นี่คือสิ่งที่คนในโลกกำลังทำกัน
กลับมาที่นี่ เพราะทุกอย่างอยู่ที่นี่ จัดการที่นี่ ทำอะไรยังไม่ได้มาก
มีศีล แล้วจัดการกับอกุศลในใจ ถ้ายังไปไหนไม่ได้เลย เอาแค่นี้ก่อน ทำให้ได้
แล้วไม่ต้องมาบอกว่า... อาจารย์ นู๋ทำไม่ได้... ผมไม่ทราบ ผมไม่ทราบจริงๆ
นี่บอกจนจะถึงจุดสุดท้ายแล้ว
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เพราะสิ่งต่างๆ อาศัยสิ่งอื่นๆ เกิดขึ้น จึงคงที่อยู่ไม่ได้ เรียกว่า "ทุกข
ลักษณะ"
คำนี้ชัดเจนนะ สิ่งต่างๆ อาศัยสิ่งอื่นเกิดขึ้น มันจึงไม่มีสภาพเป็นตัวตนเลย
จึงต้องพยายามรักษาสภาพของตัวมันเองไว้ให้ได้ จึงเป็นสภาพทุกข์ ที่เรียกว่า ทุกขลักษณะ
จะมีผู้ทุกข์หรือไม่มีผู้ทุกข์ก็ตาม กายนี้พยายามจะรักษาเสถียรของมันไว้ให้ได้
แต่มันรักษาไม่เคยได้ มันจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เรายิ่งไปเติมเหตุปัจจัยที่ไปทำให้มันไม่เสถียรหนักเข้าไปใหญ๋ มันก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่
ตัวมันเองก็ไม่ใช่ทุกข์ แต่มันก็มีสภาพทุกข์ คำว่าเนี่ย...
ต้องเข้าใจ สภาพทุกข์ กับ ความทุกข์ ที่เรารู้จักน่ะ
ตอนนี้เราเอามาปนกัน เราถึงไม่เข้าใจความจริง เพราะเราไปคิดว่า ทุกข์คือความรู้สึกทุกข์
แต่ทุกขังจริงๆ คือสภาพของทุกขลักษณะของสะสารหรือของรูปนาม
ที่ไม่สามารถเสถียรได้ด้วยตัวของมัน เพราะมันเสถียรไม่ได้ มันขึ้นกับเหตุปัจจัยอื่น
แล้วมามีตรงนี้ แล้วเหตุปัจจัยก็ไปต่อ มันไม่ได้หยุด มันไหลเรื่อยอ่ะ
เราไปล็อกมันเฉยๆ ว่าตอนนี้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่
ขณะที่มันกำลัง วินาทีนี้เนี้ยะ มันมาจากเหตุปัจจัยของการตายและก็เกิดเซลล์ใหม่
แล้วมันก็ต่อไปจากสิ่งแวดล้อมคือดินฟ้าอากาศ ความชื้น
ทุกอย่างที่เข้าไป มันจึงเกิดปฏิกิริยาต่อๆ ไปเรื่อยๆ
มันเสถียรไม่ได้ มันจึงเกิดเป็นทุกขลักษณะ ซึ่งไม่มีผู้ทุกข์ แต่ตัวมันเองพยายามจะรักษาตัวมันเอง
ยุงมากัด เหตุปัจจัยก็เปลี่ยน เติมอาหารร้อนอาหารเย็นเข้าไป เหตุปัจจัยเปลี่ยนหมด
อุณหภมิ เหตุปัจจัยมันเปลี่ยนหมด
แล้วสิ่งต่างๆ เข้ามากระทบ ร้อยแปดพันเก้า ดังนั้นสภาพของมันจึงไม่เคยเสถียร
แต่มีผู้เข้าไปยึดถือมัน จึงทุกข์ เพราะสภาพมันทุกข์โดยสภาพอยู่แล้ว
ขันธ์ การปรากฏขึ้นแห่งขันธ์คือการปรากฏขึ้นแห่งทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสเลย
แล้วพอมีอุปาทานในขันธ์ก็เรียบร้อยเลยนะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... แต่ไม่มีผู้ทุกข์ (ความสุขมีอยู่ก่อนแล้ว)
ความจริงไม่มีผู้ทุกข์ เราไปสร้างความรู้สึกลมๆ แล้งๆ ขึ้นมาเป็นเจ้าของมัน
เท่านั้นไม่พอ มันไปสอดไส้ใส่กันอีกเยอะ มันจึงเกิดเป็นเหตุเกิดเลย
ถ้าไปยึดเฉยๆ แล้วไม่มีผลเลยต่อขันธ์เลยนะ ตายชาติเดียว
แต่นี่ซับซ้อนกว่านั้น เพราะความไปยึดถือไอ้ขันธ์เนี่ย ดันไปสร้างตัณหา
ตรงเนี้ยะไปสร้างตัณหากับมันแล้ว เลยมาเนี่ยะ
พอสร้างตัณหา ไปเพิ่มกำลังให้กับอวิชชา สร้างเหตุเกิดให้กับขันธ์นี้เลย
ทีนี้ขันธ์มายาวเลย และออกลับไม่ได้เลย เพราะมีตัณหาไม่หยุดนี้แหล่ะ
พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ตัณหาผู้สร้างภพ การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไปอ่ะ ที่สวดไว้น่ะ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... แต่ไม่มีผู้ทุกข์ (ความสุขมีอยู่ก่อนแล้ว)
มีผลต่อสรรพสิ่ง รูปนาม ในโลก ในจักรวาลนี้ทั้งหมด
ที่เค้าบอกว่า เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวน่ะ ของจริง
การเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราแต่ละขณะ มีผลต่อจักรวาลทั้งหมด
การปรากฏการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีผลต่อจักรวาลนี้ทั้งหมด
ความเลวยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนแปลง
นี่คือการเชื่อมโยงของรูปนามที่ไม่มีมนุษย์ตรัสรู้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านจึงบอกว่า กรรมวิสัยเกินกว่าปัญญาของมนุษย์จะรู้ได้
เราไม่มีทางเชื่อจนกว่าเราจะถอดถอนความเห็นผิดทั้งหมด
แล้วเห็นรูปนามล้วนๆ ที่เป็นพลังงานที่มันสืบเนื่องกันทั้งหมด
ทำไมคนนั้นถึงมาเจอคนนี้ ทำไมคนโน้น...
ทุกอย่างสืบเนื่องกันหมดในแต่ละเซลล์ เหมือนเซลลูล่าร์เลย แต่ละคน
มันจึงเกิดการเชื่อมโยงกันของกรรม จึงเกิดการชักนำ ดูดเข้าผลักออกกันตลอดเวลา
เมื่อคนนึงเปลี่ยนจะส่งผลต่อคนรอบข้าง
เมื่อคนนึงเปลี่ยนไปทางดี ดินฟ้าอากาศจะเปลี่ยนหมด
เมื่อทุกอย่างเริ่มเลวขึ้นๆ ดินฟ้าอากาศก็จะเปลี่ยนแปลง
พูดไปก็ยิ่งลำบากล่ะถึงตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อเลย ถ้าจะเชื่อใครซักคนต้องเปิดพระสูตร
ถึงวันนี้จะไม่เชื่อก็ได้ต่อให้เปิดพระสูตรอ่านให้ฟัง แต่นี่คือความจริง ไม่ได้รอใครเชื่อ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... การเคลื่อนไหวในกระแสของธรรมชาตินั้นมีความสัมพันธ์ส่งผลต่อกัน
อย่างละเอียดซับซ้อน ด้วยปัจจัยอันหลากหลาย กระทบกระทั่งเชื่อมต่อกันเป็นแพรัศมี
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... สู่ผลอันหลากหลาย, "ผลอันหลากหลาย
เกิดจากเหตุปัจจัยอันหลากหลาย" พุทธพจน์
แล้วจะแก้เท่าไหร่?...แก้หมื่นเหตุหรอ! แก้ได้หรอ?
ปฏิบัติอย่างที่องคุลีมารทำดีกว่า เจริญมรรคมีองค์ 8 จนหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ดีกว่า
อย่าเสียเวลามิจฉาทิฏฐิอีกเลย ชีวิตเหลือกันไม่เยอะละ
[คลิป VDO] (ปฏิจจสมุปบาท)... เมื่อมีสติตามสังเกตการทำงานของกายและใจ จะสามารถใช้เหตุปัจจัย
อย่างถูกวิธี, (วิสุทธิ ๗)... เพราะไม่มีใครหนีผัสสะทางอายตนะต่างๆ ได้
หนีได้มั้ย ผัสสะ?...หนีไม่ได้ เนี่ยขนาดเข้ามาอยู่ศูนย์ปฏิบัติฯ ก็หนีไม่ได้
นั่งๆ คิดถึงคนที่ไม่ชอบขี้หน้านี่ ผัสสะ มโนผัสสะ ผัสสะทางใจก็เกิดเลย วิญญาณตามเลย
นี่ขนาดมานั่งอยู่ในผัสสะที่ควบคุมได้ นี้ยังเอาไม่รอดเลย นะ
เพราะฉะนั้นไม่มีใครหนีผัสสะ จากอายตนะก็คือตาหูจมูกลิ้นกายใจได้
แต่หากใครสามารถดูแลสิ่งนี้ได้ จากการกระทบแล้วไม่มีการกระเทือน
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... เมื่อเกิดการกระทบรู้เท่าทัน ใจก็ปกติ เรียกว่า "สีลวิสุทธิ"
มีการกระทบแต่ใจเป็นปกติ เพราะเห็นหมดแล้วว่า
ทุกข์ก็เกิดขึ้นดับไป สุขก็เกิดขึ้นดับไป ไม่ได้มีตัวตนอะไร มาจากการกระทบด้วยความไม่รู้
จากนั้นก็เริ่มวาง การกระทบทั้งหลายไม่มีผลต่อใจ เรียกว่า "สีลวิสุทธิ"
ถ้าท่านทำได้ตรงนี้ ก็เช็คลิสต์ไป ดูขั้นที่ 2 ต่อไป ทางที่จะเข้าถึง "วิมุตติ"
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... จิตจึงตั้งมั่นไม่ถูกครอบงำด้วยอกุศลเรียกว่า "จิตตวิสุทธิ"
หากเกิดสีลวิสุทธิ จิต จะวิสุทธิ
การกระทบทั้งหลาย จิตจะไม่มีทางสั่นไหวเลย เพราะตั้งมั่นแล้ว
ไม่มีอะไรเข้ามามีผลต่อจิตอีก จิตจึงไม่เคลื่อนไหวสั่นไหวอีก
การกระทบทั้งหลาย จิตจะไม่มีทางสั่นไหวเลย เพราะตั้งมั่นแล้ว
ไม่มีอะไรเข้ามามีผลต่อจิตอีก จิตจึงไม่เคลื่อนไหวสั่นไหวอีก
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... จึงเกิดความเห็นถูกของรูปนามตามความเป็นจริง เรียกว่า "ทิฏฐิวิสุทธิ"
มีคนมาด่า ด้วยการที่เห็นมาตลอด สีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิเห็นแต่สังขาร ขันธ์ 5 ด้วยความไม่รู้ บีบคั้น เนื้อเรื่อง จ
นกระทั่งออกมาทางวาจา หน้าแดง ตัวสั่น ยืนดู จะช่วยยังไงน่ะ?
นอกจากอยู่เฉยๆ อย่าไปเพิ่มไฟของเค้า เรียกว่าเห็นรูปนามตามความเป็นจริงหมด
พฤติกรรมที่ก่อออกมาของแต่ละคน มาจากภายในแค่นั้นเอง ด้วยความไม่รู้
มีแต่เรื่องน่าสงสาร จะไปโกรธใครได้
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... และเห็นปัจจัยของรูปและนาม จนหายสงสัย เรียกว่า "กังขาวิตรณวิสุทธิ"
แล้วก็นอกจากเห็นที่มาของทุกอย่างกว่าจะมาเป็นตรงนี้แล้วตรงนี้ก็สร้างเหตุที่จะส่งผลต่อไปซึ่งไม่เคยหยุดเลย
หมดข้อสงสัยในการมาการไปของรูปนามแล้ว เรียกว่า "กังขาวิตรณวิสุทธิ"
หมดแล้ว หมดสงสัย หมดลังเลแล้ว เห็นจนถลกเปลือกแล้ว
ใจสงบ ไม่มีเต้นไปตามสิ่งกระทบแน่นอน ถ้าใครถึงตรงเนี้ยะ
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... สามารถเลือกมุมมองอย่างถูกวิธี ของสิ่งที่เกิดขึ้นกับรูปและนาม
เรียกว่า "มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ"
เรียกว่า "มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ"
ถึงตรงนี้ไม่ต้อง positive thinking เพราะมุมที่มองมีมุมเดียว มองของสัมมาทิฏฐิ ไม่มีมุมอื่น
มองยังไงก็เห็นแต่ความจริง หมดข้อสงสัย หมดทุกข์
มัคคามัคคญาณทัสสน เห็นญาณทัศนะตามความเป็นจริง
เห็นรีเบคก้า ก็เห็นรีเบคก้าแบบตามความเป็นจริง
เห็นทุกอย่าง ก็ไม่มีการหลงเข้าไปในสิ่งนั้นเลย เห็นทุกอย่าง
เลือกมุมมองที่เป็น เพราะเห็นรูปนามหมดแล้วนี่ไม่มีอะไรเลย นอกจากรูปนาม
สัพเพ ธัมมา อนัตตา... ต่างรูปนามกัน อ่ะ ธูปกับเทียนต่างกันนิดเดียว
อันนี่มีวิญญาณครองสิง อันนี้ไม่มี,
ไอ้นี่ไม่มีเวทนาหรอกเวทนา ไอ้นี่ไม่มีวิญญาณครองสิงเลยไม่มีเวทนา นะ ต่างกันนิดเดียว
สัตว์โลกเป็นเพื่อนกันหมด สัตว์โลกเป็นเพื่อนกันหมด
คนทุกคนคือคนคนเดียวกัน ไม่เห็นอะไรนอกจากนี้เลย
เรารักพ่อแม่เรายังไง มีคนแก่เดินมา เราก็รู้เลยว่า เค้าก็รักพ่อแม่เค้าอย่างนั้น
เราจึงรักคนแก่นั้นดุจดังเรารักแม่เรา ไม่มีแล้ว
เหลือแต่ความรู้สึกที่เป็นกุศลแบบไม่ต้องพยายามทำ เหลือมุมเดียว
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... เห็นลักษณะความเกิดดับในขันธ์ ๕ ยอมรับความเป็นจริงด้วยใจเป็นกลาง เรียก
ว่า "ปฏิปทาญาณทัสสวิสุทธิ"
และนี่ก็เห็นแต่ของจริงละ มีแต่การเกิดๆ ดับๆ ของขันธ์ 5 ไม่ได้มีใครเลย นะ
ที่นั่งๆ กันก็มีแต่การเกิดดับของขันธ์ แล้วเดี๋ยวก็สืบเนื่องกันไปเรื่อย
จากเวรกรรม จากภาพที่มันสร้างกันไว้
ถ้ามีใครซักคนสาวกของพระพุทธเจ้าให้ธรรมะอย่างอื่นแล้วบอกว่า ทำได้ ทำไม่ได้ อะไรเนี่ย
ก็ได้เห็นแล้วขันธ์ 5 มันบันทึกสิ่งนี้ลงไป
แต่เค้าจะทำได้แค่ไหน มันก็จะติดตัวขันธ์ 5 ที่เกิดๆ ดับๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นโน่นเป็นนี่เป็นนั่นไปเรื่อยๆ
แต่สิ่งนี้เค้าจะไปไหนล่ะ ไม่ได้มีตัวคนนั้นคนนี้ซะหน่อย
" อาจารย์ เดี๋ยวชาตินี้ไม่รู้จะบรรลุทันมั้ย?..."
อย่าห่วง มันยังไม่จบหรอก.....คือจะชาติไหนก็ชาติเดียวนั่นแหล่ะ
ถ้าเอาสมมติออกหมด ชาติเดียว เหลือยาวสั้น แล้วยาวสั้นมันก็แค่นั้นเอง
ถ้าวันนี้บอก อีกร้อยชาติ คนนี้บอกว่า อย่าประมาทไม่มีชาติที่ 8 อีก 7 ชาติ...
เอาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ร้อยชาติกับเจ็ดชาติ บางทีก็ใกล้ๆ กันนั่นแหละ นะ
อย่าเลิกทำก็แล้วกัน อย่าทิ้งธรรม
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... จิตจึงไม่ปนเปื้อนด้วยตัณหาและการหลงคิดปรุงแต่ง ทวนเข้าสู่กระแส
ธรรมชาติเดิมที่บริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว คือความสุขหรือพระนิพพาน เรียกว่า "ญาณทัสสนวิสุทธิ"
ตรงนี้หลุดออกจากอุปทานขันธ์ละ อีกชื่อนึงที่จะได้ยินก็คือ "วิมุตติญาณทัสสนะ" นะ
หรือว่า ญาณทัสสนวิสุทธิ ก็คือเป็นญาณทัสสนะที่ปราศจากความไม่รู้
ที่ไปสร้างตัวตนขึ้นมาเป็นผู้ไปรู้ไม่มีแล้ว เป็นธรรมชาติเดิม นะ
จิตก็เข้าใจแล้ว หายโง่แล้ว คืนสู่ธรรมชาติ ขันธ์ก็หมดเหตุเกิด
ก็ค่อยๆ สลายไปจากการตามของกรรมเก่า ที่เหลืออยู่ก็เป็นเปลือก
สำหรับพระอรหันต์ที่เหลืออยู่ก็คือเปลือก เพราะไม่มีผู้ยึดถือแล้ว
มันก็ทำงานไปตามประสบการณ์เดิม มีสติปัญญาที่เต็มเปี่ยม แต่ไม่มีใครไปเป็นเจ้าของ
แม้นสติและปัญญา ซึ่งเป็นของเกิดๆ ดับๆ เป็นสังขตะ ไม่มีใครไปเอาด้วยกับมัน นะ
จริงๆ ก็จะว่าไม่มีใครไปเอาด้วย ก็มันไม่มีใครแล้ว สิ่งนี้ก็ทำไป
ดังนั้นคำว่า พระอรหันต์จริงๆ ไม่ใช่พระอรหันต์หรอก
คำว่าพระอรหันต์จึงไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งที่กำลังเดินอยู่นี่เลย
แล้วใครเป็นพระอรหันต์?...ไม่มีคนเป็นพระอรหันต์
มีแต่ชื่อเรียกขันธ์ที่เป็นวิสุทธิ ไม่มีผู้เข้าไปยึดถือแล้ว
ดังนั้น ถ้าไปบอกว่า พระองค์นั้นองค์นี้ คนนั้นคนนี้ เป็นพระอรหันต์... ไม่มี
ท่านคืนธรรมชาติเดิมแท้ไปหมดแล้ว
แล้วสิ่งที่ทำอยู่เป็นเปลือกที่ไม่ถูกยึดถือ
ทำหน้าที่ไปตามประสบการณ์ที่ถูกสอนมา ไม่ใช่หุ่นยนต์
มีความรู้สึกรับรู้ได้ มีวิญญาณ จึงเป็นขันธ์ที่บริสุทธิ์
ธรรมชาติเดิมที่บริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว คือความสุขหรือพระนิพพาน เรียกว่า "ญาณทัสสนวิสุทธิ"
ตรงนี้หลุดออกจากอุปทานขันธ์ละ อีกชื่อนึงที่จะได้ยินก็คือ "วิมุตติญาณทัสสนะ" นะ
หรือว่า ญาณทัสสนวิสุทธิ ก็คือเป็นญาณทัสสนะที่ปราศจากความไม่รู้
ที่ไปสร้างตัวตนขึ้นมาเป็นผู้ไปรู้ไม่มีแล้ว เป็นธรรมชาติเดิม นะ
จิตก็เข้าใจแล้ว หายโง่แล้ว คืนสู่ธรรมชาติ ขันธ์ก็หมดเหตุเกิด
ก็ค่อยๆ สลายไปจากการตามของกรรมเก่า ที่เหลืออยู่ก็เป็นเปลือก
สำหรับพระอรหันต์ที่เหลืออยู่ก็คือเปลือก เพราะไม่มีผู้ยึดถือแล้ว
มันก็ทำงานไปตามประสบการณ์เดิม มีสติปัญญาที่เต็มเปี่ยม แต่ไม่มีใครไปเป็นเจ้าของ
แม้นสติและปัญญา ซึ่งเป็นของเกิดๆ ดับๆ เป็นสังขตะ ไม่มีใครไปเอาด้วยกับมัน นะ
จริงๆ ก็จะว่าไม่มีใครไปเอาด้วย ก็มันไม่มีใครแล้ว สิ่งนี้ก็ทำไป
ดังนั้นคำว่า พระอรหันต์จริงๆ ไม่ใช่พระอรหันต์หรอก
คำว่าพระอรหันต์จึงไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งที่กำลังเดินอยู่นี่เลย
แล้วใครเป็นพระอรหันต์?...ไม่มีคนเป็นพระอรหันต์
มีแต่ชื่อเรียกขันธ์ที่เป็นวิสุทธิ ไม่มีผู้เข้าไปยึดถือแล้ว
ดังนั้น ถ้าไปบอกว่า พระองค์นั้นองค์นี้ คนนั้นคนนี้ เป็นพระอรหันต์... ไม่มี
ท่านคืนธรรมชาติเดิมแท้ไปหมดแล้ว
แล้วสิ่งที่ทำอยู่เป็นเปลือกที่ไม่ถูกยึดถือ
ทำหน้าที่ไปตามประสบการณ์ที่ถูกสอนมา ไม่ใช่หุ่นยนต์
มีความรู้สึกรับรู้ได้ มีวิญญาณ จึงเป็นขันธ์ที่บริสุทธิ์
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... เพราะสิ่งต่างๆ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น หากผู้ขาดปัญญาไม่รู้ ก็หลงผิดสร้าง
เหตุปัจจัยแห่งความทุกข์
เหตุปัจจัยแห่งความทุกข์
ได้ในสิ่งไม่ควรได้เลย ชีวิตของพวกเราคือ "ความทุกข์"
[คลิป VDO] (วิสุทธิ ๗)... (ได้ในสิ่งที่ไม่ควรได้ คือ ทุกข์ใจ - เสียในสิ่งที่ไม่ควรเสีย คือ สันติสุข)
หากผู้มีสติปัญญารู้ จึงเลือกสร้างเหตุปัจจัยแห่งความสุข....
หากผู้มีสติปัญญารู้ จึงเลือกสร้างเหตุปัจจัยแห่งความสุข....
แล้วอยู่ๆ ก็ไปทำให้ตัวเองเสียในสิ่งที่ไม่ควรเสียเลยคือ "สันติสุข" ที่มีอยู่แล้ว โดยธรรมชาติเดิมแท้
แต่เราสร้างการปรุงแต่งทั้งหมดขึ้นมาปิดบัง แล้วก็จมอยู่ในกองทุกข์อย่างน่าเวทนา
ถ้าไม่มีมรรคมีองค์ 8 ไม่มีปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
(ถ่ายไมค์หมด....เปลี่ยนถ่านใหม่ )
คิดหรือว่าจะมีมนุษย์หน้าไหนออกจากทุกข์ได้จริงๆ
อย่างเนี้ยะ ถ้าโง่ทุกข์ ไปเลย... (ถ่ายไมค์หมด) ทำไมไม่เปลี่ยนถ่านให้มันเรียบร้อยอ่ะ...
ไปเลย โง่เลย!! กำลังอธิบายอยู่ โง่เลย ลงนรกไปเลย
เห็นหรือยังว่ามันไม่ได้อยู่บนจอ นี่นั่งฟังทั้งหงุดหงิด (เสียงไมค์ตัวใหม่ก้อง)
ทำไมเสียงก้องจัง หงุดหงิดเหรอ ? ไปเลย นี่ดูจบหยกๆ เลย โง่เลย ลงนรกไปเลย
(เสียงลำโพงดังหวีด) ทำไมดังวีดๆ เครื่องเสียงไม่ดีเลย ไปเลย ไง่เลย
เพิ่งจะจบพระนิพพานไปเมื่อกี้นี้เอง กระโดดลงเหวเลย ไม่ไปเลยพระนิพพาน
หมูมั้ยล่ะ?...ไม่หมู หมูไม่หมูไม่รู้อ่ะ หมูไม่หมูอยู่ที่นี่ (ใจ) น่ะของแต่ละคน
ทุกอย่างมันอยู่บนจอหมด มันอยู่ที่คิดหมด มันติดอยู่ที่ฟองแชมพูเนี่ย มันไม่ได้ลงไปที่นี่ (ใจ)
ถ้ามีใครซักคนนั่งดูตั้งแต่ต้นจนจบ 10 นาทีเนี่ย โดยไม่คิดตามนะ ตั้งมั่นไว้น่ะ
วันนี้ทำไมถึงคิดไม่ออกรู้มั้ย?...เพราะพยายามไปคิดตาม
เพราะพยายามไปคิดตาม มันก็เลยไม่รู้เรื่อง
เพราะสิ่งทั้งหมดที่ท่านได้ยินมาอยู่เหนือประสบการณ์ความคิดทั้งหมดเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีอยู่ภายใต้กรอบประสบการณ์ของกู จึงไม่สามารถแปลค่าออกมาเป็นรูปได้
เพราะสิ่งที่กำลังพูดอยู่คือพระนิพพาน เหนือการตริตรึก
ไม่ใช่รูป แล้วไม่ใช่นาม นึกว่าเป็นนามธรรม...ไม่ใช่ พ้นขึ้นไปอีก
ดังนั้นถึงไม่อยู่ภายใต้การตริตรึก เหลืออย่างเดียวปล่อยให้การสัมผัสของจิตตรงๆ
ตรงไหนที่มีประสบการณ์เห็นได้จะเห็น เห็นไม่ได้เพราะมีการปรุงแต่งมาบังอยู่
เมื่อตั้งมั่นจะเห็นภาพทั้งหมด เห็นคำอธิบาย จะเห็นจุดมุ่งหมายของผู้ที่สร้างทั้งหมดเลย
แต่ถ้าพยายามคิดตาม จะไล่อะไรไม่ทันเลย
นี่คือธรรมชาติของคนที่พยายามไล่คิดตาม มันจึงไม่เข้าใจอะไรแม้แต่อย่างเดียว
แต่ถ้าไม่คิดตาม หยุดคิด จะเข้าใจทั้งหมดเลย
เอาล่ะนะครับ สำหรับคืนนี้
ผมเชื่อว่าการเดินทางของเราจากมรรคมีองค์ 8 สู่ธรรมจักรฯ สู่อริยสัจ สู่ปฏิจจฯ
แล้วก็มาจบที่พระนิพพาน อย่างสมบูรณ์
พรุ่งนี้เราคงจะมาสรุปอะไรในเชิงการปฏิบัติจริงๆ ที่จะกลับไปสู่บ้านสู่ครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง
ถ้ายังไม่ง่วงนะ แล้วก็ได้เห็นความจริงแล้ว ผมว่า ท่านก็น่าจะไปภาวนาต่ออีกซักพัก
ท่านได้นอนแน่ และได้นอนยาวแน่ กายของท่านได้พักยาวแน่
อีกไม่กี่ปี จะไม่มีใครเหลือที่นี่เลย ทุกคนจะตายหมด
อีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทุกคนจะตายหมด ไม่มีใครเหลือในนี้เลย
เวลาของท่านกำลังนับถอยหลัง ไม่ใช่นับเดินหน้า อย่าหลงระเริงไปกับโลก
อย่าหลงสมมติบัญญัติให้มาก พระพุทธเจ้าเตือนแล้วเตือนอีก
พวกเธอจงอย่าประมาท นะ ไปทำความเพียรเถอะ นะครับ ขออนุโมทนา
กราบพระแล้วเชิญ.
จบการบรรยายตอนที่ 11
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
☜ ตอนที่ 10 ปฏิจจสมุปบาทผาซ่อนแก้ว ตอนที่ 12 อริยมรรคมีองค์8ภาคปฏิบัติและปฏิเวธ ☞
กราบอนุโมทนาบุญกับผู้บรรยาย ทีมงาน และผู้เข้าร่วมอบรมทุกท่านค่ะ
- ด้วยจิตคารวะ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น